คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ◆ Lonely Flower - chapter [3]
.. Chapter 3 ..
แต่ในเมื่ออุตส่าห์โง่มาขนาดนี้แล้ว แพคฮยอนก็ขอโง่อีกสักครั้ง เขายังเชื่อมั่นกับสิ่งที่ผ่านมา ชานยอลต้องไม่ได้โกหก อีกฝ่ายคงกำลังมีปัญหาอะไรแน่ๆ ในฐานะคนรักกัน แพคฮยอนขอโง่ที่จะทำตามที่คิดอีกสักครั้ง
ผ่านมาแล้วหนึ่งสัปดาห์กับการรอคอยด้วยความหวังว่าอีกคนจะกลับมาหากัน สุดท้ายแล้วก็ไม่มีแม้แต่เงา แพคฮยอนที่ยังคงเชื่ออยู่ก็ยังไม่คิดจะยอมแพ้
“ปาร์คชานยอล”
ชื่อนี้ที่บังเอิญว่าเป็นแพคฮยอน หากเป็นคนอื่น เรื่องมันอาจง่ายกว่านี้ ชื่อนี้เป็นเพียงอย่างเดียวที่แพคฮยอนจะใช้ตามหาชานยอลได้ ร่างเล็กหายวับออกจากร้านที่เปิดทิ้งไว้ไปยังร้านอินเตอร์เน็ตในเมืองทันที และมันก็ช่วยตอกย้ำความโง่ของตัวเองได้อย่างชัดเจน ดวงตาทั้งคู่นิ่งค้างอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เสียงอ่านเบาๆดึงขึ้นกับตัวเอง
“ปาร์คชานยอล ลูกชายคนโตของ ..” ริมฝีปากบางอ้าค้างอยู่เมื่ออ่านต่อไปไม่ออก บรรทัดนั้นที่กำลังจดจ้องมันเขียนเอาไว้ถึงนักการเมืองชื่อดังคนหนึ่ง คนที่ใครๆก็รู้จัก และเป็นคนที่แพคฮยอนเพิ่งรู้วันนี้เองว่าเป็นพ่อของอีกฝ่าย
“หึ โง่จริงเชียวที่นายไม่รู้จัก เป็นกบในกะลาไม่เปลี่ยน” เขาใช้เวลาไม่กี่นาทีในการตั้งสติและตอกย้ำว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเพียงใด แต่ก็บอกแล้วว่าครั้งนี้ขออีกสักครั้ง แพคฮยอนปลอบใจตัวเองให้เข้มแข็งเอาไว้ เขาหาที่อยู่ของชานยอลจนเจอโดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอื่นเลย มีทางเดียวเท่านั้นที่จะได้พบอีกฝ่าย แพคฮยอนต้องรู้กับตัวเองให้ได้ว่าทำไม ทำไมต้องบอกว่าลาก่อน อยากลากันจริงๆหรือว่าจำเป็น
การตั้งหน้าตั้งตาทำเรื่องแบบนี้ทำให้ตัวเองไม่มีเวลาคิดอะไรอีกเลย ไม่ได้แม้แต่จะคิดว่าทำบ้าอะไรลงไป คนเค้าทิ้งกันแล้วยังจะไปถามเอาความจริงให้มันได้อะไรกัน .. แต่ใจอีกด้านมันบอกว่าแพคฮยอนยังเชื่อชานยอลอยู่เต็มอก เขามั่นใจว่าชานยอลไม่มีวันโกหก มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ
-----◆◆-------------◆◆-----
อากาศหนาวปะทะผ่านเสื้อโค้ทตัวนอกเข้ามาในเนื้อกายที่สั่นระริก แสงไฟจากตึกสูงในเมืองหลวงหวนให้คิดถึงสมัยที่เคยอยู่ เรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตคือการสูญเสียครอบครัวไป และตอนนี้ก็กำลังจะสูญเสียคนสำคัญอีกคนไปไม่ต่างกัน เรื่องนี้ที่ยังจัดการไม่ได้ เมื่อมานึกถึงเรื่องครอบครัวแล้วจิตใจมันก็ห่อเหี่ยวจนแทบก้าวขาไม่ออก แพคฮยอนคิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ และน้องสาวที่น่ารักของเขา จะทำยังไงถึงจะได้คนพวกนี้กลับคืนมา เขาจะทำยังไงในเมื่อรั้งไว้ไม่ได้แล้วต้องตายตามไปหรืออย่างไร
.. ทำไมความรัก มันถึงไขว่คว้าเอาไว้ได้ยากเหลือเกิน
ริมทางยามพลบค่ำมีรถคันอื่นวิ่งผ่านไปมาโดยไม่มีใครสนใจกัน มือบางกางแผ่นกระดาษที่อยู่ออกดูหลังจากที่เดินทางมาถึงได้ไม่นาน ด้วยความหวังที่มีอยู่ กับแค่การถามหาบ้านของใครสักคนที่เป็นถึงคนมีชื่อเสียง แค่นี้ไม่ได้ลำบากเกินความสามารถของเขาอยู่แล้ว
.. พ่อครับ แม่ครับ ช่วยผมด้วยนะ
แพคฮยอนตั้งใจอยู่ตามลำพังกับการจะพบชานยอลให้ได้ เขาใช้เวลาไม่มากนักในการตามหาบ้านของอีกฝ่าย ในใจก็กล้าๆกลัวๆจนเกือบจะถอดใจแล้ว แต่พอมาถึงที่แล้วจะให้กลับไปเลยมันก็ทำไม่ทันเสียแล้ว
ประตูรั้วสูงตระหง่านล้อมรอบบ้านหลังใหญ่โออ่าราวกับวังเอาไว้ ภายในอ้อมล้อมไปด้วยสวนหย่อมดูดีที่แสนกว้างขวาง รถหลายคันเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบพร้อมด้วยชายคนขับรถหลายคนที่อยู่พร้อมรับใช้ หน้าประตูรั้วที่เขามองผ่านเข้าไปนั้นเห็นชายในชุดดำหลายคนยืนเป็นแถวตามจุดต่างๆของบ้าน แสงไฟจากหลอดลายเรียบสวยที่ปลายรั้วกระทบกับใบหน้าของแพคฮยอนยามที่ยืนมองอยู่ห่างๆ จากที่กำลังชั่งใจอยู่โชคชะตาก็ไม่ให้เวลากันเลยเมื่อคนด้านในสองคนตรงออกมาหาเขาทันที ร่างเล็กเงยหน้ามองก่อนจะถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ ท่าทางขึงขังของชายร่างใหญ่ที่เหมือนจะหักกระดูกของเขาทิ้งได้นั้น ดูยังไงก็ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้หรอก
“นายเป็นใคร” คำถามตรงๆไม่ต่างกับท่าทางดังออกมาจากปากของหนึ่งในนั้น แววตาน่ากลัวยื่นเข้ามาใกล้กว่าเดิม และหากไม่ตอบเดี๋ยวนี้มีหวังต้องตายแน่ๆ
“อ่ะ เอ่อ ผมชื่อพยอนแพคฮยอน จะมาขอพบคุณชายของพวกคุณ”
“คุณชาย .. คุณชายชานยอลเหรอ”
“ชะ ใช่ครับ ผมมาพบคุณปาร์คชานยอล” แพคฮยอนบอกอีกครั้งด้วยความหวังว่าจะสื่อกันรู้เรื่อง คนตรงหน้ายิ้มออกมานิดๆทำให้คนที่หวังอยู่ยิ้มตามไปด้วย แต่แล้ว ..
“เสียใจด้วยนะ คุณชายไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบ” ความหวังที่มีถูกตัดฉับเอาง่ายๆเมื่อได้รับการปฏิเสธตรงๆ แพคฮยอนจุกที่ในอกด้วยความไม่กล้า แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก
“ขอผมพบเถอะนะครับ บอกเค้าว่าแพคฮยอนมาพบ เค้าอนุญาตแน่ๆ นะครับ”
“ไม่ได้”
“ขอร้องเถอะนะครับ นะครับ ผมมีเรื่องด่วนจริงๆ”
“เฮ้ยนี่ บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิ พูดไม่รู้เรื่องรึไงกัน” อีกฝ่ายเริ่มกระชากเสียงใส่อย่างไม่ไยดี แต่แพคฮยอนก็ยังคงดึงดันจะเข้าไปให้ได้
“ขอร้องเถอะนะครับ เห็นใจผมเถอะ ผมต้องพบคุณชายของพวกคุณให้ได้เลยนะ”
“บอกว่าไม่”
“เอางี้ คุณบอกให้เค้าออกมาหาผมก็ได้นะ ผมจะรอตรงนี้แหละ ไม่เข้าไปก็ได้”
“ยิ่งไม่ได้ไปใหญ่ นายเป็นใครกัน ถ้าสำคัญนักคุณชายคงบอกพวกเราไว้แล้ว นี่อะไร...” พูดแล้วก็ก้มมองร่างเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูถูกดูแคลน แพคฮยอนเริ่มไม่พอใจบ้างแล้ว เขาเสียใจมากพอแล้วนะที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ ก็ในเมื่อพูดไม่รู้เรื่องเหมือนกันก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไป ร่างเล็กถือโอกาสที่คนพวกนี้กำลังพิจารณาเขา สองเท้ารีบวิ่งผ่านประตูรั้วขนาดใหญ่เข้าไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย หยุดนะ!” คนทั้งสองตะโกนเรียกเอาไว้อย่างไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าขนาดนี้ แพคฮยอนวิ่งผ่านเข้ามาด้านในโดยมีสองร่างของชายตัวใหญ่ตามมาติดๆ เรียวแขนข้างหนึ่งถูกกระชากไว้เมื่อคนข้างหลังวิ่งตามมาทัน ร่างของเขาทรงตัวไม่อยู่ขณะที่ดันมืออีกฝ่ายออก แพคฮยอนรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีกระทืบลงไปบนเท้าของคนทั้งสอง เขาหันกลับมาก่อนจะตัดสินใจตะโกนเรียกคนที่ต้องการมาพบให้ได้
“ชานยอล ชานยอล ออกมาหาผมทีได้มั้ย!!” เสียงร้องโหวกเหวกของแพคฮยอนดังขึ้นเรียกให้แม่บ้านและสาวใช้ต่างต้องวิ่งออกมาดู ทุกคนที่ได้ยินต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นในเวลาอย่างนี้ ชายทั้งสองเห็นท่าว่าจะเกินเลยแล้วจึงตรงเข้ารวบคนตัวเล็กเอาไว้อีกครั้ง
“ปล่อยนะเว้ย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ฉันจะไปหาชานยอล”
“หนอย .. พูดดีๆไม่รู้เรื่อง งั้นต้องใช้กำลังกันแล้วมั้ง” หมัดข้างหนึ่งยกขึ้นหมายจะทำร้ายคนตรงหน้าที่ไม่ยอมทำตาม ดวงตากลมที่เริ่มมีน้ำตาคลอรีบหลับลงแน่นด้วยความหวาดกลัว
หมัดหนักๆแทรกผ่านอากาศตรงเข้าที่ใบหน้าของคนที่ไม่มีทางหลบ และก่อนที่มันจะสัมผัสโดนก็ชนเข้ากับมือของใครบางคนเสียก่อน .. ร่างสูงของใครสักคนกายเข้ามาขวางแพคฮยอนเอาไว้ เสียงทุ้มเอ่ยอย่างราบเรียบแต่ฟังดูเอาเรื่องมากทีเดียว
“อย่าได้ทำอะไร ถ้าคุณชายไม่ได้สั่ง”
แววตานิ่งขึงแฝงไว้ด้วยความดุดันยามจ้องมองคนตรงหน้า ทั้งสองร่างที่อยู่ข้างกันต้องยอมปล่อยมือออกจากการบีบแขนแพคฮยอนเอาไว้
“เหอะ แกคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นแขกของคุณชายจริงรึไงวะไค”
“ .. แต่ถ้าไม่มีใครสั่ง แกก็ไม่มีสิทธิ์” เมื่อยื่นคำขาดสั้นๆ อีกฝ่ายก็ไม่มีคำจะเถียง
แพคฮยอนขยับกายออกมาจากคนทั้งสามที่จ้องหน้ากันอยู่ สองมือลูบขึ้นลงที่แขนตัวเองด้วยความเจ็บ รอยแดงเป็นจ้ำปรากฎขึ้นให้เห็นชัดเจน เขาไม่รู้หรอกว่าคนที่มาขวางเอาไว้เป็นใคร แต่ถ้าอีกฝ่ายจะหันมาเสียหน่อยเขาก็อยากจะขอบคุณจากใจเป็นการตอบแทน ร่างสูงในชุดสูทสีดำมีเพียงความเงียบขรึมในระหว่างนั้น สายตาคมนิ่งเย็นหันขวับมาหาร่างเล็กที่ยืนอยู่ไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก คนอื่นๆจ้องมองเหตุการณ์ต่างๆต่อไปจนลืมหน้าที่ตัวเองไปแล้ว
“คุณ เป็นอะไรมากมั้ย” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามพร้อมเดินเข้ามาใกล้ ผิดคาดกับที่แพคฮยอนคิด คนๆนี้ช่างแตกต่างกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคนเสียจริงๆ อย่างน้อยก็ใช้สรรพนามได้ให้เกียรติกันมาก จะเว้นก็แต่สายตานี่แหละที่มันนิ่งจนเดาอะไรไม่ได้ .. คล้ายกับใครบางคน
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณมากนะที่ช่วยฉันเอาไว้”
“ไม่เป็นไร ผมแค่ไม่อยากทำเกินคำสั่งที่ได้รับ”
แพคฮยอนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ไม่ใช่เพราะกำลังกลัวคนตรงหน้า แต่แค่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อดี ตอนนี้มันชาๆในหัวจนปวดไปหมด .. บอกตรงๆว่าเหนื่อยเหลือเกิน
“เหนื่อยเหรอ” ราวกับได้ยินสิ่งที่อยู่ภายในใจ ผู้ชายที่แพคฮยอนได้ยินว่าชื่อไคนั้นกล่าวถามออกมาตรงๆ เขาอยากจะขอบคุณอีกครั้งที่ยังอุตส่าห์ถามกัน แต่ก็ช่างเถอะ ก็คงแค่ทำตามหน้าที่ให้ผ่านๆไป หลายคนที่ยืนมองอยู่ทำให้แพคฮยอนเริ่มจะเกิดอาการแปลกๆ
“เอ่อ คือ นายช่วยบอกชานยอลให้มาพบฉันทีได้มั้ย”
“คุณชายชานยอล”
“ก็ใช่น่ะสิ นะๆ ฉันจำเป็นต้องพบเค้าจริงๆ”
“แล้วคุณเป็นอะไรกับคุณชายล่ะ”
“ก็เป็น ...”
นั่นสิ จะต้องบอกว่าเป็นอะไรล่ะ แล้วตอนนี้เป็นอะไรกันแน่ ตาทั้งคู่ฉายแววหวั่นใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไคก็ยังคงยืนนิ่งรอฟังอยู่ น่าแปลกที่ไม่ต้องให้อีกฝ่ายร้องขอให้มากความ เขาอยากจะทำตามที่ขอเสียเดี๋ยวนั้นเลย
“งั้น คุณรออยู่ตรงนี้นะ ...”
“ใครน่ะ!!”
ไม่ทันจะพูดจบ เสียงผู้หญิงที่ฟังดูมีอำนาจในบ้านหลังนี้ก็ย่างกรายออกมายังด้านนอก แม่บ้านและสาวใช้หลายคนโค้งให้ก่อนจะรีบกลับเข้าไปทำหน้าที่ของตนเมื่อถูกสายตาของเจ้านายปราดมองโดยไม่ต้องเอ่ย ถึงแม้อย่างนั้นก็ใช่ว่าพวกเธอทั้งหลายจะไม่สนใจมองลอดหน้าต่างออกมาเลยเสียทีเดียว
หญิงวัยกลางคนที่ยังคงความงามบนใบหน้านั้นจ้องมองออกมายังชายหนุ่มคนแปลกหน้า เรียวตาสวยหรี่ลงมองอย่างแปลกใจและสงสัย ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีแดงมีราคาเหยียดออกเมื่อก้าวตรงมาหาแพคฮยอน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนๆนี้เป็นใคร ไคโค้งให้ก่อนจะขยับกายออกมาให้ผู้เป็นเจ้านายเดินผ่าน
“เธอเป็นกันใครเหรอหนุ่มน้อย อยากพบลูกชายของฉันมีธุระอะไรไม่ทราบ” เสียงเอ่ยต่ำอย่างไว้เชิงถามออกมาให้คนที่ยืนอยู่เกิดอาการประหม่ามากขึ้น
“ผม ผมชื่อพยอนแพคฮยอน จะมาพบคุณชานยอล”
“หือ .. มาพบงั้นเหรอ ธุระอะไรล่ะ”
“ธุระ เอ่อ คือ ไม่มีหรอกครับ แต่แค่ขอพบแป๊บเดียวเท่านั้น ไม่นานหรอกครับ” ยิ่งพยายามขอร้องเท่าไหร่แพคฮยอนก็รู้สึกเหมือนน้ำตาตกในเท่านั้น น่าสมเพชตัวเองไม่หายที่มาให้ขายหน้าคนอื่นเปล่าๆ ขนาดเจ้าตัวเค้ายังไม่โผล่ออกมาดูเลยด้วยซ้ำ
“ว่าแต่เธอเป็นใครล่ะ เป็นอะไรกับชานยอล”
“ผม ผมเป็น ...” อีกครั้งแล้วที่แพคฮยอนพูดไม่ออก มันตอบไม่ได้หรอกว่าเป็นอะไรกัน“ฉันถามไม่ได้ยินรึไง”
“เอ่อ คือ ..........”
“งั้นก็พอแค่นี้แหละ เธอคงมาผิดที่แล้วล่ะมั้ง กำลังมืดแบบนี้ .. สงสัยจะหลงทาง” ท้ายประโยคเน้นเบาๆให้แพคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขยะมากขึ้น
.. หลงทางงั้นเหรอ
“ผมไม่ได้หลงทาง ผมมาหาชานยอล ปาร์คชานยอลน่ะ คุณก็รู้” แพคฮยอนหมดความอดทนแทบจะในทันที เขาพูดเสียงดังฟังชัดให้ได้ยินกันทุกคน และคนตรงหน้าที่ยืนอยู่ก็คงจะเข้าใจได้ง่ายๆ
“หึ กล้าดีเหมือนกันนะ ชานยอลคงไม่รู้จักคนแบบเธอหรอก” ยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเฉียบแบบผู้ใหญ่ แววตาดูถูกปรายมองร่างเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางที่ปฏิบัติต่อผู้มาเยือนอย่างนี้ แพคฮยอนไม่เข้าใจว่าที่นี่สอนกันมาแบบนี้ตั้งแต่เจ้านายยันลูกน้องเลยหรือยังไง
“แต่ฉันจะบอกอะไรให้ ไม่ว่าเธอจะเป็นใครหรือเป็นอะไรกับชานยอล ก็อย่าได้สำคัญตัวผิดไป ลูกชายฉันเป็นคนเบื่อง่าย บางทีเค้าก็จะชอบออกนอกบ้านไปหาอะไรสนุกๆทำอยู่สักพักแล้วก็กลับมา อย่างนี้ล่ะนะ ไม่สนุกก็เลิก”
“.............”
“นั่นแหละ เผื่อเธอจะรู้จักเค้ามากขึ้น” เหมือนจะหวังดี แต่ที่จริงแล้วสำหรับคนรอบข้างในที่นี้ไม่มีใครไม่เข้าใจกับสิ่งที่เจ้านายตัวเองพูด ร่างสูงในชุดสูทสีดำที่ยืนอยู่ห่างออกมาไม่มากกำลังจ้องมองคนตัวเล็กอยู่ แพคฮยอนกำมือเบาๆเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้แสดงออกไปถึงความอ่อนแอที่มีในตอนนี้
“ไม่จริงหรอก คุณพูดอะไรน่ะผมไม่เข้าใจ!”
“ไม่เข้าใจงั้นเหรอ...”
“ใช่ ผมไม่เข้าใจว่าคุณต้องการอะไร คุณบังคับชานยอลให้ไม่ยอมพบผมใช่มั้ยล่ะ คุณบังคับเค้าแน่ๆ” เสียงดังขึ้นของแพคฮยอนทำให้คนอื่นๆนึกกลัวตามไปด้วย ไม่เคยมีใครที่ไหนจู่ๆก็มาตะโกนใส่หน้าคุณผู้หญิงของบ้านอย่างนี้
“ท่านครับ ให้เรา...”
“ยังก่อน ฉันยังไม่อยากใจร้าย” หล่อนผายมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเมื่อบอดี้การ์ดร่างยักษ์คนหนึ่งเข้ามากระซิบถามอย่างเป็นห่วง ไคข่มสายตาให้นิ่งเอาไว้ เขามองคนตัวเล็กที่ฝืนยืนหยัดอยู่ด้วยความสงสาร อยากจะบอกเหลือเกินว่าให้รีบกลับบ้านไปเสียตอนนี้จะดีกว่า
“เธอบอกว่าฉันบังคับเค้าเหรอ มากเกินไปรึเปล่า”
“ถ้าแม่ไม่ได้บังคับ งั้นพ่อก็ต้องบังคับ”
“ลามปาม!!”
“ .. คุณโกหก ชานยอลอยู่ที่นี่และเค้าก็อยากพบผมด้วย”
“อย่ารู้ดีไปหน่อยเลยน่ะ ลูกชายฉันไม่ได้ใจดีอย่างที่เธอคิดหรอก”
“ไม่ ผมไม่เชื่อ!”
ในเมื่อแพคฮยอนเริ่มสติขาดผึงอารมณ์ทุกอย่างมันก็ปะทุออกมาผ่านสายตาและคำพูด ดวงตาเริ่มมีน้ำคลอออกมาอีกครั้ง มันรู้สึกตันในอกไปหมดจนอยากจะร้องไห้ สภาพการณ์แบบนี้ ไม่มีใครมาเจอเองไม่รู้สึกหรอก
“ปาร์คชานยอล .. ออกมาหาผมสิ คุณออกมาสิ!!!” เขาร้องตะโกนขึ้นไปรอบๆอย่างไม่กลัวเกรง ดวงตาคมแบบเดียวกับลูกชายต้องเลิกคิ้วขึ้นกับเด็กคนนี้ที่หล่อนคิดว่าจะกล้ามากไปแล้ว อดคิดไม่ได้ว่าลูกชายของตัวเองไม่น่าไปให้ความหวังใครไว้เลยจริงๆ
คนทั้งหมดที่ยืนอยู่รอบข้างจ้องคุณผู้หญิงของพวกเขาด้วยรอคำสั่ง ไม่เว้นแม้แต่ไคที่เริ่มจะต้องคิดตาม เขาอดสงสารคนที่กำลังมองดูอยู่ไม่ได้เลยจริงๆ อุตส่าห์มาถึงที่นี่ จะกล้ามากไปรึเปล่า ถ้าเป็นคนอื่นไคคงคิดสงสารว่าสำคัญตัวผิดไปแน่ .. แต่นี่ไม่ใช่ เพราะเขารู้ดีกว่าเจ้าตัวเสียอีกว่าสำคัญตัวผิดหรือไม่
ร่างเพรียวในชุดกระโปรงผ้าลื่นตัวยาวเริ่มขยับเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่มีท่าทางจะหยุดทำบ้าๆเสียที แพคฮยอนเองก็รู้สึกอึดอัดเช่นกันที่ทุกอย่างไม่มีผลอะไรเกิดขึ้น ร่างเล็กตัดสินใจถีบตัววิ่งผ่านคนตรงหน้าเพื่อจะเข้าไปข้างในให้ได้
.. เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำเรื่องบ้าๆอยู่ แต่ขอสักครั้ง ขอแค่สักครั้ง อยากเจอ อยากถาม ในความรู้สึกมันบอกแพคฮยอนว่าชานยอลอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหน
“จับเอาไว้สิ!!” เสียงแหลมของนายหญิงร้องสั่งให้ลูกน้องที่ยืนรออยู่นั้นทำหน้าที่ที่ควรเสียที แพคฮยอนวิ่งอย่างสุดแรงตรงเข้าไปข้างในเพื่อจะพบชานยอลให้ได้ แต่แล้ว .. ก็อย่างที่น่าจะรู้ เข้าไปได้ก็แปลกเกินไปแล้วแพคฮยอน
ชายชุดดำร่างใหญ่สองคนตรงรี่เข้ารวบเอาร่างเล็กๆที่ดิ้นสุดแรงให้ออกมาด้านนอกตามเดิม
“ปล่อย ปล่อยนะเว้ย ปล่อยฉัน!!” แพคฮยอนร้องลั่นเมื่อหนีไปไหนไม่รอด ร่างเล็กถูกลากหรือจะเรียกว่าหิ้วติดมือออกมาง่ายๆเห็นจะดีกว่า เรียวปากสีแดงของคนสั่งยกยิ้มขึ้นชวนให้ขนลุก ก่อนที่หล่อนจะขยับเข้ามาใกล้แล้วหุบยิ้มลง
“อย่าคิดลองดี ถ้าเธอไม่อยากเจ็บตัว”
“อึก .. ไม่ คุณบังคับเค้าแน่ๆ ผมรู้”
“งั้นเหรอ อวดดีจริงนะหนุ่มน้อย สำคัญตัวมากไปแล้ว” เสียงเย็นกระซิบเมื่อยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ แรงกดทับในอกของแพคฮยอนมากขึ้นๆตามความรู้สึกในเวลานี้ เขารู้ได้ถึงน้ำตาที่เริ่มจะเอ่อออกมา
เขากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา ริมฝีปากทั้งคู่เม้มเข้าหากันแน่นอย่างไม่คิดจะเอ่ยอะไร
“เฮ้อ .. ว่าแล้วไง ไหนๆก็อยากเจอลูกชายฉันแล้ว งั้นก็ดูเอาเองแล้วกันว่าฉันไม่คิดจะโกหก” พูดจบ ใบหน้าสวยคมที่แต่งแต้มเครื่องสำอางยี่ห้อดีก็เงยหน้ามองไปที่ชั้นบนของตัวบ้าน สองแขนที่ถูกรวบเอาไว้บัดนี้เป็นอิสระแล้ว แพคฮยอนถูกสะบัดออกมาให้ทรุดอยู่กับพื้น
เขามองตามขึ้นไปอย่างไม่ต้องสงสัยพร้อมๆกับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ หน้าต่างบานใหญ่ของห้องที่แพคฮยอนคิดว่าน่าจะเป็นห้องนอนนั้นสว่างขึ้นด้วยไฟสีส้มอ่อน ร่างสูงที่ไม่คิดจะได้เจอกันแบบนี้หยุดยืนมองออกไปยังท้องฟ้าที่มืดมิดแล้ว แพคฮยอนฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย ความหวังทั้งหมดตีล้นเข้ามาในอกของเขาอย่างสุดจะบรรยาย ในที่สุดชานยอลก็ออกมาแล้ว ชานยอลกำลังจะมองลงมาที่แพคฮยอน เขากำลังจะเห็นว่าคนรักของตัวเองอยู่ตรงนี้ .. เขาจะต้องลงมาหาแล้วบอกกับทุกคนว่าเราเป็นอะไรกัน
“ชานยอล..” เสียงครางเบาๆของแพคฮยอนหลุดออกมาจากปากยามที่กำลังดีใจ ถึงตอนนี้ต่อให้เขาต้องทรุดนั่งลงกับพื้นก็ยอม ได้โปรด อย่าให้ต้องรอนานกว่านี้อีกแม้เพียงอีกวินาทีเลย พลันความคิดยังไม่สิ้นสุด ร่างของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างก็ค่อยๆก้มหน้าลงมายังคนด้านล่าง สองสายตาสบกันอย่างง่ายดาย แพคฮยอนยิ้มกว้างไปให้ เขากำลังหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาเช่นกัน .. ยิ้มอย่างเคยในเวลาที่อยู่ด้วยกัน
แต่ไม่เลย .. แพคฮยอนคงคิดผิดมากกว่า
ใบหน้าหล่อเหลามีเพียงแววตานิ่งขรึมและเฉยชาให้ได้สัมผัส รอยยิ้มที่ฉาบไว้บนใบหน้าหวานของคนด้านล่างนั้นค้างอยู่ไม่นานก็ค่อยๆเลือนหายไป มันไม่ใช่เรื่องตลกหรือน่าขันเลยสักนิดหากว่าอีกฝ่ายจะล้อกันเล่น ความเย็นจากสายตาอันแสนเมินเฉยทะลุผ่านหัวใจคนตัวเล็กไปเสียดื้อๆ ยิ่งจ้องตากันไกลเท่าไหร่ยิ่งเหมือนห่างออกไปมากกว่าเก่า
“ชานยอล ...” เสียงเรียกชื่อเบาๆเอ่ยออกมาแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินมันเลยก็ตาม สีหน้าผิดหวังฉายออกมาอย่างไม่คิดจะอายใคร ทุกสายตามองตามร่างเล็กที่นั่งทรุดกับพื้นขณะที่ใบหน้านั้นเงยขึ้นมองคนด้านบนไม่ขยับไปไหน คุณชายผู้เยือกเย็นของเหล่าลูกน้องยังคงเป็นอย่างนั้นไม่มีเปลี่ยนไป หากใครลองถูกล่อให้ติดกับแล้วถูกทิ้งเหมือนลูกหมาข้างถนนก็ต้องโชคร้ายทรมานกันไป .. เหมือนกับ อี แพคฮยอน คนนี้ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร แค่ทุกคำพูดที่ผ่านสายตาคู่นั้นออกมา แค่นี้เขาก็รู้แล้ว
“.......... ไม่จริง ทำไม” แพคฮยอนรู้สึกเหมือนน้ำตามันจะไหลออกมาอีก แววตาหมองเศร้ากำลังร้องขอให้คนที่สบตากันอยู่ได้เข้าใจเสียที แต่ไม่เลย ปาร์คชานยอล ทำเพียงแค่ยกยิ้มนิดๆราวกับกำลังมองลูกหมาข้างถนนตัวนี้อย่างแสนสมเพช
ปาร์คชานยอลคงไม่คิดจะแคร์ แม้ว่าตอนนี้น้ำตาของคนๆนี้มันกำลังไหลออกมาราวกับห่าฝน และแม้ว่าตอนนี้ พยอนแพคฮยอนกำลังเจ็บเจียนตาย .. ก็ตาม
“ฮึก .. ชานยอล” เสียงแผ่วเบาที่พูดกับตัวเองดังพอที่คนรอบข้างจะได้ยินมัน ไม่เว้นแม้แต่ร่างสูงของหนึ่งในบอดี้การ์ดอีกคนที่ยืนเงียบและทำได้เพียงแค่มองอย่างเห็นใจ คิม ไคไม่เข้าใจตัวเองนักหรอก ไม่เข้าใจว่าทำไมวูบหนึ่งในใจมันอยากพาคนๆนี้ออกไปจากที่นี่เหลือเกิน
คุณผู้หญิงของบ้านที่มองเหตุการณ์อยู่นั้นถอนหายใจออกมาเบาๆ หล่อนไม่ถึงกับใจร้ายขนาดที่พอใจกับการกระทำของลูกชายตนเองหรอก แต่ก็ต้องถือซะว่าอีกฝ่ายโชคร้ายเองที่ถูกทำแบบนี้
“เธอกลับไปเถอะ เค้าเห็นเธอแล้วไง พอรึยัง แต่ก็นะ .. ชานยอลไม่ลงมาหรอก”
“..............”
“นี่ ได้ยินมั้ยที่ฉันพูด” เสียงแหลมเพิ่มระดับความดังขึ้นอีกแต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะสนใจ แพคฮยอนกำลังไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ฉากสุดท้ายอันแสนเศร้าจบลงด้วยการที่คนด้านบนส่ายหัวให้กับเขาอย่างไม่ไยดีก่อนที่ม่านลายหรูจะถูกตวัดปิดหน้าต่างบานนั้นลง และภาพสุดท้ายก็คือใบหน้าของคนรักที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ก่อนที่ภาพอื่นๆมันจะกลายเป็นเบลอไปหมดเพราะม่านน้ำตาที่บดบังทุกอย่างรอบกาย เสียงสะอื้นเบาๆแทรกผ่านอากาศเย็นเยียบให้คนรอบกายแทบทั้งบ้านหลังโตได้เพียงแค่มองตามด้วยความรู้สึกหดหู่
“เฮ้อ .. ดื้อจริงนะหนุ่มน้อย ถือว่าเธอโชคร้ายหน่อยละกันนะที่มาเจอลูกชายฉัน รายนี้เค้าเบื่อเร็ว อีกอย่างก็ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนเธอถึงต้องมาถูกทิ้งอย่างนี้ กลับบ้านเถอะนะ”
“ฮึก....” แพคฮยอนไม่ยอมแม้แต่จะขยับตัวไปไหนทั้งสิ้น และนั่นทำให้คุณผู้หญิงต้องใจร้ายด้วยอีกครั้ง แรงดึงที่เรียวแขนของเขาโดยของชายร่างใหญ่สองคน เพียงแค่ตวัดนิดเดียวก็ทำเอาร่างเล็กปลิวติดมือมาได้แล้ว สภาพที่เหมือนตัวอะไรสักอย่างกำลังถูกหิ้วออกมานอกบ้านนั้นประจักษ์แก่สายตาของคนทั้งหมดที่ยืนอยู่
.. แล้วลูกหมาข้างถนนตัวนี้ ก็ถูกเขี่ยให้ออกไปอยู่ข้างถนนอย่างเดิม
จบแล้วสินะ
นี่คือความคิดทั้งหมดที่แทรกผ่านสายฝนพรำเข้ามาในใจ มีเพียงเท่านี้จริงๆที่รับรู้ได้ แม้แต่หยดน้ำที่ซึมไหลไปตามร่างกายก็แทบไม่ได้อยากจะสนใจมันนัก
หนาว .. พยอนแพคฮยอนกำลังหนาว แต่ไม่ใช่เพราะเสื้อที่เปียก ไม่ใช่เพราะความมืดและสายฝนพรำที่ทำให้เขาต้องยืนตากมันอยู่ข้างถนนอย่างนี้ พยอนแพคฮยอน กำลังหนาวเพราะปาร์คชานยอล
“ฮึก ...” เสียงสะอื้นเบาๆที่พยายามกลั้นเอาไว้ บัดนี้ไม่ต้องอายใครมากกว่าเดิมเสียอีก รถราที่ผ่านไปมาคันแล้วคันเล่าไม่ได้มีใครคิดจะมาเหลียวแลอยู่แล้ว เขาจะยืนให้อายอยู่ตรงนี้ก็ช่างประไรไป ขาทั้งคู่เริ่มจะก้าวเดินไปตามข้างทางอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกหนัก แต่แล้วก็ต้องหยุดก้าวอีกครั้ง แพคฮยอนเดินต่อไปไม่ออก เขาแทบไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากใบหน้าของใครบางคนที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่ยอมหายไปไหน แววตาเย็นชากับรอยยิ้มที่กำลังมองมาอย่างสมเพช ..
นี่สินะที่บอกทุกอย่าง คำตอบที่แพคฮยอนพยายามจะหาให้ได้ ที่แท้แล้วก็เพียงสั้นๆแค่นี้เอง ผู้ชายคนนี้เข้ามาในชีวิตของแพคฮยอนพร้อมกับสายฝนที่โหมกระหน่ำ และ .. จากไปในวันฝนพรำเช่นวันนี้ น้ำตาที่ไหลอาบแก้มคงไม่มีใครรู้ เพราะมันหลอมรวมไปกับสายน้ำเย็นที่ทำให้เปียกโชกไปทั้งร่าง เนื้อกายสีขาวผุดผ่องแนบติดกับเสื้อเชิ้ตตัวบางในยามที่ขาก้าวไม่ออกอีกแล้ว
ร่างกายของเขาแข็งแรงดี แต่ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังจะตายก็ไม่ปาน
แสงไฟหน้ารถคันหนึ่งที่จอดเทียบลงข้างๆนั้นได้ส่องกระทบแผ่นหลังของร่างเล็กที่ยังคงไม่ไปไหน แพคฮยอนไม่ได้คิดสนใจจะหันกลับมามองเลยว่ามันเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไร ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำได้ถอดเสื้อนอกออกแล้วลงมาจากรถพร้อมร่มคันหนึ่งในมือ ก่อนที่จะเดินตรงมาแล้วยื่นมันออกไปบังสายฝนไม่ให้ตกลงกระทบร่างตรงหน้าได้อีก สำหรับแพคฮยอน ตอนนี้เม็ดฝนหยดแล้วหยดเล่าที่กระทบลงมาแรงๆบนร่างกายได้หายไปแล้ว เหลือเพียงเสียงหยดน้ำกระทบลงบนร่มเท่านั้น ใบหน้าขาวซีดเพราะความหนาวกับตาบวมช้ำค่อยๆเงยขึ้นมองใครสักคนในตอนนี้ บอดี้การ์ดคนเดิมที่เคยช่วยเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้กำลังก้มมองลงมาด้วยสายตานิ่งๆอย่างเคย
“คุณกำลังจะกลับบ้านใช่มั้ย”
ไคพยายามถามให้ดังกว่าปกติ เนื่องจากเสียงฝนที่ตกกระทบบนร่มอาจทำให้อีกฝ่ายไม่ได้ยินที่เขาพูด แต่คนฟังก็ดูท่าว่าจะไม่ได้ยินอย่างที่คิดจริงๆ ก็ในเมื่อถามแล้วไม่ยอมตอบอย่างนี้ แพคฮยอนหลบสายตาคู่นั้นด้วยการหันหลังกลับแล้วจะเดินออกไปให้พ้นๆ แต่ยิ่งเดินออกมาเท่าไหร่กลับยังไม่พ้นปลายร่มที่ยังคงกางอยู่บนหัวตัวเองเสียที ไคไม่ได้ดึงอีกฝ่ายเอาไว้อย่างที่อยากจะทำ หรืออีกนัยหนึ่งคือเขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้ จึงต้องเดินกางร่มตามหลังไปช้าๆโดยที่กลายเป็นตัวเองที่ต้องเปียกเสียเอง แต่ก็คงไม่เท่าไหร่หากเทียบกับอีกคนที่ดูท่าจะสำลักน้ำฝนและจมน้ำตาไปแล้วในเวลานี้
“คุณ .. ขึ้นรถสิ ผมจะไปส่ง”
“…........” แพคฮยอนยังคงไม่ตอบ แต่ก็ยังพอมีสติอยู่บ้างจึงหยุดเดินแล้วหันมามองอย่างแปลกใจ ปรอยผมสีดำขลับลู่ลงมาตามแก้ม ขณะที่คิ้วเรียวทั้งคู่จะขมวดเข้าหากันพลางเชิดหน้าขึ้นมอง หยดน้ำฝนที่ยังหลงเหลือเกาะอยู่บนใบหน้าข่าวผ่อง ยิ่งยืนใกล้ๆกันอย่างนี้ไคก็อดจะอยากมองนานๆไม่ได้
“นายจะใจดีเกินไปรึเปล่า .. หรือคุณชายของนายเค้ามีน้ำใจให้ลูกน้องมาส่งแขกให้ถึงบ้านแบบนี้กันทุกคน” สำหรับไคแล้ว หากแพคฮยอนจะพูดถูกก็แค่บางส่วน แต่บางส่วนมันก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายคิดไปเสียหมด
“คงจะอย่างงั้น”
“…........”
“เอาเป็นว่า คุณมากับผมเถอะ”
“แล้วทำไมฉันต้องไปกับนาย”
ไคเหนื่อยใจอีกรอบกับคนตรงหน้า เขาไม่คิดจะตื๊ออีกต่อไปเพราะบางอย่างมันบอกว่าหากแพคฮยอนบอกว่าไม่แล้วก็คงจะไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ แล้วอย่างนี้ไคจะต้องทำอย่างไร บอดี้การ์ดหนุ่มยืนนิ่งอยู่อย่างเดิมพลางใช้ความคิดอย่างหนัก จะให้ขอร้องก็คงเป็นไปได้ยาก ครั้นจะใช้วิธีแบบเดียวกับคนทั่วไปก็ทำไม่ได้อีก แต่แล้วตอนนี้เขาก็ใช่ว่าจะมีเวลามาคิดมากต่อไปอีกเท่าไหร่นัก เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังเดินหนีไปอีกแล้ว มือหนาข้างหนึ่งคว้าเข้าที่แขนของแพคฮยอนทันทีที่เริ่มก้าวขา
“อะไรน่ะ มาจับฉันทำไม! .. ฝากบอกเจ้านายของนายด้วยว่าแขกคนนี้ไม่ต้องการความหวังดี ขอบใจมาก” พูดจบก็สะบัดแขนตัวเองออกแรงๆเหมือนอยากจะไปให้พ้นๆ ไคก็ยังคงไม่ปล่อย เขาพยายามเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหวังอย่างยิ่งว่าแขนของอีกฝ่ายจะไม่มีแม้แต่รอยช้ำ
.. มันยากนะ กับการต้องมาบังคับใครสักคนโดยที่มีข้อจำกัดอยู่อย่างนี้ ถ้าเป็นคนอื่นพูดคำเดียวไม่รู้เรื่องเขาก็คงแค่เอาปืนจ่อหัวไปก็จบ แต่นี่อะไร จะแตะจะต้องก็ใช่ว่าจะทำได้
ไคถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างจนปัญญากับคนแสนดื้อแบบนี้ แขนข้างหนึ่งยังคงถือร่มเอาไว้และอีกแขนก็ยังไม่ยอมปล่อยจากอีกคนเช่นกัน แพคฮยอนทุบแขนของไคหลายๆครั้งเพื่อให้ปล่อย คนหนึ่งยื้อยุดแขนตัวเองอย่างสุดความสามารถ แต่อีกคนกลับยืนนิ่งและไม่ยอมปล่อยง่ายๆเช่นกัน ร่างสูงถอนหายใจอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ และบางทีเขาก็คงจะอดสงสารคนตรงหน้านี้ไม่ได้อีกเหมือนกัน
“คุณพยอนแพคฮยอน .. มืดแล้วมันอันตราย ผมจะไปส่งคุณเอง” เสียงทุ้มลึกกล่าวดังฟังชัด สักพักคนฟังก็นิ่งไป แพคฮยอนหยุดยื้อแล้วมองหน้าไคอีกที เขาไม่รู้หรอกว่าผู้ชายคนนี้กำลังต้องการอะไร เวลานี้แพคฮยอนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ไคยืนอยู่ท่าเดิมรอให้แพคฮยอนหยุดไปเองอย่างที่กำลังเป็น แต่ท่าจะให้ดี ... เขาขอใจร้ายอีกสักหน่อยละกัน
“อย่าปฏิเสธน้ำใจคุณชายชานยอลเลย .. ไม่เคยมีแขกคนไหนเคยปฏิเสธมาก่อน” ดูเหมือนจะได้ผลดีกว่าครั้งแรก เมื่อแพคฮยอนได้ยินชื่อนี้เข้าไปจากที่แทบไม่รับรู้อะไร ตอนนี้เขายิ่งอยากจะลืมหายใจไปให้ได้เลยด้วยซ้ำ ไคมองอาการคนตรงหน้าด้วยสายตานิ่งเฉย ทั้งที่จริงกำลังสงสารจับใจ เขาไม่ได้ตั้งใจแต่มันจำเป็นต้องใจร้าย
.. ความรักทำให้คนเราเจ็บขนาดนี้เลยสินะ
ใบหน้าขาวผ่องที่เกาะไปด้วยหยาดน้ำฝน บัดนี้กลับอาบไปด้วยหยดน้ำตา
แพคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองจะตายอีกแล้ว ในหัวมันอื้อไปหมด แล้วจู่ๆคนตัวสูงกว่าก็ต้องตกใจที่ผลการกระทำของตัวเองดูท่าจะรุนแรงไป ชายหนุ่มปล่อยร่มในมือข้างหนึ่งให้หลุดลงกับพื้น ก่อนจะคว้าเอาร่างที่เอนล้มหมดสติเอาไว้กับตัวเอง
“คุณพยอนแพคฮยอน! .. คุณ ”
ไคไม่รอช้าที่จะช้อนเอาร่างของแพคฮยอนขึ้นอุ้มแล้ววิ่งฝ่าสายฝนไปที่รถทันที ให้ตายสิ ใครจะนึกล่ะว่าจะเป็นลมไปอย่างนี้ ถึงมันจะง่ายต่อการพากลับบ้านก็เถอะนะ
-----◆◆-------------◆◆-----
แม้ในยามหลับ ไม่ต่างจากในยามตื่น ความเจ็บช้ำมันยังคงอยู่ แม้ในความฝัน ..
ผนังห้องสีขาวไม่คุ้นถูกกวาดมองจนรอบ ดวงตากลมโตหลับลงแล้วลืมขึ้นอีกครั้ง แพคฮยอนไม่ได้อาการหนักขนาดที่จะลืมไปว่าตัวเองกำลังเป็นอะไร และทำไมถึงมานอนที่ห้องแบบนี้ เขากวาดตามองอีกครั้งก่อนที่จะรู้ว่ามันคือห้องคนไข้ พยาบาลสาวคนหนึ่งเดินเลี้ยวเข้ามาอย่างเป็นห่วงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอแปลกใจกับท่าทางตกใจของคนบนเตียงที่ลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันร่างของบอดี้การ์ดหนุ่มคนเดิมก็โผล่เข้ามาเสียแล้ว
“คุณพยอนแพคฮยอน .. ตื่นแล้วเหรอ”
“ชะ ใช่ .. นาย”
“ผมชื่อไค ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณตกใจจนเป็นลมไป” ถึงตรงนี้แล้วแพคฮยอนก็แทบพูดไม่ออก เขาไม่ลืมหรอกว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น และเขาก็ไม่มีวันแน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“ผมให้คุณพยาบาลเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณน่ะ คุณหลับไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม” พูดแล้วก็หันมามองพยาบาลสาวด้วยความขอบคุณ แต่แพคฮยอนกลับไม่ได้สนใจ .. หนึ่งชั่วโมงงั้นเหรอ งั้นมันก็ยังไม่ช้าไปหรอกสินะ ร่างเล็กลุกลงจากเตียงด้วยเสื้อผ้าที่คาดว่าเป็นของไค แต่ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่อยากสนใจ ในหัวตอนนี้มันบอกแค่ว่าอยากไปให้พ้นๆ .. อยากขอเวลาทำใจ
“เดี๋ยวสิ นี่คุณจะไปไหน” ไคดึงแขนนั้นไว้ไม่ให้เดินออกไปจากห้อง พยาบาลสาวมองแล้วยิ้มแห้งๆอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจคนทั้งคู่นัก
“ฉันจะกลับบ้าน”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ไม่ .. ฉันกลับเองได้” ว่าแล้วก็สะบัดแขนออกแรงๆก่อนจะวิ่งออกไปทันที
ไคยืนอึ้งอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่เข้าใจว่าคนๆนี้จะดื้อไปถึงไหน เพิ่งสลบมาแค่ชั่วโมงเดียวแล้วเอาแรงที่ไหนมาวิ่งหนีกันไปแบบนี้ ชายหนุ่มถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ แต่ตอนนี้ที่รู้คือเขากำลังวิ่งตามคนๆนั้นออกไปอย่างไม่รอให้เสียเวลา คราวนี้ไคไม่ตามตื๊อแพคฮยอนอย่างเคย เขาวิ่งตามไปจนเห็นหลังอีกฝ่ายอยู่ไม่ไกลนัก คนตัวเล็กทั้งเดินทั้งวิ่งสลับกันเพราะร่างกายที่คงจะไม่มีแรงเท่าไหร่นัก นั่นทำให้ไคได้แต่เดินตามช้าๆไม่ให้รู้ตัว เขาเฝ้าเดินตามแพคฮยอนจนออกนอกโรงพยาบาลไปยังถนนด้านนอก .. เฝ้ามองจนดูออกว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร ไปไหน และทำอย่างไร
แพคฮยอนหอบหายใจถี่ๆหลังจากที่ขึ้นรถแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลออกมายังถนนในเมืองเพื่อตรงไปยังที่ๆเขามา นี่เพิ่งจะไม่กี่ทุ่ม รถคงยังไม่หมดหรอก ใบหน้าที่ช้ำจากการร้องไห้ได้หลับตาลงอย่างอ่อนล้า .. สุดท้ายแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าและโง่
หลังจากใช้เวลาไม่กี่นาทีเขาก็มาถึงสถานที่รอรถบัสเพื่อกลับไปยังเมืองของตัวเอง แพคฮยอนกำมือเบาๆเพื่อให้กำลังใจตัวเองในยามที่ไม่มีใคร ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถไปด้วยสภาพที่ดูเป็นปกติกว่าเดิม สายฝนด้านนอกกระจกซาลงเรื่อยๆตามทางที่รถเคลื่อนผ่าน แสงไฟสลัวส่องกระทบใบหน้าหมองเศร้าเป็นระยะสลับกับเงาของต้นไม้ข้างทางที่จะออกจากกรุงโซล แพคฮยอนยกแขนสองข้างขึ้นโอบตัวเองเอาไว้ จะหลับก็หลับไม่ลงทั้งที่เขาก็ง่วงมากเหลือเกิน .. ภาพของคนใจร้ายที่หน้าต่างห้องนั้นยังคงติดตาอยู่จนตอนนี้ ทำยังไงก็สลัดออกไปไม่ได้ มันโผล่เข้ามาเรียกน้ำจากตาของเขาอยู่ร่ำไป
.. เสียใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้วสินะ พยอนแพคฮยอนจะเจ็บกว่านี้ได้อีกไหม
-----◆◆-------------◆◆-----
ราวกับค่ำคืนนี้เดินผ่านไปทีละวินาที
ไม่นานนักก็ถึงที่หมาย หนทางทอดยาวเข้าสู่เมืองผ่านเขตป่าข้างทางในยามเช้ามืดที่ยังไม่สว่างของอีกวัน เปลือกตาทั้งคู่ลืมขึ้นช้าๆเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงขยับของคนอื่นๆในรถเช่นกัน แพคฮยอนมองไปยังข้างทางด้วยแววตาเช่นเดิม รถบัสแล่นผ่านมาตามทางเรื่อยๆก่อนที่จะหยุดลงหน้าทางเล็กที่ทอดไปอีกทาง ชายหนุ่มก้าวขาลงจากรถบัสก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวจากไปท่ามกลางความมืดอีกครั้ง แรงอ่อนล้าแล่นเข้ามายังขาทั้งคู่ท่ามกลางความหนาวเหน็บของอากาศในยามนี้ เสื้อผ้าชั้นเดียวไม่มีอย่างอื่นปกคลุมไม่ได้ช่วยให้เขาอุ่นขึ้นเลยแม้แต่นิด แพคฮยอนฝืนเดินไปเรื่อยๆตามทางที่ตรงไปยังบ้านของตัวเอง แต่เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดลงเมื่อรถคันสีดำคุ้นตาจอดลงข้างๆกับตัวเอง
“นาย...” แพคฮยอนเอ่ยเรียกคนตรงหน้าเบาๆเมื่ออีกฝ่ายลงจากรถแล้วตรงเข้ามาหา ไคมองมาด้วยสายตาเรียบเฉยอย่างเคย ผิดจากแพคฮยอนที่ทำหน้าตกใจไม่หาย
“ขึ้นรถสิ หนาวแบบนี้เดินไม่ไหวหรอก” อย่าบอกนะว่าเป็นอย่างที่เขาคาดไม่ถึง แพคฮยอนยังคงจ้องไคไม่วางตาพร้อมกับความแปลกใจที่ยังคงอยู่
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ผมหนาวเหมือนกันนะ ขึ้นรถเถอะ” ไคบอกอีกครั้งเพราะแพคฮยอนเอาแต่มองหน้าเขา
“นาย .. มาที่นี่ได้ไง”
“ก็ขับรถมา”
“อย่าบอกนะ .. ”
“อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละครับ”
“…….....”
“ก็ไม่ให้ผมมาส่ง ผมก็เลยขับรถตามคุณมาตลอดทางก็แค่นั้นเอง .. เอ้า ยืนอยู่ทำไมล่ะ ขึ้นรถเถอะ” ว่าแล้วแขนแกร่งก็วาดออกไปเกี่ยวมือของแพคฮยอนให้เดินตามเขามาขึ้นรถ ร่างเล็กที่ยังอึ้งไม่หายนั้นกลับไม่ได้ขัดขืนอย่างที่ควรจะเป็น ทำได้ก็เพียงนั่งเงียบตลอดเส้นทางเล็กๆที่ตรงไปยังบ้านที่เขาอยากให้ถึงเร็วๆเหลือเกิน
เมื่อถึงแล้วแพคฮยอนก็วิ่งเข้าบ้านไปทันทีปล่อยให้ไคยืนมองอยู่อึดใจแล้วเดินตามเข้าไปโดยที่ไม่ต้องการคำเชิญ ระหว่างที่ก้าวเดินสายตาคมกวาดมองรอบตัวบ้านเพื่อรอดูสิ่งผิดปกติ .. เงาของใครสักคน
เสียงกลอนล็อคแน่นขึ้นทำเอาแพคฮยอนต้องหันไปมอง ไคเดินไปปิดผ้าม่านลงจากหน้าต่างแทบทุกบานโดยไม่สนสายตาที่มองมาเลย
“ทำอะไรน่ะ” แพคฮยอนถามเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายถือวิสาสะทำเหมือนเป็นบ้านตัวเอง ยังไม่นับกับเรื่องการตามมาบังคับเขาให้ต้องประหลาดใจนั่นอีก ไคไม่ตอบ แต่กลับเดินเร็วๆไปเปิดห้องต่างๆออกดูเพื่อให้แน่ใจอะไรบางอย่าง
“นี่ หยุดนะ !! ใครใช้ให้นายมาทำแบบนี้ในบ้านของฉัน” แพคฮยอนขึ้นเสียงกว่าเดิมขณะที่เดินตามคนตัวสูงไปติดๆ ไคหันกลับมาหาคนด้านหลังอย่างรวดเร็ว สายตาคมนิ่งขึงจ้องแพคฮยอนจนแทบไม่กล้าจะพูดต่อ
“กรุณาอย่าส่งเสียงดังกว่านี้เถอะครับ ..” แพคฮยอนชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะเดินตามไคไปอีก
“นี่ ฉันเป็นเจ้าของบ้าน ขอสั่งให้นายออกไปเดี๋ยวนี้” ไคยังคงเงียบเช่นเคย ชายหนุ่มกำลังทำหน้าที่ของตัวเองขณะที่อีกคนเริ่มจะส่งเสียงมากกว่าเก่า คนฟังถอนหายใจเป็นรอบที่สิบแล้ว ก่อนจะหันกลับมาหาอีกที
“ผม บอก ให้ คุณ เงียบ” ไคเค้นเสียงทุ้มดังฟังชัดออกมาจนแพคฮยอนต้องแอบตกใจ สายตาแข็งกร้าวที่ดุราวกับเหยี่ยวทำให้แพคฮยอนต้องก้าวถอยหลังออกมาเพียงนิด แต่ก็ไม่วายเชิดหน้าเอาไว้
“หึ คิดว่าฉันกลัวรึไง”
“อย่าส่งเสียง”
“ไม่ นายจะทำไมล่ะ จะทำไม”
“ผมบอกให้คุณเงียบ”
“ไม่ ฉันไม่เงียบ ไม่เงียบๆๆๆ ได้ยินมั้ย!!!!” แพคฮยอนหมดความอดทนที่เก็บมาตลอด เขาขึ้นเสียงจนแทบจะเป็นตะโกน ไคหมดทางจึงต้องใช้วิธีเดียวที่เขาจำต้องทำ ร่างสูงกลั้นใจเพียงนิดก่อนจะชักปืนออกมาจากเอวให้แพคฮยอนเห็น เขาเพียงแค่ดึงมันออกมาให้อีกฝ่ายเห็นก็เท่านั้น .. ได้ผล แพคฮยอนก้มมองวัตถุในมือของคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ใช่อยู่ที่เขาขี้ขลาดเกินกว่าจะกล้าสู้ แต่ภาพแบบนี้ใช่ว่าเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก
เมื่อนานมาแล้วในคืนพายุฝนวันนั้น วันที่คนๆนั้นเคยดึงมันออกมาให้เขาไม่มีทางขัดแย้ง ..
ถึงตรงนี้น้ำตาหนึ่งหยดก็กลิ้งลงมาตามแก้มอย่างรวดเร็ว แพคฮยอนรีบยกมือเช็ดมันออกเร็วๆเช่นกัน
“เอาสิ .. ฉันไม่กลัวนายหรอก”
“...........” ไคพยายามกลั้นอารมณ์เอาไว้ เขากัดฟันแน่นเมื่อแพคฮยอนเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม
“ครั้งแรกที่เจอกับคุณชายของนายเค้าก็ทำกับฉันแบบนี้แหละ เอาเลย นายจะระเบิดหัวฉันทิ้งเลยก็ได้นะ ..” น้ำเสียงสั่นเครือของคนตรงหน้าแทรกผ่านความรู้สึกของไคอย่างยากจะห้าม ชายหนุ่มนึกตามกับสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่รู้หรอกนะว่าคุณชายของตัวเองกับคนๆนี้เริ่มต้นความสัมพันธ์กันมายังไง แต่นี่มันไม่ใช่จุดจบอย่างที่อีกฝ่ายคิด .. แม้ว่าแพคฮยอนจะน่าสงสารแค่ไหนก็ตาม
“เอาสิ ฆ่าฉันเลยสิ!” พูดแล้วมือบางทั้งสองข้างก็ผลักเข้าที่หน้าอกของไค แพคฮยอนดันตัวเองเข้าหาอย่างไม่กลัวความตายเลยสักนิด ไคถอยหลังออกมาบ้างเมื่อถูกอีกฝ่ายทั้งผลักทั้งต่อว่า สายตาตัดพ้อจ้องลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทที่ยังนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา
ร่างสูงเบือนหน้าหนีไม่อยากจะมองหรืออีกอย่างคือไม่รู้จะทำอย่างไร สายตาคมยังไม่วายกวาดมองไปรอบๆบ้านและหน้าต่างที่เขาดึงม่านลง หวังว่าคงไม่มีอะไร และบังเอิญการที่อีกฝ่ายกำลังเสียใจที่ถูกคุณชายของเขาทิ้งไปอย่างนี้มันอาจจะเข้าแผนที่วางไว้ก็ได้ ไคหันกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง
“คุณชายของนายมีอะไรดีทำไมฉันต้องเป็นแบบนี้”
“............”
“... เค้า ทิ้งฉันไปแล้วจริงๆใช่มั้ย นายบอกทีสิ เค้าไม่ได้หลอกฉันใช่รึเปล่า”
“ ... ยิงฉันให้ตายไปเลยสิ”
ไครู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขากำลังจะเอื้อมมือออกไปปลอบประโลมแต่แล้วก็ตระหนักได้ว่ามันไม่ควร
ชายหนุ่มจึงฝืนใจลดมือลงข้างกายตามเดิม
ไคปล่อยให้อีกฝ่ายเริ่มเงียบไปและก้มหน้าลง เขาเหนื่อยใจกับคนๆนี้อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว จากที่ยืนเงียบมานานก็ได้ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ .. มีเบียร์มั้ย”
ประโยคที่ไม่นึกว่าจะได้ยินทำเอาแพคฮยอนต้องเงยขึ้นมองอย่างแปลกใจ
“ผมถามว่ามีเบียร์มั้ย” ไคถามย้ำอีกครั้งเบาๆ น่าแปลกที่แพคฮยอนไม่ได้จะถูกยิงอย่างที่คิดเอาไว้ รางเล็กขมวดคิ้วเข้าหากันกับท่าทีของคนตรงหน้า เจ้าของบ้านงุนงงจนพูดแทบไม่ออก และก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าทำไมจะต้องยินดีเสนอบางอย่างออกไป
“ไม่มีหรอก .. แต่ ถ้านายอยากได้ เดี๋ยวฉันออกไปซื้อให้ก็ได้นะ”
“หึหึ คุณหยุดโวยวายแล้วเหรอถึงจะว่างออกไปซื้อให้น่ะ” ไคเลิกคิ้วขึ้นราวกับถามเด็กน้อย แน่นอนที่คนฟังอดจะขุ่นเคืองไม่ได้เช่นกัน
“นายแกล้งฉันเหรอ”
“เปล่า ..”
“งั้นเดี๋ยวฉันไปซื้อให้ ยังไงเจ้าของบ้านคนนี้มันก็เหมือนคนรับใช้พวกนายอยู่แล้วนี่!!” แพคฮยอนกัดฟันพูดพาดพิงไปถึงอีกคนด้วย .. ใช่สิ คนพวกนี้อยากทำอะไรกับเขาก็ทำ ในเมื่อตกเป็นรองอยู่แบบนี้ แค่เบียร์กระป๋องเดียวเขาคนนี้ก็หามาให้ได้อยู่แล้ว
ไคยืนมองท่าทางประชดของแพคฮยอนขณะที่กำลังจะทำอย่างว่าจริงๆ
“ไม่ต้องออกไปหรอก ตอนนี้ร้านที่ไหนเค้าเปิดกันล่ะคุณ”
“ฉันรู้ที่ขายหรอกน่ะ”
“แต่ผมบอกว่าอย่าออกไป” แพคฮยอนไม่ฟังที่ไคพูดเลยแม้แต่นิด เสี้ยววินาทีเดียวที่ไคเผลอ คนตัวเล็กก้าวฉับตรงไปที่ประตูพลางเอื้อมมือหมายจะเปิดมันออก และไม่ทันเสียแล้ว ไคพลาดแล้วที่รั้งไว้ไม่ทัน เขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
“อย่าออกไปนะ ถ้าไม่อยากตาย!!” เสียงทุ้มพูดสั้นดังๆจนคนฟังตกใจหันกลับมา พร้อมกับเจอวัตถุสีดำอันเดิมที่จ่อมายังตัวเอง แพคฮยอนปล่อยมือออกอย่างตกใจ แววตาของไคเหมือนคนจะเอาจริงมากกว่าก่อนหน้านี้มาก เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น น้ำตามันปริ่มๆจะไหลออกมาอีกที่ถูกทำแบบนี้ด้วย
“เข้าห้องไปซะ .. เดี๋ยวนี้” ไคยื่นคำขาดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดุดันกว่าที่เคย แพคฮยอนอึ้งไปและรู้สึกขุ่นมัวในใจอย่างบอกไม่ถูก เขามองที่ปลายกระบอกปืนสลับกับใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างกำลังต่อว่าอยู่ในใจ
“ถ้าฉันออกไปแล้วนายจะยิงฉันงั้นสิ”
“ผมบอกว่าให้เข้าห้องไงล่ะ ไปสิ!!”
“โถ่เอ๊ย .. อยากทำอะไรก็ทำไปเลยนะไอ้คนชอบใช้กำลัง” ว่าแล้วร่างเล็กก็วิ่งไปผลักไคออกให้พ้นทางแล้วตรงเข้าห้องตัวเองไปอย่างรวดเร็ว ไคลดปืนลงเก็บพลางมองไปยังบานประตูที่ปิดลงไปแล้ว ใบหน้านิ่งเฉยในตอนนี้ฉายแววบางอย่างออกมายามที่อยู่คนเดียว เขาอดจะรู้สึกหัวเสียไม่ได้ที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้ แค่เรื่องของแพคฮยอนใครเลยจะรู้ว่ามันจะยากลำบากกว่าเรื่องไหนๆ
“เฮ้อ .. ก็เพราะไม่อยากให้ตายไง ถึงไม่ให้ออกไป” ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งพลางกวาดตามองไปรอบๆอีกครั้ง ปลายผ้าม่านของหน้าต่างบานหนึ่งปลิวขึ้นเพียงนิด เผยให้เห็นเงาของใครบางคนกำลังวิ่งผ่านไป สายตาคมดุดันขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังเล่นไม่ซื่อ
“หึ .. ไงล่ะ หมาลอบกัด”
แม้ว่าที่ทำไปมันจะไม่มีประโยชน์ และพอนึกถึงเจ้านายตัวเองที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องรถของเขาที่จอดอยู่หน้าบ้านหลังนี้เลยก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าที่ทำไปก็ได้ผลแค่ครึ่งหนึ่ง ไคมองไปที่บานประตูห้องของแพคฮยอนอีกครั้ง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวจากเก้าอี้เดิมไปยังห้องครัว ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวามองสำรวจไปตามทุกซอกทุกมุม โต๊ะอาหารขนาดเล็กอยู่ที่มุมหนึ่ง และส่วนของครัวก็อยู่อีกมุม
“ไม่มีเบียร์งั้นสินะ” พูดกับตัวเองพลางเปิดตู้เย็นขนาดกลางออกเพื่อหาอะไรเย็นๆดื่ม ในยามที่อากาศหนาวอย่างนี้มันคงจะทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นพิลึก ขณะที่เปิดออกนั้นจู่ๆแผ่นกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งที่คิดว่าคงจะติดอยู่ข้างตู้เย็นนานแล้วก็ปลิวตกลงมาที่พื้น ไคหยิบมันขึ้นดูอย่างเสียไม่ได้
- อย่าลืมทานข้าวบ้างล่ะ คุณเจ้าของร้าน ^^ -
.. ชานยอล
“.. คงจะรักมากสินะคุณชาย ”
เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆในลำคอยามที่ไล่สายตาไปตามตัวอักษรลายมือของเจ้านายตัวเอง กระดาษแผ่นนี้คงถูกเขียนเอาไว้นานแล้ว ไคมองมันและนึกไปถึงคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกบางอย่าง
ถ้ารักกันขนาดนี้แล้วฝ่ายหนึ่งถูกทิ้งไป มันก็น่าสงสารไม่น้อยเลยทีเดียว ไควางมันลงที่หลังตู้เย็นก่อนจะก้มลงไปหยิบเอาขวดน้ำผลไม้ออกมาดื่ม นาฬิกาที่ข้อมือบอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้นอนมากี่ชั่วโมงแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้สิ่งที่ควรทำคือ ...
“ฮัลโหล .. ครับ อีกสองวันงั้นเหรอครับ .................”
.
Tbc. Chapter 4
หะหะ เป็นไงคะ พาร์ทนี้ ยาว ยืด เยื้อ .. แต่ไม่มีเยื่อไย
คิมไคออกมาแว้วววว ไรท์เตอร์ต้องกรี๊ดมั้ย ทุกคนบอก มากไปๆ 5555
บทนี้นุ้งแบคลูกนี่ไม่แปลกเลยที่จะเป็นลมไป ขนาดตัดบทน้ำตาแตกมันออกแล้วนะท้ายๆ
ความแมนหนูหายไปหมดเลย (ได้ข่าวว่าเรื่องนี้มันไม่มีแต่แรกแล้ว ==)
รีบลงมากเลยค่ะ คงไม่ได้ทอล์คอะไรมากนะคะ
อยากขอแค่ขอบคุณทุกคนที่ติดตามแค่นั้นพอ T T
ปล.หวาๆ คงรู้แล้วสินะคะว่าใครชอบแนวนี้ก็ทนอ่านต่อไปได้ ...ฮา
เจอกันพาร์ทหน้าคร่า ~~
ปล.2 ฝากฟิคเรื่องใหม่ค่ะ ^^
ความคิดเห็น