คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : WHEN ? .. Chapter.[16] Up!! 100%
คือปกติกอนไม่ได้ลงฟิคที่เด็กดีอ่ะค่ะ แต่นี่เรื่องยาวเลยอยากมาแชร์อ่านะ^^
*เรื่องคอมเมนท์ไม่ซีเรียส แต่ก็ยังอยากได้อยู่นะคะ ใครที่กลัวว่าโผล่มาเมนท์เดียวไม่ดี
ก็อย่าห่วงค่ะ เมนท์เดียวก็ยังดี เพราะกอนอยากรู้ว่าวิวเยอะๆเนี่ย มีคนอ่านมั้ย
หรือว่าแค่เข้ามาดูๆแล้วจากไป ~ เออนะ .. ไงก็บอกกล่วกันมั่งนะคะ
จะได้ลงแล้วรู้สึกว่ามีคนอ่านอยู่^^!
---------------------------------------------------------------
Chapter 16
ความทรงจำของตัวเองแท้ๆ มันยากนักหรือหากต้องการมันกลับคืนมาเพื่อไล่ความสับสนและคนหลอกลวงออกไปจากหัวใจ แต่ถ้าได้คืนมาแล้ว .. จะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ
แสงแดดอ่อนๆในยามเช้าส่องเข้ามาในห้องนอนขนาดใหญ่กระทบลงบนใบหน้าของคนหลับให้ต้องลืมตาตื่น ความปวดแล่นเข้ามาที่หัวอย่างรวดเร็วจนต้องยกมือขึ้นประคองมันเอาไว้ ใบหน้าที่เคยสดใสบัดนี้ซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด มือบางค่อยๆดันร่างตัวเองให้ลุกนั่งพิงหมอนใบใหญ่ที่หัวเตียงด้วยอาการเหนื่อยอ่อน
ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาก้มมองเตียงนอนที่กำลังนั่งอยู่คนเดียวขณะที่สมองก็นึกย้อนกลับถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ดงแฮเดาจากสภาพแล้วก็พอจะเข้าใจว่าตัวเองคงไม่ถูกทำอะไร เพราะเท่าที่จำได้คือกำลังถูกซีวอนทำไม่ดีแล้วตัวเองก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย เมื่อมองไปรอบห้องก็ไม่เห็นซีวอนอย่างที่คิดว่าควรจะเป็นเลยรู้สึกแปลกใจแต่ก็ใช่ว่าอยากจะให้อยู่ด้วยนักหรอก ไม่มีใครอยากจะอยู่กับคนที่ชอบใช้กำลังและใช้อารมณ์อย่างนั้นอยู่แล้ว ดงแฮรู้สึกเหนื่อยและบางทีก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากจะจำได้เหมือนเดิม ไม่อยากเป็นแบบนี้ ถ้าจะต้องมารับรู้หรือนึกอะไรได้ไม่หมด ให้กลับมาเหมือนเดิมยังจะดีกว่าอยู่อย่างนี้ เพราะมันแสนจะทรมาน .. ที่ผ่านมาอะไรหลายอย่างก็เริ่มผ่านเข้ามา ความทรงจำทั้งหมดที่หายไปราวกับมนต์สะกดกำลังจะกลับมาหาเขาในไม่ช้า ดงแฮเชื่ออย่างนั้น
หลังจากที่ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินลงมายังชั้นล่างของบ้านทันที
“หายไปไหนกันหมดน่ะ” ดงแฮถามสาวใช้ที่น่าจะพอรู้ หล่อนหยุดทำหน้าที่แล้วกันมาตอบ
“ถ้าหมายถึงคุณหนูฮันคยองก็ออกไปข้างนอกค่ะ ป้ายุนฮีก็ไปซื้อของ” เจ้าหล่อนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่คนถามกลับทำหน้าเหมือนยังไม่ได้คำตอบทั้งหมด
“แล้วที่เหลือล่ะ”
“ที่เหลือ อ๋อ .. ขอโทษค่ะลืมไป คุณซีวอนกับคุณหนูฮีชอลอยู่ในครัวน่ะค่ะ”
“ในครัว” ดงแฮทวนคำอย่างสงสัย
“ค่ะ” เมื่อได้คำตอบแล้วเขาก็ต้องแปลกใจกว่าเก่า นึกไม่ถึงว่าคนแบบนั้นจะเขาครัวเป็นด้วย ดงแฮหันหลังจะกลับห้องเพราะอยากนอนพักแต่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะไม่กลับไป
สองเท้าหยุดยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องครัวแล้วมองเข้าไปยังคนสามคนคือซีวอน ฮีชอล แล้วก็พี่เลี้ยงซูยอง ร่างสูงที่อยู่ในชุดเดิมของเมื่อคืนต่างไปก็ตรงที่มีผ้ากันเปื้อนสีฟ้าสวมอยู่ที่ด้านหน้า
ซีวอนกำลังยืนหั่นแครอทอยู่บนโต๊ะในครัวโดยมีลูกสาวตัวน้อยนั่งอยู่บนโต๊ะข้างๆกัน ส่วนพี่เลี้ยงซูยองก็ได้แต่ยืนมองห่างๆ เธอกำลังดีใจที่เมื่อครู่เจ้านายได้ยกเลิกการสั่งห้ามไม่ให้ฮีชอลเข้าใกล้ดงแฮ
“คุณพ่อชอบแครอทเหรอคะ” เสียงเล็กๆร้องถามอย่างอยากรู้
“พ่อไม่ได้ชอบ แต่ว่าแครอทมีประโยชน์ แล้วยังมีอย่างอื่นอีกนะที่พ่อเตรียมไว้ คุณแม่จะได้แข็งแรงไงลูก” น้ำเสียงอ่อนโยนอธิบายให้ลูกสาวตัวน้อยฟังขณะที่อีกมือก็เอื้อมไปหยิบเอาผักอีกชนิดมาหั่นรวมกันไว้ด้วยความตั้งใจ หม้อขนาดเล็กบนเตาแก๊สที่กำลังเดือดขึ้นนั้นเรียกให้ซีวอนต้องเดินไปจับทัพพีขึ้นคนช้าๆแล้ว
“แล้วทำไมต้องเป็นข้าวต้มด้วยคะ ทำไมคุณพ่อไม่ทำอย่างอื่นให้คุณแม่ล่ะ ฮีชอลเห็นคุณพ่อชอบทำแต่ข้าวต้มแบบนี้ตลอดเลย” คำถามมากมายออกมาจากปากเล็กๆของหนูน้อยช่างสงสัย ทำให้คุณพ่อต้องกันมายิ้มให้อีกครั้ง
“ก็คุณแม่ไม่สบายง่าย เช้าๆแบบนี้ข้าวต้มจะดีที่สุดเพราะว่าทานง่าย ย่อยง่าย แล้วก็มีสารอาหารครบถ้วน ที่สำคัญแม่เค้าบอกว่าชอบข้าวต้มที่พ่อทำมากนะรู้มั้ย” ซีวอนพูดอย่างภาคภูมิใจโดยที่ลึกๆกำลังนึกถึงคนรักของตัวเองอยู่ ดงแฮเคยบอกว่าข้าวต้มที่ซีวอนทำให้ทุกครั้งนั้นอร่อยไม่เคยเปลี่ยน
“ต่อไปฉันคงต้องหาโอกาสไม่สบายบ่อยๆแล้วล่ะมั้ง จะได้กินข้าวต้มฝีมือนาย”
ประโยคที่เคยได้ยินผุดขึ้นมาในหัวของเขา แค่อยากฟังมันตลอดไปหรือแค่อีกสักครั้งก็พอ เมื่อไหร่จะได้ยินมันอีก
“เอาล่ะ เป็นอันเสร็จ” หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วร่างสูงก็บรรจงวางถ้วยข้าวต้มร้อนๆลงบนถาดที่พร้อมจะยกขึ้นไปให้คนที่นอนอยู่บนห้อง เห็นอย่างนั้นคนที่กำลังแอบดูอยู่เลยต้องรีบกลับขึ้นไปบนห้องอย่างเดิม ดงแฮยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ความรู้สึกมันไม่แน่ชัดอะไรเลย แค่เรื่องราวลางๆที่เคยมีทำไมมันยากนักที่จะจำได้อย่างเดิม หรือสุดท้ายแล้วคนที่แพ้ก็คือตัวเอง
.. ใช่ ฉันเคยบอกว่าชอบข้าวต้มของนาย
******
รถคันเดิมแล่นไปตามถนนสายยาวที่ตรงไปยังสถานที่นัดหมาย ใบหน้าของเจ้าของรถไม่แสดงอาการใดๆออกมาหลังจากที่บอกให้อีกฝ่ายมาด้วยกันอย่างเดิม ถึงอย่างนั้นคนที่ไม่อยากจะรับปากก็มาด้วยอย่างว่าง่าย ที่ทำไปแบบนี้ก็เพราะ
ว่าต่างคนต่างอยากให้ทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิมเพราะเรื่องที่รู้อยู่แก่ใจ หรือความจริงแล้วทั้งสองต้องการให้ทุกอย่างเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่า ฮันคยองมองข้างทางไปเรื่อยๆด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยชินกับบรรยากาศอันน่าอึดอัดแบบนี้เท่าไหร่
พวกเขากำลังไปพบลูกค้าคนสำคัญที่บ้านพักซึ่งห่างออกไปแถวชานเมือง ที่ต้องไปที่นั่นเพราะได้รับการเชิญว่าอยากให้เป็นการไปเยี่ยมไปในตัว คิบอมลอบมองอีกฝ่ายที่นั่งเหม่อเหมือนกำลังคิดอะไรไปไกลคนเดียวตลอดทาง เขากำลังจะเอ่ยถามด้วยความเคยชินแต่ก็ต้องหยุดเมื่อนึกได้ว่าไม่จะดีกว่า เป็นจังหวะเดียวกับที่ฮันคยองหันหน้ากลับมาพอดี สองสายตาสบกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่กี่วินาทีที่หัวใจของต่างคนต่างเรียกร้องอยากจะขอให้เวลาหยุดลงที่ตรงนี้ รู้สึกไม่อยากจะห่างกันไปไหนมากกว่าเดิมที่เคยเป็น
“คิบอม ระวัง !! ” ฮันคยองร้องบอกเมื่อหันไปเห็นว่ารถกำลังจะพุ่งออกไปนอกทาง มือที่กลับมามีสติรีบหักพวงมาลัยดึงกลับเข้ามาจนรถทั้งคันต้องออกไปอยู่ข้างทางก่อนจะเบรกลงอย่างแรงจนทั้งสองร่างเกือบกระแทกเข้ากับคอนโซลหน้ารถหากว่าไม่ได้ขาดเข็มขัดนิรภัย จังหวะที่ทุกอย่างหยุดลงมีเพียงเสียงหายใจอย่างตื่นตระหนกของฮันคยองที่นั่งนิ่งอยู่กับที่ คิบอมเอื้อมมือไปสัมผัสอีกฝ่ายอย่างเป็นห่วงและตกใจกลัวว่าจะเป็นอะไรไป
“พี่เป็นอะไรมั้ย เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ท่าทางแบบนั้นทำให้ฮันคยองรู้สึกว่าหัวใจมันกำลังพองโตขึ้นมานิดๆ เขาหันกลับมามองหน้าคิบอมด้วยแววตาที่บอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร อีกฝ่ายจึงรู้สึกโล่งใจก่อนจะรีบกลับมาฝืนทำท่าเย็นชาอย่างเดิม ทิ้งให้คนที่ยิ้มอยู่กับตัวเองได้แต่ค้างอยู่อย่างนั้น บรรยากาศเดิมกลับมาเมื่อคิบอม
ออกรถ แต่ฮันคยองกลับรู้สึกต่างไป เขากำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเองว่าทั้งหมดมันคืออะไร ถ้าเจ็บปวดนักแล้วทำไมต้องยอมให้เป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะ ทำไมไม่เลือกเอาสักอย่าง เลือกทางใดสักทางแล้วทำไปอย่างที่ไม่ต้องสนอะไรนอกจากความรู้สึกตัวเอง มาถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องเก่าๆ ก็เพราะทำไปโดยไม่คิด ดงแฮถึงต้องเป็นแบบนี้ แล้วอย่างนี้เขายังจะมีหน้ากล้าทำอะไรตามใจอีกเหรอ
“เหม่ออะไรน่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้โดยที่ยังไม่หันมามองอยู่ดี
“สนใจอะไรด้วย” ฮันคยองถามกลับบ้าง
“เปล่านี่ แค่กลัวว่ายังตกใจไม่หาย เมื่อกี้ขอโทษแล้วกันที่ไม่ระวัง”
“อืม ไม่เป็นไร”
“วันนี้คงกลับเย็นนะ เพราะต้องแวะไปร้านสาขาสองด้วย” คิบอมบอกอีกครั้ง ซึ่งฮันคยองก็รู้ดีอยู่แล้ว ไม่เข้าใจว่าจะบอกอีกทำไม ใบหน้าได้รูปลอบยิ้มกับตัวเองแล้วก็รีบหุบลงเหมือนกับคนบ้า ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดถูกหรือไม่ หรือว่าสุดท้ายแล้วเขาเองก็ต้องกลายเป็นฝ่ายที่วิ่งตาม
.. ก็ได้ ถ้านายต้องการอย่างนั้น ฉันจะลองวิ่งตามความรักครั้งนี้สักครั้งก็แล้วกัน ต่อให้ต้องผิดหวังฉันก็คงไม่เสียใจอย่างเมื่อก่อนหรอกคิบอม
อากาศยามเช้าสดใสมากก็จริง หากแต่จิตใจของคนน่ารักกำลังตีกันปั่น
น่าเบื่ออย่างแท้จริงชีวิต ซองมินคิดอย่างนั้น ซึ่งนี่ไม่ยังนับรวมบางเรื่องที่เลิกคิด
“เฮ้อ .. เป็นอะไรไปซองมิน ใจเย็นๆ” ป่านนี้คนที่กำลังนึกถึงคงนอนหลับสบายบนเตียงนุ่มๆในบ้านหลังใหญ่ตรงข้ามกับบ้านของเขา นึกแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่คนแบบนี้จะเป็นลูกชายบ้านนั้น อยากรู้ว่าคนรวยเป็นกันแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า ชอบสนุกบนความทุกข์คนอื่น
“แต่ก็ไม่นี่นะ คุณฮันคยองยังไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย แต่นี่คนอะไร .. ” บ่นกับตัวเองยังไม่ทันจบเสียงแตรรถที่ดังมาจากด้านหลังก็ทำเอาร่างเล็กต้องสะดุ้งขึ้นด้วยความตกใจก่อนที่รถสปอร์ตสีแดงเปิดประทุนจะมาจอดอยู่ข้างๆ ใบหน้าภายใต้แว่นดำเงยขึ้นทักทายอย่างอารมณ์ดี
“อ้าวคุณเลขา จะไปไหนแต่เช้าล่ะเนี่ย”
“ตายยากจริงๆ” ซองมินบ่นเบาๆแต่คยูฮยอนก็ยังได้ยิน
“ว่าไงนะ ใครที่ไหนตาย”
“เปล่า” ใบหน้าที่กำลังบูดบึ้งตอบปฏิเสธไปก่อนจะรีบเดินไปอย่างเดิมเพราะไม่อยากจะเสวนาด้วยนัก คยูฮยอนขับช้าๆตามมาขณะที่ซองมินก็เดินไปไม่หยุด
“ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไปไหน”
“ไปทำงาน” หันมาบอกอย่างไม่สนใจ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงไม่เลิกตามกันเสียทีจนเขารำคาญมากขึ้น
“ขยันจังนะ”
“ขอบใจ” ร่างเล็กไม่ยอมหยุดเดินเลยแม้แต่นิด ในใจก็นึกหมั่นไส้เมื่อเห็นการแต่งตัวอย่างนั้น โก้มาแบบนี้สงสัยคงจะไปเที่ยวกับแฟนแน่เลย และเมื่อนึกถึงตรงนี้ซองมินก็ชะงักความคิดทั้งหมดลง เขาลืมไปได้ยังไงว่าอีกฝ่ายคงจะมีแฟนแล้ว
.. บ้าจริงๆเลยเรา เป็นบ้าอะไรวะซองมิน
ยิ่งคิดก็หัวเสียไปใหญ่จึงต้องหยุดเดินแล้วหันกลับมาร้องใส่คนที่ยังขับตามมาเรื่อยๆอย่างไม่หมดความพยายาม
“เลิกกวนโมโหซักทีได้มั้ยฮะ จะไปก็ไปสิ ไปช้าเดี๋ยวแฟนนายก็รอแย่หรอก ผู้ชายอะไรแย่จริงๆไม่รู้จักรักษาเวล่ำเวลา” ว่ามาเป็นชุดโดยที่คยูฮยอนได้แต่ขมวดคิ้วอยู่ภายใต้แว่นดำที่สวมอยู่ เขาเหยียบเบรกให้รถหยุดลงข้างซองมินที่หยุดเดินแล้วหันมาต่อว่าเขา
“อะไรของนายน่ะ ดงแฮเค้ายังไม่ได้เป็นแฟนฉันซักหน่อย” ได้ยินอย่างนั้นซองมินก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“ก็หมายถึงแฟนนายน่ะ แฟนนาย ไม่ใช่คุณดงแฮ”
“โอ๊ย ฉันมีที่ไหนกันเล่าตอนนี้” คยูฮยอนร้องบอกกลับมาบ้าง ซึ่งแน่นอนที่คนฟังจะไม่เถียงต่อ ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างรับรู้กับสิ่งที่ได้ยิน ซองมินเงียบไปจนคนมองต้องทักขึ้น
“รู้แล้วก็ขึ้นมาได้แล้ว”
“ฮะ ฉันเนี่ยนะ”
“ใช่ไง ขึ้นมาสิจะไปส่ง รถซ่อมอยู่ยังจะมาเล่นตัวอยู่ได้”
“นายว่าใคร บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่...”
“ก็แล้วใครว่าฉันคิดว่านายเป็นของเล่นกันล่ะ” คยูฮยอนร้องบอกให้กระจ่างแต่มันก็คงไม่ใช่ทั้งหมดที่เขาอยากจะบอกนักหรอก ซองมินอึ้งไปเมื่อได้ยิน เขารู้สึกแปลกๆจนไม่อยากจะเข้าใกล้อีกฝ่ายเลยจริงๆ
“เอ้า ขึ้นมาสิ ยืนทำหน้าน่ารักอยู่นั่นเดี๋ยวก็ไปทำงานสายกันพอดี อีกอย่างฉันก็ต้องรีบไปเหมือนกัน นัดคุณดงแฮไว้ว่าจะไปหา” มาถึงตรงนี้ซองมินก็ได้แต่เบ้ปากอย่างหมั่นไส้อย่างเคย ที่แท้ก็นัดภรรยาชาวบ้านเค้าเอาไว้นี่เอง
“ยังไม่ขึ้นมาอีก จะมาไม่มา” ว่าแล้วคยูฮยอนก็ทำท่าจะเปิดประตูลงไปลากขึ้นมาให้ได้หากยังยืนอยู่อย่างนั้น และแน่นอนที่มันได้ผล คนน่ารักรีบทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะได้ถูกลากขึ้นมาจริงๆ ใบหน้าหล่อเหลาในอุดมคติของสาวๆยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจก่อนที่รถสปอร์ตคันหรูสุดเท่จะวิ่งฉิวไปตามถนนในยามเช้าอันแสนสดใสสำหรับเจ้าของมัน ขณะที่อีกคนกำลังว้าวุ่นใจอะไรบางอย่างไม่จบไม่สิ้น
หลังจากที่กลับเข้ามาในห้องแล้วดงแฮก็รีบขึ้นไปนั่งอยู่บนเตียง ร่างบางนั่งพิงหมอนแล้วเหยียดขาไปตามยาวก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมเอาไว้ ตอนนี้กำลังรอให้ประตูเปิดด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มันรู้สึกไม่มั่นใจกับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ รู้สึกครึ่งๆกลางๆอย่างนี้แล้วจะต้องทำอย่างไร ความทรงจำที่กำลังกลับเข้ามามันทำให้เขาไม่กล้าที่จะเลือก ทางหนึ่งก็เรื่องเลวร้ายที่ยังไม่แจ่มชัด อีกทางก็ความผูกพันที่ยังไม่แน่ใจ
ประตูห้องนอนเปิดออกก่อนที่พ่อกับลูกจะเดินเข้ามากันสองคน ซีวอนประคองถาดที่มีถ้วยข้าวต้มวางอยู่อย่างระวังโดยที่อีกมือก็จูงมือฮีชอลเข้ามาด้วย ดงแฮเห็นอย่างนั้นก็รีบทำสีหน้าให้ปกติ สองสายตาสบกันเมื่อพบหน้าพร้อมกับเรื่องเมื่อคืนที่คนผิดไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง ซีวอนเป็นฝ่ายหลบตาก่อนที่จะวางถาดลงไปบนโต๊ะข้างเตียงที่ดงแฮนั่งอยู่ ร่างสูงนั่งลงบนขอบเตียงโดยที่อุ้มลูกสาวตัวน้อยเอา
“อาบน้ำแล้วเหรอ” ซีวอนถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในชุดเสื้อยืดอยู่บ้านธรรมดา ไม่ใช่ชุดเมื่อวานที่ยังไม่ได้เปลี่ยน ดงแฮแค่พยักหน้ากลับมาให้โดยไม่ได้พูดอะไร ท่าทางเงียบๆอย่างนั้นคนมองยิ่งรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายหายโกรธกับเรื่องเมื่อคืน
“เมื่อคืนฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ว่าแล้วสองแขนที่กอดฮีชอลเอาไว้ก็เอื้อมเข้ามาหาดงแฮอย่างไม่ให้ตั้งตัว ใบหน้าของคนที่พยายามเฉยเมยต้องเกิดอาการประหม่าขึ้นมาเมื่อมือของอีกฝ่ายสัมผัสเข้าที่หน้าผากตัวเอง ช่วงเวลาที่ร่างของซีวอนอยู่ใกล้มากขนาดนี้พาให้ฮีชอลมาใกล้กันมากขึ้นไปด้วย ทั้งสามรู้สึกราวกับว่าตลอดเวลาที่ยังคงมีกันมันไม่ได้หายไปไหนเลย ความอบอุ่นในช่วงเวลาสั้นๆของเช้านี้ทำให้ดงแฮรู้สึกต่างไปจากทุกทีที่เป็นอยู่
“ตัวไม่ร้อนมากนะ แต่พักเยอะๆหน่อยล่ะ เธอยิ่ง..”
“พอเหอะ นายไม่ต้องห่วงฉันขนาดนั้นก็ได้”
“..ขอโทษ”
“จะขอโทษทำไมเรื่องแค่นี้ ฉันก็ขอโทษนะที่เมื่อวานตอนอยู่ที่งานเลี้ยงทำไม่ดีลงไป ทั้งที่นายทำไปก็เพราะปกป้องฉัน” ราวกับว่าทุกอย่างคือความฝันทั้งที่มันกำลังเกิดขึ้นจริง ซีวอนอึ้งไปกับท่าทางของดงแฮแบบที่เขาไม่เคยได้รับตั้งแต่อีกฝ่ายบอกว่าเกลียดกันมาก บรรยากาศที่เงียบไปเป็นระยะทำให้หนูน้อยที่อยู่บนตักของซีวอนเริ่มสงสัยว่าผู้ใหญ่พูดอะไรกันอยู่ มือเล็กยกขึ้นดึงเสื้อคนเป็นพ่อเอาไว้เป็นเชิงบอกว่าตัวเองยังอยู่ตรงนี้
“หืม อะไรล่ะลูก” ใบหน้าคมก้มลงไปหาคนในอ้อมกอด ขณะที่อีกคนได้แต่มองดูอยู่อย่างนั้น ดงแฮจำไม่ได้เลยก็จริงแต่ก็ยังรู้สึกอะไรอยู่ลึกๆ บางอย่างมันเป็นเพียงแค่บางส่วนของภาพความทรงจำเท่านั้นที่ผ่านเข้ามา แล้วซีวอนก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองทำข้าวต้มมาด้วยเลยเงยหน้าบอกดงแฮ
“อ้อ ลืมไปเลย ฉันทำข้าวต้มมาให้เธอด้วยนะ รีบกินเถอะเดี๋ยวจะเย็นก่อน” ร่างสูงที่กำลังจะลุกขึ้นนั้นออกแรงอุ้มร่างเล็กบนตักให้ยืนขึ้นตาม แต่ไม่ทันจะได้ยืนขึ้นเต็มตัวดงแฮก็เอื้อมมือออกมาฮีชอลทำให้ซีวอนต้องแปลกใจอย่างมาก
“ฉันช่วย” บอกเพียงสั้นๆก่อนจะขยับเข้ามารับเอาร่างของหนูน้อยไปจาก
ซีวอน ฮีชอลถูกดงแฮอุ้มเอาไว้บนตัก ใบหน้าน่ารักของเด็กน้อยยิ้มกว้างพลางกอดคนเป็นแม่เอาไว้ ดงแฮทำหน้าไม่ถูกเลยแต่มองหน้าซีวอนที่กำลังยืนมองพวกเขาอยู่เช่นกัน
“จะมองอีกนานมั้ย ฉันหิว” เสียงสั่งดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงจะได้สติเลยรีบไปยกเอาถาดข้าวต้มมาให้ กลิ่นหอมโชยมาจนดงแฮรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
“ทำเองเหรอ”
“อืม ไม่ค่อยจะได้เรื่องแต่..”
“แต่อะไร” ดงแฮขมวดคิ้วสงสัย แต่ซีวอนก็ส่ายหน้าว่าไม่มีอะไรทั้งที่เขาอยากจะบอกเหลือเกินว่าแต่ก่อนนั้นอีกฝ่ายบอกว่าชอบมันแค่ไหน มือบางที่อุ้มเอาเด็กน้อยไว้นั้นไม่สามารถเอื้อมมาตักทานได้ซีวอนเลยอาสาจะป้อนแทน
“จะบ้ารึไง ฉันกินเองได้”
“แล้วลูกล่ะ” ถึงตรงนี้ความอึดอัดก็เกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างพวกเขา ดงแฮก้มมองร่างเล็กของเด็กน้อยที่ส่งยิ้มมาให้แล้วก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เขาลำบากใจแต่จะทำยังไงได้ในเมื่อตอนนี้มันคงใจร้ายไม่ลง เขาตกลงให้ซีวอนป้อนอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ทุกอย่างที่กำลังดำเนินไปดงแฮก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร คนหลอกลวงที่บอกว่ารักกันหมดหัวใจกำลังทำดีด้วยเพราะอะไร จะเชื่อได้แค่ไหนในเมื่อความจริงยังไม่เคยหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิด
“ไม่ได้เป็นไข้แล้วยังหมดเกลี้ยงแบบนี้ น่าดีใจจริงๆ” ซีวอนว่าหลังจากที่เอาถาดวางกลับที่เดิม
“ต้องเป็นไข้ด้วยเหรอถึงจะกินได้”
“ก็ส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบนั้น”
“งั้นคงต้องหาโอกาสเป็นไข้บ่อยๆแล้วล่ะมั้ง จะได้กินข้าวต้มฝีมือนาย”
.. สำหรับซีวอนแล้ว หากว่าการได้ทุกอย่างกลับมามันเป็นเรื่องที่ยากนักหนา เขาก็คงจะพอใจแล้วกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ ประโยคธรรมดาที่อีกฝ่ายพูดออกมามันกลับไม่ธรรมดาเลยสำหรับคนที่เฝ้ารอมาตลอด
เสียงหายใจของเด็กน้อยในอ้อมกอดดงแฮนั้นดังขึ้นให้รู้ว่ากำลังจะผลอยหลับไปโดยทิ้งให้คนสำคัญสองคนอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ดวงตาทั้งสองคู่จ้องกันและกันไปเงียบๆบนเตียงในห้องนอนของยามเช้าที่แสงแดดอ่อนๆสาดส่องเข้ามาดึงเอาความรู้สึกบางอย่างมาแทนที่ความเจ็บปวดในใจที่มีมานาน
รถสปอร์ตคันสีแดงน่าแปลกตาจอดเทียบลงที่หน้ารั้วเรียกให้ลุงซางฮยอนที่กำลังเช็ดรถอยู่ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านต้องเดินออกมาดู ใบหน้าของชายหนุ่มกับท่าทางที่ไม่คุ้นตาทำเขาต้องถามว่ามาพบใครแต่อีกฝ่ายก็บอกเพียงแค่ว่าเคยมาที่นี่แล้ว
“เพื่อนคุณซีวอนเหรอครับ”
“โหย อะไรกันลุง ผมเคยมาที่นี่ตั้งหนึ่งครั้งทำเป็นจำกันไม่ได้นะ” คยูฮยอนว่าไปตามประสาของคนอารมณ์ดี ขณะที่เดินเข้ามาภายในบ้านท่ามกลางสายตาของชายวัยกลางคนที่ได้แต่ขมวดคิ้วสงสัยแต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร ท่าทางดูดีแบบนี้คงเป็นเพื่อนกันจริงๆนั่นแหละ ร่างสูงของคยูฮยอนเดินเข้ามาในห้องรับแขกที่ไม่มีใคร เขานั่งลงที่เก้าอี้โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาเชิญ ไม่นานสาวใช้ที่มาเห็นเข้าก็ต้องรีบเอาน้ำมาเสิร์ฟในฐานะแขกของเจ้านายตัวเองก่อนที่จะขึ้นไปตามคนที่แขกกำลังรอพบ
ฮีชอลหลับไปแล้วบนตักของดงแฮ คำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจที่กำลังอ่อนแอแต่เขาก็เก็บมันเอาไว้อย่างมิดชิดไม่ให้คนตรงหน้าได้รับรู้ อยากจะถามถึงเรื่องที่ผ่านมาแค่ไหนใจมันก็ไม่กล้าเสียที บางทีเขาอาจแค่กำลังรอ รอให้ทุกอย่างมันกระจ่างชัดแล้วจะได้ไม่ต้องมาสับสนอยู่อย่างนี้ ส่วนคนที่ดีใจไปไกลก็ทำได้เพียงแค่มองร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าตัวเองด้วยความรู้สึกมีความหวัง แม้จะน้อยนิดแต่มันกลับเป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องมาในยามที่มืดจนมองอะไรไม่เห็น
สิ่งที่ยากจะคาดเดาคือสิ่งที่แสนเปราะบางเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆจนยากที่จะต่อกลับ
ฮันคยองเคยบอกซีวอนไว้ว่าเมื่อไหร่ที่ดวงแก้วที่เขาเฝ้าถนอมมานานมันได้แตกออก ก็จะไม่เหลือแม้เพียงผุยผงให้เขาได้ต่อกลับเลยตลอดไป ประโยคเหล่านี้มันฝังลึกลงไปในหัวใจจนเขาไม่มีวันลืม ไม่มีวันลืมว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเหมือน
เดิมหรือไม่นั้นมันก็คงไม่ได้หมายความว่าบทลงทัณฑ์ของเขาในครั้งนี้จะจบลง ไม่ได้หมายความว่าจะได้การอภัยกลับมา ..
ราวกับบทเพลงความรักอันหมองเศร้ากำลังบรรเลงผ่านสายตาทั้งสองคู่ ใกล้กันจนสัมผัสได้จริง แล้วทำไมยิ่งใกล้ก็เหมือนยิ่งไกลออกไป เหตุผลที่ค้นหามานานไม่เคยได้ถูกพบเสียที .. ทรมานราวจะขาดใจไม่ต่างกัน
ช่วงเวลาที่ดีเพียงน้อยนิดกำลังจะหมดไปเมื่อเสียงเดินอย่างเร่งรีบด้านนอกห้องนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆตามที่หูของคนทั้งสองได้ยิน แม้ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรแต่ความรู้สึกมันกำลังบอกว่าวินาทีที่มีตอนนี้กำลังจะหายไปโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มันกลับคืนมาอีก
“คุณหนูคะ มีแขกมาขอพบค่ะ” เสียงร้องที่หน้าประตูห้องฉุดให้บทเพลงในใจหายไปในพริบตา ซีวอนมองหน้าดงแฮอีกครั้งอย่างรู้กันดี ใบหน้าคมฉายแววไม่พอใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ดงแฮก้มมองร่างเล็กที่ยังคงหลับอยู่ก่อนที่จู่ๆคนตรงหน้าก็ยื่นมือมาอุ้มลูกสาวตัวน้อยออกไปจากอ้อมกอดของเขา
“อยากไปก็ไป ฉันไม่คิดจะห้ามอยู่แล้ว” ฝืนใจแค่ไหนแต่ก็ต้องพูดไป แววตาที่บ่งบอกว่ากำลังเสียใจทำให้คนมองรู้สึกเจ็บลงไปที่ใจ ร่างสูงที่อุ้มอีกคนเอาไว้หันหลังเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่ถามอะไรเขาซักคำ เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันในยามที่อีกฝ่ายจากไปอย่างนี้ อยากจะพูดอยากจะอธิบายแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อคนที่หักหลังยังไม่จริงใจพอจะพูดอะไรแล้วทำไมเขาจะต้องถามให้แน่ใจ แค่นี้ก็คงมากพอแล้ว คงไม่ต้องรอให้ใครมาบอกอะไรอีก
“ดีแล้วดงแฮ จะไปสนใจทำไมกัน”
.. เจ็บบ้างก็ดีไม่ใช่เหรอ ทำอะไรเอาไว้ก็สมควรจะได้รับแล้วนี่ ร้องไห้เสียบ้างคงไม่ตายหรอก
ถึงอย่างนั้น แล้วทำไมดวงตาของคนที่แค้นใจมันถึงได้กำลังมีน้ำตาออกมาเสียเอง
ไม่นานนักการเดินทางในระยะทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักก็ถึงที่หมายเสียที บ้านหลังใหญ่ที่ตกแต่งราวกับอยู่ในยุคคลาสสิคบวกกับเครือไม้ดอกพันธุ์หายากที่คดเกี่ยวไปตามรั้วนั้น สร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก สองร่างที่ลงมาจากรถยืนมองเข้าไปอย่างทึ่งในความสวยงามน่าอยู่ของมันนัก
“คุณยองเจเค้าคงจะรสนิยมดีมากเลยนะ” ฮันคยองว่าอย่างชื่นชมจากใจจริง ขณะที่ขยับเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม มือบางเอื้อมไปเชยกลีบดอกไม้สีส้มที่โผล่ออกมานอกรั้วแล้วก้มมองดูอย่างที่ไม่รู้จักมาก่อน แววตาของคนที่กำลังมองอยู่ด้านหลังเปลี่ยนจากเย็นชามาเป็นอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัว อยากให้อีกฝ่ายรู้เหลือเกินว่าโลกทั้งใบของเขานั้นมันคงจะไม่สดใสหากว่าปราศจากรอยยิ้มแบบนั้นที่เคยได้มาเพียงชั่วคราว
.. น่าสมเพช อิจฉาแม้กระทั่งดอกไม้
ไม่นานนักร่างสูงใหญ่ของเจ้าของบ้านก็รีบกระวีกระวาดออกมาต้อนรับแขกที่ยืนรออยู่ด้านนอก
“ขอโทษนะครับที่ให้รอ ไม่นึกว่าพวกคุณจะมาเร็วขนาดนี้”
“ไม่ถึงกับรอหรอกครับคุณลียองเจ” คิบอมโค้งให้อย่างมีมารยาทก่อนที่ฮันคยองจะทำเช่นเดียวกัน จากที่เคยได้แต่ติดต่อกันทางโทรศัพท์และผ่านเลขาของแต่ละฝ่าย สุดท้ายเขาทั้งสองก็ได้เจอตัวจริงของหนุ่มใหญ่นักธุรกิจเจ้าของกิจการมากมายอันเป็นที่รู้จักเสียที ภาพตรงหน้าที่เห็นนั้นต่างไปจากที่วาดเอาไว้มาก ตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์มันช่างแตกต่างจากตัวจริงเหลือเกิน การแต่งตัวสบายๆแต่สุภาพและท่าทางที่ดูเป็นมิตรนั้นราวกับว่าไม่ใช่คนที่พวกเขารู้จัก ใบหน้าหล่อคมสมกับเป็นชายโสดที่สาวๆหมายปองยิ้มกว้างทันทีที่เจอหน้ากัน
“ดูเหมือนพวกคุณจะกำลังแปลกใจนะครับ” เขาถามขณะที่นำแขกทั้งสองเข้าไปในห้องรับแขก และแน่นอนที่ห้องนี้ก็ไม่ได้น่าสนใจน้อยไปกว่าตัวบ้านด้านนอกเลย สไตล์ที่นำเอาธรรมชาติและบรรยากาศย้อนยุคไม่มากไม่น้อยมาหลอมรวมให้เป็นความลงตัวช่างน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว คิบอมและฮันคยองนั่งลงบนเบาะที่เก้าอี้หวายชั้นดีตรงข้ามกับเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่อีกฝั่ง น้ำผลไม้และชาโบราณสองชุดถูกวางลงตรงหน้าของพวกเขาทั้งสองโดยแม่บ้านที่เพิ่งจะเดินออกไปเมื่อหมดหน้าที่
“เป็นเกียรติมากนะครับที่เราจะได้เป็นมิตรกันทางธุรกิจเสียที” คิมยองเจกล่าวหลังจากที่เขาก็รู้จักชื่อเสียงด้านเครื่องเพชรทั้งในและนอกประเทศของพวกฮันคยองมานาน
“เราต่างหากที่เป็นเกียรติ หวังว่าคุณคงจะให้ความกรุณานะครับ” ฮันคยองเป็นฝ่ายพูดบ้างก่อนที่คิบอมจะกล่าวเรื่องงานต่อไป แผนการมาเป็นคู่ค้าของลูกค้าคนสำคัญนั้นถูกอธิบายออกไปและต่างฝ่ายต่างก็เห็นดีในแต่ละด้านมากขึ้น สายลมเอื่อยๆด้านนอกที่พัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ในสวนเข้ามานั้นยิ่งชวนให้จิตใจของทั้งสามคนผ่อนคลายมากขึ้นระหว่างที่เจรจาธุรกิจกัน นับว่าเป็นครั้งแรกของการเจรจาอันแสนเป็นกันเองที่คิบอมและฮันคยองเพิ่งจะเคยได้เจอ
เวลาผ่านไปครึ่งวันในห้องรับแขก ไม่นานนักก็ถึงเวลาที่บทสนทนาต่างๆต้องจบลงอย่างที่คาดเอาไว้ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีและราบรื่นมากกว่าที่คิด จะมีก็เพียงอย่างเดียวที่คิบอมได้แต่คิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกไปเพราะคงเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง และแน่นอนที่มันคงไม่พ้น ..
“ดูคุณฮันคยองจะชอบดอกไม้ที่นี่มากเลยนะครับ”
“ครับ ผมว่ามันสวยดี แล้วก็ดูจะมีราคามากด้วยสินะครับ” ฮันคยองว่าด้วยท่าทางสนอกสนใจจนเจ้าของบ้านต้องปลื้มจนออกนอกหน้า
“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ส่วนใหญ่ก็ดอกไม้ประเทศเรานี่แหละ ที่อาจจะแพงบ้างก็เฉพาะที่หายาก แต่คุณค่าของมันผมว่าไม่ได้แบ่งแยกกันที่ตรงนั้นหรอก” เสียงทุ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นจังหวะขณะที่คนตรงหน้าก็กำลังตั้งใจฟังอย่างเห็นด้วย คิบอมลอบมองคนข้างกายที่ดูจะสนใจเกินเหตุและอีกคนที่ดูจะสนใจอะไรบางอย่างมากกว่าเรื่องที่คุยกันอยู่ ทั้งสองคุยกันเรื่องที่เขาไม่ได้สนใจด้วยเลยสักนิด แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นมันอยู่ที่สายตาแปลกๆของหนุ่มใหญ่คนนี้ต่างหาก
“ถ้าคุณฮันคยองสนใจเรื่องพวกนี้ยังไงก็บอกผมได้นะครับ ยินดีแนะนำและให้คำปรึกษา”
“คงไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แค่นี้ก็พอใจแล้ว ว่าแต่น่าแปลกนะครับ ไม่นึกว่าคุณเองจะสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย นึกว่าจะทำแต่งานเสียอีก”
“ฮะฮะ เหมือนจะว่ามากกว่าชมนะครับ”
“งั้นเหรอ ผมก็แค่ล้อเล่น” เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นระหว่างกันนั้นทำราวกับว่าอยู่กันเพียงแค่สองคนในห้อง ใบหน้าที่พยายามปั้นให้ดูเป็นปกตินั้นหันมองไปทั่วห้องอย่างสนใจทั้งที่ความจริงแล้วแค่แกล้งทำไปเพราะไม่อยากกลายเป็นอากาศธาตุมากกว่า
“ถ้าไม่รีบก็ออกไปชมในสวนได้นะครับ ผมจัดไว้อย่างดีเพื่อรออวดคุณเลยนะ” เสียงที่พูดนั้นเข้าหูของคิบอมที่ทำเหมือนไม่สนใจ เขากำลังคิดในใจว่าประโยคนี้มันอะไรกัน มากไปหน่อยแล้วรึเปล่า แต่ที่ขัดใจไปมากกว่านั้นคือท่าทีของคนข้างกายที่ดูเหมือนจะพอใจเหลือเกิน แล้วยองเจก็เดินนำฮันคยองออกไปที่สวนจริงๆ
คิบอมเดินตามออกไปด้วยตามคำเชิญ ร่างสูงได้เพียงแต่ยืนห่างๆอยู่ทางด้านหลังของคนทั้งสองที่พูดคุยกันท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้สีสวยที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งสวน เขาดีใจที่ฮันคยองดูมีความสุขกับเรื่องอื่นได้บ้างหลังจากที่อีกฝ่ายไม่ได้ยิ้มมาเสียนาน แต่มันก็เสียใจเป็นเท่าตัวเมื่อรอยยิ้มนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตัวเขาเอง คิบอมคิดไปไกลขนาดที่ว่าฮันคยองอาจมีใครคนใหม่ที่ดีเข้ามาสร้างรอยยิ้มให้กับชีวิตที่เจอแต่เรื่องหมองเศร้า แล้วเขาล่ะ คงกลายเป็นแค่เรื่องหมองเศร้าที่อีกฝ่ายไม่อยากจะเจองั้นสิ
ความคิดทั้งหมดไปไหนได้ไม่ไกลเมื่อท่าทางใกล้ชิดกันของสองคนนั้นมากไปจนดูจะเกินเลย ฮันคยองแอบมีท่าทีหวั่นๆที่มือใหญ่ของอีกคนเริ่มเอื้อมมาโอบเอวเขาเอาไว้แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรไปในแง่ร้าย ซึ่งแน่นอนที่มันคงไม่มีทางร้ายไปได้มากกว่านั้นเมื่อจู่ๆคิบอมก็ถลาเข้ามาดึงเอาร่างของฮันคยองออกมา วินาทีนั้นเองที่ยองเจเงยหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ แต่คิบอมก็ไม่ปล่อยให้ทุกอย่างแย่ลง เขายิ้มกว้างตามแบบฉบับที่มีก่อนจะเอ่ยขอตัวสำหรับบ่ายวันนี้
“ต้องขอโทษอย่างมากนะครับ บังเอิญว่าลูกน้องโทรมาเรื่องงานด่วน” ยองเจตั้งตัวไม่ทันกับท่าทีของคนตรงหน้าจึงรีบตอบรับหลังจากที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
“เอ่อ ครับ เป็นเกียรติมากที่เราได้ร่วมงานกัน” มือของทั้งสองเอื้อมมาจับกันเอาไว้โดยมีฮันคยองยืนมองอยู่ เหตุการณ์ที่เขาตั้งตัวไม่ทันนั้นผ่านไปแล้วเมื่อ
“นายเสียมารยาทนะคิบอม พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย” ฮันคยองหันมาต่อว่าคนขับที่ยังคงทำไม่รู้ไม่ชี้ไปตลอดทาง
“ไม่เห็นจะต้องพูดเลย ผมพูดไปแล้วไง”
“แต่เราสองคนมาในฐานะผู้บริหารแล้วเค้าเองก็กำลังพูดคุยกับพี่อยู่ด้วย .. ว่าแต่ นายมีธุระอะไร งานด่วนอะไร” ฮันคยองถามขึ้นเมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายบอกมีงานด่วนที่เขาไม่เข้าใจว่างานอะไรในเมื่อวันนี้ก็ต้องไปร้านสาขากันอีก นี่จะหมดวันแล้วด้วยเขาเลยไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ก็ .. งานด่วน ซองมินโทรมาบอกว่าเคลียร์งานอยู่ที่บริษัทหลังจากเราออกมา ผมเลยรีบกลับเผื่อว่าเค้ามีปัญหาจะได้โทรมาปรึกษาได้” ใบหน้าที่เก็บพิรุธนั้นแนบเนียนมาก แต่ที่พูดออกมามันช่างขัดกับความฉลาดที่คิบอมมีเสียเหลือเกิน ฮันคยองฟังเรื่องแก้ตัวที่ไม่มีเหตุผลนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ และเขาเองก็ไม่เชื่อเสียด้วย
“หึ จะโกหกก็หัดแต่งเรื่องที่ดีกว่านี้หน่อยนะ”
“ไม่ได้โกหก จะโกหกให้มันได้อะไร ไม่ได้อยากไปขัดจังหวะคนกำลังมีความสุขนักหรอกนะ” คิบอมยังคงปฏิเสธทั้งที่เริ่มจะมีอารมณ์ออกมาโดยไม่รู้ตัว เหมือนกับที่ไม่รู้เลยว่าคนข้างกายกำลังแอบคิดอะไร ฮันคยองอดจะอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้จริงๆ แล้วเขาก็ทำลายความเงียบลงด้วยการถามอะไรตรงๆที่คิบอมคงจะตอบไม่ออกอย่างแน่นอน
“อย่าบอกนะว่านายหึง” เป็นไปตามคาด คนที่เอาแต่เงียบเริ่มแสดงออกทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด คิบอมไม่กล้ากันมาสบตาของอีกคนที่ตั้งใจจ้องเขาอย่างจับผิด
“พูดอะไรน่ะ อย่าเข้าใจผิดเลย”
“เข้าใจผิด”
“ใช่ ผมน่ะนะหึง ผมไม่ได้คิดอะไรแล้ว ทำไปก็แค่สงสารพี่เท่านั้นแหละ”
“............”
“เจอแต่คนแบบนี้ เดี๋ยวก็ถูกเค้าหลอกเอาอีกหรอก” พูดจบแล้วคิบอมก็เงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่รอยยิ้มของคนฟังนั้นเริ่มจะจางหายไปจากใบหน้า ฮันคยองอึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยินก่อนจะรีบหันกลับมาอย่างเดิม
.. นั่นสินะ ฉันมันไม่เจียมตัวจริงๆด้วย
น้ำตาที่เริ่มจะปริ่มออกมาถูกเจ้าของมันสะกดเอาไว้ไม่ให้ไหลในตอนนี้ ใบหน้าได้รูปหันมองออกไปข้างทางที่รถวิ่งผ่าน อาการซึมไปอย่างนั้นทำให้คิบอมแอบลอบมองอยู่เงียบๆ เขารู้ตัวว่าคงจะพูดแรงไปก็เมื่อสายไปแล้ว หัวใจที่เคยแคร์อีกฝ่ายมาตลอดจนตอนนี้ก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้เพียงวินาทีเดียว คิบอมทอดสาย
.. เมื่อไหร่ล่ะ ผมจะหลุดพ้นจากความรักที่มีต่อพี่เสียที
ไอศกรีมสีสดในถ้วยทรงใสขนาดกลางพร่องหายไปเพียงครึ่งหลังจากที่เจ้าของถ้วยเพิ่งจะวางช้อนลงทำให้คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะจะอดแปลกใจไม่ได้ คยูฮยอนหยุดลิ้มรสไอศกรีมแสนหวานที่ตัวเองชอบแล้วเอ่ยถามคนตรงหน้าที่กำลังเหม่อมองออกไปด้านนอกผ่านกระจกบานใหญ่ด้านในร้านซึ่งอยู่ในตึกสูงของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
“ไม่อร่อยเหรอครับ คิดว่าดงแฮชอบเสียอีก”
“เอ่อ ไม่ใช่หรอกคยูฮยอน คือว่าฉันอิ่มแล้วน่ะนะ” ดงแฮหันมาตอบอย่างลำบากใจทั้งที่ความจริงแล้วตัวเองไม่มีอารมณ์อยากจะกินมันมากกว่า คยูฮยอนแอบสังเกตท่าทางแปลกๆของคนตรงหน้าตั้งนานแล้วหลังจากที่มาเดินซื้อของกันไปร่วมหลายชั่วโมง ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ได้ซื้ออะไรหรอกนอกจากคุยกันไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ทีและน่าแปลกที่ดงแฮไม่ได้รีบกลับอย่างที่ควรจะเป็น จะว่าสนุกก็เห็นจะไม่น่าใช่เพราะเดี๋ยวก็เงียบเดี๋ยวก็ดูร่าเริงทำให้เขาไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก
สีหน้าที่มีคำถามขอคยูฮยอนทำให้ดงแฮเริ่มจะเข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกมองอย่างจับผิด เป็นจังหวะเดียวกันกับที่สายตาทั้งคู่เหลือบไปเห็นบางอย่างตรงทางเข้าร้านด้านนอก ดงแฮไม่ได้สนใจอะไรก่อนจะรีบดึงเอากระดาษเช็ดปากในกล่องออกมาแล้วยื่นไปเช็ดคราบไอศกรีมที่ปากของคยูฮยอน การกระทำอย่างนี้เล่นเอาหัวใจของอีกคนเต้นไม่เป็นจังหวะ ยิ่งรอยยิ้มของดงแฮที่ใกล้เข้ามานั้นมันน่ารักจนเขาอยากจะละลายให้ได้เลยทีเดียว
“ดูสิ กินไม่ระวังเลยนะ” เสียงหวานพูดอย่างใส่ใจจนคยูฮยอนคิดเข้าข้างตัวเองไปไกล หารู้ไม่ว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะดงแฮแกล้งทำต่างหาก และที่แกล้งก็ไม่ใช่เพราะจงใจจะให้คยูฮยอนเข้าใจผิด แค่มันบังเอิญตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วที่เขาแอบรู้ตัวว่ากำลังถูกใครเดินตามอยู่ตลอดและใครคนนั้นก็ยังไม่ได้หายไปอย่างที่กำลังคิด .. ได้รับสิ่งที่ทำเอาไว้บ้าง รู้สึกยังไงก็คงไม่ต่างจากฉันตอนนั้นหรอกนะ
สิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้นในใจของดงแฮนั้นไม่รู้จะว่าเรียกว่าความแค้นได้หรือไม่ในเมื่อที่ทำไปใช่ว่าตัวเองจะสะใจอยู่คนเดียวกับการที่ได้เอาคืน หรือเพราะความจำเสื่อมมันถึงได้รู้สึกว่าอะไรหลายอย่างมันค้างคาอยู่ในใจ
ร่างสูงในชุดลำลองทั่วไปที่สวมหมวกมิดชิดกำลังยืนอยู่นอกร้านแล้วมอง
.. ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆซีวอน นายมันไม่เอาไหน ดงแฮรู้สึกยังไงวันนี้นายก็คงจะรู้ซึ้งแล้วสิ ที่ผ่านมาหากจะโทษก็ต้องโทษซีวอนคนนี้ที่มันไม่ดี
ร่างสูงขยับกายหลบไปตามผนังที่กั้นเอาไว้เพราะไม่อยากจะเห็นภาพในร้านระหว่างดงแฮกับคยูฮยอนไปมากกว่านี้ ปีกหมวกที่ปิดลงมาเกือบถึงดวงตานั้นซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น ช่วงเวลาที่ดีแบบนี้เขาเองก็เคยมีและมันก็มากกว่าคยูฮยอนเสียด้วยซ้ำ แล้วยังไง สุดท้ายก็รักษาไว้ไม่ได้ เหตุการณ์ในสมัยก่อนหวนเข้ามาให้นึกถึง
สนามบาสในมหาวิทยาลัยที่เคยร่ำเรียนและผูกพันมานานกลับเข้ามาเป็นฉากหลังของความทรงจำขณะที่ตัวเองและเพื่อนในทีมกำลังวาดลวดลายแข่งขันกับอีกทีมท่ามกลางคนดูมากมายที่ลุ้นกันจนตัวโก่ง แต่ในเวลานั้นไม่ว่าคนจะมากมายแค่ไหนในสมองของซีวอนกลับนึกถึงเพียงคนๆเดียวที่ยืนให้กำลังใจเขาอยู่ข้างสนาม ใบหน้าของดงแฮที่เคยยิ้มแย้มเริ่มจะฉายแววเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าทีมที่ตัวเองเชียร์อยู่นั้นกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ทว่าสำหรับคนที่ถูกเป็นห่วงกลับไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแม้แต่นิด เพื่อนอย่างคิบอมที่เป็นเสมือนคู่แข่งในเรื่องความรักกำลังแย่งทำแต้มทิ้งห่างทีมของซีวอนไปเรื่อยๆ ขณะที่ปะทะกันอยู่นั้นจู่ๆซีวอนก็เสียหลักล้มลงไปเมื่อหมดเวลาแข่งขันพร้อมกับแต้มสุดท้ายที่คิบอมเป็นฝ่ายทำได้ทันเวลา เสียงปรบมือจากผู้ชมดังขึ้นทันทีเมื่อหมดเวลาการแข่งขัน ทีมที่ได้ชัยชนะไปอย่างทิ้งห่างกำลังยืนรับคำชมอย่างสง่างามในขณะที่ทีมที่เป็นฝ่ายแพ้ก็มีน้ำใจเป็นนักกีฬาพอที่จะเข้ามาจับมือกับทีมตรงข้าม คิบอมยิ้มดีใจที่ตัวเองทำได้ก่อนจะหันหน้าไปหาคนที่เขาหวังจะให้เห็น ร่างบางที่ไม่ได้เป็นดั่งที่คิบอมคาดกลับวิ่งตรงเข้าไปนั่งลงข้างคนที่
“เป็นไรมากรึเปล่า เจ็บตรงไหนมั้ย เช็ดเหงื่อแล้วค่อยกินน้ำนะ” ใบหน้าของคนน่ารักแสดงออกถึงความห่วงใยจนซีวอนไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่แย่เลย เขาไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกว่าแพ้อย่างที่กำลังเป็น มือหนาเอื้อมไปกุมมือของดงแฮที่กำลังซับเหงื่อให้ตัวเองเอาไว้
“แค่นี้เอง .. เห็นหน้านายฉันก็ไม่เหนื่อยแล้ว”
คนที่ผิดหวังกลับเป็นคนที่ชนะในเกมก่อนหน้านี้ แต่ผู้ชนะที่แท้จริงยังไงเสียก็เป็น
.. เธอเลือกฉันมาแต่แรก แต่แรกแล้วจริงๆดงแฮ
ผ่านไปไม่กี่นาทีดงแฮก็ลอบมองออกไปนอกร้านตรงที่ซีวอนกำลังยืนอยู่แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ใบหน้าหวานกำลังยิ้มให้คยูฮยอนและแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอีกแบบเมื่อรู้ว่าคนที่แอบตามมานั้นได้หายไปแล้ว
.. หึ ไปซะได้ก็ดี เจ็บแล้วเป็นยังไงรู้ไว้ซะบ้างก็ดี
ต่อจากนั้นท่าทีอย่างเดิมของดงแฮก็กลับมา คยูฮยอนมองคนตรงหน้าที่ไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่นิดทั้งที่เม็ดฝนด้านนอกที่กำลังตกลงมาทั่วทั้งเมืองมันไม่ได้น่าสนใจอะไรเลยเมื่อเทียบกับเขา คยูฮยอนคิดอย่างนั้น แต่จะรู้อะไรไหมเมื่อยามที่ตัวเองต้องยกข้อมือขึ้นมาเพื่อดูเวลา ยามนั้นในใจกำลังคิดถึงใคร ใช่คนตรงหน้าที่ไม่ได้สนใจตัวเองอยู่แบบนี้น่ะเหรอ
เวลาผ่านไปจวนจะเย็นมากแล้วท่ามกลางบรรยากาศอันน่าผิดคาดที่โต๊ะหนึ่งในร้านไอศกรีม คนหนึ่งกำลังร้อนใจที่เวลามันเริ่มจะนานเกินไปกับอะไรบางอย่างที่ต้องทำ ส่วนอีกคนนั้นหัวใจกำลังลอยออกไปกับสายฝนพรำด้านนอกที่ไหลลงมาตามกระจกใสข้างกาย เมื่อยามที่ได้จดจ้องความเงียบเหงาหมองหม่นในสายฝนที่โหมกระหน่ำ เมื่อนั้น .. ราวกับความเจ็บปวดที่เคยมีกลับเข้ามาซึมลึกลงไปกว่าเดิม .. ดงแฮหันกลับมาทันทีเมื่ออาการปวดหัวกำลังกำเริบพร้อมกับเจอใบหน้าร้อนใจของคยูฮยอน
“เป็นอะไรไปน่ะคยูฮยอน” ดงแฮถามเพราะกลัวว่าตัวเองจะทำอะไรไม่ดีให้อีกฝ่ายต้องอึดอัด
“เอ่อ คือ..”
“อะไรเหรอ”
“คือ ผมรบกวนคุณรึเปล่าครับ นี่ก็เย็นแล้วด้วยแถมฝนไม่หยุดตกอีก เรากลับกันดีกว่ามั้ย”
“คิดว่าเรื่องอะไรซะอีก รวบกวนที่ไหนกันฉันสนุกออก” ผิดคาดที่ดงแฮบอกมาแบบนี้ทั้งที่ตอนนี้คงกลับบ้านกันไปแล้ว
“งั้นก็ดีครับ” คยูฮยอนตอบพร้อมรอยยิ้มที่คนตรงหน้าไม่มีทางรู้ว่าในใจกำลังคิดอะไร ก็เพราะตอนนี้มันเลยห้าโมงเย็นมามากแล้วน่ะสิ เขาถึงร้อนใจอยู่นี่ไง
.. เป็นอะไรเล่าคยูฮยอน จะเดือดร้อนอะไรนักหนา ผิดนัดสาวๆมาตั้งกี่ครั้งยังไม่เคยจะจำได้เลย
เสียงพูดคนเดียวในใจมันโยงไปไกลถึงความรู้ที่ไม่อาจต่อต้าน เขาดีใจและกำลังวาดฝันเรื่องที่ดงแฮน่าจะมีใจให้ แต่ขณะเดียวกันมันกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น แล้วจะปฏิเสธอย่างไรว่าในใจมีคนๆนั้นอยู่เต็มไปหมด
“เอางี้นะคยูฮยอน” จู่ๆดวงตากลมโตคู่ที่ดูไร้ชีวิตชีวาก็กลับมาสดใสอีกครั้ง
“ฉันว่าเราไปแวะดูร้านสาขาสองกันดีกว่า มาที่นี่ทั้งทีไม่ไปได้ไง อีกอย่างฉันก็ไม่ได้..” ดงแฮกำลังจะบอกว่าไม่ได้มานานแล้ว แต่คิดว่าไม่พูดไปจะดีกว่า
“เบอร์ก็ไม่รู้จักขอไว้ แล้วจะโทรหายังไงเล่า...”
มีเพียงเสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบลงบนรถคันหรูในยามที่ต้องจอดต่อกันเป็นแถวบนถนนกลางเมืองที่เต็มไปด้วยแยกไฟแดงอันเป็นระบบ ภายในรถคันเดิมนั้นเงียบไม่ต่างกับที่ผ่านมาแม้แต่นิด เสียงเครื่องยนต์กับเสียงเม็ดฝนมันกำลังก่อให้
เกิดความอึดอัดระหว่างคนทั้งสองได้ไม่น้อย
“รถติดแบบนี้แย่เนอะ” เป็นคิบอมที่เอ่ยออกมาก่อน ไม่รู้ว่าเพราะทิฐิมันหายไปหรือว่าความรู้สึกผิดกับสิ่งที่พูดไปนั้นกำลังเป็นใหญ่ที่สุดในตอนนี้ ฮันคยองไม่ตอบอะไรนอกจากยังคงมองออกไปข้างนอกแล้วภาวนาให้รถเลิกติดเสียที สิ่งที่บอกกับตัวเองก่อนหน้านี้มันหายไปไหนเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน บอกว่าจะขอวิ่งตามความรักครั้งนี้ดูบ้าง แล้วนี่เป็นอะไร เจอแค่นี้จะท้อแล้วงั้นเหรอ
“แค่นี้ไม่ท้อหรอก จะถึงอยู่แล้วถอยกลับไปก็เสียดายแย่” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาราวกับว่าได้ยินสิ่งที่ฮันคยองคิดอยู่ในใจทั้งที่มันคนละเรื่องกัน คิบอมแค่อยากจะพูดอะไรออกมาเสียบ้างระหว่างที่รถติดทั้งที่กำลังจะถึงจุดหมายอยู่แล้ว
“นั่นสิ กลับไปคงเสียดายแย่..”
หลังจากที่ทิ้งคยูฮยอนเอาไว้ดงแฮที่แบกเอาความปวดหัวเดินออกมานอกร้านไอศกรีมสีสดใสก็พยายามคลำหายาแก้ปวดที่เขาคิดว่าเอาติดตัวมาด้วยแต่ก็ไม่พบ ดงแฮเลิกที่จะหาก่อนจะเงยหน้าแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณเผื่อว่าจะพบใครบางคนแถวนี้ซึ่งก็เจอเพียงผู้คนที่เดินผ่านไปมาเท่านั้น
“จะบ้าไปใหญ่แล้ว..” เสียงพูดเบาๆดังขึ้นเตือนสติตัวเองที่เผลอไปคิดเรื่องของอีกคนเข้าให้ เขาเตรียมจะก้าวไปตามทางที่ตรงไปยังห้องน้ำ แต่จู่ๆก็มีตัวตลกในชุดมาสคอตสิงโตตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาตรงหน้าพอดี ดงแฮแทบจะตกใจมากกว่านี้หากเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงกิจกรรมสนุกสำหรับลูกค้าและเด็กๆที่พบเห็น ดงแฮทำหน้าแปลกใจพลางมองไปรอบๆตัวที่ผู้คนต่างมองมาอย่างอิจฉาที่วันนี้เป็นคิวของหนุ่มหน้าหวานในการได้รับลูกโป่งแห่งความรักของเจ้าสิงโตแห่งห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ เขายิ้มกว้างทันทีเมื่อเจ้าสิงโตตรงหน้ายื่นเชือกที่ผูกติดกับลูกโป่งใบสีชมพูให้ลอยอยู่นั้นมาให้ ความน่ารักของบรรยากาศและตัวมาสคอตตรงหน้าทำเอาดงแฮหัวเราะออกมา
“ฮะ ว่าไงนะ” เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่าเจ้าสิงโตกำลังพูดอะไร แต่แล้วดงแฮก็ต้องหยุดความพยายามลงทันทีเมื่อภาพมากมายหลั่งไหลทับซ้อนเข้ามาในหัว มันเร็วมากจนเขาแทบจะยืนไม่ไหว ใช่แล้วที่ดงแฮนึกออก ทุกครั้งที่ตัวเองได้ลูกโป่งแบบนี้ ทุกครั้งที่เจ้าตัวมาสคอตต้องการจะบอกมันเคยเกิดขึ้นแน่ๆแต่ไม่รู้ว่าคนๆนั้นเป็นใคร .. นึกสิ นึกสิดงแฮ
เขาหลับตาลงโดยไม่ได้สนใจว่าใครคนอื่นจะรู้สึกเป็นห่วงกับท่าทางที่กำลังดูไม่ดี ใครสักคนที่อยู่ในชุดมาสคอตของห้างเห็นท่าไม่ดีเลยจะเข้าไปถามไถ่ แต่ช้าไปนิดเมื่อจู่ๆร่างบางที่ยังกำเชือกที่ผูกติดลูกโป่งไว้นั้นได้วิ่งออกไปจากตรงนี้แล้ว แผ่นหลังของใครคนนั้นหายลับไปเมื่อเขามองหา สองขาที่ไม่ยอมหยุดกำลังวิ่งลงไปตามบันไดเลื่อนของแต่ละชั้นโดยที่ไม่ได้แคร์สายตาคนอื่นที่มองมาเลยกับภาพที่ผู้ชายคนหนึ่งถือลูกโป่งสีชมพูแล้ววิ่งตามอะไรสักอย่าง
เรื่องที่จำได้คือทุกครั้งที่เขาได้ลูกโป่งจากเจ้าตัวมาสคอตมันเป็นเพราะว่ามีคนตั้งใจให้เป็น
“คุณคนนั้นเค้าฝากมาน่ะครับ”
เสียงจากเจ้าสิงโตที่เคยบอกไว้แม้จะผ่านมานานแค่ไหนดงแฮก็จำได้ ตัวเขาในตอนนั้นที่มองไปตามที่เจ้าสิงโตบอกก็พบกับใครคนหนึ่งที่ยืนโบกมือมาให้พร้อมกับรอยยิ้ม และคนๆนั้นคงเป็นใครไปไม่ได้แน่ ดงแฮกำลังถามตัวเองว่าแล้วจะตามไปทำไม จะตามไปเพื่ออะไร แล้วถ้าเจอจะพูดว่าอะไร ตั้งแต่จำอะไรไม่ได้ก็ไม่เคยเข้าใจตัวเองสักครั้ง
.. พระเจ้า ทำไมลูกต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่มันจะจบเสียที
สายฝนที่โรยตัวลงมาตั้งแต่ตอนบ่ายยังไม่มีท่าท่าว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่นิด ท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างนี้ทำให้มันดูมืดเกินกว่าเวลาจริงที่เป็นอยู่ แต่จะเป็นอย่างไรซองงมินก็ไม่ได้จะสนใจ เพราะสิ่งที่กำลังสนใจอยู่คือเวลาที่มันล่วงเลยเวลานัดมามากแล้ว
“เฮ้อ .. ป่านนี้คงจะเดทจนลืมแล้วล่ะสิ ไม่เต็มใจแล้วจะอาสาทำไม ไม่ได้จะง้อหรอกนะ” ร่างเล็กยืนบ่นหน้าบูดอยู่คนเดียวที่หน้าตึกบริษัทที่เหลือแค่ตัวเองอยู่คนเดียวท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาไม่หยุด ซองมินไม่ได้เป็นคนขอร้องให้
คยูฮยอนมารับแต่ที่เป็นแบบนี้เพราะอีกฝ่ายอาสาเองโดยอ้างว่าบ้านอยู่ใกล้กันจะได้ไม่ต้องเปลืองค่ารถกลับเอง แล้วเป็นไงล่ะทีนี้ ตัวเองพูดเองเป็นมั่นเป็นเหมาะแต่กลับลืมไปเสียอย่างนั้น ภาพของเขาที่ยืนอยู่นานมากทำให้คุณรปภ.ที่มองมานึกสงสาร ไม่นานร่มคันใหญ่ก็มากางอยู่ตรงหน้าซองมินพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนใจดี
“ให้พาไปเรียกรถมั้ยครับคุณ”
“เอ่อ คือ ขอบคุณนะครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมรอเพื่อนน่ะครับ” ซองมิน
ปฏิเสธไปอย่างสุภาพซึ่งอีกฝ่ายก็เข้าใจจึงได้กลับไปที่ของตัวเอง
.. คนอย่างฉันไม่เคยคิดจะรอคนอย่างนายนานขนาดนี้เลยรู้ไว้ซะ โจว คยูฮยอน
ร้านสาขาขนาดใหญ่แห่งที่สองที่เปิดจำหน่ายสินค้าโดยตรงจากเครือของกิจการได้ตั้งอยู่ในชั้นแรกของตึกแห่งนี้ บรรยากาศและเครื่องเพชรมีระดับภายในกระจกใสที่กั้นด้านนอกเอาไว้นั้นดึงดูดความสนใจของผู้ที่ผ่านไปมาได้ไม่ยาก แต่ที่ลูกค้าที่เป็นเป้าหมายหลักก็คงไม่พ้นคนมีตังค์อยู่ดี ภายในร้านตอนนี้พนักงานชายหญิงไม่กี่คนกำลังตื่นเต้นที่ระดับผู้บริหารมาตรวจเยี่ยมถึงที่โดยที่ไม่ได้แจ้งผู้จัดการไว้ก่อน
“เชิญนั่งในห้องรับรองลูกค้าก่อนมั้ยคะ” ผู้จัดการสาววัยกลางคนเอ่ยเชื้อเชิญคิบอมกับฮันคยองหลังจากที่เพิ่งจะเข้ามาได้ไม่นาน
“ไม่ล่ะครับคุณยูจิน แค่แวะมาตามตารางที่วางไว้ไม่นานก็คงกลับแล้วล่ะครับ” ฮันคยองบอกอย่างสุภาพซึ่งท่าทางแบบนี้แหละที่ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่อดปลื้มไปตามๆกันไม่ได้
“งั้นรับเป็นน้ำอย่างเดียวนะคะ”
“ครับ ขอบคุณมาก นอกนั้นก็เชิญตามสบายเลยนะครับ รู้สึกจะมีลูกค้ามาเพิ่มแล้วสิ” ฮันคยองพูดจบก็หลบไปยืนตรวจดูการจัดวางสินค้ากับดูบัญชีคร่าวๆไม่ได้ซีเรียสอะไร ส่วนคิบอมที่หายเข้าไปดูภายในส่วนหลังของร้านก็กลับออกมาอย่างไม่มีอะไรตักเตือน ที่เคาน์เตอร์พนักงานสาวต่างแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าอย่างตั้งอกตั้งใจโดยมีสายตาของคิบอมมองอยู่ใกล้ๆ ร่างสูงเห็นลูกค้าผู้หญิงที่กำลังลองเครื่องเพชรและเครื่องประดับชั้นดีก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา สายตาที่จ้องมองการทำงานของลูกน้องจึงเลื่อนลงมายังสินค้าต่างๆที่วางโชว์ภายในเคาน์เตอร์กระจก
“สนใจอะไรอยู่รึเปล่า” เป็นเสียงของฮันคยองที่พูดขึ้นข้างหูของคิบอมจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มตกใจไม่น้อยที่จู่ๆอีกฝ่ายก็โผล่มาโดยไม่บอกก่อน ฮันคยองขยับเข้ามายืนข้างคิบอมถัดจากลูกค้าหลายคนที่ยืนอยู่ เขาก้มมองไปยังสิ่งที่คิบอมกำลังสนใจ
“อยากได้ไปให้สาวที่ไหนล่ะ ให้ช่วยเลือกมั้ย” ฮันคยองถามอย่างเป็นปกติเสียจนคิบอมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ใช่หรอก ช่างมันเถอะ”
“อ้าว ได้ไงล่ะ อุตส่าห์จะช่วยเลือกทั้งทีนะ” ว่าแล้วก็ส่งสายตาต่อว่ามาให้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจเอาง่ายๆ ฮันคยองแกล้งทำได้แนบเนียนทั้งที่ก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ถ้าทั้งหมดที่เขามั่นใจมันไม่ใช่ขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร
.. ไม่เอาน่า ไหนๆก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่
ท่าทางของฮันคยองที่ดึงดันจะช่วยเลือกให้ได้ทำให้คิบอมที่ยืนนิ่งเพราะคิดอะไรอยู่ในใจนั้นตัดสินใจบอกออกไป
“อืม งั้นก็เลือกสิ จะสร้อยจะแหวนหรือนาฬิกา อะไรก็ได้ที่คิดว่าเค้าคนนั้นจะชอบก็เลือกได้เลย” ใบหน้าที่แสนเรียบเฉยเอ่ยขึ้นกับฮันคยองที่ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆมาให้อย่างไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะบอกกันแบบนี้ เขาหันหน้ามาเลือกตามที่
คิบอมบอกขณะที่ความมั่นใจมันกำลังถดถอยไปทีละนิด แต่อีกใจกลับบอกไม่ให้ยอมแพ้ มือบางที่วางลงบนบานกระจกค่อยๆไล่นิ้วไปเพื่อมองหาสิ่งที่คิดว่าเหมาะกับคนๆนั้นของคิบอมที่สุด ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นตัวเองหรือไม่ตอนนี้ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว .. ในเมื่อคนอย่างเขาไม่มีอะไรให้เสียอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นหากอยากจะได้กลับคืนก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
แผ่นหลังกว้างในชุดแปลกตาที่จงใจใส่มาไม่ว่ายังไงดงแฮก็จำได้ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้แต่แรกแล้วว่าถูกตามมา ซีวอนวิ่งห่างออกมาแต่จะเร็วกว่านั้นไม่ได้เพราะระหว่างทางที่มีผู้คนขวักไขว่ทำให้เขาได้เพียงแต่เดินเร็วๆ ไม่นึกเลยว่าดงแฮจะตามมาอย่างนี้ ไม่รู้ว่าจะวิ่งหนีทำไมแต่เพราะไม่อยากจะเจอมากกว่า เรื่องราวเก่าๆที่พอได้นึกถึงหรือมีโอกาสมันก็อดจะทำไปไม่ได้ สองคนที่ไล่กันมาเป็นภาพที่คนมองก็แอบสงสัยว่ามีอะไรแต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก ซีวอนลงมาถึงชั้นล่างสุดก่อนจะตรงไปที่ประตูและเมื่อเห็นว่าด้านนอกฝนกำลังตกอยู่สองเท้าก็หยุดเคลื่อนไหวทันที
“จะหนีทำไม” เสียงจากทางด้านหลังทำให้ร่างสูงไม่กล้าจะหันกลับมา อีกใจก็ห่วงว่าดงแฮจะเหนื่อยมากหรือเปล่า ยิ่งอยู่ในช่วงที่ร่างกายไม่ปกติแล้ววิ่งตามเขามาไม่หยุดอย่างนี้ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง
“ฉันถามว่าหนีทำไม” เสียงที่ใกล้เข้ามาทำให้ซีวอนรู้สึกลำบากใจ เขาตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับดงแฮที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก ใบหน้าที่บอกว่ากำลังเหนื่อยนั้นพยายามข่มอารมณ์ให้นิ่งโดยที่ในมือยังกำเชือกลูกโป่งที่ลอยอยู่เอาไว้ คนผ่านไปมาแล้วกันมามองแต่เขาก็ไม่ได้สนใจ แววตาของดงแฮมันฉายแววจริงจังจนซีวอนไม่กล้าจะพูด
“เหนื่อยแล้ววิ่งมาทำไม รู้ตัวว่าไม่สบายก็น่าจะ..”
“พอทีได้ไหม ฉันไม่ใช่เด็กให้นายมาพูดแบบนี้หรอกนะ เลิกห่วงใยทั้งที่ไม่จริงเลยดีกว่า”
“........” ซีวอนอ้าปากจะพูดไปแต่ก็คงไม่มีความหมาย ก็จะให้บอกอีกกี่ครั้งล่ะว่าทุกอย่างนั้นเขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำเลยแม้แต่นิด
ดงแฮรู้สึกได้ที่แรงดึงตรงขากางเกงจึงก้มมองก็พบว่ามีเด็กน้อยผู้ชายคนหนึ่งเอื้อมมือมาดึงกางเกงของเขา คนเป็นแม่ที่กำลังปรามลูกอยู่ก็ได้ร้องห้าม
“ไม่เอานะลูก อย่าแกล้งพี่เค้าสิ” หล่อนพยายามแกะมือลูกชายออกขณะที่เงยหน้าขึ้นมาขอโทษดงแฮที่ให้รำคาญ ดวงตากลมของเด็กน้อยจับจ้องไปยังสิ่งที่ลอยอยู่เหนือหัว ดงแฮรู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร ร่างบางย่อตัวลงตรงหน้าเด็กน้อยและผู้เป็นแม่พลางส่งยิ้มไปให้อย่างเป็นมิตร
“อยากได้งั้นเหรอ งั้นพี่ยกให้นะ” ดงแฮยื่นเชือกที่ถือเอาไว้ใส่ไปที่มือเล็กๆเรียกรอยยิ้มอันสดใสออกมาได้มากเลยทีเดียว
“จะดีเหรอคะ”
“ไม่เห็นไรหรอกครับ”
“ขอบคุณพี่เค้าสิลูก ขอบคุณมากนะคะ” หล่อนบอกอย่างเกรงใจ ดงแฮยิ้มให้อีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นยืนเมื่ออีกฝ่ายจากไป ซีวอนกำลังมองคนตรงหน้ากับเรื่องเมื่อครู่ ไม่กี่วินาทีที่รู้สึกคิดถึงและโหยหาอยากได้คนๆเดิมกลับมา อยากได้รอยยิ้มอันแสนบริสุทธิ์ที่เคยยิ้มให้เขา อยากได้ดงแฮที่ไม่ว่ายังไงก็อยู่เคียงข้างกันไม่ห่างไปไหน อยากได้ความรักที่เคยได้
“ทำหน้าอย่างนั้นทำไม” แล้วน้ำเสียงที่ตรงกันข้ามกับความปรารถนาของ
ซีวอนก็ดังขึ้นอีก ดงแฮคนนี้ที่ไม่มีคำว่ารักให้กับเขากำลังถามออกมาให้เขามั่นใจว่าไม่ได้แคร์กันเลยแม้แต่นิด
“เธอ ..”
“อะไรของนาย จะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่มีเวลานักหรอกนะเพราะว่าคยูฮยอนกำลังรออยู่” แม้ว่าจะเอาแต่พูดตัดรอน แต่ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งฝืนเข้าไปทุกทีเพราะความรู้สึกแรกที่ตามมามันไม่ใช่อย่างนี้ เขาตามมาไม่ใช่เพราะอยากจะทะเลาะ แล้วทำไมจะต้องพูดไปอย่างนั้น
.. นายทำให้ฉันคิดมากทุกที อะไรที่บอกได้ทำไมไม่บอก ทำไมต้องปล่อยให้คิดอยู่คนเดียว
ความสับสนเข้าเล่นงานดงแฮอีกไม่ต่างจากที่ผ่านมา ยิ่งร่างกายแสดงออกว่าอยากจะหนีและคำพูดที่พูดไปอย่างไร้เยื่อใย ยิ่งมากเท่าไหร่ในใจก็ยิ่งเจ็บช้ำมากเท่านั้น
“นี่ไง อันนี้ดีมั้ย” นิ้วเรียวจิ้มลงเบาๆตรงตำแหน่งที่คิดว่าตรงกับสิ่งที่เขาหมายถึงมากที่สุด คิบอมมองตามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าฮันคยองจะหมายถึงสร้อยคอเส้นเรียบที่ไม่มีจี้หรือลวดลายโดดเด่นอะไรเลย
“สร้อยเนี่ยเหรอ”
“อืม ทำไมล่ะ”
“แล้วเค้าจะชอบมั้ยล่ะ” คิบอมถามอย่างสงสัย ต่างฝ่ายต่างแกล้งปกปิดความในใจกันไปมาอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกันเสียที ฮันคยองเงียบไปพลางมองสิ่งที่กำลังพูดถึง
“ชอบสิ .. เผื่อว่าบางทีเค้าอาจจะอยากได้สร้อยเส้นใหม่สำหรับจี้ที่เป็นของสำคัญแทนเส้นเก่าที่ขาดไปก็ได้นะ”
ได้ยินอย่างนั้นร่างสูงก็ละสายตาจากสร้อยเส้นนั้นแล้วหันไปมองคนข้างกาย เสี้ยวหน้าได้รูปสะท้อนด้วยแสงไฟสีส้มอ่อนจากตู้กระจก เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างคนกำลังกลัวอะไรสักอย่างแต่ต้องพยายามปกปิดเอาไว้ คิบอมไม่พูดอะไรนอกจากคิดทบทวนอยู่ภายในใจขณะที่ปลายสายตากำลังเพ่งมองคนข้างกายที่เขาไม่สามารถเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ไม่นานนักพนักงานสาวคนหนึ่งก็ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้านายทั้งสองกำลังสนใจสินค้าบางอย่าง
“เส้นนี้เหรอคะ” หล่อนถามพลางฉีกยิ้มอย่างเต็มที่
“เอ่อ .. คือ” จู่ๆฮันคยองก็เป็นฝ่ายที่พูดไม่ออกเสียเองก่อนที่คิบอมจะรีบพยักหน้าให้หญิงสาวนำมันไปคิดราคาโดยที่เขายื่นบัตรอะไรสักอย่างให้หล่อนไปด้วย ท่าทางที่ดูไม่ยี่หระของคิบอมทำให้ฮันคยองรู้สึกไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก ก็พูดไป
ขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นเหรอ
“นั่น ..” เสียงทุ้มของคนที่หันออกมาจากเคาน์เตอร์กระจกดังขึ้นเบาๆเรียกให้ฮันคยองต้องหยุดคิดเรื่องตัวเองก่อนแล้วหันไปมองบ้าง ดวงตาคู่เรียวเมื่อพบกับสิ่งที่อยู่ด้านนอกผ่านผนังกระจกของร้านออกไปก็ต้องแทบตกใจ
“นั่นมัน .. ” ฮันคยองเดินมายืนข้างคิบอมที่มองไปยังคนสองคนที่พวกเขารู้จักดีตรงบริเวณด้านนอกของร้านที่เป็นชั้นเดียวกันในตึกนี้ แม้ว่าไม่ได้ยินเสียงแต่
สีหน้าท่าทางที่เห็นได้นั้นมันกำลังบอกว่าคนทั้งสองคงไม่ได้กำลังสนุกกันอยู่แน่ คิบอมรู้สึกได้ว่าร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่ข้างกายของเขากำลังก้าวขาออกไป .. อยากจะขอร้องก็ทำได้เพียงแค่ในใจ หากอยากจะห้ามไม่ให้ไป จะห้ามอย่างไรเมื่อคนมันไม่มีใจ ..
ดวงตาทั้งคู่ที่เก็บความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ในใจได้เพียงแค่มองไปยังภาพของสองคนด้านนอก หากแต่ในใจกลับจดจ่ออยู่ที่ร่างของคนข้างกาย คิบอมหายใจเข้าออกช้าๆท่ามกลางความรู้สึกที่เป็นห่วงเพื่อนตัวเองและความเห็นแก่ตัวในเวลานี้ที่ไม่อยากให้อีกคนเดินจากไป มือบางที่กำลังผิวผ่านไปถูกอีกมือข้างๆกันเอื้อมจับเอาไว้
“คิบอม..” ฮันคยองก้มมองมือตัวเองที่ถูกจับเอาไว้อย่างนั้นด้วยความไม่เข้าใจ เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรพร้อมกับสายตาที่ยังคงจดจ้องออกไปยังคนสองคน
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” ประโยคขอร้องแผ่วเบาถูกเอ่ยออกมาจากปากของ
คิบอม สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องขอร้องอยู่ดีไม่เคยเปลี่ยน ฮันคยองอึ้งไปเมื่อได้ยินก่อนที่จะคลายความแปลกใจลงแล้วหันออกไปยังด้านนอกบ้าง มือบางกำรับกับมือของอีกฝ่ายให้รู้ว่าเขาจะยังอยู่ตรงนี้
“ใครว่าพี่จะไป .. ถ้านายอยากให้อยู่ ก็จะอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนทั้งนั้น” ราวกับความฝันที่ทำให้คนแพ้ใจตัวเองรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ได้ชัยชนะกลับมาบ้าง ใบหน้าที่เฉยเมยมาตลอดเริ่มจะมีรอยยิ้มขึ้นมา ทั้งสองยิ้มให้กันเหมือนกับว่าต่างฝ่ายต่างรอมานาน มือที่จับกันเอาไว้กระชับขึ้นเรื่อยๆตามความรู้สึกที่ไม่อาจจะบรรยาย และสิ่งที่ภาวนาอยู่ก็เพียงแค่ขอให้สองคนสำคัญของพวกเขาผ่านพ้นเรื่องร้ายๆไปได้เสียที
“เรื่องของเค้าสองคน เราทำได้แค่ดูเหรอคิบอม”
“ครับ”
“คยูฮยอนงั้นเหรอ .. เธอแคร์มันมากจริงๆเลยนะ”
“แล้วทำไม”
“เปล่าหรอก แค่มันน้อยใจ” น้ำที่เอ่ออยู่ในดวงตาคมคู่ที่ไม่เคยฉายแววอ่อนข้อให้ใคร คราวนี้มันอ่อนแอจนไม่มีแรงจะแกล้งเข้มแข็งอีกแล้ว ซีวอนไม่รู้หรอกว่าประโยคแค่นี้ของเขามันก็กำลังเกาะกินหัวใจคนฟังอย่างยากจะห้าม ดงแฮกำมือเข้าหากันเบาๆระหว่างที่ถ้อยคำของซีวอนมันจะแทรกซึมเข้ามาในใจทุกที
“เธอช่วยตอบทีได้ไหม ทำไมต้องรังเกียจฉันขนาดนี้”
“............”
“เธอจำอะไรไม่ได้ฉันก็เจ็บปวดเกินทนแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยเพียงแผ่วเบาแต่คนฟังได้ยินชัดเจน
“.............”
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ เธอไม่รักกันเลยใช่ไหมดงแฮ” ซีวอนไม่มีความอดทนเหลืออยู่อีกแล้ว เขายอมหมดท่าและยอมแพ้ทุกอย่าง ต่อให้ต้องอ้อนวอนหรือต้องคุกเข่าลงตรงนี้ถ้าทำแล้วอีกฝ่ายจะยอมเห็นใจกันเขาก็พร้อมจะทำโดยไม่ลังเล แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เมื่อดงแฮไม่คิดจะเปิดใจหรือให้โอกาสเขาเลย
“เลิกพูดเรื่องพวกนี้ทีเถอะ ฉันไม่อยากฟัง” ว่าแล้วก็หันหลังจะเดินจากไปแต่ก็ต้องหยุดเมื่อซีวอนยังไม่เลิกพูดอะไรที่อยากจะพูด
“เธอจำฉันไม่ได้ซักนิดเลยเหรอ นึกเรื่องระหว่างเราไม่ได้เลยใช่ไหม” แล้วจะให้ตอบยังไง จะให้ดงแฮตอบไปว่าจำไม่ได้แต่พร้อมจะยอมรับหากไม่มีการหลอกลวงงั้นเหรอ หรือจะให้บอกว่าให้รอถึงวันที่กลับมาจำได้ก่อน
.. ทำไมต้องให้คนอย่างนายหลอกกันเรื่อยมา ได้โปรดอย่ามาร้องขอความรักในตอนที่ฉันไม่รู้อะไร
อาการปวดหัวรวมทั้งความเครียดที่แล่นเข้ามาทำร้ายบีบให้น้ำตาของดงแฮไหลออกมา ไหล่บางสั่นนิดๆอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ร่างที่เริ่มจะเซทำให้ซีวอนเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าไปหา
“ดงแฮ !” ซีวอนร้องขึ้นเมื่ออีกฝ่ายล้มลงจริงๆโดยที่มีเขาเข้าไปรับไว้ได้ทัน ร่างสูงร้อนรนจนแทบจะบ้าที่อีกฝ่ายต้องเป็นแบบนี้ ทุกอย่างร้ายๆที่เกิดขึ้นกับดงแฮมันเนื่องมาจากเขาคนเดียวเลยใช่ไหม
.. สวรรค์ ได้โปรดเลิกเล่นตลกเสียที โปรดหยุดลงทัณฑ์ผู้ชายเลวๆคนนี้ได้แล้ว
ความรักอันแสนสวยสำหรับใครหลายคน เมื่อเวลาผ่านไปยังคงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม แต่ความรักอันแสนสวย ความผูกพันอันลึกซึ้ง ความรู้สึกที่ไม่เคยมีแม้แต่เหตุผลอะไรมาเป็นตัวแปร สำหรับใครไม่กี่คน .. เมื่อเวลาผ่านไป ความมั่นใจที่เคยมีกลับหายไปจนแทบไม่เหลือ .. สวนทางกับความรักที่เพิ่มมากขึ้นในใจ
แล้วเมื่อไหร่ .. จะลงเอย
.
.
Tbc. Chapter 17
*ขอทอล์คนิดนึงนะคะ
ไม่นึกว่าจะมีคนถามเข้ามาอีกเรื่องรวมเล่มเรื่องนี้(แอบหลายคนแฮะ)
คือว่ากอนพิมพ์เรื่องนี้ขายที่งานไก่(KFC#4)ปีก่อนแค่ไม่กี่เล่มเองค่ะแล้วมันก็หมด แล้วก็ยังไม่ได้พิมพ์อีกเลย
เพราะติดงานด้วยเลยไม่ได้มีเวลาพิมพ์ออกมาอีก (บวกกับงานฟิคอื่นๆที่ไม่ได้จองบูธไว้)
จะรีปรินท์อีกทีคง KFC ปีนี้แหละค่ะ(ถ้าเกิดงานจัดอีกอ่ะนะคะ และถ้าว่างและลางานได้ T T)
ถ้าอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกรบกวนตอนนั้นนะคะ^^
ยังไงขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ถามเข้ามา ซึ้งใจมากเลย ถ้ายังไม่เบื่อเสียก่อน กอนลงจนจบแน่ค่ะ อิอิ^^
ปล.ถ้าเมนวอนเฮกัน แอบมีโปรเจคท์เรื่องหน้าอยู่นะคะ
ความคิดเห็น