คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Broken in silence .. // 4 //
.. Chapter 4 ..
ล่องลอยอยู่ในความฝันที่เป็นดั่งความจริงอันแสนเจ็บปวด .. ไม่สิ มันคือความจริงที่ยากจะยอมรับต่างหากล่ะ
ค่ำคืนยามหลับใหลผ่านไปอีกครา รุ่งอรุณวันใหม่ที่เป็นอยู่อย่างเก่านั้นพัดพาความว้าเหว่เข้าสู่หัวใจดวงน้อยมากขึ้นเป็นเท่าตัว ใบหน้าขาวผ่องกะพริบตาถี่ๆเมื่อแสงแดดอ่อนแทรกผ่านผ้าม่านข้างเตียงนอนเข้ามาปลุกให้ทั้งร่างเริ่มขยับเพียงนิด เช้าที่ลืมตาตื่นก็ยังพบแค่ตัวเองคนเดียวอย่างเดิม ความรู้สึกชาไปทั้วตัวจู่ๆก็กลับมาหาอีกครั้ง อยากลืมบางเรื่องบางอย่างไป แต่พอหลับตาผ่านนิทรามาทีไร หัวใจมันต้องซึมซับเอาเรื่องเดิมกลับเข้ามาทุกที นึกถึงครั้งแรกที่พบกันแล้วก็คิดถึงอย่างยากจะห้าม
.. เตียงที่คุณเคยแย่งผมนอน เตียงที่เราเคยนอนด้วยกัน
น้ำตาเม็ดโตหล่นลงบนหมอนใบนุ่มเมื่อนึกถึงทุกสิ่งทุกอย่าง
ปกติแล้วคนอย่างเขา คนอย่างอีซองมินที่อ่อนต่อโลก แต่แท้จริงแล้วมีความเข้มแข็งเต็มเปี่ยมกว่าใคร .. เขาคนเดิมหายไปไหน ทำไมถึงได้เหลือเพียงแค่คนอ่อน
“ฮึก ...”
คิมคิบอมที่ดูจะหวังดี ก็จากไปเพราะหมดหน้าที่ แล้วคนๆนั้นที่เคยบอกว่าทุกอย่างมันเป็นหน้าที่ของหัวใจ มันก็คงหมดไปแล้วเหมือนกันงั้นสินะ คนพวกนี้มีดีก็แค่หลอกลวง เข้ามาทำร้ายชีวิตของคนอื่นให้ต้องว้าวุ่น
.. คุณมันใจร้ายอย่างนี้กับทุกคนรึเปล่านะคยูฮยอน
ความปวดร้าวแล่นเข้ามากลางศีรษะทันทีที่เริ่มฟุ้งซ่าน ซองมินลุกขึ้นนั่งท่ามกลางผ้าห่มสีขาวบนเตียงนอนของตัวเอง ร่างเล็กสะบัดความคิดออกจากหัวตัวเองให้หมดพลางนึกไปถึงเรื่องเมื่อคืน หลังจากที่กลับจากร้านไอศกรีมกับรยออุค พออีกฝ่ายกลับไปเขาก็เผลอหลับไปเลยได้ไงกันนะ
“เฮ้อ .. เมื่อคืนคงจะหนาวเกินไปล่ะมั้ง” ว่าแล้วก็ดันตัวเองออกมาจากเตียงก่อนจะได้นอนไปอีกรอบเพราะอากาศเย็นอย่างนี้เลยพาลจะขี้เกียจขึ้นมาดื้อๆ เช้านี้มีออร์เดอร์ของลูกค้าที่ค้างเอาไว้เสียด้วยสิ ไม่รีบลุกเดี๋ยวจะแย่เอาได้ ซองมินจัดการกับตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อจะออกไปเปิดหน้าร้านเอาไว้และจัดการกับงานของตัวเองตามปกติอย่างทุกวัน
“หวัดดีครับคุณซองมิน”
เสียงใสของหนุ่มน้อยรยออุคตะโกนผ่านเข้ามาก่อนตัวเสียอีก โค้ทตัวยาวและใหญ่กว่าร่างของเขาถูกถอดออกเมื่อพบความอบอุ่นภายในร้าน ซองมินยิ้มกว้างไปให้ขณะที่สองไม้สองมือเต็มไปด้วยดอกไม้ช่อใหญ่ที่เขาเพิ่งอุ้มมันออกมาจากถังแช่ เห็นอย่างนั้นผู้มาใหม่จึงตรงเข้าช่วยอีกแรง
“ไม่เป็นไรหรอกรยออุค ฉันยกเองได้ เดี๋ยวจะจัดของคุณมินจีแล้วก็ตามด้วยของร้านฟลอเซ่ อ้อ แล้วก็นะ ของร้านเค้กพี่ฮีชอลเมื่อวานนี้ฉันเก็บไว้แล้ว เหลือแค่เอาไปส่งที่ร้าน” ซองมินอธิบายจบคนฟังก็พยักหน้าตามอย่างเดียว
“งั้นอันหลังที่ยังจัดไม่เสร็จ เดี๋ยวผมช่วยนะ”
“อื้ม งั้นก็ได้” คุณเจ้าของร้านตรงไปยังอีกมุมเพื่องานทำในส่วนของตัวเอง ขณะที่อีกคนจะคอยรับลูกค้าที่เริ่มแวะเข้ามาอย่างปกติเหมือนทุกวันและจัดการกับงานของตัวเองที่อาสาไปด้วย ท่าทางของเด็กหนุ่มที่ขยันขันแข็งทำให้ซองมินต้องอมยิ้มออกมา และพอถึงเวลาที่ต้องเอาของไปส่ง ซองมินก็นึกได้ว่าเขาควรจะไปเองดี
“นี่รยออุค ฉันจะเอาดอกไม้ไปส่งที่ร้านพี่ฮีชอลให้เองนะ”
“อ้าว .. ทำไมล่ะครับ ไว้เดี๋ยวผมไป”
“จะไปได้ไงล่ะ เห็นมั้ยว่านายยังไม่ว่างเลย ทำไปเหอะน่า เดี๋ยวฉันก็มาแล้ว ต้องรีบมารับลิลลี่ล็อตใหม่ที่คุณฮยอนอาจะมาส่งให้ด้วย”
“ก็ได้ครับ รีบไปรีบมาล่ะ”
“โอเค” ซองมินส่ายหน้านิดๆกับท่าทางที่ห่วงกันเกินไปแล้วของรยออุค แต่เขาก็รู้ดีว่ามันคงเพราะความมีน้ำใจและเป็นคนดีของอีกฝ่ายมากกว่า
มอเตอร์ไซค์คันเล็กถูกลากออกมาจากด้านข้างของร้าน อากาศเย็นคงทำให้มันไม่อยากจะถูกใช้งานมากนัก ซองมินยิ้มให้ราวกับมันมีชีวิต หมวกกันน็อคสีชมพูอ่อนก็ถูกใช้งานอีกครั้งเช่นกัน ระหว่างที่เขาขี่ผ่านไปเรื่อยๆนั้นไม่มีอะไรผิดปกติแต่อย่างใด จะเว้นก็แต่ห้วงความคิดที่คะนึงหาอีกคนซึ่งเคยซ้อนท้ายมาด้วยกัน เคยมาส่งดอกไม้ด้วยกัน เคยมานั่งรถเล่นด้วยกัน ไม่นานนักซองมินก็มาถึงร้านเค้กที่เขา
ภายในร้านนอกจากส่วนที่ให้ลูกค้านั่งแล้ว ด้านในถัดไปก็เป็นตู้กระจกที่เรียงรายไปด้วยเค้กหน้าตาน่ารักน่าทาน ข้างๆคือเคาน์เตอร์ที่ร่างเพรียวของเจ้าของร้านกำลังยืนวุ่นอยู่กับบัญชี ซองมินมองสองสาวในชุดเมดน่ารักเดินผ่านเขาไปมาเพื่อเตรียมงานอย่างคล่องแคล่ว ไม่นานนักคนที่ก้มหน้าอยู่หลังเคาน์เตอร์ก็เงยขึ้นพอดี
“ซองมิน!” ชายหนุ่มตะโกนข้ามมาหาซองมินที่ยังยืนอยู่ ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามออกมา
“พี่ฮีชอล”
“ว่าไง ไม่ได้เจอนานเลยนะ วันนี้มาส่งเองเหรอ”
“ครับ”
“ว่าแต่พ่อหนุ่มคนนั้นล่ะ”
“รยออุคไม่ว่างน่ะครับ เลยปล่อยให้วุ่นอยู่ที่ร้านแทน”
“หือ .. เปล่าๆ พี่ไม่ได้หมายถึงรยออุค”
“แล้ว.....”
“พี่หมายถึงพ่อหนุ่มรูปหล่อที่เคยมากับนายสองสามครั้งน่ะ ไม่มาด้วยล่ะ” ซองมินได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกกระตุกอยู่ในใจไปบ้าง เขายิ้มน้อยๆแทนคำตอบให้กับพี่ชายตรงหน้าที่ไม่ได้เจตนาจะให้เขาคิดอะไร
“คยูฮยอนน่ะเหรอครับ เค้ากลับบ้านที่โซลแล้วล่ะครับ”
“งั้นหรอกเหรอ” ฮีชอลทำหน้าสงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรต่ออีก เขาเรียกให้สาวสวยคนหนึ่งเอาน้ำผลไม้ปั่นมาเสิร์ฟให้ซองมินที่นั่งรอเขาเข้าไปเอาเงินค่าดอกไม้ ซองมินนึกขอบคุณที่ฮีชอลก็เป็นอย่างตนที่บังเอิญว่าไม่รู้จักโจวคยูฮยอน เขาจึงไม่จำเป็นจะต้องตอบคำถามที่ไม่อยากจะตอบหรือพูดถึงมันอีก
“เฮ้อ...” ถอนหายใจเบาๆที่โต๊ะตัวเล็กมุมหนึ่งของร้านพลางก้มลงดูดน้ำผลไม้ปั่นด้วยหลอดสีสวยตรงหน้า เขาไม่อยากจะฟุ้งซ่านระหว่างที่รอ จึงฆ่าเวลาด้วยการหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ใกล้ๆขึ้นมาอ่าน มือบางเปิดมันไปทีละหน้าอย่างเชื่องช้าโดยไม่ได้คิดจะสนใจอ่านเนื้อหาในนั้นเท่าไหร่นัก .. และไม่รู้ว่าสวรรค์แกล้งหรือเพราะความบังเอิญกันแน่
เขาเปิดไปได้ไม่กี่หน้าก็ต้องหยุดลงพร้อมกับลมหาย
ข่าวที่พูดถึงพิธีมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ระหว่างลูกชายของนักการ
เด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยวิ่งไปมาระหว่างหน้าร้านกับหลังร้านโดยไม่บ่นอะไรสักคำ ร้านใกล้ปิดแล้วลูกค้าจึงหมดไป มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ช่วย
“นี่รยออุค ฉันจะไม่อยู่ซักวันสองวันนะ วันนั้นร้านคงปิด” ซองมินบอกพร้อมกับยิ้มให้อย่างเคย แต่ท่าทางแปลกๆมากกว่าที่ทำให้คนฟังต้องหยุดหันมามอง รยออุคเริ่มจะสงสัยและอยากรู้ว่าเพราะอะไร เขาไม่อยากละเลยหน้าที่ของตัวเองที่ได้รับมา
“คุณซองมินจะไปไหนครับ”
“ก็ .. พอดีมีธุระที่ต่างจังหวัดนิดหน่อยน่ะ”
“งั้นให้ผมไปด้วยได้รึเปล่า ผมอยากไปเที่ยวที่อื่นมั่งน่ะครับ” รยออุคเอ่ยถามออกไปโดยไม่นึกถึงมารยาทอะไรทั้งนั้น เวลานี้เขาไม่มีทางเลือก รู้แค่อย่างเดียวคือปล่อยให้อีกฝ่ายไปคนเดียวไม่ได้แน่ๆ ใบหน้าใสซื่ออย่างไม่มีเจตนาร้ายนั้นทำให้ซองมินไม่ได้ถือสาอะไร เขาจึงได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดูมาให้
“ไม่เป็นไรหรอก ไว้วันหลังเราค่อยไปเที่ยวกันใหม่ก็ได้นี่ ครั้งนี้ไม่สนุกหรอก
“แต่ผมเบื่อนี่ครับ ตั้งแต่มาอยู่นี่ก็ไม่ได้ไปไหนเลยนอกจากกลับบ้านที่โซลแค่บางครั้ง ผมเลยเบื่อสองที่นี้จะแย่อยู่แล้ว .. น่านะคุณซองมิน ให้ผมไปด้วยเหอะนะครับ” ซองมินถอนหายใจเบาๆและเผลอยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ก็อยากให้ไปด้วยหรอกนะ แต่นายเบื่อโซลกับที่นี่แล้วคงยิ่งไม่สนุกไปใหญ่”
“หือ ทำไมล่ะครับ...”
“ก็เพราะว่าต่างจังหวัดที่ว่าน่ะ คือโซลไงรยออุค” ซองมินเอื้อมมือมาแตะที่ไหล่คนตรงหน้าเบาๆเป็นเชิงขอโทษที่พูดไม่ชัดเจน
“โซล คุณซองมินจะไปโซลเหรอครับ”
“อื้ม เพราะงั้นไว้วันหลังเราค่อยไปเที่ยวที่อื่นกันนะ ครั้งนี้ฉันขอตัวซักวันสองวันละกัน” พูดจบจู่ๆเสียงโทรศัพท์ในร้านก็ดังขึ้น ทำให้คุณเจ้าของร้านต้องวิ่งไปรับ ทิ้งให้ลูกน้องคนเก่งยังคงยืนค้างอยู่อย่างเดิม สีหน้าของรยออุคเปลี่ยนไปราวกับคนละคน แววตาอย่างคนใช้ความคิดเข้ามาแทนที่ความใสซื่อก่อนหน้านี้ที่แสดงออกไป
.. นายพลาดได้ยังไงกัน
คนแพ้ถอนหายใจกับตัวเองที่พลาดท่าให้อีกคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย คุณซองมินของเขาออกจะแสนดีและไม่ได้เจตนาจะหักลำกันแบบนี้ แต่คนที่ทำงานแทบจะไม่เคยพลาดเลยอย่างคิมรยออุคกลับต้องมาเสียท่าให้กับเรื่องเล็กๆของผู้ชายธรรมดาคนนี้ นี่สิที่ไม่น่าให้อภัย แล้วเขาต้องทำยังไงล่ะ รอดูวันนั้นก่อนน่าจะดีที่สุด
ไม่กี่วันผ่านไปกับใจของคิมรยออุค ที่ต้องคอยเฝ้าจับตาดูว่าเจ้านายคนน่ารักของเขาคนนี้จะไปธุระเมื่อไหร่ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมบอกอะไรเลย บอกแค่ถึงวันแล้วจะบอกเท่านั้น แต่มันคงเป็นเรื่องบังเอิญอีกมากกว่าที่ซองมินไม่ได้บอกอะไร
รยออุคก่อนไป ถ้าจะโทษก็เพราะจิตใจของเขาเองที่มันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนลืมจะบอกกล่าวลูกน้องคนสำคัญ
ร่างเล็กของรยออุคในโค้ทตัวยาวเดินฝ่าอากาศหนาวเพื่อตรงไปยังร้านดอกไม้แห่งเดิมที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเขาไปแล้ว มือข้างหนึ่งหิ้วถุงลายน่ารักที่ข้างในมีเค้กของร้านคุณฮีชอลมาด้วย แม้สิ่งเล็กๆน้อยๆที่นับ
หวังว่าขนมหวานๆชิ้นนี้จะทำให้อีซองมินยิ้มออกมาจากความรู้สึกจริงๆ แม้จะเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ตาม สองขาก้าวผ่านมาตามทางเรื่อยๆจนถึงหน้าร้าน แต่แล้วสิ่งที่รยออุคหวังเอาไว้กลับพังทลายลงอย่างไม่คาดคิด
“นายพลาดอีกแล้ว...”
เขากัดฟันบอกกับตัวเองเมื่ออ่านกระดาษที่แผ่นหนึ่งที่ประตูหน้าร้าน
- ขอโทษนะรยออุคที่บอกช้าไป วันที่ร้านปิดก็ถือว่าพักผ่อนแล้วกันนะ ไว้เจอกัน
“โธ่เว้ย!!”
ถึงแม้ไม่ได้อยากจะมาร่วมแสดงความยินดีจากใจ แต่เขาก็ขอเลือกที่จะทำตามหัวใจตัวเองอีกครั้ง ซองมินไม่ได้คาดหวัง แค่อยากได้ยินชัดๆ เพื่อที่ความเชื่อใจที่ยังหลงเหลืออยู่จะหมดไปเสียที
รั้วสูงตระหง่านของบ้านหลังใหญ่เปิดรับแขกเหรื่อมากมายเข้าสู่พิธีวิวาห์ที่จัดขึ้นภายใน ความกว้างของอาณาบริเวณและความโอ่อ่าของสถานที่ได้โอบล้อมแขกมีระดับเอาไว้ ร่างเล็กในชุดสูทดูดีที่ชีวิตนี้แทบจะไม่ค่อยได้ใส่เลยนั้นกำลังยืนมองอยู่อีกฝั่งของรั้วบ้านหลังใหญ่ เขาไม่นึกหรอกว่าทำไมพิธีได้ถูกจัดขึ้นที่บ้านของฝ่ายชาย แต่ที่นี่ก็เหมาะที่สุดแล้วล่ะมั้ง ซองมินยืนมองแขกที่ทยอยเดินผ่านเข้าไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มกำลังใช้ความคิดว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะผ่านเข้าไปได้ ไม่มีบัตรเชิญอย่างเขาขืนเดินเข้าไปมีหวังแย่แน่ๆ คิดแล้วก็เดินข้ามไปที่ฝั่งนั้นแล้วยืนหลบมาอีกด้านเมื่อเห็นสายตาแปลกๆจากบอดี้การ์ดร่างใหญ่หน้างานที่มองตรงมาหาเขา ซองมินถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก แต่อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว จะกลับออกไปก็คงไม่ใช่เรื่อง วูบหนึ่งในความรู้สึกกำลังบอกว่าตัวเองนั้นเปลี่ยนไป นิสัยตามใครไม่ทันก็ยังเหมือนเดิม แต่นิสัยดื้อดึงและทำในเรื่องโง่เง่าอย่างนี้มันได้มาจากใคร ผู้ชายคนนั้นใช่ไหมที่เข้ามาสอนให้เขารู้จัก
เขาใช้เวลาในการคิดอยู่นานจนไม่รู้ว่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาสักพักได้แล้ว ใบหน้าหมองเศร้าอย่างคนหมดหวังเงยขึ้นมองผ่านรั้วสูงขึ้นไปยังระเบียงห้องๆหนึ่งที่เคยมีคนใจร้ายออกมายิ้มเยาะให้เขา ด้านล่างที่ตอนนี้มีผู้คนมากมาย แต่ชั้นบนนั้นมีเพียงความว่างเปล่าและท้องฟ้ากับสายลมเอื่อยๆเป็นฉากหลัง ซองมินรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร ที่ตรงนั้นคงไม่มีใครอยู่ ผู้ชายคนนั้นคงไม่ว่างมายืนให้เห็นอย่างที่อยากจะให้เป็น
คนๆนั้น คงกำลังแต่งตัวหล่อในฐานะเจ้าบ่าว
คนๆนั้น คงกำลังมีรอยยิ้มที่มาจากความสุข
และคนๆนั้น .. กำลังจะมีความรักครั้งใหม่
ไม่สิ นี่อาจเป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวของเค้าก็ได้ ผู้หญิงที่โชคดีคนนี้คงมาก่อนนานแล้ว น้ำตาของซองมินแทบจะไหลออกมาให้ได้ เขาจึงรีบก้มลงจัดการปาดมันออก .. ทำบ้าอะไรของนายกันน่ะ ไม่เหนื่อยรึไง
ซองมินสองจิตสองใจอยู่นานว่าจะทำอย่างไรต่อไป จู่ๆความไม่ยอมแพ้ก็แผ่ซ่านไปทั้งตัวอย่างไม่น่าเชื่อ เขาถือโอกาสที่ไม่มีใครสังเกตเดินตามครอบครัวหนึ่งเข้าไป อย่างน้อยลูกชายสองคนที่เดินตามหลังพ่อกับแม่ก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา ชั่วอึดใจเท่านั้นที่สองสามีภรรยาวุ่นอยู่กับโต๊ะผ่านเข้างาน ซองมินใจไม่ดีแต่แล้วก็ถือโอกาสที่คนเยอะได้ก้าวเดินผ่านเข้ามาในงานจนได้ มันยากมากที่ต้องแกล้งทำให้แนบเนียนกับสภาพที่ไม่คุ้นเคย มิหนำซ้ำยังกดดันตัวเองไปเสียหมด .. น่าแปลกนัก บังเอิญเหลือเกินว่าวิธีเชยๆอย่างนี้ที่เห็นในละครมันจะได้ผลเข้าจริงๆ
ร่างเล็กแอบโล่งใจที่สองขาได้เหยียบยืนอยู่ในงานใหญ่โตท่ามกลางแขกเหรื่อและช่างภาพ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาดีใจ มันไม่ใช่สิ่งที่ซองมินต้องการ มันก็แค่ขั้นแรกเท่านั้น บรรยากาศในงานวิวาห์เหมือนกับงานของคนมีชื่อเสียงอย่างที่เขาเห็นบ่อยๆในโทรทัศน์ ซองมินยืนอยู่คนเดียวพลางหันซ้ายหันขวาอย่างทำตัวไม่ถูก คนนอกอย่างเขาจะว่าไปแล้วก็เหมือนกำลังสำคัญตัวผิด
.. หึ อีซองมิน อดทนอีกนิดนะ เดี๋ยวนายก็จะได้มั่นใจเสียทีว่าควรจะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว
เขาชะเง้อมองไปตามจุดต่างๆที่คิดว่าคู่บ่าวสาวจะยืนอยู่ แต่หากว่าถ้าเจอแล้วล่ะ จะต้องแสดงความยินดีออกไปหรือบอกตรงๆว่ากำลังเสียใจ ซองมินพยายามอดทนกับตัวเองให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขานึกขอบคุณคยูฮยอนอยู่ไม่น้อยที่สอนให้ชีวิตธรรมดาๆและขี้ขลาดของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เพราะได้กล้าทำในสิ่งที่แสนโง่เง่าและน่าสมเพชได้อย่างไม่ลังเล
“หึ .. ขอบคุณคนใจร้ายอย่างคุณจริงๆ” เมื่อความคิดลึกๆเข้าครอบงำสติ เขาก็เอาแต่ยืนนิ่ง สายตาทั้งคู่ที่คอยมองหาอีกคนตอนนี้ทำได้เพียงก้มมองพื้นเท่า
..นั่นไง
ซองมินเงยขึ้นอีกครั้งก็พบคยูฮยอนแล้ว เขามองอีกฝ่ายจากที่ไกลๆผ่านผู้
“นี่เธอดูสิ เจ้าสาวหน้าแดงแล้วตอนถูกหอมแก้ม”
“แหงล่ะ เป็นฉันนะคงเขินแย่เลย คุณชายบ้านนี้ก็หล่อเหลือเกิน”
“เหมาะกันดีเนอะ น่ารักจริงๆ”
เสียงพูดคุยกันของสามสาวไฮโซที่ยืนอยู่ไม่ห่างนั้นดังขึ้นให้ซองมินได้ยิน ซึ่งมันก็คือความจริง เพราเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ดวงตาทั้งคู่กระพริบถี่ๆเพื่อไล่น้ำตาที่มันพาลจะไหลออกมาให้หยุดอยู่แค่นั้น ร่างเล็กยืนมองคนทั้งคู่อยู่เช่นกัน สองมือที่จับกันเอาไว้มันกำลังบอกให้เขารู้ว่าทั้งสองรักกันแค่ไหน รอยยิ้มพวกนั้นอีกที่ทำร้ายหัวใจของเขาให้ไม่มีชิ้นดี
.. คุณคงรักเค้ามากสินะ แล้วผมล่ะ ของเล่นชั่วคราวเวลาเบื่อหรือคุณไม่เคยคิดอะไรด้วยเลยแต่แรกแล้ว
เสียงเฮฮาร่วมยินดี เสียงคนพูดคุยกันรอบข้าง ตอนนี้ซองมินแทบจะไม่ได้ยินมันแล้ว เขาอยากออกไปจากที่นี่ ซองมินกำลังอยากกลับบ้าน
“เฮ้นี่..นาย!” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเรียกให้ซองมินรีบหันกลับไปมอง ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“นายเข้ามาได้ยังไง หรือว่า...” ชายร่างสูงที่เคยลากซองมินออกไปจากบ้านหลังนี้ในวันนั้นกำลังจ้องมองมาอย่างเอาเรื่อง บอดี้การ์ดร่างยักษ์มั่นใจว่าตัวเองจำคนตัวเล็กนี้ได้ไม่ผิดแน่
“เอ่อคือ ผมแค่..” ซองมินพูดไม่ออก ก็รู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายจำตัวเองได้ แล้วคนที่เคยถูกโยนออกไปอย่างไม่ไยดี หากมายืนอยู่ตรงนี้คงแปลกเกินกว่าที่เหล่าลูก
“นาย ถ้าคุณท่านรู้ได้เจอดีแน่ .. มานี่” พูดจบมือหนาก็เอื้อมจะคว้ากระชากเพื่อลากเขาออกไป โชคดีที่ซองมินหลบได้ทัน ร่างเล็กถอยหลังออกมาหลายก้าวเพื่อหลีกหนีคนตรงหน้า
“พูดดีๆไม่รู้เรื่องใช่มั้ยฮะ” น้ำเสียงน่ากลัวกัดฟันพูดเบาๆเพื่อไม่ให้แขกเหรื่อในงานได้ยิน ซองมินไม่ฟังเอาแต่ถอยหลังไปจนสุดท้ายก็ชนเข้ากับโต๊ะตัวหนึ่งในงาน ทำให้ไม่สามารถหนีไปไหนได้อีก นอกจากสภาพความเป็นจริงที่เขาไม่มีทางสู้คนตรง
.. นั่นสินะ ผมจะหนีทำไมล่ะ หนีไปเจอคุณเพื่ออะไร ไม่เป็นมีประโยชน์เลย
ในใจนึกถึงใบหน้าของใครบางคนที่เขาจำต้องหันกลับไปมอง คยูฮยอนคงไม่มีทางรู้ว่าสายตาคนที่ไม่ได้ยินดีคนนี้กำลังจับจ้องด้วยแววตาตัดพ้อ ซองมินกำลังจะต้องถูกโยนออกไปข้างนอกอย่างคราวที่แล้ว แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีครั้งต่อไปอย่างแน่นอน บอดี้การ์ดร่างใหญ่ไม่ได้ใจดีให้เวลาเขาใช้ความคิดอะไรอีก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหมดทางจึงรีบหมายจะจัดการให้เสร็จไป
ผลั่ก!!!
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นทำเอาซองมินอดประหลาดใจไม่ได้ ภาพของชายร่างใหญ่ที่เอื้อมมือจะมาคว้าตัวเขาออกไป ในสายตาซองมินกลับถูกแทนที่ด้วยแผ่นหลังของใครบางคนที่เข้ามาขวางเขาเอาไว้ ร่างสูงในชุดสูทแบบเดียวกันนั้นแม้ยังไม่ได้หันมาแต่เขาก็จำได้ดีว่าเป็นใคร
“ทำอะไรของแกน่ะคิบอม”
“หึ .. แกนั่นแหละจะทำอะไร” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามคนตรงหน้าที่จ้องมาด้วยแววตาแข็งกร้าว
“ไม่เห็นรึไง ว่าหมอนี่เป็นใคร แกลืมแล้วเหรอว่ามันเป็นคนเดียวกันกับที่คุณท่านให้เราโยนมันออกไปวันนั้นน่ะ” เพื่อนร่วมอาชีพเอ่ยเตือนความจำให้กับ
“แกนั่นแหละซางจูที่ไม่รู้อะไร” ร่างสูงที่หันหลังบังคนตัวเล็กเอาไว้กลับเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่า ถ้าแกไม่อยากจะหางานใหม่ทำก็ไสหัวไปที่อื่นซะ”
“หนอย แก แกกล้าขัดคำสั่งคุณท่านเรอะ ถ้าคุณท่านรู้มีหวังแกถูกไล่ออกแน่” คำขู่ไล่ออกที่ไม่ว่าใครก็กลัวกันหนักหนาถูกเอ่ยออกมาให้ได้ยิน แต่สำหรับคนฟังแล้วมันช่างไม่มีผลอะไรเลยจริงๆ คิบอมไม่นึกโกรธเคืองอีกฝ่ายเพราะเข้าใจว่าทำไปตามหน้าที่ แต่หากจะโกรธก็คงไม่พ้นความรู้สึกส่วนตัวของเขาเองมากกว่าความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่อยากให้มือคู่นั้นมาแตะต้องคนที่ยืนอยู่ข้างหลังของเขา
“ฉันว่าแกนั่นแหละ ถ้าไม่อยากจะโดนอย่างที่ตัวเองพูดก็อย่ามายุ่งกับคนๆนี้ดีกว่า ถือว่าเตือนแล้วนะซางจู”
“...........”
“ฉันไม่กล้าขัดคำสั่งคุณท่านหรอก แต่ถ้าแกกล้าจะขัดคำสั่งคุณชายก็เอาเลย คุณชายคงไม่เอาแกไว้แน่ถ้าขืนแกยังยุ่งกับแขกของคุณชายอยู่อย่างนี้” พูดจบคนฟังที่กำลังจะเถียงจึงต้องอึ้งไป ไม่ต่างกับคนที่ถูกพูดถึงเลย คำว่าแขกที่คิบอมพูด แม้ซองมินไม่อยากจะเชื่อ แต่แววตาดำสนิทมีแต่ความจริงจังก็ทำให้บอดี้การ์ดร่างใหญ่ยอมเชื่อแต่โดยดี หรืออีกอย่างคือไม่อยากจะเสี่ยงกับการถูกไล่ออก เพราะคนอย่างคิบอมคงไม่คิดล้อเล่นเป็นแน่ ซางจูยอมถอยออกไปจากที่ตรงนี้เพื่อไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ส่วนเรื่องของเจ้านาย ขืนเขาเข้าไปยุ่งก็ไม่มีประโยชน์อะไร ปล่อยให้
ทันทีที่อีกคนเดินจากไปบรรยากาศบริเวณนั้นก็กลับมาอย่างเก่า คิบอมหันกลับมาอย่างไม่รอช้า ซองมินรู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่อีกฝ่ายช่วยเอาไว้ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าคนตรงหน้าจะทำอะไรกับเขาต่อ
“คุณเข้ามาได้ยังไง” ภายใต้ใบหน้าที่ยังคงนิ่งขรึมนั้นได้ฉายความรู้สึกออก
“ฉัน คือ คือว่า...” เสียงหวานหลบตาพลางตอบแบบอ้ำๆอึ้งๆจนคนฟังเหนื่อยใจไปด้วย ร่างสูงที่ถอนหายใจจึงพาลคิดถึงใครบางคนขึ้นมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าปล่อยให้คนตรงหน้าเขามายืนอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“เอาเถอะๆ ไม่ต้องตอบผมหรอก ยังไงตอนนี้คุณรีบกลับบ้านเถอะ .. อยู่ที่มันอันตร.....” คิบอมรีบหยุดปากตัวเองลงเมื่อพลั้งพูดอะไรออกไปไม่คิด ซองมิน
ถึงตรงนี้อาการกล้าๆกลัวๆของเขาก็เริ่มจะหายไป ดวงตากลมโตที่เอาแต่หลบกลับจ้องจะเอาคำตอบกับคนตรงหน้าอย่างไม่นึกกลัวเกรง
“ทำไม คุณชายของนายจะฆ่าฉันงั้นเหรอ” ได้ยินอย่างนั้นคิบอมก็พูดไม่ออก เอาอีกแล้วสิที่คนๆนี้จะคิดเองเออเองไปคนเดียว แต่คิบอมไม่คิดจะโทษซองมินเลย ในเมื่อทุกอย่างเจ้าตัวกลับน่าสงสารที่ไม่ได้ถูกให้รู้อะไรเลยสักนิด
“ก็เอาสิคิมคิบอม ถ้านายกลัวฉันตายเพราะฝีมือเจ้านายของนายล่ะก็ บอกมาตรงๆเลยดีกว่า”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น ....” จะให้เขาบอกหรืออย่างไรว่าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาคงไม่มีทางมามัวยืนพูดด้วยแบบนี้หรอก
ซองมินยืนกำมือแน่นไม่ยอมขยับไปไหน เอาแต่จ้องหน้าคิบอมอย่างไม่ยอมลดละ บอดี้การ์ดหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ คิบอมคิดจะเปลี่ยนเรื่องจึงยิ้มออกมาให้ซองมิน และนั่นก็ทำให้คนอวดดีต้องมีแววตาอ่อนลง
“ไม่เจอกันนานนะ คุณสบายดีเหรอ” ความห่วงใยที่พยายามซุกซ่อนเอาไว้ในใจถูกแสดงออกผ่านเพียงแค่หนึ่งคำถามที่แสนธรรมดา และแน่นอน ซองมินเองก็แค่รู้สึกขอบคุณจากใจอย่างทุกครั้ง
“นายเป็นห่วงฉันเหรอ”
“ก็ ...... ใช่ ผมห่วงแขกของคุณชายทุกคนนั่นแหละ”
.. แต่ไม่ได้คิดถึงทุกคน เหมือนกับที่คิดถึงคุณหรอกนะ อีซองมิน
“งั้นเหรอ งั้นก็ขอบใจ”
“............” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก คิบอมก็โล่งใจที่คนตรงหน้ายังคิดเหมือนเดิม แต่เขาแอบผิดหวังนิดๆที่ซองมินไม่มีทางได้ล่วงรู้บางอย่างในใจของเขา แต่ก็ช่างเถอะ เขาไม่อยากจะคิดอะไรที่ไม่สมกับเป็นตัวเองนักหรอก
“ว่าแต่แขกของคุณชายงั้นเหรอ นายก็รู้ว่าไม่ใช่แล้วจะพูดทำไม”
“งั้นผมถอนคำพูดก็ได้”
“แล้ว ... นายจะโยนฉันออกไปข้างนอกเมื่อไหร่ล่ะ” ซองมินเริ่มทำหน้ากลัวขึ้นมาเสียดื้อๆ เรียกรอยยิ้มจากคิบอมได้ไม่ยาก
“หัวเราะอะไร”
“เปล่า ..ฮะฮะ คุณนี่ก็แปลกดีนะ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวก็ทำหน้าดุ เดี๋ยวก็เหมือนจะร้องไห้ อะไรของคุณกันเนี่ย” คิบอมส่ายหัวไปมาเพราะนึกขำ ซองมินจึงทำหน้าไม่ถูกที่โดนแซวเสียแบบนี้ แล้วบรรยากาศเบาๆก็เข้าแทรกกลางระหว่างคนทั้งสอง สักพักร่างสูงที่เอาแต่ยิ้มรู้สึกตัวขึ้นมาจึงหุบยิ้มนั่นลงไปเสียแทบหมดเพราะเสียงโทรศัพท์ในกะเป๋าที่ดังขึ้น
“รออยู่นี่อย่าไปไหนนะ เดี๋ยวผมมา” คิบอมบอกซองมินก่อนจะเอื้อมมือกดปุ่มรับสายที่ปลายหูฟังอันเล็กซึ่งคาดอยู่ที่หูด้านหนึ่งของเขาแล้วเดินห่างออกไปเพื่อคุยอะไรบางอย่างกับคนในสาย
“ว่าไง มีอะไรแก้ตัว” เสียงทุ้มเอ่ยถามโดยไม่ต้องฟังสิ่งที่เสียงในสายจะบอกเขาเลย คิบอมเดาได้ว่ามันคือเรื่องอะไร
“อย่ามาตลกนะคิบอม พูดแบบนี้รู้แล้วใช่มั้ย”
“เออสิ”
“อย่าบอกนะว่าเค้าอยู่ที่นั่นจริงๆ แล้วนายเจอรึยัง” เสียงในสายร้อนรนแทบทนไม่ไหว แต่คนฟังมีหรือจะเต้นเร่าๆไปด้วย คิบอมถอนหายใจกับความผิดพลาดของเพื่อนตัวเองที่แทบจะไม่เคยมีให้เห็นเลย นึกแล้วก็ขำ กับแค่ผู้ชายธรรมดาตัวเล็กๆคนหนึ่งพวกเขากลับจัดการไม่ได้เลยหรือนี่
“ใจเย็นๆ ตอนนี้เค้าอยู่ที่นี่แหละ”
“ซวยแล้วไง แล้วคุณชายเห็นเค้ารึเปล่า โธ่เว้ย .. นายพาเค้าออกมาเลยนะ ได้ยินมั้ยวะคิบอม!”
“เออๆๆ รู้แล้วล่ะน่า ครั้งนี้จะถือว่าช่วยเพื่อน ถ้าต่อไปพลาดขึ้นมาอีกฉันไม่รู้ด้วยนะ”
“เออ ขอบพระคุณอย่างสูงเลยว่ะ”
“งั้นแค่นี้ก่อนนะเว้ยรยออุค จะรีบพากลับเดี๋ยวนี้แหละ” ว่าแล้วคิบอมก็กดตัดสายไป ร่างสูงเดินวกกลับมาที่เดิมซึ่งเขาเดินจากไปแค่ไม่ไกล แต่แล้วความประ
หน้า .. อีซองมินไม่อยู่ตรงนี้แล้ว
“ให้ตายเหอะคิบอม นายมันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” บอดี้การ์ดหนุ่มสบถกับตัวเองอย่างหัวเสีย ร่างสูงยืนตื้อไปพักหนึ่งก่อนที่จะตั้งสติได้แล้วจึงออกเดินหาคนที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน
พิธีวิวาห์กำลังดำเนินมาถึงช่วงเวลาสำคัญ
แต่สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะช่วงไหนหรือตอนไหน แต่ละนาทีมันก็เจ็บปวดไม่ตางกันเลยสักนิด ซองมินเดินออกมาจากที่ตรงนั้นเพราะความรู้สึกที่ทำให้เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองอาจจะถูกจับโยนออกไปข้างนอกอีก เขาถูกภาพของคนที่รักดึงให้ต้องเดินเข้ามาดูใกล้ๆเพื่อย้ำตัวเองให้จำเอาไว้ ร่างเล็กก้าวเดินต่อไปไม่ไหวจึงอยากจะถอยออกมา แต่แล้วเสียงในใจมันก็คัดค้านขึ้น
ถึงเวลาที่ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังคนทั้งสองซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยดอกไม้สีขาวรอบกายในพิธีสำคัญ คู่บ่าวสาวยืนหันหน้าเข้าหากันโดยมีบาทหลวงยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลังของพวกเขา ความปิติยินดีถูกฉายอยู่บนใบหน้าของใครหลายคน รวมถึงใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าบ่าวในชุดทักสิโด้สีขาวดูดีมีราคา ผู้ที่ใครหมายปองอยากได้เป็นคู่ชีวิตเพียงเพราะความสมบูรณ์แบบที่พึงจะมี แต่สุดท้ายแล้วผู้ที่ได้ครอบครองกลับเป็นเธอคนนี้ หญิงสาวหน้าตางดงามรูปร่างสมส่วนในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ ที่มีราคาแสนแพงการันตีความมี
และเมื่อบาทหลวงกล่าวถามคนทั้งคู่ตามพิธีเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เจ้าบ่าวต้องสวมแหวนให้เจ้าสาว คยูฮยอนจับมือของเธอขึ้นเพื่อจะสวมแหวนให้ เขาค่อยๆบรรจงจับแหวนสวมลงไปให้เธออย่างตั้งใจ แต่ใครเลยจะรู้ว่ามือคู่นี้มันเย็นจนแทบจะขยับไม่ออก หัวใจมันเริ่มสั่นอย่างยากจะควบคุม .. ภาพที่เคยสวมแหวนให้กับใครบางคนในวันวานกำลังย้อนกลับเข้ามาในหัว ซ้อนทับกับสิ่งที่กำลังจะทำอยู่
คยูฮยอนหยุดนิ่งไปขณะที่มือจับแหวนค้างเอาไว้ เป็นที่น่าแปลกใจต่อแขกเหรื่อในงานมากมาย ดวงตาคมหลับลงเพื่อข่มอารมณ์ตัวเองเอาไว้ เขาคิดว่าตัวเองรู้ดีว่าเวลาไหนควรทำอะไร เวลาไหนควรนึกอะไร แต่ทำไมมันยากเย็นอย่างนี้กันเล่า
คยูฮยอนดึงมือตัวเองออกพร้อมกับแหวน ก่อนที่เขาจะตั้งสติและเริ่มจะสวมมันเข้าไปใหม่ แต่แล้วครั้งนี้กลับต้องชะงักไปมากกว่าเก่า เมื่อภาพตรงหน้าของคือเจ้าสาวแสนสวยยืนยิ้มให้เขาอยู่ แต่ภาพของใครบางคนซึ่งไม่นึกว่าจะได้เห็นกลับปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขาเช่นกัน ภาพของใครคนนั้นก้าวขาโผล่พ้นออกมาจากภาพเจ้าสาวสะกดให้เขาต้องมองอย่างเลี่ยงไม่ได้
คยูฮยอนนึกเข้าข้างตัวเองว่าเขากำลังอาจจะคิดถึงมากไปหน่อยเลยเพ้อไปเอง แต่มันไม่ใช่แล้วล่ะ
อีซองมินกำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาตัดพ้อ
ทุกอย่างที่กำลังดำเนินอยู่ต้องชะงักไปจนหมด ซองมินเองก็ก้าวขาต่อไปไม่ออกเช่นกัน เขาไม่ได้ตั้งใจจะโผล่ออกมาให้เห็น แค่สักครั้งเดียว สักครั้งก็ยังดี กับสิ่งที่เขาอยากจะขอได้ยินกับหูตัวเอง นึกแล้วน้ำตาก็พาลจะไหลออกมา ซองมินไม่สามารถบังคับตัวเองให้เดินออกไปจากที่ตรงนี้ได้ เช่นเดียวกับอีกคนที่แม้ว่าอยากจะสานต่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่แค่ไหน หากแต่คนที่ปรากฎกายขึ้นมากลับทำให้หัวใจของเขาต้องกระตุกวูบ ณ เวลานี้ คุณชายผู้เด็ดขาดกับทุกคำสั่งของตัวเองมาตลอดกลับไม่ได้คิดหาคำต่อว่าหรือบทลงโทษให้กับลูกน้องตัวดีที่กล้าขัดคำสั่งเขา เรื่องนั้นจะคิดบัญชีเมื่อไหร่ก็ได้เพราะไม่สำคัญอะไร .. แต่ตอนนี้สิ จะเอายังไงกับใจของตัวเองต่อดี
เขาสบตากับคนที่ยืนมองมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่แท้จริงแล้วโจวคยูฮยอนแทบจะลืมหายใจไปเลยด้วยซ้ำ น้ำตาของคนที่ยืนห่างออกไปแค่มันปริ่มออกมาเขาก็แทบจะหายใจไม่ออก เหมือนมีใครเอามีดมาตัดลมหายใจให้ขาดห้วงไป แล้วเขาจะต่อให้ติดดังเดิมได้อย่างไร
เจ้าบ่าวที่ยืนนิ่งไปเพราะใครบางคนจะทำอย่างไร เขาจะสวมแหวนลงไปที่นิ้วเจ้าสาวแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งไปหาหัวใจตัวเอง
แน่นอน ต้องเลือกวิธีแรกสิ มันต้องเป็นวิธีแรกอยู่แล้ว
แต่ พระเจ้า .. ลูกไม่อยากทำร้ายดวงใจของลูกที่อยู่ใกล้กันแค่นี้เลยจริงๆ
.
.
Tbc. Chapter 5
ผ่านงาน KFC#5 ไปแล้ว (ครั้งสุดท้ายแล้วด้วยTT) รวมเล่มฟิคเรื่องนี้มีคนแวะมาอุดหนุนเรื่อยๆจนคนแต่งชักเกรงใจ กลัวว่าซื้อไปแล้วจะไม่โดนใจ ...ฮา ไงก็ขอบคุณมากเลยนะคะ
*ลองเปิดอ่านรวมเล่มฟิคเรื่องนี้แล้วก็ต้องถอนหายใจ อ่านได้ทีละไม่กี่หน้าเพราะอึดอัดเกิน ==
พาร์ทนี้คุณชายไม่คาดคิดล่ะสิว่าคุณเจ้าของร้านดอกไม้จะโผล่มาในงานได้ เฮ้อ ... แล้วอย่างนี้จะทำยังไงต่อดี สรุปแล้วคุณชายคิดอะไรอยู่ (เป็นกำลังใจให้สองบอดี้การ์ดด้วยนะคะ .. ฮา) ^^
ความคิดเห็น