ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] Just A Beat (KaiBaek)

    ลำดับตอนที่ #9 : ◆ Just A Beat - Part [7]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.58K
      11
      18 พ.ค. 56



    Just A Beat
    Pairing : Kai x Baekhyun








    .. Part 7 ..





     

     

    บ้านหลังโตของเพื่อนรักกำลังเป็นสถานที่ที่เขาอยากจะจากไปให้เร็วที่สุดในตอนนี้เลย ร่างสูงโปร่งทำได้แค่ฝืนยิ้มเออออไปตามบรรยากาศที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไม่มีใครรู้สึกเอือมระอาเลยรึไง

     

    โต๊ะอาหารค่ำตัวยาวแทบไม่มีเก้าอี้เหลือเลยเมื่อต้องต้อนรับสมาชิกทั้งสี่ของอีกครอบครัว
     

    “นี่ลู่หาน นายเป็นไรน่ะ ทำหน้าเหมือนปวดท้องเลยนะ” เรียวหน้าสวยพร้อมกับเรือนผมดำขลับตวัดมองมาคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่ปลายโต๊ะ
     

    “ไม่มีอะไรหรอกคริสตัล แค่เบื่อ” ชายหนุ่มพูดสั้นๆกับลูกพี่ลูกน้องคนสวย แต่ดูเหมือนคนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ติดกันจะได้ยินอย่างชัดเจน หญิงวัยกลางคนแต่ใบหน้ายังสวยสดขมุบขมิบริมฝีปากมาให้ลูกชายตัวดีที่ได้แต่ยักไหล่ไม่ยี่หระ

     

    ลู่หานนั่งตักอาหารเข้าปากไปพลางมองพ่อแม่และพี่สาวทั้งสองของจงอินกำลังสนทนากับครอบครัวของเขาอยู่ โดยที่ประเด็นในคืนนี้คงหนีไม่พ้นหลานสาวสุดรักของแม่เขาเอง

     

    “ตายแล้วหนูคริสตัล ป้าลืมไปเลยว่าซื้อของฝากจากอิตาลีมาให้” คุณแม่ของจงอินบอกอย่างเอ็นดูคนที่เธออยากได้เป็นลูกสะใภ้เหลือเกิน
     

    “จริงเหรอคะ คุณป้าไปเที่ยวกับใครเหรอคะ”
     

    “ไปกับกลุ่มแม่ๆนี่ล่ะจ๊ะ พ่อจงอินเค้าไม่ว่างน่ะ”
     

    “เหรอคะ แล้วจงอินล่ะคะไม่ได้ไปด้วยเหรอ”
     

    “รายนั้นก็ไม่ว่างอีกเหมือนกันล่ะจ้ะ ตั้งแต่ย้ายกลับมาเกาหลี บางทีก็ดูวุ่นๆ ชอบอยู่เงียบๆ พิลึกคน แต่ก็บ่นคิดถึงหนูคริสตัลอยู่เหมือนกันนะ” คนเป็นแม่เอ่ยถึงลูกชายคนที่แสนภูมิใจ แต่แล้วลูกสาวคนเล็กก็เงยหน้าขึ้นขัดเบาๆ
     

    “แม่คะ จงอินมันก็เงียบแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่”
     

    “โถ่ .. พูดอะไรแบบนั้นล่ะลีอิน”
     

    “ก็หรือไม่จริง” ใบหน้าขาวใสมองลอดกรอบแว่นบางๆมาหาคนเป็นแม่ เล่นเอาคุณนายของบ้านต้องปรับสีหน้าแทบไม่ทัน หล่อนล่ะอยากเข้าไปหยิกลูกสาวคนนี้เข้าให้เหลือเกิน พูดอะไรไม่ดูเวลา

     

    คริสตัลยิ้มตอบผู้ใหญ่ก่อนจะเงียบไปเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าที่แม่ของจงอินพูดนั้นมันคงเป็นแค่การอยากให้คนฟังดีใจ ก็คนเราเลิกกันไปแล้วแบบนั้น ที่สำคัญคริสตัลรู้จักจงอินดี อีกฝ่ายไม่มีทางมาบ่นคิดถึงอะไรหรอก

    ถึงตรงนี้หัวใจของหญิงสาวก็ดิ่งวูบลงไป แม้ภายนอกจะดูไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่สำหรับเรื่องของจงอินแล้ว คริสตัลไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองถึงได้เป็นกังวลขนาดนี้

     

    แต่เริ่มเดิมทีคริสตัลและจงอินไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อเมริกาด้วยกัน แต่จงอินเป็นฝ่ายกลับมาเสียก่อน ใครๆก็เข้าใจว่าจงอินแค่ตัดสินใจอยากกลับเกาหลีมากกว่า โดยที่ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย ว่าที่แท้แล้วคนอย่างคิมจงอินจะแพ้ให้กับแค่เรื่องของหัวใจที่เขาไม่คิดว่าจะมามีอิทธิพลต่อตัวเองขนาดนี้

     

    ผู้ใหญ่คงไม่รู้สินะว่าคู่ที่อยากจะให้หมั้นหมายกันนั้นได้เลิกรากันไปสักพักแล้ว

     

     

    ระหว่างที่ทั้งสองครอบครัวกำลังคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอยู่นั้น คนที่ทุกคนรอคอยก็ปรากฎตัวขึ้นพอดี ทุกคนหันไปมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาเงียบๆ
     

    “กว่าจะมาถึงนะจงอิน” พี่สาวคนโตสุดสวยที่เห็นน้องชายก่อนรีบเอ่ยขึ้น หล่อนเองก็อยากจะกลับเข้าห้องเต็มทนถ้าไม่ติดว่าแม่บังคับให้ลงมารับแขกตามมารยาท
     

    “รถติดน่ะพี่ซองอิน”

     

    ลู่หานมองหน้าเพื่อนราวกับเทวดามาโปรดไม่ต่างกับพี่สาวทั้งสองของอีกฝ่ายเช่นกัน จงอินรู้ดีแต่ก็ไม่พูดอะไร ร่างสูงตรงเข้าไปทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองซึ่งเป็นพ่อแม่ของเพื่อนรัก สายตาคมไม่วายจะก้มลงสบเข้ากับดวงตาคู่สวยที่ช้อนมองขึ้นมาเช่นกัน

     

     “หวัดดีจงอิน” ใบหน้าสวยยิ้มให้

     

    หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงขึ้นเมื่อพยายามเอ่ยออกไป แต่เมื่อสิ่งที่จงอินตอบกลับมาเป็นเพียงแค่ความเฉยชาก็ทำให้คริสตัลแทบจะน้ำตาตก ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้แค่ทำท่าทีปกติ ซองอินกับลีอินมองหน้ากันอย่างรู้ทัน จริงๆสองพี่น้องก็รู้มานานแล้วเพียงแต่ไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยก็เท่านั้น

     

    “เฮ้ยนั่งสิๆจงอิน นี่ฉันรอนานมากเลยนะ แต่หิวจนทนไม่ไหวเลยกินไปก่อนแล้ว” ลู่หานลุกขึ้นดันร่างของเพื่อนให้นั่งลงที่เก้าอี้ถัดไปข้างกับเขา แต่แล้วจู่ๆคุณแม่ของเขาที่นั่งข้างๆก็เอ่ยขัดขึ้นมา
     

    “ได้ไงล่ะลู่หาน ให้จงอินมานั่งข้างคริสตัลสิ ไม่ได้เจอกันนานไม่ใช่รึไง”
     

    “เอ่อ...” ลู่หานมองหน้าแม่ตัวเอง
     

    “เอ่อ อ่า อะไรกันเจ้าลูกคนนี้ ... จงอินจ๊ะ มานั่งนี่สิมา อาเข้าใจว่าถึงจะโทรคุยกันบ่อยแต่ก็ไม่เหมือนเจอกันจริงๆหรอกใช่ไหม
     

    “ไม่เอาน่ะแม่” ลู่หานพูด
     

    “เงียบเลยนะเรา คนเค้าไม่เจอกันตั้งหลายเดือน” แม่ของลู่หานเอ็ดลูกชายต่อหน้าทุกคน เล่นเอาผู้ใหญ่ต้องหัวเราะมาให้อย่างเอ็นดู ยกเว้นก็แต่หนุ่มๆสาวๆนี่แหละที่เอาแต่ยิ้มแห้งๆไปตามระเบียบ

     

     

    จงอินจำใจลุกไปนั่งข้างคริสตัลอย่างเลี่ยงไม่ได้ จานชุดใหม่ถูกวางลงโดยแม่บ้าน เขาจึงไม่รอช้าที่จะจัดการอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว คริสตัลชำเลืองมองอย่างเกร็งๆ เวลาอย่างนี้ไม่ได้ต่างจากทุกทีเลย

     

     

     

     

    อากาศยามค่ำออกจะเย็นสบายมากกว่าหนาว ร่างของหญิงสาวในชุดลำลองโทนสีเข้มตามสมัยนิยมกำลังยืนเหม่อมองไปรอบๆบริเวณบ้านหลังใหญ่ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้มาเหยียบที่นี่ ถ้านานหลายปีก็คงจะดีแต่นี่ไม่ใช่ มันแค่ปีกว่าเอง คริสตัลจำได้ดีว่าวันสุดท้ายก่อนไปอเมริกาด้วยกัน เธอกับจงอินยังได้มีช่วงเวลาดีๆที่นี่

     

    บ้านของจงอิน บ้านของคนรักที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ เติบโตมาและรู้จักกันมากขึ้น มากขึ้นจนวันหนึ่งรู้จักสิ่งที่เรียกว่ารักจนล้นหัวใจ

     

    แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่คนเอาใจใส่ใครๆอย่างที่แสดงออกให้คนนอกเห็น แต่เธอที่รับเขาได้ทุกอย่างกลับรู้สึกว่าตัวเองต่างหากที่เป็นคนพิเศษ

     

    แล้วตอนนี้คืออะไร

     

    อยากได้คืนทั้งที่เธอเองเป็นฝ่ายปล่อยมือจากเขาไป

     

     

     

    “มายืนทำอะไรตรงนี้ คุณป้าเธอจะกลับแล้วแน่ะ”
     

    เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากข้างหลังเรียกให้ร่างเพรียวบางต้องชะงักไป เรือนผมยาวสะบัดหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
     

    “จงอิน....”
     

    “อืม คิดว่าผีรึไง”
     

    “กะ ก็ นาย”
     

    “อะไร บอกแล้วไงว่าคุณป้าเธอรออยู่ ไม่รีบไปเดี๋ยวลู่หานมันวิ่งมาโวยวายคงได้รำคาญกันใหญ่” จงอินพูดด้วยเสียงเรียบเฉย คนฟังไม่พูดอะไรนอกจากมองตรงมา คริสตัลสบตาจงอินก่อนจะหลบไปอีกทาง
     

    “อืม ฉันก็รู้ดีว่านายอยากจะให้กลับเร็วๆ”
     

    “....................”
     

    “แค่หน้าฉัน นายเองยังไม่อยากเห็นเลย”

     

    คริสตัลพยายามฝืนไม่ให้น้ำตาต้องไหลออกมา คำขอโทษและทุกสิ่งที่เตรียมมาเพื่อขอคืนดีคงได้แต่เก็บเอาไว้ เธอคนนี้รู้ดีว่าตัวเองคงไม่สามารถเอ่ยมันออกไปได้ ความละอายใจมันมากพอๆกับความเสียใจ

     

    หญิงสาวก้าวผ่านร่างของผู้ชายคนที่เธอคิดถึงที่สุด มันคงจบแล้วสินะ อีกฝ่ายคงไม่คิดจะรั้งกันไว้อย่างแน่นอน
     

     

    “ฉันพูดเมื่อไหร่ว่าไม่อยากเห็นหน้าเธอ”

    เสียงทุ้มดังตามหลังมาให้ต้องชะงักอีกครั้ง เรียวขาทั้งคู่หยุดอยู่ข้างกัน คริสตัลหันกลับมามองหน้าจงอินด้วยใจที่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไร

     

    “เฮ้อ .. อยู่เมืองนอกนานจนฟังภาษาเกาหลีไม่รู้เรื่องแล้วรึไง”

     

    ชายหนุ่มยืนล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบายๆพลางหันมองไปทางอื่นราวกับไม่ใส่ใจอะไร แต่ท่าทางแบบนี้มีหรือที่คนฟังจะดูไม่ออก คริสตัลจะเข้าข้างตัวเองได้ไหมกับท่าทางอย่างคนเดิมที่เธอรู้จัก

     

    “ฉัน .. นาย หมายความว่าไง”
     

    “ก็อย่างที่พูด”
     

    “จงอิน ...”
     

    “อะไร อย่ามาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แถวนี้นะ”
     

    “...ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ”

     

    ในที่สุดสิ่งที่อยากจะพูดมานานก็ถึงเวลาที่ต้องบอกไป ร่างสูงเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาก่อนที่น้ำตาเม็ดโตจะร่วงหล่นลงมาตามแก้มเนียน จงอินยื่นมือไปเกลี่ยมันออกเบาๆ

     

    คนพูดไม่เก่งทำได้แค่ยิ้มให้

     

    “ฉันผิดเองที่คิดว่าเราไปกันไม่ได้ ผิดเองที่อยากมีคนใหม่ แต่ฉันรู้แล้วว่าไม่มีใครแทนนายได้จริงๆ ...ฮึก”
     

    “อย่าร้องสิ ...”
     

    “ไม่ ฉัน ขอโทษนะจงอิน ฉัน ฉัน ....” คริสตัลไม่แคร์แล้วว่าสภาพตัวเองตอนนี้จะหมดท่าแค่ไหน แค่รู้ว่าจงอินยังพูดด้วยอย่างเดิมก็ดีใจจนทุกอย่างพรั่งพรูออกมาโดยไม่มีการเรียงลำดับอะไรทั้งนั้น
     

    “ช่างมันเถอะ .. เงียบซะ”
     

    “.......................”

     

    ใบหน้าขาวใสเต็มไปด้วยน้ำตา ก่อนที่ทั้งร่างจะถูกคว้าเข้าไปกอดเอาไว้

     

    “ร้องไห้เป็นเด็กๆไปได้”
     

    “จงอิน ... เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้มั้ย”

     

     

     

    “แล้วที่ผ่านมา ไม่เหมือนเดิมตรงไหน”

     

     

     

    แบบนี้จริงๆด้วย ถึงหัวใจของผู้ชายคนนี้จะเจ็บจนชาไปหลายเดือน แต่เขาก็แพ้ให้กับรักครั้งแรกที่ลึกซึ้งอย่างเคย

     

     

     

     

    สายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองเงียบๆอยู่หลังพุ่มไม้ จากตอนแรกที่รำคาญยุงบ้าพวกนี้ที่รุมกัดเขากันใหญ่ ตอนนี้ลู่หานกลับลืมที่จะสนใจมันไปแล้ว ชายหนุ่มจ้องภาพเพื่อนรักกับญาติตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
     

    “จนได้นะจงอิน ไอ้คนปากไม่ตรงกับใจ”

    ลู่หานพูดกับตัวเองก่อนจะคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดไปยังเบอร์ที่เขาโทรออกบ่อยที่สุด
     

    “มีอะไรรีบพูดมา”
     

    “อัพเดทว่ะมินซอก”

     

     

      

     

     

     

    หนุ่มนักศึกษาปีสองเดินเอื่อยๆพร้อมกับเครื่องแบบหลุดลุ่ยมาตลอดทางที่เดินเลี้ยวไปตามทางกลับบ้าน แพคฮยอนเงยมองหลอดไฟที่ให้แสงสว่างตามข้างทางพลางคิดอะไรในใจ สักพักก็ต้องส่ายหน้าแล้วถอนหายใจอย่างไม่รู้ตัว

     

    เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นไฟในนั้นเปิดอยู่ แพคฮยอนเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าแม่ตัวเองนั่งอยู่ที่โซฟาแล้ว

     

    “ยังไม่ไปทำงานเหรอ” ลูกชายเอ่ยถามพลางเดินผ่านไปยังห้องครัวที่อยู่ติดกันเพื่อหาน้ำดื่ม เสียงแม่กับลูกตะโกนคุยกันในระยะที่ไม่ห่างเท่าไหร่
     

    “แพคฮยอน ช่วงนี้แกมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
     

    “ก็ไม่มีนี่ ถามทำไมอ่ะ”
     

    “ถามไม่ได้รึไง ฉันเป็นแม่แกนะ”
     

    “ก็ปกติไม่เห็นจะถามอะไรนี่นาแพคฮา”
     

    “เรียกฉันดีๆนะแพคฮยอน.....”
     

    “เออๆๆ รู้แล้วล่ะน่า”

     

    แพคฮยอนเดินออกมาจากห้องครัวแล้วทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามกับแม่ตัวเอง ทั้งสองจ้องหน้ากันนิดหน่อยก่อนจะทำตัวสบายๆในแบบของตัวเอง

     

    “คนนั้นที่มาหาแกน่ะ เค้าดูเป็นคนดีจังนะ”
     

    “ใคร”
     

    “ก็วันนั้นไอ้หนุ่มที่มาหาแกเรื่องงานไง ท่าทางดูดีนะ เพื่อนใหม่แกเหรอ” แพคฮามองหน้าลูกชายที่ทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้ามาให้หลังจากนึกออก
     

    “ประมาณนั้นมั้ง บังเอิญทำรายงานคู่กันน่ะ”
     

    “ดีแล้วล่ะ นอกจากคยองซูกับเซฮุนแล้ว แกก็คบคนดีๆบ้างก็ดี พวกเด็กเหลือขอคนอื่นๆน่ะห่างๆไว้ก็ดีนะ”
     

    “พูดอะไรแบบนั้น ว่าคนอื่นเค้าไม่ดูลูกตัวเองนะแพคฮา” แพคฮยอนบ่นๆก่อนจะเงียบไปเมื่อถูกสายตาดุๆจ้องมา ก็รู้หรอกว่าแม่ไม่ชอบให้เรียกแบบนี้ แต่มันก็ติดปากไปแล้ว
     

    “อืม ฉันเลี้ยงแกไม่ดีเอง”

     

    ลูกชายตัวดีไม่พูดอะไร แอบสงสัยว่าทำไมแม่ยังไม่ออกไปทำงานแต่ก็ไม่คิดจะถาม ปกติกลับมาก็คลาดกันบ่อยๆ เจอกันน้อยลงทุกทีๆ
     

    “วันนี้ฉันลางานน่ะ” ใบหน้าสวยคมภายใต้ผมยาวหยักเป็นลอนปรกไหล่เอ่ยบอกลูกชายราวกับอ่านใจได้
     

    “เค้าไม่ว่าเหรอ”
     

    “ว่าทำไม แค่ลางาน นักร้องก็ออกเยอะ”
     

    “แล้วแม่สู้เค้าได้มั้ยล่ะ สาวๆสวยๆมาใหม่เยอะไม่ใช่เหรอ”
     

    “แล้วฉันไม่สวยรึไง เสียงดีขนาดนี้ใครกล้าไล่ออก” ใบหน้าเรียวเชิดใส่ลูกชายที่เกือบจะหลุดขำออกมา แต่ก็ติดว่าต้องเบ้ปากให้เสียก่อน
     

    “เออๆเชื่อแล้ว
     

    “แล้วงานพิเศษแกน่ะ หาใหม่ได้ที่ไหนล่ะ”
     

    “ตั้งแต่เข้ามหาลัยมาก็มีเรียนตอนเย็นบ่อยขึ้น แล้วงานเก่าตอนเย็นมันชนกับเรียน พอหางานใหม่ก็มีแต่กลางคืน แล้วส่วนมากมันงานอะไรล่ะ ทายสิ”
     

    “ฉันถามก็ตอบมาดีๆ”
     

    “อืม .. งานในผับน่ะ ไม่ได้หรูอะไรหรอก ห่างจากมหาลัยถ้าเดินเอาก็ครึ่งชั่วโมง”
     

    “งั้นเหรอ”
     

    “ถามทำไมน่ะ”
     

    “ฉันจะบอกว่าเรื่องนี้อย่าใส่ใจมันเถอะ แกไม่ต้องทำก็ได้ สนใจแค่เรื่องเรียนก็พอแล้ว” คนเป็นแม่พูดเรียบๆโดยไม่สบตาลูกชาย แพคฮาก้มลงเอื้อมไปหยิบบุหรี่บนโต๊ะมาติดไฟก่อนจะสูบมันด้วยท่าทีเดิมๆ

     

    แพคฮยอนมองแม่ตัวเองด้วยสายตาปกติ แต่ไหนแต่ไรมาต่างฝ่ายก็ต่างอยากบอกให้อีกคนเลิกสูบ แต่เพราะตัวเองก็สูบจึงยังไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกไป

     

    “ได้ยินมั้ยล่ะ บอกว่าเรื่องงานน่ะช่างมันเถอะ หรือที่ฉันให้ไปแกไม่พอใช้ ถ้าไม่พอก็บอก”
     

    “ไม่ใช่แบบนั้น มันพอน่ะพอ”
     

    “แล้วแกจะทำไปทำไม เรียนยังจะไม่รอด เอาเวลามาสนเรื่องเรียนดีกว่า เข้าใจรึเปล่า”
     

    “.....................”
     

    “เค้ารับแกรึยังล่ะ ถ้ายังก็ปล่อยไป ถ้ารับแล้วก็ไปยกเลิกเค้าซะ”
     

    “ไม่ได้หรอก”
     

    “ทำไมจะไม่ได้”
     

    “ก็ผมจะทำ แม่จะมาอะไรนักหนา” แพคฮยอนหน้าบูดขึ้นมาทันที เขาไม่ได้โกหกหรอกว่ามันพอใช้ แต่ที่อยากจะทำเพราะยังมีแรงจะหาเงินช่วยตัวเองได้ ไม่อยากให้แม่ต้องทำงานหนักอยู่คนเดียว

     

    สองสายตาจ้องกันอย่างไม่ลดละ แม่เป็นห่วงเรื่องเรียนของลูกชาย แต่ลูกชายเป็นห่วงแม่ ทั้งที่เรื่องแค่นี้น่าจะสื่อถึงกันได้ แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการทะเลาะกันอยู่ดี

     

    “ฉันสั่งห้ามแก เข้าใจรึเปล่า”
     

    “ไม่เข้าใจ จะห้ามทำไมล่ะ”
     

    “แล้วแกไหวรึไง เรียนยังจะไม่รอด”
     

    “รู้ได้ไงว่าไม่รอด”
     

    “ก็ฉันถามเพื่อนแกมาแล้วไงเล่า!
     

    “...................”
     

    “อย่าไปโทษเพื่อนแกเลย ฉันถามคยองซูเองแหละ คาดคั้นเพื่อนแกเอง อย่าไปว่าเค้าเลย”
     

    “หึ .. ก็เปล่า ก็แล้วไงล่ะ แย่แล้วไง ไม่แย่สิผิดปกติ”
     

    “แพคฮยอน! .. แต่นี่มันมหาวิทยาลัยนะ แกจะเล่นๆไม่ได้”
     

    “ก็พยายามอยู่นี่ไงเล่า อะไรก็ไม่ดีๆ แพคฮยอนทำอะไรก็ผิดหมดแหละ ขนาดแม่ตัวเองยังบอกว่าโง่ไม่เอาไหน แล้วใครเค้าจะคิดว่าดี”

     

    ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วผลุนผลันจะขึ้นบันไดไป คนเป็นแม่ลุกเดินตามไปที่ทางขึ้นบันไดพลางตะโกนไล่หลังลูกตัวเองไปด้วย

     

    “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันพูดรึยังว่าแกไม่ดี”

     

     

    แพคฮยอนหยุดยืนอยู่บันไดขั้นบนสุดแต่ก็ไม่ได้หันกลับมาแต่อย่างใด
     

    “แกน่ะ ไม่ผิดหรอก คนที่ผิดน่ะฉันเอง”
     

    “.............”
     

    “ผิดตั้งแต่ที่ทำให้แกเกิดมาแล้ว”
     

    “............”
     

    “เกิดมาโดยไม่เคยรู้เลยว่าพ่อตัวเองหน้าตาเป็นยังไง .. ผู้ชายคนนั้นมันก็แค่ลูกคนรวยที่หาเศษหาเลยไปวันๆ ฉันก็แค่นักร้องในผับที่เกิดอยากเล่นด้วยชั่วครั้งชั่วคราว แต่รู้ไว้เลยนะ แค่แกคนเดียว ฉันเลี้ยงได้อยู่แล้ว”

     

     

     

    “และตอนนี้ไม่ว่าแกจะเป็นยังไง ฉันก็รับได้อยู่แล้ว ..เพราะฉันเป็นแม่แก”

     

     

     

    คนฟังไม่คิดจะหันกลับไป แพคฮยอนเดินขึ้นชั้นบนแล้วเลี้ยวเข้าห้องนอนตัวเองไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้หรอกว่าแม่จะร้องไห้แบบแต่ก่อนไหม ตอนเด็กๆที่แอบเห็นแม่ร้องไห้ก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่พอโตมาแม่กลับไม่ค่อยมีน้ำตาให้เห็น แต่เขานี่สิที่กลับกันเลย

     

    ดูตอนนี้สิ น้ำตามันไหลแบบหยุดไม่อยู่เลย

     

    “แล้วใครเค้าว่าแม่ตัวเองไม่ดีกันเล่าแพคฮา .... ฮึก”

     

     

      

     

     

    ครอบครัวของลู่หานกลับไปนานแล้ว

     

    จงอินนอนคิดทบทวนเรื่องเขากับคริสตัลอยู่บนเตียงกว้างคนเดียว ดีใจจนแทบจะร้องไห้ก็ไม่ปาน เขาอุตส่าห์เข้าใจไปแล้วว่าเธอกับหนุ่มฝรั่งคนนั้นรักกันจนไม่มีที่ยืนให้คนอย่างเขา ไม่เคยเสียใจเพราะทุ่มเทให้ใครเท่านี้ เพราะงั้นเมื่อถึงคราวที่ผิดหวังกับความรักคนที่ไม่เคยแคร์อะไรอย่างคิมจงอินจึงกล้าจะทำเรื่องบ้าบิ่นอย่างการหนีกลับมาเรียนที่เกาหลีได้อย่างไม่ต้องคิด

     

    แต่แล้วสุดท้ายคริสตัลก็ตามเขามา เธอบอกว่าขาดเขาไม่ได้

     

    .. พระเจ้า ที่ได้เค้ากลับมา ลูกกำลังฝันไปรึเปล่า

     

      

     

                   

    ใต้ตึกกว้างของคณะเต็มไปด้วยนักศึกษาที่มีเรียนเช้ากันทั้งนั้น เด็กเอกบริหารหลายกลุ่ม บ้างก็นั่งทำหน้าเครียด บ้างก็นั่งนินทาคนนู้นคนนี้ ยกเว้นก็แต่คิมจงอินที่นั่งอยู่เงียบๆคนเดียว

    ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนสมัยมัธยมปลายที่เขาจะต้องแจกยิ้มหรือทำตัวเป็นคนดีให้ใครๆยกย่องและต้องป๊อบในหมู่สาวๆและครูบาอาจารย์ นี่มันโลกใบใหม่จริงๆแล้วสินะ

     

    ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่หลายสายตาที่มองมาทำไมเขาจะไม่รู้ จงอินทำหน้าเหนื่อยใจก่อนจะลุกไปห้องน้ำระหว่างที่รอเพื่อนรักทั้งสองคนซึ่งยังไม่โผล่มาเลย

     

    “เฮ้ย!

     

    ใบหน้าคมตื่นตกใจเมื่อจู่ๆก็มีมือของใครที่มากกว่าหนึ่งคนมาดึงเขาเข้าไปตรงด้านนอกของตัวตึก จงอินหันมามองก็พบว่าเป็นคนที่เขาเคยเจอมาแล้ว .. เพื่อนของแพคฮยอนทั้งสองคน

     

     

    ทางด้านลู่หานและมินซอกที่เดินมาจากไกลๆเมื่อเห็นว่าจงอินถูกใครที่ไม่รู้จักดึงเข้าไปข้างตึกด้านนอกก็เกิดสงสัยขึ้นมา
     

    “เฮ้ย .. มินซอก นายเห็นอะไรมั้ย”
     

    “เห็นสิ เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
     

    ทั้งสองวิ่งตามกันไปยังคนทั้งสามที่หลบไปอีกทางแล้ว มินซอกเดินนำลู่หานเพื่อตรงเข้าไปหาจงอินเผื่อว่ามีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากล แต่แล้วแขนข้างหนึ่งก็ถูกลู่หานรั้งเอาไว้ก่อน
     

    “อะไรของนาย....”
     

    “ชู่ววววว .. เบาๆสิ แค่ตรงนี้ก็พอได้ยินแล้ว ดูท่าคงไม่มีอะไรหรอก”
     

    “ลู่หาน”
     

    “เบาๆสิมินซอก ฟังสิว่าพวกนี้พูดอะไรกับจงอินมันน่ะ”
     

    ลู่หานพยักหน้าให้มินซอกอย่างมั่นใจเหลือเกินกับการแอบฟังว่าน่าจะดีกว่าโผล่เข้าไป ร่างสูงโปร่งออกแรงดันให้คนตัวเล็กกว่าต้องแนบตัวไปกับผนังตึกฝั่งที่คนพวกนั้นไม่สามารถมองเห็นได้

     

     

     

    “ทำอะไรน่ะ” จงอินดึงแขนตัวเองออกจากการเกาะกุม ท่าทางของคนทั้งสองนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเป็นมิตร
     

    “สวัสดี นายคิมจงอินสินะ จำพวกเราได้รึเปล่า” คยองซูถามคนที่เอาแต่ทำหน้าเฉยใส่พวกเขาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
     

    “พวกนาย ....” จงอินเหมือนกำลังคิด แต่เซฮุนกลับเป็นฝ่ายรำคาญใจแทน
     

    “พวกฉันเป็นเพื่อนแพคฮยอน ฉันชื่อเซฮุน ส่วนนี่คยองซู”
     

    “อืม จำได้สิ”
     

    “อ้าว แล้วทำท่าคิดซะ”
     

    “เซฮุน...” คยองซูปรามเพื่อนที่ทำหน้าเหมือนไม่พอใจอีกฝ่ายเท่าไหร่ ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มๆ

     

    คยองซูพยายามทำใจดีสู้เสือเพราะพอมาอยู่ใกล้ๆผู้ชายคนนี้มันก็เหมือนคุยกันคนละภาษายังไงไม่รู้ แล้วจะมาขอร้องให้ช่วยติวให้เพื่อนเขาอีกนี่มันก็ออกจะมากเกินไปหรือเปล่านะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาถอดใจ

     

    “คืองี้นะ พวกฉันมีเรื่องรบกวนน่ะ ไม่รู้ว่านายจะตกลงไหม..........”

     

     

     

      

     

     

    แพคฮยอนนั่งสัปหงกในคลาสเรียนวิชาเพศศึกษาที่ไม่ต้องเอาเป็นเอาตายเขาก็คิดว่าผ่านมันไปได้อยู่แล้ว เซฮุนกับคยองซูที่นั่งขนาบเขาทั้งสองข้างนั้นมีท่าทีแปลกๆแต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร

     

    “เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ” คยองซูถามแพคฮยอน
     

    “ก็ ไม่เชิงหรอก มัวแต่แก้งานให้หมอนั่นอยู่น่ะสิ”
     

    “เค้าชื่อจงอินก็เรียกจงอินดีๆสิแพคฮยอน มึงนี่พูดไม่ค่อยดีเลยอ่ะ” คยองซูตำหนิเพื่อนรัก ทำให้คนฟังต้องเบิกตากว้าง
     

    “มึงกินยาผิดป่ะวะคยองซู  เข้าข้างมันมากกว่ากูได้ไง
     

    “ก็ เอ่อ เปล่าเว้ย กูพูดไปตามเหตุตามผล” คยองซูยักไหล่ก่อนจะหันหน้าไปยังอาจารย์ที่หน้าห้อง แพคฮยอนเบ้ปากแล้วหันมาทางเซฮอุนแทน
     

    “มองกูทำไม” หน้าตายๆเอ่ยถาม
     

    “มึงว่าคยองซูแปลกๆมั้ย”
     

    “ก็ไม่นี่หว่า” เซฮุนโกหกออกไปอย่างแนบเนียน พวกเขาก็แค่ยังไม่ได้บอกแพคฮยอนต่างหากล่ะว่าไปขอร้องให้จงอินช่วยติวให้เจ้าตัว ไว้จังหวะเหมาะๆค่อยบอกแล้วกัน ก็เพราะฝ่ายนั้นรับปากมาแล้วน่ะสิ คยองซูจึงเข้าใจว่าจงอินก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรอย่างที่คิด

     

     

    “แปลกๆนะพวกนี้ .. เข้าข้างกันเข้าไป”

     

    แพคฮยอนพูดกับตัวเองเบาๆก่อนจะไม่สามารถทานทนกับความง่วงได้จึงก้มฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ

     

    .. เก็บแรงไว้เถียงกับหมอนั่นตอนเย็นดีกว่า

     

     

     

     

     

     

     

    “เรื่องที่หนึ่ง เรื่องที่สอง แล้วก็นี่สรุปของทั้งหมด ... อืม ใช้ได้แฮะแพคฮยอน”

    ชายหนุ่มนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะใต้ตึกคณะ เขาพูดกับตัวเองพลางมองผลงานที่อุตส่าห์อดตาหลับขับตานอนแก้ไขใหม่ให้ออกมาดีขนาดนี้

     

    เวลาล่วงมาถึงยามเย็นซึ่งเป็นเวลานัดกันทำงาน แม้จะไม่ได้นัดกันทุกวันแต่ช่วงนี้ก็ถือว่าถี่พอสมควร เพราะมันใกล้จะเสร็จแล้ว แพคฮยอนมานั่งรอจงอินก่อนเวลานัด แต่สักพักพอเข็มนาฬิกาเริ่มเดินผ่านเวลานัดมามากแล้วรอยยิ้มก็เริ่มจางหายไป

     

    “ทำไมยังไม่มาวะ” แพคฮยอนรอแล้วรออีกแต่แล้วก็ต้องหมดความอดทน เขากดโทรหาอีกฝ่ายแต่ดันไม่มีรับสาย แพคฮยอนหงุดหงิดขึ้นมาทันที ความอดทนของเขามีขีดจำกัดนะ

     

    เมื่อวานบอกจะไปส่งที่บ้านแต่ไม่ไปก็พอเข้าใจว่ามีธุระด่วน แต่นี่อะไรจู่ๆอยากหายก็หายไปไม่บอกไม่ลาอะไร ทิ้งให้คนที่อุตส่าห์แก้งานดึกดื่นมานั่งรอจนเหงือกแห้งแบบนี้เนี่ยนะ

     

    “แม่งเอ๊ย .. ถ้าไม่รีบจะเอาแล้วเร่งกูมาเพื่อ” แพคฮยอนหงุดหงิดสุดจะทน เหมือนกำลังปล่อยให้ความคิดแปลกๆมามีอิทธิพลได้

     

                   และหลังจากที่นั่งตีโพยตีพายอยู่คนเดียว สักพักก็เกิดเงียบไป ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆอย่างผิดหวัง มือบางค่อยๆเก็บเอาเอกสารกองหนาใส่กระเป๋าเป้ตัวเอง

     


     

                   แพคฮยอนออกมาจากที่ตรงนั้นและเดินเอื่อยไปตามทางที่มุ่งออกไปสู่ประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัย วันนี้เป็นวันแรกของการเริ่มงานพิเศษใหม่ กว่าจะค่ำก็คงต้องหาอะไรแถวนี้กินไปก่อน ส่วนเรื่องที่ถูกผิดนัด เขาจะคิดซะว่าตัวเองโชคร้ายเองก็แล้วกัน .. แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ก็ยังถูกความรู้สึกบางอย่างจู่โจมโดยไม่รู้ตัวอยู่ดี

     

     

    พอก้าวพ้นประตูใหญ่ออกมาสายตาก็สะดุดกับแผ่นหลังของใครบางคน

     

    .. จงอิน

     

    “อ๊ะ จง........”

    แพคฮยอนอ้าปากจะตะโกนเรียกให้คนที่อยู่ห่างออกไปหันมารับคำด่าจากเขาเสียหน่อย แต่ปากเล็กๆก็ต้องอ้าค้างอย่างนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่คนเดียว

     

                  จงอินอยู่ห่างจากแพคฮยอนไปไม่เท่าไหร่และหากหันมาก็คงเจอกัน ร่างเล็กบังคับขาตัวเองให้ขยับหลบมาพิงกำแพงอีกทางเอาไว้ แพคฮยอนเกือบลืมหายใจกับภาพที่เห็นว่าจงอินกำลังอยู่กับใคร

     

                  ผู้หญิงคนนั้น เขาจำได้ดี ก็เห็นออกบ่อย .. ในกระเป๋าสตางค์ของจงอิน

     

                 แพคฮยอนยืนนิ่งกับตัวเองอยู่ข้างกำแพงใหญ่ ก่อนที่แผ่นหลังจะขยับออกห่างจากตรงนั้นเพราะอดไม่ได้ที่จะแอบมองดูอยู่ห่างๆ

     

                หญิงสาวรูปร่างสูงสมส่วน ผอมบาง ผมดำสลวยเหยียดตรงมาถึงแผ่นหลัง ใบหน้าเรียวเล็กขาวใส แต่ความน่ารักนั้นกลับแฝงไปด้วยความดูดีในแบบที่ผู้หญิงน่ารักทั่วไปนั้นไม่มี

     

    อาจเป็นเพราะผู้คนเริ่มบางตาแพคฮยอนจึงเห็นสองคนนั้นชัดเจน และเสียงที่พูดกันเขาก็พอจะเข้าใจได้ ตอนนี้หญิงสาวกำลังถือโทรศัพท์มือถือขึ้นเพื่อถ่ายรูปคนตรงหน้าที่เหมือนจะถูกบังคับให้ยิ้ม
     

    “จงอินอ่า .. ยิ้มหน่อยสิ มากกว่านี้ไม่ได้รึไง”
     

    “ก็ยิ้มแล้วไง อย่าแกล้งกันน่าคริสตัล”
     

    “ไม่ได้แกล้งซักหน่อย กว่าจะเจอกันอีกทีคราวหน้าก็คงหลายเดือน ฉันอยากเก็บรูปนายตอนยิ้มๆไว้ดูแก้คิดถึง”
     

    “ดูพูดเข้า อย่างกับว่าเธอไม่มีงั้นแหละนะ”
     

    “โถ่ .. จงอิน นิดนึงน่า” เสียงหวานเอ่ยอ้อนก่อนจะยิ้มกว้างอย่างเหนือกว่าเมื่ออีกฝ่ายยอมทำตาม เพราะถึงจะหน้าบอกบุญไม่รับและพูดอย่างนั้นแต่ชายหนุ่มกลับเหมือนคนเต็มใจให้ถูกบังคับ ดูๆไปคนทั้งคู่ก็น่ารักไปอีกแบบ .. อีกแบบที่คนรักที่ไหนเค้าก็ทำกัน
     

    “โอ๊ย ...” เสียงทุ้มร้องเบาๆเมื่อขยับไปชนกับต้นไม้ข้างๆ
     

    “จงอิน เป็นไรมากมั้ย”
     

    “เฮ้อ ก็เธอน่ะสิให้ขยับอะไรนักหนา ฉันไม่ได้มาถ่ายแบบนะ”
     

    “ขอโทษๆ ฉันก็แค่อยากได้หลายๆมุมนี่นา เจ็บตรงไหนมั้ย”
     

    “มันโดนแผลที่หัวน่ะ แต่ไม่เท่าไหร่หรอก”จงอินยิ้มให้อย่างไม่รู้สึกอะไร แต่คริสตัลกลับขมวดคิ้วกลับไป
     

    “ไม่เป็นไรได้ไง ดูซิ ผ้าปิดแผลหลุดแล้ว” พูดไม่ทันขาดคำหญิงสาวก็เดินกลับไปในรถเพื่อหยิบเอาอุปกรณ์ทำแผลออกมา

     

                  ทั้งสองนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างทางโดยที่อีกคนนั่งนิ่งขณะที่อีกคนจะตั้งอกตั้งใจกับการเปลี่ยนผ้าปิดแผลให้อย่างเบามือ

     

     

     

    แพคฮยอนแอบมองคนทั้งคู่อยู่พักใหญ่โดยไม่รู้ตัว แม้ว่าคนจะเดินผ่านไปผ่านมาหรือชนเข้ากับเขาที่ยืนขวางทางอยู่ก็ไม่คิดจะสนใจ รับรู้แค่เพียงอย่างเดียวคือสองคนข้างหน้า 

     

    และพอจงอินกับคริสตัลลุกยืนและหันกลับมาทางนี้เขาก็รีบหลบมาทางเก่า แล้วเสียงเครื่องยนต์สตาร์ทก็ดังขึ้นทำให้แพคฮยอนต้องรีบโผล่หน้าออกไปอีก

     

    รถคันสีดำวาววับพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าพร้อมกับคนทั้งคู่

     

    แพคฮยอนเผลอก้าวตามไปเร็วๆก่อนจะรีบหยุดขาทั้งสองข้างลง เขาคงไม่บ้าวิ่งตามรถคันนั้นไปหรอกใช่ไหม ร่างของชายหนุ่มยืนมองตามท้ายรถคันนั้นไป สองมือจับแน่นอยู่ที่สายกระเป๋าเป้ของตัวเอง ความรู้สึกที่เหมือนกำลังดิ่งลงไปที่ไหนสักแห่งกำลังแล่นปราดเข้ามากลางใจ

     

    สรุปว่ากำลังผิดหวังเรื่องถูกผิดนัด .. หรือเรื่องอะไรกันแน่

     

     

     

    และแล้ว ท่วงทำนองที่ไม่ได้ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรก

    ก็เข้าสู่ช่วงจังหวะที่หน่วงลงมา

    เสียงของหัวใจกำลังบอกว่า .. มันเริ่มจะไม่สนุกแล้วสิ

     

     

    .

    .

    Tbc. Part 8

     

     

     

     

     

    ไม่แก้ตัวอะไรเลยที่ดองนานแบบนี้ (ถูกฟิคเรื่อง #ดอกไม้เหงา สูบพลังค่ะ) โทษทีๆ TT
    นี่ตอนนี้พระนายไม่ได้เข้าบทกันเลยอ่ะ คนเขียนเพิ่งนึกได้ ==
    พาร์ทนี้ก็ไม่ยาวเนอะ แต่จะเป็นการปูทางไปสู่ ..... จุดจุดจุด  ไม่บอก (จริงๆคนอ่านเดาได้ 555)

     

    เรื่องนี้คิดแท็กไม่ออกเลย ตอนนี้ก็เลยได้มา2อันที่คงใช้จริงๆและไม่ไปซ้ำคนปกติให้มากมาย
     #จอบ   #ใจกระตุก (อันหลังเพื่อนฟุ้งตั้งให้อีกละ ^^)

     

    ก็นะ จงอินมันทำให้แพคฮยอนใจกระตุกตลอดเวลาจริงๆนั่นแหละ แล้วล่าสุดนี่อะไร

    อินุ้งแบคใบ้แดกเลยมั้ยนั่น ตอนยืนมองเค้าขับรถออกไปกัน แทบอยากวิ่งไปเขย่าๆแล้วถามว่า “โอเคมั้ยคะลูก!! ฮรอลลลลลลลลลลลลลล  ฟิคเรื่องนี้มันคืออะไร

     

    ใบ้ให้นะคะว่า เรื่องนี้เหมือนจะมีอะไร แต่ไม่มีอะไรนะ .... หือ??

     

     

    จะ จะ เจอกัน พาร์ท หน้า ค่ะ ขอเวลาไปชงก่อน T^T


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×