ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC EXO] Lonely Flower (ChanBaek)

    ลำดับตอนที่ #3 : ◆ Lonely Flower - chapter [2]

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 56

















    .. Chapter 2 ..



     

                เวลาผ่านไปแต่ละวัน ไม่ช้าแต่ก็ไม่เร็วเกินไปกว่าการที่คนสองคนจะได้ใกล้ชิดกัน ..

                 คุณเจ้าของร้านที่ทำงานคนเดียวกำลังวุ่นอยู่ในร้านดอกไม้โดยที่บางทีก็จะต้องเข้าห้องมาดูแลคนป่วยอยู่เป็นระยะ คุณชายจากโซลที่เป็นดั่งระเบิดเวลาที่พร้อมจะถล่มร้านของแพคฮยอนได้ทุกเมื่อนั้น ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะออกปากถามว่าเมื่อไหร่จะกลับไปเสียที  และพอเข้าเดือนที่สองแผลก็น่าจะหายดีเป็นปกติแล้ว แต่ที่ไม่เป็นอย่างนั้น แพคฮยอนเชื่อว่าสาเหตุคงมาจากการที่มัวแต่เถียงกันไปเถียงกันมาอยู่อย่างนี้ แถมอีกฝ่ายก็ดันชอบไม่ระวังตัวเองและเอาแต่ทำอวดเก่งไปเรื่อย .. จ้างให้มันก็ไม่หายเสียทีหรอก


                 ถึงแพคฮยอนจะคิดอย่างนั้นแต่หากว่าชานยอลหายดีแล้วล่ะ ถ้าเค้านึกสนุกอยากอยู่ที่นี่หรือเพื่อจะหลบภัยอะไรบางอย่างล่ะ คงไม่หรอก เป็นถึงคุณชายจะทำเหมือนผู้ร้ายได้ไง แต่จะว่าไป ... คิดไปคิดมาแล้วมันก็ปวดหัวเปล่าๆ ต่อให้แพคฮยอนเดาไปร้อยแปดเรื่อง มันก็คงไม่ถูกหรอกถ้าไม่ไปถามเจ้าตัวตรงๆ

                 เย็นวันนี้หลังจากไม่มีลูกค้าแล้ว ขณะที่กำลังจะปิดร้านนั้นคนตัวเล็กก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าที่หน้าร้านบริเวณสนามหญ้าแคบๆของเขาได้มีชุดโต๊ะไม้ขนาดกลางจากไหนไม่รู้มาวางอยู่ สองขาหยุดยืนมองออกไปก่อนจะก้าวพาตัวเองออกไปดูใกล้ๆ แพคฮยอนยืนก้มมองมันโดยไม่ต้องใช้เวลาให้มากกับการนึกว่ามันมาได้ยังไง เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนจะตวัดสายตาไปมองใครบางคนที่อยู่ห่างออกไป


                 ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดกางเกงขายาวกำลังยืนกอดอกพิงรถคันสีดำแล้วรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอยู่ เขาแค่คิดว่าจะเห็นรอยยิ้มหรือคำต่อว่าเรื่องโต๊ะไม้ชุดนี้ที่ตัวเองสั่งมา แต่ตรงกันข้าม แพคฮยอนเดินจ้ำอ้าวเข้ามาหาทันทีอย่างร้อนใจ


                 อะไรกันน่ะ!


                 นั่นไง เป็นไปอย่างที่ชานยอลคิดจริงๆด้วย


                 อะไร ยังไงร่างสูงทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ เขากำลังพอใจไม่น้อยที่เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง ชานยอลคิดอย่างนั้น ก่อนที่จะรู้ตัวว่าสิ่งที่แพคฮยอนคิดอยู่มันคนละเรื่องกันเลย


                 นี่คุณออกไปข้างนอกมาเหรอ แล้วไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปทำไม รู้ไม่ใช่เหรอว่าแผลยังไม่หายดี


                 ฉัน ...


                 ไหนผมขอดูหน่อยซิแพคฮยอนไม่ได้สนใจชานยอลเลย มือบางเอื้อมไปเปิดชายเสื้อบริเวณแผลที่เอวของอีกฝ่ายออกดู คนเจ้าเล่ห์ยามนี้จึงได้แต่ยืนนิ่งๆให้ดูแผลแต่โดยดีด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนไป เขากำลังงงกับท่าทีเป็นห่วงของแพคฮยอน


                 ให้ตายสิ ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่ารออีกสักพักให้แผลหายดีกว่านี้ก่อน โชคดีนะที่ไม่เลือดออกมาอีกแบบวันนั้นชานยอลสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของแพคฮยอนภายใต้ใบหน้าที่เอาแต่ดุเขาลูกเดียว ที่แท้แล้วก็เป็นห่วงเรื่องแผลของเขานี่เอง


                 คนตัวเล็กก้มสำรวจร่างกายของเขาไม่ห่างไปไหน ปากก็บ่นพึมพำอย่างโน้นอย่างนี้สารพัด หารู้ไม่ว่าคนที่ทำตัวเหมือนเด็กดื้อนั้นไม่ได้กำลังฟังอยู่เลย ดวงตากลมโตคมเข้มกลับมามีประกายอีกรอบด้วยความพอใจลึกๆที่อีกฝ่ายดูเป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนี้


                 ชานยอล .. คุณชานยอล!แพคฮยอนร้องเรียกให้ตื่นจากความคิด


                 อ่ะ ฮะ จะตะโกนทำไมเล่า อยู่ใกล้แค่นี้


                 ก็คุณไม่ได้ยินนี่ เอาแต่จ้องหน้าผม ทำไมเหรอ หน้าผมมีอะไรติดอยู่รึไง


                 เอ่อ เปล่าหรอก ช่างเหอะๆชานยอลปฎิเสธสั้นๆเหมือนมีอะไรปิดบัง  เสียงถอนหายใจเบาๆทำให้แพคฮยอนต้องขมวดคิ้วพลางมองตาม สายตาที่หันหนีไปของชานยอลกลับมาสบตากับแพคฮยอนอีกครั้ง


                 ดูนายจะห่วงฉันจังนะ .. ห่วงมากแบบนี้ เพราะอะไรล่ะ


                 คราวนี้เป็นคนถูกถามที่อยากหลบตาเอาเสียเอง เหมือนลมเย็นๆที่พัดปะทะใบหน้าแรงๆ มันชาจนพูดไม่ออก หรือที่เป็นอย่างนี้เพราะคิดไปเอง อีกฝ่ายคงแค่ถามปกติมากกว่า .. ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วทำไมสายตามที่มองมาเหมือนอยากจะได้คำตอบนักล่ะ แววตานิ่งๆที่เหมือนจะสื่อความรู้สึกโดยไม่ต้องผ่านคำพูด แต่แพคฮยอนไม่รู้หรอกว่ามันสื่อถึงอะไร

                แล้วมันจะเกินหนึ่งนาทีเลยไหมที่จ้องกันอยู่อย่างนี้ .. รู้สึกเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


                 Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

     


                 เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้นขัดความเงียบระหว่างคนทั้งสอง มือหนาจำเป็นต้องดึงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเห็นเบอร์ที่หน้าจอแล้วก็กดทิ้งไปอย่างไม่สนใจ สิ่งที่ชานยอลทำนั้น แพคฮยอนก็ไม่เข้าใจอีกตามเคย เขาแค่ไม่เข้าใจว่ามันลำบากมากเหรอที่ต้องรับสาย ปกติแล้วก็เห็นมีเรื่องด่วนให้ต้องเครียดอยู่ตลอดเวลานี่นะ


                 .. เอาน่ะแพคฮยอน บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช่เรื่องของเราเสียหน่อย


                 ชานยอลยัดโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิมแล้วหันกลับมาหาคนที่ยืนเฉยๆเพราะไม่รู้จะพูดอะไร


                 ที่ถามน่ะ ตอบมาสิ


                 นี่คุณ จะให้ผมตอบอะไรไม่ทราบ


                 ก็ที่นาย...


                 Rrrrrrrrrrrrrrrrrr

     

     


                 อีกครั้งที่เสียงโทรศัพท์เครื่องเดิมดังขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาออกอาการรำคาญอย่างเห็นได้ชัด แพคฮยอนขมวดคิ้วให้เป็นเชิงถามว่าทำไมถึงไม่รับ และเสียงนั้นมันก็ไม่หยุดลงจนเขาต้องขอตัวออกไปรับโทรศัพท์บริเวณริมรั้วที่แพคฮยอนไม่ได้ยินด้วยทั้งนั้น ถ้าจะสังเกตได้ คุณเจ้าของบ้านก็พอจะรู้อยู่ว่าคนอาศัยคนนี้คงมีธุระอย่างเคย ใบหน้าขึงขังเวลาคุยโทรศัพท์มักจะเป็นเรื่องปกติที่แพคฮยอนแอบเห็นอยู่ประจำ


                 ชานยอลไม่ใช่คนปกติทั่วไป แพคฮยอนรู้ดี ในหัวนึกย้อนกลับไปยังคำถามที่ได้ยินเมื่อครู่ .. ทำไมต้องห่วงงั้นเหรอ บ้าน่ะ ใครห่วงกัน ก็แค่อยากให้หายไวๆจะได้กลับไปเสียทีไง

                 ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่ เดี๋ยวชานยอลก็ต้องกลับโซลไปใช้ชีวิตสุขสบายตามประสาคุณชายลูกเศรษฐีที่แพคฮยอนไม่รู้จัก .. ดวงตาคู่เดิมหันมองไปยังโต๊ะชุดนั้นอีกที ไม่บอกก็รู้ว่าฝีมือใคร


                 สงสัยจะทนสภาพความเป็นอยู่ไม่ไหว .. โถ คุณชาย แค่นี้มันไม่ได้ทำให้ที่นี่กลายเป็นคฤหาสน์ไปได้หรอกนะใบหน้านั้นบ่นอุบกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าบ้านไปทำอาหารเย็นสำหรับมื้อนี้


                                                       

                 ไม่กี่ชั่วโมงผ่านไปก็จบลงที่คนทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกันในโต๊ะไม้กลางสนามหญ้าเล็กๆหน้าบ้าน อาหารและเครื่องดื่มทุกอย่างถูกวางไว้เต็มโต๊ะในยามเย็นที่เริ่มพลบค่ำ สำหรับชานยอลแล้ววันนี้ท้องฟ้าโล่งโปร่งไม่มีเมฆดั่งใจปรารถนาจริงๆ เทียนสีสวยถูกจุดขึ้นบนโต๊ะเพื่อให้แสงสว่างราวกับกำลังมานั่งดินเนอร์กับคนรัก

     

    ชายหนุ่มยิ้มอย่างพออกพอใจขณะที่ร่างของคนนั่งอยู่ตรงข้ามกำลังทำหน้าไม่พอใจผิดกันกับเขา แพคฮยอนนั่งหน้าบูดหลังจากที่ถูกบังคับให้ยกอาหารทั้งหมดและเครื่องดื่มที่ชานยอลซื้อมานำมาไว้ตรงนี้ คนอะไรจู่ๆอยากมีเพื่อนนั่งดื่มก็ไม่ถามกันเลยสักคำ เอาแต่ใจสมกับเป็นอีกฝ่ายจริงๆ


                 นี่ โต๊ะตัวนี้กับไวน์ที่คุณซื้อมาผมไม่มีจ่ายให้หรอกนะแพคฮยอนบอกเอาไว้เสียก่อน เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆเป็นการตอบรับ ชานยอลส่ายหัวกับที่ได้ยิน


                 ต่อให้ฉันสั่งทำรั้วบ้านให้นายใหม่ ก็ไม่เคยจะคิดกับนายซักวอนเดียวหรอกเรื่องใหญ่สำหรับอีกคนกลับกลายเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กเท่าเศษผงของอีกคนไป ไวน์แดงถูกรินลงแก้วทรงสวยโดยคนที่ซื้อมันมา ริมฝีปากของชายหนุ่มแตะลงเบาๆยามที่ต้องการลิ้มรสมัน คนที่มองอยู่แอบเบ้ปากนิดๆเพราะคำพูดอวดดีพวกนี้ที่เขามักได้ยินบ่อยๆ


                 งั้นหรอกเหรอ คุณคิดว่าทำได้หมดล่ะสิ


                 แน่นอน ..


                 มากไปมั้ง ไม่ต้องคุยขนาดนั้นก็ได้


                 โอเค .. งั้นพรุ่งนี้เตรียมพบกับรั้วใหม่ได้เลย


                 อะไรนะ!


                 ไม่ทันเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดแล้วสั่งตามต้องการ แค่แป๊บเดียวไม่ต้องให้มากความแล้วก็วางสายไป เจ้าของบ้านตัวจริงทำหน้าเหรอหราพูดไม่ออกกับสิ่งที่ได้ยิน


                 นี่คุณ จะบ้าเหรอ นี่มันบ้านผมนะ


                 ก็บ้านนายไงเล่า ไม่งั้นฉันไม่ทำให้หรอก


                 แล้วมาทำทำไมล่ะ


                 ก็นายอยากได้ไม่ใช่เหรอ


                 ไม่ใช่


                 แล้วเมื่อกี้ล่ะ


                 ผมก็แค่ ...


                 เอาน่าๆ ไม่ทันแล้วล่ะ ก็แค่รั้วใหม่ใหญ่กว่าเดิม แข็งแรงกว่าเดิม ไม่คิดซักวอนเดียวหรอกคุณพยอนแพคฮยอนเสียงทุ้มเอ่ยอย่างสบายอารมณ์เกินเหตุไปแล้ว แพคฮยอนคิดอย่างนั้น ทั้งหมดที่ทำไปเหมือนดูถูกกันเปล่าๆ อีกอย่างแพคฮยอนก็จำได้ว่าไม่ได้พูดว่าอยากได้สักคำ แต่เถียงกับคนๆนี้ยังไง ต่อให้มีเผตุผลแค่ไหนก็ไม่ชนะหรอก


                 ผมก็มีศักดิ์ศรีนะ ไม่ได้ขอร้องให้มาช่วยอะไรซักหน่อย


                 นายนี่นะ อย่าเถียงได้มั้ย


                 แต่...


                 ไม่มีแต่ เฉยๆเหอะน่ะชานยอลไม่เปิดโอกาสให้แพคฮยอนได้พูดอะไรเลย มือหนาเอื้อมมาจับมือคนตรงหน้าขึ้นแล้วยัดส้อมให้ถือเอาไว้


                 นี่ไง เดี๋ยวก็เย็นหมดหรอกรีบกินสิ อาหารของนายท่าทางน่ากินทั้งนั้นเลย


                 “............”


                 นายไม่หิว แต่ฉันหิวนะแพคฮยอนว่าแล้วก็ก้มหน้าจัดการกับอาหารรสมือของคุณเจ้าของบ้านทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าเขา ชานยอลไม่ฟังคำตอบหรือข้อขัดแย้งแต่อย่างใด และแน่นอน แพคฮยอนก็ไม่บ้าพอจะตะโกนด่าแล้วไล่ชานยอลออกไปตอนนี้หรอก .. เขายังไม่อยากตาย ถึงคนอื่นจะว่าบ้าและขี้ขลาด แต่แพคฮยอนก็ไม่กล้าพอจะเสี่ยงหรอก


                 .. อดทนไว้ พยอนแพคฮยอน


                 ระหว่างทานอาหารกันไปก็มีเพียงแค่สบตากันนิดๆหน่อยๆไม่บ่อยครั้งนัก เวลาผ่านไปเรื่อยๆท่ามกลางแสงจันทร์ที่เริ่มโผล่มาในท้องฟ้ายามมืด แก้มขาวๆยามต้องแสงเทียนบนโต๊ะดึงดูดให้คนมองไม่อยากจะละสายตาไปไหนเลย แพคฮยอนกินไปอย่างไม่รู้ตัว แต่พักใหญ่ที่เขาเริ่มรู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่มีการขยับแต่อย่างใด พอเงยขึ้นก็เป็นไปตามคาด


                 คุณมองผมทำไม


                 “ .. มองไม่ได้รึไงเสียงทุ้มฟังดูเนิบๆมากขึ้นเมื่อปริมาณไวน์แดงในขวดพร่องไปจนเกือบหมด ไม่สิ แพคฮยอนเห็นว่ามันเข้าขวดที่สองแล้วมากกว่า


                 คุณดื่มเยอะจังนะ


                 ไม่หรอก แค่นี้เอง แค่ไวน์


                 อืม


                 นายไม่เอาหน่อยเหรอ


                 ไม่ล่ะ ผมกินข้าวอย่างเดียวดีกว่า


                 ร่างเล็กจบบทสนทนาย่อยๆไม่กี่ประโยคเอาไว้ตรงนั้น ก่อนจะก้มลงจัดการกับอาหารในจานต่อ กินเสร็จแล้วจะได้รีบๆเข้าบ้านเสียที แต่แล้วแพคฮยอนก็รู้ว่ามันไม่ได้ผลในเมื่ออีกคนกำลังสนุกสนานกับการมองขณะที่เขารู้สึกแปลกๆเหมือนคนกำลังจะบ้า อย่างนี้แล้วโวยวายไปก็เท่านั้น ชวนเปลี่ยนเรื่องคุยท่าจะดีกว่า


                 แล้วเมื่อตอนเย็นที่คุณออกไปข้างนอกมาน่ะ ไม่กลัวจะมีคนเห็นเหรอเมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแววตาของชานยอลก็เปลี่ยนไปแค่นิดหน่อย ความจริงจังเข้ามาแทนที่แต่ก็พยายามไม่แสดงออก


                 ตอบผมสิ มันอันตรายไม่ใช่เหรอแพคฮยอนยังเซ้าซี้ต่อ อย่างน้อยก็ไม่ต้องมานั่งให้อีกฝ่ายจ้องด้วยสายตาแปลกๆ แถมยังจะได้รู้อะไรอีกเผื่อว่าชานยอลยอมเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังมากขึ้น


                 ไม่มีอะไรหรอกน่ะ จริงๆที่นี่ก็ไม่มีใครรู้จักฉันอยู่แล้ว ไม่สิ .. ก็ไปแค่ร้านแถวนี้เอง


                 งั้นหรอกเหรอ


                 อืม .. แล้วนายไม่ถามต่อล่ะ ไม่อยากรู้เหรอว่าฉันเป็นใคร


                 ไม่ล่ะ มันคงไม่ใช่เรื่องของผม รู้ไปก็เท่านั้นตอบไปแบบไม่สนใจอะไร ก็จริงอยู่ที่ฟังดูปกติ แต่ชานยอลแอบผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเรื่องของตัวเองไม่ใช่เรื่องสำคัญที่อีกฝ่ายใคร่อยากจะรู้หรือแม้แต่จะถามออกมาสักคำ
                 ไม่กลัวรึไง เผื่อฉันเป็นผู้ร้ายค้ายากำลังหนีตำรวจมากบดานที่นี่อยู่ล่ะ นายไม่กลัวหรอกเหรอประโยคเดียวทำเอาคนฟังนึกภาพออก แต่สิ่งที่แพคฮยอนแยกไม่ออกก็คือ มันเรื่องจริงหรือล้อเล่น เรียวปากทั้งคู่เม้มเข้าหากันแน่น

     

                 เขากำลังครุ่นคิดกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ มันอาจแค่เรื่องอำกัน แต่หากมันเป็นจริงล่ะ มันเป็นไปได้นะในเมื่อทุกอย่างก็บ่างบอกอยู่ว่าคนๆไม่ใช่คนธรรมดา เรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นมาแล้ว แล้วต่อไปถ้าตัวเองเจอไปด้วยล่ะ


                 เฮ้นี่!! ล้อเล่นหรอกน่า ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกชานยอลรีบเอ่ยบอกไปเพราะกลัวว่าคนตรงหน้าจะคิดมากจนเป็นลมไปเสียก่อน แพคฮยอนถอนหายใจแบบ โล่งอกที่ได้ยินอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเชื่อคนๆนี้ด้วย ความรู้สึกมันบอกว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ได้โกหก เขารู้สึกเบาใจได้อย่างน่าประหลาด


                 .. ไม่หรอกแพคฮยอน อย่าเพิ่งไว้ใจอะไรเลย

                 จริงๆสนเรื่องฉันอยู่ล่ะสิ


                 ปะ .. เปล่าเสียหน่อย


                 ไม่จริงหรอก งั้นเมื่อกลางวันจะถามทำไม


                 ก็เห็นคุณออกจะระวังตัว แล้วจู่ๆก็นึกสนุกออกไปแบบนั้น เป็นไรขึ้นมาแล้วผมจะขำออกมั้ยเล่าแพคฮยอนพูดตรงๆ แต่ชานยอลกลับเข้าใจตรงเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้


                 ห่วงฉันเหรอ


                 คำถามเดิมถูกถามออกมาอีกครั้ง เมื่อตอนเย็นก็ทีหนึ่งแล้ว ตอนนี้ยังต้องมาเจออีกหรือเนี่ย สายตาคนถามแลดูสบายอารมณ์ แต่แฝงไว้ด้วยความจะเอาคำตอบให้ได้ แพคฮยอนไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคำถามนี้มันตอบยากเหลือเกิน ไม่เข้าใจตัวเองว่าตอบไม่ได้หรือไม่อยากตอบกันแน่ มีคำตอบมากมายให้โกหกออกแต่คนอย่างแพคฮยอนโกหกไม่เก่งจริงๆ หรือเพราะอะไรกัน เพราะอะไร .. ความคิดมากมายระดมรุมเร้าจนปวดหนึบในอกไปหมด  .. ทำไมเขาต้องบ้าไปตามผู้ชายคนนี้ด้วยล่ะ นั่นสิ ทำไม


                 และเมื่อคิดว่าไม่ตอบซะอย่างจะเป็นไรไป คนถามเลยค้างรอคำตอบอยู่อย่างนั้น


                 ถ้านายไม่ตอบ ฉันตอบแทนให้เอามั้ยชานยอลเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ แพคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกต้อนให้ถอยไปชิดหน้าผาจนแทบจะไม่มีที่ให้ยืนอยู่แล้ว และคนเราเมื่อถูกกดดันมากๆเข้ามันก็หมดความอดทนเป็นเหมือนกัน


    เสียงช้อนส้อมกระทบจานดังขึ้น คนตัวเล็กที่เอาแต่เงียบและก้มหน้าในตอนนี้จู่ๆก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากโต๊ะออกมาเสียดื้อๆ แพคฮยอนไม่สนใจที่ชานยอลเรียกเลยสักนิด เขาเดินเข้าบ้านไปด้วยความโกรธ


                 โกรธชานยอลที่คอยถามอยู่ตลอด โกรธตัวเองที่แค่คำถามบ้าๆทั้งสั้นทั้งง่ายแต่ไม่มีปัญญาตอบออกไป น่าสมเพชสิ้นดี .. นายคิดแบบนั้นรึไงล่ะแพคฮยอน นายคิดเรื่องแบบนั้นอยู่ใช่มั้ยถึงได้กลัวเค้าจะรู้ขนาดนี้


                 ร่างสูงไม่รอช้า ชานยอลวิ่งตามแพคฮยอนเข้าบ้านไปทันที มือหนาคว้าเอาเรียวแขนคนที่เดินหนีเอาไว้ให้หันกลับมาหาเขา


                 ปล่อยผม


                 ไม่ .. นายโกรธฉันรึไง


                 ไม่ได้โกรธ ผมจะโกรธคุณทำไม


                 แล้วเดินหนีมาทำไม


                 ก็ผมไม่อยากตอบคำถามบ้าๆของคุณ รู้มั้ยว่ามันไร้สาระมากจนผมหมดความอดทนแล้วประโยคเดียวแรงๆที่ตอกหน้าชานยอลทำให้เขาจำต้องปล่อยมือออก แพคฮยอนสะบัดมือตัวเองแล้วถอยห่างไปหนึ่งก้าวด้วยอารมณ์ที่ยังไม่ลดลง คนตรงหน้าที่ยืนอยู่ที่เดิมมีเพียงแววตานิ่งๆเหมือนคนหมดท่าก็ไม่ปาน


                 จริงๆแล้ว..เสียงทุ้มพูดเบาๆขณะที่จ้องมาหาอีกคน แพคฮยอนรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะพูดให้จบ


                 จริงๆแล้ว ที่นายห่วงฉันก็เพราะว่าฉันหายดีเมื่อไหร่จะได้รีบไปจากที่นี่ใช่มั้ยแววตาที่อ่อนลงส่งมาให้แพคฮยอนจนเขาไม่อยากเชื่อ ความเสียใจของชานยอลทำไมแพคฮยอนจะรู้สึกไม่ได้ เขาไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นเสียหน่อย ผู้ชายที่เข้มแข็งอย่างปาร์คชานยอลไม่เคยอยากจะมาทำหน้าจนปัญญาให้ใครสงสารแบบนี้เลย หรือเพราะแอลกอฮอล์ไม่มากในไวน์มันจะทำให้เขากล้ามากขึ้น


                 แพคฮยอนบอกตัวเองให้ตอบออกไป อยากตอบว่าใช่ออกไปเลยจะได้จบๆเสียที แต่ยิ่งมองคนตรงหน้าเขาก็ยิ่งทำไม่ได้ และถ้าตอบว่าใช่มันก็ฝืนความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี


                 .. เอาสิแพคฮยอน  ใช่ก็ใช่สิ  ตอบไปสิ

                 ใช่!! ผมอยากให้คุณหายจะได้กลับไปจากที่นี่ ผมอยากให้คุณออกไปจากชีวิตผมเสียทีสุดท้ายแล้วก็ถูกบีบคั้นให้พูดอย่างนั้นออกไป มันฝืนจนรู้สึกว่าตัวเองชาไปหมด ความกดดันในอกทำให้น้ำตามันไหลอาบแก้มลงมาอย่างง่ายดาย


                 ผมน่ะ ..


                 นายโกหก


                 ไม่ ผมไม่ได้โกหก


                 ไม่โกหกแล้วน้ำตาไหลทำไม


                  ได้ยินอย่างนั้นแพคฮยอนก็ตกใจตัวเองพลางเถียงไม่ออก ชานยอลไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายที่เอาแต่รุกหน้ามาตลอดแต่ตอนนี้เขากำลังแพ้น้ำตาของแพคฮยอนอย่างง่ายดาย เขารู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้เจ็บปวดเมื่อเห็นน้ำตาของอีกฝ่าย

                 พยอนแพคฮยอนยืนน้ำตาไหลเงียบๆอย่างไม่รู้ตัว เรียวขาสองข้างถอยหลังอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ ชานยอลก็หยุดยืนอีกครั้งเช่นกัน แต่ใครเลยจะเร็วกว่า ร่างสูงก้าวขาเพียงแค่ก้าวเดียวก็ถึงตัวอีกฝ่ายแล้ว สองแขนแกร่งรวบเอาร่างทั้งร่างของแพคฮยอนมากอดเอาไว้แน่น


                 อย่าร้องได้มั้ย ฉันขอโทษ


                 ฮึก ..เสียงสะอื้นเบาๆดังอยู่ที่อกของร่างสูง แพคฮยอนยังโกรธตัวเองไม่หายที่อ่อนแอเป็นเด็กแบบนี้ ไม่รู้สินะ มันเป็นไปแล้วนี่นา


                 ไม่เอาน่า .. เงียบนะคนดีของฉัน


                 เสียงทุ้มเอ่ยปลอบปละโลมอย่างอ่อนโยนทั้งที่ยังกอดอีกฝ่ายเอาไว้อยู่ ประโยคแบบนี้แพคฮยอนได้ยินก็หยุดสะอื้นขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะว่าเชื่อที่ชานยอลปลอบหรอกนะ แต่เพราะหัวใจมันเต้นแรงแปลกๆนี่สิ .. ประโยคแบบนี้คนรักเค้าเอาไว้พูดกันไม่ใช่หรือไง


                 เหมือนกับว่าความเป็นตัวเองจะกลับมาเสียที แพคฮยอนดันชานยอลออกเบาๆก่อนจะรีบเช็ดน้ำตาให้หยุดน่าอายได้แล้ว


                 อ่ะ คือ ผมขอโทษที่ทำให้เสื้อคุณเปียก


                 “.. ไม่เป็นไร


                 งั้น ผมขอตัวก่อนนะ อยากอาบน้ำแล้วพูดจบก็ก้มหน้าก้มตารีบหันกลับ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดลงเสียก่อน


                 สรุปแล้ว เมื่อกี้นี้โกหกจริงๆใช่มั้ย


                 คำถามแผ่วเบาดังขึ้น แต่คนถูกถามเอาแต่ยืนนิ่งหันหลังให้อย่างเดิม เหมือนแพคฮยอนจะไม่อยากตอบ ชานยอลรู้ดี ใบหน้าคมแค่นยิ้มให้ตัวเองเมื่อนึกได้ว่าไม่น่าทำให้อีกฝ่ายรำคาญอีก แพคฮยอนยืนนิ่งทั้งที่ยังไม่ยอมหันมาหาชานยอลก่อนจะเอ่ยบางอย่างออกมา

                 ถึงผมจะโกหกไม่เก่ง แต่ก็ใช่ว่าจะโกหกไม่เป็นนะ

                 พูดจบก็เดินหายวับเข้าไปในห้องนอนทันที ทิ้งไว้ให้คนฟังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะจากนั้นจึงค่อยๆระบายยิ้มออกมาคนเดียว


     

      -----◆◆-------------◆◆-----

     

     


                 คืนนี้ก็เช่นทุกคืน เตียงเดียวที่มีถูกแบ่งออกเป็นสองข้าง แสงจากโคมไฟข้างเตียงยังส่องสว่างอยู่เพราะอีกคนยังไม่ได้ออกมาจากห้องน้ำ แพคฮยอนง่วงมากจึงล้มตัวลงนอนทางฝั่งของตัวเองตามปกติ อันที่จริงแล้วเขาก็อดเสียดายโซฟาข้างผนังไม่ได้ ถึงจะแข็งไปหน่อยแต่ก็สบายใจกว่ากัน และที่ไปนอนตรงนั้นไม่ได้ก็ไม่พ้นอีกคนที่บังคับให้นอนด้วยกัน ร่างเล็กในชุดนอนส่ายหัวสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไป คิดไปก็เท่านั้น


                 เขาหลับตาลงด้วยความเหนื่อยเต็มที หวังว่าคืนนี้คงหลับฝันดีชดเชยกับเรื่องบ้าๆในวันนี้ก็แล้วกัน


                 เสียงน้ำในห้องน้ำหยุดลงตามมาด้วยเสียงประตูที่เปิดออก แพคฮยอนกำลังจะหลับแต่ก็รู้สึกตัวขึ้นมาเสียก่อน ตาทั้งคู่ยังคงหลับอยู่เพราะคิดว่าแกล้งหลับๆไปก็คงจะดีกว่ามาก เพราะตอนนี้ยังไม่อยากจะมองหน้าอีกคนให้ปวดหัวกับตัวเอง เหมือนสวรรค์แกล้งให้ตรงข้ามกับความคิด การที่ตัวเองหลับไปแล้วมันก็คงจะดีอยู่หรอก แต่ไอ้การแกล้งหลับทั้งที่ไม่ได้หลับในขณะที่อีกคนเดินวนไปวนมารอบๆตัวนั้นมันรู้สึกแย่แค่ไหน เหมือนกำลังบังคับตาตัวเองให้ปิดตาเอาไว้ทั้งที่ในหัวคิดนู่นนี่ไปเรื่อย แสงจากโคมไฟยิ่งทำให้แพคฮยอนรู้สึกอึดอัดไปใหญ่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไม

    ชานยอลไปยอมนอนเสียที จะแต่งตัวอะไรนานนักหนาก็ไม่รู้ หรือดึกๆแบบนี้แล้วคิดจะออกไปขับรถเล่นกัน .. เหมือนอีกฝ่ายจะได้ยินที่แพคฮยอนคิด


                 หึ หลับเร็วไปมั้ยคุณเจ้าของบ้านพูดจบความมืดจึงปกคลุมลงมาทันทีที่ชานยอลเอื้อมมือไปปิดโคมไฟทางฝั่งที่แพคฮยอนนอนอยู่ ร่างสูงเดินอ้อมมาอีกทางด้านฝั่งของตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตามปกติ แพคฮยอนโล่งใจเป็นอย่างยิ่งที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี คราวนี้ล่ะนะที่เขาจะได้หลับสนิทเสียที แต่แล้วก็ต้องรู้ตัวว่าตัวเองคิดผิดถนัด มันไม่ดีเลยสักนิดเดียว .. และถ้าจะให้ดีมันต้องไม่เป็นอย่างนี้

                แขนแกร่งวาดออกมาโอบเอาร่างที่นอนตะแคงอยู่ไปไว้ในอ้อมกอดของตัวเอง ชานยอลซุกหน้าลงไปที่เรือนผมนุ่มก่อนกระชับผ้าห่มผืนเดียวกันให้คลุมร่างของตัวเองและอีกฝ่ายเอาไว้ แพคฮยอนยังคงหลับตาทั้งที่หัวใจมันเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอกแล้วด้วยซ้ำ วันแรกที่นอนด้วยกันแล้วถูกกอดมันเป็นเหตุจำเป็นและที่ผ่านมาต่างคนก็ต่างนอนไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แล้วคืนนี้ล่ะ ชานยอลเมาหรือก็ไม่ แล้วมากอดเขาทำไม


                 ระหว่างที่อีกคนหลับไปแล้วนั้นคนตัวเล็กที่นอนนิ่งให้กอดก็เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้อยู่ในใจ อีกฝ่ายชอบทำให้เหมือนเป็นอะไรกันทั้งที่ไม่ใช่ ชอบทำให้แพคฮยอนใจเต้นเวลาที่ได้ใกล้กันในทุกครั้ง ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าอ้อมกอดนี้ทำให้รู้สึกดีไม่น้อยและเขาก็ไม่ได้รังเกียจเลยสักนิด .. แต่บางอย่างนี่สิ มือบางทั้งสองข้างวางทับไว้บนแขนที่กอดตัวเองอยู่อย่างจำใจ ในสภาพแบบนี้เขาควรคิดยังไง
                 และแล้วคืนนี้แพคฮยอนก็หลับไปในอ้อมกอดของชานยอล พร้อมคำถามในใจ ว่าทั้งหมดมันนี้ .. มันคืออะไร

                                                          

    -----◆◆-------------◆◆-----

     
     

     

                 วันต่อมา ช่างหลายคนที่ได้รับคำสั่งก็พากันโผล่มาจัดการเรื่องรั้วบ้านของแพคฮยอนให้อย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาพอใจของคนจัดแจงเรื่องนี้ โดยที่เจ้าของบ้านตัวจริงทำได้เพียงแค่ยืนมองเท่านั้น สมกับที่เป็นคุณชายจริงๆ อย่างนี้คงไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎอย่างที่แพคฮยอนคิดว่าอาจเป็นไปได้หรอก


                 สองวันผ่านไปกับรั้วใหม่ที่แพคฮยอนไม่ค่อยจะปลื้มนัก และหลังจากคืนนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องในใจอีก ชานยอลทำตัวปกติและปล่อยให้มันผ่านไปโดยที่คืนไหน ถ้าเขาอยากจะดึงคนตัวเล็กมากอดเขาก็ทำ วันไหนอยากชวนไปเดินเล่นอีกฝ่ายก็ยอมไปด้วย บางทีชานยอลก็กลายมาเป็นผู้ช่วยแพคฮยอนในร้านในวันที่งานเยอะ เป็นอย่างนี้ ทุกวัน ทุกวัน .. ผ่านไปโดยมีกันแค่สองคน

                 เช้านี้ก็เป็นอีกเช้าที่ผู้มาเยือนอย่างชานยอลจะออกมาดูที่หน้าร้านดอกไม้ของแพคฮยอนอย่างจริงจัง ร่างสูงยืนแอบอยู่ที่ตรงประตูด้านหลัง นัยน์ตาสีเข้มนิ่งสนิทจ้องมองร่างตรงหน้าที่ห่างออกไปไม่ให้รู้ตัว มือหนากุมเบาๆบริเวณแผลของตัวเองที่เริ่มจะดีขึ้นมากแล้ว
                 ชายหนุ่มรู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกินที่ปล่อยให้เจ็บหนักได้ขนาดนี้ งานนี้เสี่ยงมาก หากไม่มีแพคฮยอนเขาก็คงตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้เหล่าลูกน้องของตัวเองจะจัดการอะไรที่สั่งไว้เรียบร้อยดีหรือยัง เขาเบื่อเรื่องพวกนี้เต็มทนแล้ว เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากชีวิตสมบูรณ์แบบที่ซ่อนความมืดมนในจิตใจเอาไว้เสียที


                 สายตาคมข่มหลับลงให้สมองเลิกคำนึงถึงเรื่องชีวิตตัวเอง ไม่กี่วินาทีผ่านไปเขาจึงมองกลับเข้าไปยังร่างเล็กที่ยืนอยู่ในร้านอีกรอบ ใบหน้านวลเนียนสดใสยิ้มน้อยๆยามเมื่อจับต้องดอกไม้แต่ละดอก ทุกการกระทำ ทุกอิริยาบถทำเอาคนมองลืมนึกเรื่องอื่นไปถนัด ไม่กี่นาทีผ่านไปสีสันและกลิ่นหอมอบอวลของดอกไม้นานาพันธุ์ก็โอบล้อมแพคฮยอนเอาไว้ ภาพตรงหน้าที่ปรากฏแก่ชายหนุ่มนั้นราวกับความฝันที่ยังไม่จางหายไปในยามเช้า ยามที่เขาตื่นมาพบกับคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ

     

               หากแต่ยิ่งไร้เครื่องปรุงแต่งใดๆให้ดูมีค่า ยิ่งราวกับไม่อาจจับต้องได้

              ไม่อาจเอื้อมมือออกไป ไม่อาจคว้าลงมาให้มัวหมอง

     

     


                 อ๊ะ ...เสียงร้องเบาๆทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์รู้สึกตัว ร่างสูงรีบวิ่งเข้าไปในร้านทันทีอย่างไม่รอช้า แพคฮยอนที่ก้มดูแผลที่มืออยู่ทำหน้าประหลาดใจที่อีกฝ่ายวิ่งหน้าตั้งออกมาแบบนั้น


                 นาย เป็นอะไรมากรึเปล่าเสียงทุ้มรัวถามจนแทบฟังไม่ทัน หนำซ้ำเมื่อพูดจบก็คว้าเอามือบางข้างนั้นมาใกล้ๆ เลือดสีแดงหนึ่งจุดจากบาดแผลหยดลงที่พื้นยามเมื่อเคลื่อนไหว


                 เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่ถูกหนามกุหลาบปักเอาน่ะ


                 แล้วทำไมไม่ระวังเล่าชานยอลเอ่ยเสียงเข้มทำเอาคนถูกดุหน้าซีดเผือดลง แต่ก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นประหลาดใจทันทีที่อีกฝ่ายยกนิ้วข้างนั้นขึ้นดูดเลือดเอาไว้


                 ทะ ทำอะไรน่ะ


                 ก็ห้ามเลือดไงได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็แทบพูดไม่ออก วิธีอย่างนี้หรือที่เขาเรียกว่าห้ามเลือด แต่คนหวังดีจะรู้ไหมล่ะว่าการกระทำอย่างนี้มันตอกย้ำให้ใครบางคนต้องคิดไปไกล


                 ผนังร้านสีครีมเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางสายตาสำหรับร่างเล็กได้ดีในยามที่ต้องยืนให้อีกฝ่ายสัมผัสอยู่อย่างนี้ เลือดจะหยุดหรือไม่หยุดแพคฮยอนไม่รู้หรอก เขารู้เพียงแค่ว่าควรจะทำหน้าอย่างไรหากว่าชานยอลปล่อยมือออกแล้วเงยหน้าขึ้นมา

                 .. พระเจ้า ดูเหมือนลูกจะกำลังหายใจไม่ออก

     

                 เรือนผมสีดำขลับที่ก้มอยู่ไม่ห่างนั้นเงยขึ้นหลังจากที่ปล่อยให้นิ้วข้างนั้นเป็นอิสระจากริมฝีปากตัวเอง ดวงตาคมเต็มไปด้วยคำถามเมื่อจ้องมองใบหน้าที่เอาแต่หันหน้าหนีเขาตลอดเวลา


                 ถ้าไม่ชอบ ก็ขอโทษนะชานยอลเอ่ยเสียงอ่อนราวกับไม่ใช่ตัวเอง แม้ดวงตาทั้งคู่จะเว้าวอนอยากให้คนตรงหน้าหันมายิ้มให้เขาอย่างเคย แม้จะตั้งใจยอมรับว่าตัวเองผิดที่ทำเรื่องที่อีกฝ่ายอาจไม่ชอบ หากแต่มือหนายังไม่ยอมปล่อยมือบางออกแต่อย่างใด แพคฮยอนหันหน้ากลับมาช้าๆ ดวงตาเรียวหลุบต่ำลงเหมือนคนไม่มีความกล้าเอาเสียเลย ความใกล้ชิดระหว่างกันนั้นเปิดโอกาสให้บรรยากาศมันเกินเลยมากขึ้น ชานยอลจึงถือวิสาสะเชยคางขึ้นช้าๆอย่างเบามือที่สุด


                 มองหน้าฉันสิ นายไม่ชอบ..เอ่ยค้างไว้ราวกับคำถามที่ฟังดูก็รู้ว่ามีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นที่จะทำให้หัวใจของเขาพองโต


                 .. คำว่า ชอบในที่นี้หมายถึง ..


                 ใบหน้าขาวซีดที่บ่งบอกว่าลำบากใจนั้นกำลังสับสนอย่างมาก เขาไม่เคยนึกโกรธอีกฝ่ายที่ทำให้ต้องอึดอัดแบบนี้ หากจะโทษก็คงต้องเป็นตัวเองที่อ่อนแอกับคนๆหนึ่งได้ง่ายดายเหลือเกิน


                 มือตัวเองสกปรก คุณไม่น่าทำแบบนี้แพคฮยอนเอ่ยเสียงแข็ง


                 แบบไหน..

     
                 “................”


                 ราวกับกำลังถูกต้อนไปเรื่อยๆ ใช่ว่าแพคฮยอนกำลังกลัว ใช่ว่าชานยอลจะใจร้าย หากแต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่นั้นมันเพราะกำลังถูกบางอย่างชักนำ

                 สองกายที่ยืนห่างกันเพียงครึ่งก้าวท่ามกลางดอกไม้สวยสดที่ล้อมรอบในร้านแห่งนี้นั้น แม้ไม่ต้องเอ่ย ทุกอย่างก็ผ่านออกมาทางแววตาได้เป็นอย่างดี ความเงียบในเวลานี้จะแทรกซึมลงไปในจิตใจนานเท่าไหร่ก็หาสำคัญไม่ มันสำคัญก็แค่ตรง ความรู้สึกที่น่าจะตรงกัน


                 รู้มั้ยว่าทำไมผีเสื้อต้องคู่กับดอกไม้จู่ๆคำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินก็หลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปของร่างสูง ดวงตาเข้มนิ่งสนิทอย่างยากจะคาดเดานั้นสะกดให้คนตรงหน้าจำต้องฟังอย่างตั้งใจ แพคฮยอนไม่ได้ตอบคำถามอย่างที่ควรจะเป็น เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าจะต้องพูดอะไร แรงบีบเบาๆที่มือของตัวเองยิ่งทำให้เริ่มหายใจไม่สะดวก แพคฮยอนไม่เข้าใจว่าตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ เขาไม่โง่พอที่จะไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไร แต่ก็ไม่ฉลาดพอเหมือนกันที่จะรู้ใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิด ความเงียบจากร่างเล็กเปิดโอกาสให้คนถามเอ่ยขึ้นมาอีก


                 นายว่านอกจากเรื่องของธรรมชาติแล้ว ถ้าผีเสื้อไม่ชอบดอกไม้ แล้วมันจะยังคอยมาดมดอมตอมอยู่ทุกวันมั้ย


                 พูดบ้าอะไรของคุณเนี่ย ปล่อยได้แล้วแพคฮยอนอยากจะอ้วกเต็มทีกับการพูดจาแบบนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ลงหรอกว่าในอกกำลังสั่นไหว

     
    สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเลยที่กำหนดให้คนที่ยอมก้าวถอยหลังอย่างพยอนแพคฮยอนมาพบกับคนที่ชอบเดินหน้ารุกตามอำเภอใจอย่างปาร์คชานยอล .. แบบนี้คนเสียเปรียบก็เห็นๆอยู่ว่าเป็นใคร


                 นัยน์ตาคมจดจ้องไม่ยอมถอยห่างไปไหน จะพูดอะไรอีกหรือก็ไม่ จะยอมปล่อยมือแล้วถอยห่างออกไปก็ใช่ว่าจะทำ สายตานิ่งขึงราวกับจะทำให้คนตรงหน้ายอมจำนน ไม่กี่นาที่ต่อมากลับเปลี่ยนไปเป็นเว้าวอนร้องขอราวกับคนละคน


                 ผีเสื้อน่ะ ชอบดอกไม้นะฉันว่า


                 แต่มันอาจ ...


                 ไม่มีแต่ ขอร้องล่ะ นายเองก็รู้


                 “...........”


                 ถ้านายเป็นดอกไม้


                 “...........”


                 งั้นฉันก็ไม่ต่างอะไรกับผีเสื้อดีๆนี่เอง


                 แพคฮยอนเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินสิ่งที่ชานยอลพูด ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้ามาตีกันในหัวให้รู้สึกสับสนไปหมด ตัดสินใจได้ในที่สุดมือข้างที่ถูกอีกฝ่ายกุมเอาไว้สะบัดออกอย่างแรง แพคฮยอนผลักหน้าอกชานยอลให้พ้นจากตัว แรงสั่นน้อยๆของร่างกายเริ่มปรากฏขึ้นพร้อมกับคนตรงหน้าที่มีแต่ความไม่เข้าใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไป


                 แพคฮยอน ..


                 คุณหยุดพูดไปเลย ผมเป็นผู้ชายนะ คิดว่าจะไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอเวลาที่ถูกคุณแกล้ง!!ชายหนุ่มละล่ำละลักบอกออกไปขณะที่นัยน์ตาทั้งคู่เริ่มมีน้ำเอ่อคลอออกมาแล้ว แพคฮยอนทั้งโกรธทั้งหวั่นไหวปนกันไปหมด ชานยอลตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะร้องไห้ สองขาก้าวเข้าหาร่างของคนที่เขาแสนห่วงใยแต่ก็ถูกถอยหนีออกไปอีก


                 หยุดตรงนั้นแหละ .. คุณเลิกแกล้งผมได้แล้ว


                 แกล้งงั้นเหรอ...


                 ใช่น่ะสิ ผมมันคนง่ายๆ แถมยังโง่อีกด้วย ไม่เคยตามคุณทันหรอก


                 มันไม่ใช่อย่างนั้นชานยอลพยายามจะบอกว่าไม่ใช่อย่างที่แพคฮยอนคิด แต่ไม่ทันเสียแล้วในเมื่อเขาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร


                 อย่าบอกว่าผมเข้าใจผิดเลยกับสิ่งที่คุณทำ คุณตั้งใจมากกว่า อยากทำก็ทำโดยไม่คิดถึงคนอื่น รู้มั้ยว่ามันทำให้ผม.....” ถึงตรงนี้เสียงก็ขาดหายไป ชานยอลกำลังรอฟังว่าเป็นอะไร จะเป็นเรื่องแบบไหนที่เกิดเพราะเขา


                 มันทำให้ผม คิดไปเองคนเดียว


                 ความเย็นจากลมด้านนอกพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ พากลิ่นหอมจางๆของกุหลาบตรงโต๊ะด้านข้างลอยอบอวลแทรกผ่านมาในหัวใจของคนทั้งสอง สำหรับแพคฮยอนแล้วเรื่องง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อนแบบนี้ทำไมมันถึงเข้าใจยากกว่าโจทย์เลขยากๆกันนะ


                 .. แต่บางที วันนี้คงถึงเวลาที่ต้องเฉลยคำตอบกันแล้ว ..


                 อยากจะทำอะไรคุณก็ทำ ..

     

                 ...............

     

                 ไม่คิดเลย ว่าผมจะรู้สึกยังไง


                 ใช่แล้วล่ะ นายเข้าใจถูกแล้วล่ะแพคฮยอน


                 นั่นไง ในที่สุดคุณก็ยอมรับ


                 ใช่ ฉันยอมรับ อะไรที่อยากทำก็ทำ รวมถึงที่ทำให้นายรู้สึกไม่ดี


                 “................”


                 แต่ที่ฉันทำก็เพราะอยากทำ ที่กอดก็เพราะอยากกอด .. ที่เจ็บบ่อยๆก็เพราะอยากให้นายมาดูแล อยากให้อยู่ใกล้ๆเพราะว่าอยากเห็นหน้า อยากให้นอนด้วยกันก็เพราะว่าอยากให้อุ่น และไม่ว่านายจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สำหรับฉันแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกัน


                 “.... ชานยอลเสียงครางเบาๆกับใบหน้าแดงก่ำจากการร้องไห้นั้นแทบไม่อยากเชื่อหู แพคฮยอนแทบอยากหยุดหายใจเมื่อต้องมายืนฟังเรื่องเอาแต่ใจของคุณชายคนนี้ ที่ไม่รู้ว่าจะหมายถึงแบบไหนกันแน่


                 แต่ยังไม่พอหรอกนะ ฉันมันแย่กว่าที่นายคิดไว้อีก


                 หมายความว่าไง


                 อย่างที่พูดไปไง .. ที่ทำไปมันไม่พอหรอกนะ ฉันอยากทำมากกว่านั้นอีก อยากจูบ อยากมีอะไรด้วย


                 “................”


                 อยากเป็นมากกว่านี้ อยากให้เราเป็นอะไรกัน

                 หากการอยากเป็นผีเสื้อของชานยอล หมายถึงการบอกรัก
              การที่บอกว่าอยากให้เป็นอะไรกัน ก็ไม่ต่างกับการขอเป็นคนรักดีๆนี่เอง

    ได้ยินอย่างนั้นแพคฮยอนก็พูดไม่ออก แปลกใจเหมือนกันที่ตัวเองไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงเอื้อมไปคว้าเอาแจกันใกล้ๆมือมาเขวี้ยงใส่ไปแล้ว เพราะงั้นในตอนนี้ที่ทำได้คงแค่เดินหนีออกไป แต่อีกฝ่ายก็รั้งเอาไว้จนได้


                 เดี๋ยวสิแพคฮยอน .. ที่นายบอกว่าคิดไปเอง ฉันคงเข้าใจไม่ผิดใช่ไหม


                 “.............”


                 ถ้านายไม่ได้คิดไปเอง ฉันก็คงไม่คิดไปเองใช่รึเปล่า


                 มะ ไม่ คุณเลิกยุ่ง ......”

     

    ร่างสูงหมดความอดทนกับการรอคอยแล้ว ในเมื่อเขารู้แล้วว่าอีกฝ่ายก็ใจตรงกัน ชานยอลดึงเอาร่างของแพคฮยอนเข้ามารวบไว้ในอ้อมกอด ริมฝีปากอุ่นทาบทับปิดจุมพิตลงอย่างรวดเร็ว แรงดิ้นขัดขืนของแพคฮยอนไม่มีผลเลยเมื่อเขาต้องแพ้ใจของตัวเอง

                 ฉันรักนาย .. คบกันนะ

     
     

                     -----◆◆-------------◆◆-----                                     
     


                 ตั้งแต่วันนั้นมา ทุกอย่างก็กลับสู่ความปกติอีกครั้ง ปกติในที่นี้หมายถึงความอึดอัดในใจสำหรับคนทั้งสองได้หายไปแล้ว ความเป็นจริงเข้ามาแทนที่ ความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันมากล้นจนแทบลืมความจริงไปเสียสนิท คนอย่างพยอนแพคฮยอนที่ไม่เคยพบกับความรัก นี่ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ และครั้งแรกนี้เองที่สอนให้เขารู้จักกับความสุข .. และก็กำลังจะรู้จักกับความทุกข์



                 หลายสัปดาห์ผ่านไป ชานยอลหายดีแล้ว และชายหนุ่มก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปจากที่นี่แล้วด้วย ความผูกพันของคนทั้งสองเติบโตขึ้นพร้อมๆกับความสัมพันธ์ทั้งใจ .. และกาย

     

                หลายครั้งที่คนตัวเล็กกว่าจะเป็นที่รองรับความต้องการของอีกคน แต่ทุกอย่างก็ล้วนมาจากความรักทั้งนั้น สองร่างเปลือยเปล่าแนบชิดผลัดเปลี่ยนความอบอุ่นให้กันในค่ำคืนที่มีเพียงเขาสองคน

                “อืม ....” เสียงครางอือของคนใต้ร่างที่ไม่ประสีประสาในเรื่องอย่างนี้กลับยิ่งทำให้คนที่กำลังครอบครองมีความต้องการมากขึ้น หลายครั้งอีกเช่นกันที่ชานยอลต้องห้ามใจไม่ให้รุนแรงจนเกินไป ท่วงทำนองของบทรักที่แสนอ่อนหวานระคนร้อนแรงจึงดำเนินไปท่ามกลางคำรักที่พร่ำบอกกันและกัน

     

     

                เมื่อจังหวะกายหยุดลงคนทั้งสองก็พลันแลกเสียงหอบหายใจแผ่วๆให้กัน ร่างสูงทิ้งกายลงข้างคนรักพลางดึงร่างนั้นมากอดเอาไว้

     

               “เจ็บไหม”

     

               “ก็ นิดหน่อยน่ะ”

     

               “ขอโทษนะ คราวหลังจะไม่เผลอรุนแรงไป”

     

               “.....อืม”

     

               “แพคฮยอน หลับแล้วเหรอ หืม”

     

               เมื่อคนในอ้อมกอดไม่ตอบอะไรคนถามจึงได้แต่ยิ้มบางๆ มือหนาข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบเอาแหวนเงินเนื้อเกลี้ยงสวมเข้าที่นิ้วของคนที่หลับไปแล้ว สันจมูกโด่งแนบลงจุมพิตเบาๆที่พวงแก้มขาวพร้อมกระชับกอดร่างนั้นไว้แน่นและตามเข้าสู่นิทราไป

     




                 แต่ความสุขระหว่างคนทั้งสองมันจะอยู่ไปได้นานเท่าไหร่ล่ะ กาลเวลาล่วงเลยไปพร้อมๆกับความผูกพันที่มากขึ้น ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาแม้จะไม่กี่เดือน แต่มันก็นานพอสำหรับความรักของคนทั้งสอง แพคฮยอนไม่เคยเอะใจเรื่องของชานยอลเลย เขาลืมทุกอย่างไปเสียสนิท ไม่เคยเอ่ยถาม ไม่เคยแคลงใจ ดวงตาคู่เดิมที่เฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่ได้แต่ฉายแววเป็นห่วงอยู่ห่างๆ

    แพคฮยอนพยายามจะเข้าใจชานยอลในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้อะไรเลยสักนิด เรื่องของอีกฝ่ายที่เขาไม่เคยแม้แต่จะรู้อะไรเลย อาการแปลกๆที่เริ่มแสดงออกมาของชานยอลที่มีมากขึ้นทุกวันๆทำให้วันนี้แพคฮยอนทนเก็บมันไว้ไม่ไหว เขาไม่อยากเป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่อง คอยแต่จะให้อีกฝ่ายปกป้องหรือพร่ำบอกว่ารักมากแค่ไหน แพคฮยอนอยากเป็นคนสำคัญที่ชานยอลไว้ใจและกล้าจะวางหัวใจเอาไว้ไม่ต้องมีอะไรปิดบังกัน







                 เช้าวันหนึ่งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องๆเดิม เช้านี้ที่ต้องรู้อะไรบ้างแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มาจากไหน และต่อไปจะเป็นอย่างไร


                 แต่ .. มันสายไปแล้ว

                 ความว่างเปล่าข้างกายกระตุ้นให้ความสงสัยทำงาน แต่แล้วมันก็ต้องหยุดลงเมื่อพบกระดาษสีขาวพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งที่ถือว่ามาก วางอยู่บนโต๊ะในห้อง ลมเย็นๆพัดพาความว่างเปล่าเข้าแทรกซึมลงในจิตใจของพยอนแพคฮยอน ยามเมื่อมือข้างหนึ่งวางกระดาษแผ่นนั้นลงที่โต๊ะ

     

                 เจ้าของลายมือนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ตอนนี้มันคือความจริงไม่ใช่ความฝัน


                 แต่ช่วงเวลาอันแสนสั้นระหว่างเราที่ผ่านมาต่างหากล่ะ .. ที่มันกลับรวดเร็วราวกับความฝันชั่วข้ามคืน

                 งั้นเหรอ .... แค่บอกว่าลาก่อนคำเดียว จะเขียนไว้ทำไม ทำไมไม่มาบอกเองล่ะ 

     

                ... เงินของคุณ ผมไม่อยากได้ซักนิด


                 น้ำตาหนึ่งหยดตกลงมาตามแก้มผ่านความเจ็บช้ำที่ค่อยๆซึมลึกลงไปในใจ ร่างเล็กทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตามเดิม แลกกับเงินก้อนนี้ เท่านี้ใช่ไหมที่ใช้ซื้อหัวใจของพยอนแพคฮยอน คนที่โง่ที่สุดในโลกนี้คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเอง .. ไม่ใช่เลยจริงๆ




     
    .
    .

    Tbc. chapter 3









    ค้างไว้หลายวันเลย รีบมาต่อให้แล้วนะคะ (ไปติ่งSJ-Mมา เพิ่งกลับมาทำงานเลยยังเคลียร์ไม่ลงค่ะTT)

    เห็นหลายคนบอกว่าไรท์เตอร์เตือนพาร์ทที่แล้วว่าจะดราม่า คืออยากบอกว่าใจเย็นค่ะ

    ไม่ได้ดราม่าขนาดนั้นหรอกค่ะ ... เอ๊ะ หรือว่าไม่นะ ยังไงเนี่ยๆ รอติดตามกันนะคะ

    แต่งไปก็จิ้นภาพนุ้งแบคไป คือแบบ แบคเอ๊ยลูก!! เรื่องนี้หนูก็ไม่ได้หวานนะ แต่น่ารักไปนะ ...ฮา  ^^!

     

    ขอบคุณทุกคอมเมนท์นะคะ เจอกันบทหน้าคร่า ~~






     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×