คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : WHEN ? .. Chapter.[19] .. END ~
มาถึงตอนจบแล้วค่ะ บางคนอาจเคยอ่านในรวมเล่มหรือว่าจากที่อื่นมาแล้ว
แต่ใครยังไม่เคยอ่านตอนจบ เชิญชมบทสรุปได้เลยนะคะ
หวังว่าคงเข้าใจเหตุผลของตัวละครกันนะเออ
เมนท์ไม่มากมาย แต่ทุกคอมเมนท์เป็นกำลังใจได้ดีค่ะ
ทั้งที่แวะมา แวะมาอ่าน แวะมาชม ขอบคุณมากนะคะ m( _ _ )m
---------------------------------------------------------------
Chapter 19
ENDING PART
หลายวันผ่านไป ใบหน้าหล่อเหลาก็ยังเป็นจุดสนใจอยู่ดี ร่างสูงมองดูนาฬิกาข้อมือที่บอกว่าจวนจะได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว เมื่อถึงที่หมายเขาก็ยังจะยืนมองบางคนอยู่อย่างนั้น ซองมินนั่งประจำอยู่ที่โต๊ะตัวเองหน้าห้องของคิบอม หลายเดือนมาแล้วที่เขาเห็นว่าเจ้านายตัวเองดูจะมีความสุขมากกว่าที่เคย แต่ถึงจะน่ายินดีด้วยเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วนิสัยที่ชอบหายตัวไปโดยไม่บอกเขาสักคำมันกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“เฮ้อ... ผู้หญิงหลายคนคงนึกอิจฉาคุณฮันคยองมากแน่ๆ แต่จะมีใครรู้ล่ะว่าเลขาคนนี้เป็นเลขาที่โชคร้ายที่สุดในโลก” เสียงบ่นกับตัวเองเบาๆทำให้คนที่แอบมายืนมองอยู่นานต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้
“ใครบอกล่ะ อย่างน้อยสาวๆที่หมายปองฉันก็คงจะอิจฉานายกันเป็นแถว”
“คยูฮยอน !”
“อ้อ ถึงนายจะคิดว่าตัวเองเป้นเลขาที่โชคร้ายที่สุดนะ แต่ขณะเดียวกันนายก็โชคดีที่สุดที่ได้เป้นแฟนของคนอย่างโจวคยูฮยอน” น้ำเสียงและใบหน้าเจ้าเล่ห์ของคนหลงตัวเองทำให้ซองมินต้องทำหน้าหมั่นไส้ไปให้
“วันนี้กินอะไรดีนะ” ใบหน้าน่ารักกำลังครุ่นคิดขณะที่เดินออกมาด้วยกัน คยูฮยอนถือโอกาสเอื้อมมือไปเกี่ยวมือของซองมินมาจับไว้ คนถูกจับเมื่อรู้ตัวก็เริ่มจะลืมไปแล้วว่ากำลังคิดเรื่องกินอยู่
“นึกไม่ออกก็กินมันทั้งหมดทุกร้านน่ะแหละ นายคนเดียวฉันเลี้ยงได้อยู่แล้ว สบายมาก”
“คยูฮยอนบ้า !!”
แม้ว่าซองมินจะหันมาต่อว่าคนที่แซวไม่ถูกเวลา แต่คนถูกด่ากลับมีเพียงรอยยิ้ม เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายเองก็กำมือเขาแน่นอย่างไม่ยอมปล่อยเช่นกัน
“อะไร แค่ทานข้าวกับน้องมินยอง นายก็ไปสิ มาบอกพี่ทำไม” เสียงหนึ่งดังขึ้นขณะพูดคุยกันอยู่ที่เก้าอี้รับรองในชั้นแรกของบริษัท ฮันคยองแกล้งทำเฉยขณะที่คิบอมกำลังอยากให้ช่วยเพราะเขาไม่อยากจะไป ลำพังมินยองคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก เธอเป็นน้องสาวที่น่ารักและมีเหตุผล แจ่เขากำลังเกรงใจคนเป็นพ่อต่างหากที่ดูเหมือนจะอยากยกลูกสาวตัวเองให้เขาเสียหลือเกิน
“คุณปาร์คเค้าไม่ได้เป็นคนพูดไม่รู้เรื่องขนาดนั้นหรอกน่า เค้าเป็นผู้ใหญ่นะ
คิบอม”
“ก็เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่ไง”
“อย่าคิดมากเลย เค้าออกจะอยากได้นายเป็นลูกเขยไม่ใช่เหรอ”
“พี่น่ะ พูดแบบนี้ประชดเหรอ หึงผมล่ะสิ”
“ใครบอก ไม่เห็นต้องหึง..”
“นั่นสินะ ผมไม่ใช่คุณยองเจซักหน่อย .. นั่นไง พูดถึงก็โผล่มาพอดี”
คิบอมหันไปมองใครบางคนที่กำลังเดินตรงมาหาเขาทั้งสอง ร่างกายกำยำสูงสง่าของนักธุรกิจหนุ่มใหญ่ชื่อดังในชุกสูทที่แสนดูดีมีราคากำลังเดินตรงมาพร้อมกับช่อดอกไม้ขนาดใหญ่ ที่มองไกลๆคิบอมก็รู้ว่ามันคือดอกกุหลาบแดง ชายหนุ่มทำท่าจะอ้วกแต่ก็ถูกคนตรงหน้าเอื้อมมาตีแขนเข้า
“เสียมารยาทนะคิบอม..” พูดจบแล้วก็ต้องลุกขึ้นยืนยิ้มให้คนที่มายืนอยู่ตรงหน้าแล้วในตอนนี้
“สวัสดีครับคุณยองเจ หวังว่าอะไรหลายๆอย่างของทางเราจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของคุณนะครับ” ฮันคยองเอ่ยถามด้วยใบหน้าเป็นมิตรหลังจากที่ร่วมงานกันมาหลายเดือนแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าอย่าคิดเรื่องพวกนี้เลย ไม่มีปัญหาสักนิด
“.. ว่าแต่ เที่ยงนี้คุณว่างมั้ยครับ ไปทานข้าวกับผมซักมื้อนะ ส่วนนี่ หวังว่าคุณจะชอบ” ว่าแล้วก็ยื่นช่อกุหลาบแดงขนาดใหญ่ไปให้ฮันคยองที่ตั้งรับแทบไม่ถูก ใครจะคิดล่ะว่าคนตรงหน้าจะสนใจเขาจริงๆ ต่างกับคิบอมที่มีเพียงสีหน้าไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด เพราะต่อให้เขาเห็นผู้ชายคนนี้ตั้งแต่นอกประตูบริษัทกำลังหอบเอากุหลาบมาทั้งสวน หรืออุ้มตุ๊กตาหมีตัวเท่าคนมาด้วย เขาก็ฟันธงได้ทันทีว่าคนที่จะได้รับจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮันคยอง
คิบอมหันหลังจะเดินออกไปโดยไม่เอ่ยอะไรอย่างที่เคย จะมีใครรู้มั้ยว่าเขากำลังฉุนจนไม่คิดจะสนใจอะไรอีกแล้ว และต่อให้ผู้ชายคนสำคัญคนนี้จะขอยกเลิกสัญญากับบริษัทในปีต่อไป เขาก็คงไม่คิดจะแคร์ แต่ในความเป็นจริง ร่างกายมักเร็วเท่าความคิด เป็นฮันคยองเองที่หันมาคว้าแขนคิบอมเอาไว้ไม่ให้ไปไหน ขณะที่ยองเจกำลังไม่ค่อยเข้าใจกับท่าทางแปลกๆของคนสองคนนี้นัก
“เอ่อ .. คุณยองเจครับ เห็นทีว่าผมคงไปทานข้าวกับคุณไม่ได้”
“อ้าว ทำไมครับ ไม่ว่างเหรอ”
“เปล่าครับ ผมนัดแฟนไว้น่ะ”
“แฟน ..” ยองเจทำหน้าประหนึ่งว่าโลกจะแตกเมื่อรู้ว่าฮันคยองมีแฟนแล้ว และที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่ใช่ใครที่ไหน ที่แท้ก็ ..
“ต้องขอตัวก่อนนะครับ ผมหิวจนจะแย่แล้ว” เป็นคิบอมเองที่พูดขึ้น ท่าทีของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นอีกแบบจนคนข้างกายแปลกใจ วงแขนกว่างโอบเอวบางไว้ให้เดินไปด้วยกันพร้อมกับช่อกุหลาบของยองเจที่ฮันคยองยังอุ้มเอาไว้เหมือนเดิมเพราะไม่อยากหักหาญน้ำใจคนให้ ส่วนคนอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มก็เอาแต่ยืนช็อคอ้าปากค้างอยู่กับที่ไปเสียแล้ว
“ใจร้ายจังนะคนเนื้อหอม” คิบอมเอ่ยขึ้นขณะที่เดินออกมาข้างนอกแล้ว
“อะไรของนาย”
“ให้ความหวังแบบนั้น เป็นใครก็ต้องเสียใจ”
“พี่ไม่ได้ให้ความหวังเค้านะคิบอม” ฮันคยองอธิบายอย่างจริงจัง
“ช่างเหอะ .. แค่ความหวังจะให้ใครก็ให้ไป”
“.........”
“แต่หัวใจ รู้มั้ยว่าให้ผมได้แค่คนเดียว” ฮันคยองแทบพูดไม่ออกเมื่อได้ยินอะไรแบบนี้
“น้ำเน่ามากแล้วคิบอม” ฮันคยองพูดจบก็เร่งฝีเท้าเดินหนีไปข้างหน้า ให้อีกคนได้แต่เดินตามหลัง ก็ใครอยากจะให้รู้ล่ะว่าตัวเองก็กำลังยิ้มอยู่ไม่ต่างกัน
*************
“ใครว่าฉันแกล้งทรมานนายกันซีวอน รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันรักนายจะตายไป”
ประโยคเดิมๆวนเวียนอยู่หัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องราวในอดีตตั้งแต่รู้จักกันมาจนถึงวันนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านเข้ามาในหัวสมองอยู่แทบทุกวัน ราวกับม้วนวีดีโอของหนังเรื่องหนึ่งที่ถูกเปิดฉายกลับไปกลับมา .. ทุกฉากทุกตอนซาบซึ้งจนคนดูต้องเสียน้ำตา
“คุณซีวอนคะ คุณคิบอมมาขอพบค่ะ” เสียงของเลขาสาวที่เข้ามาถามนั้นติดจะเครียดนิดๆเพราเธอรู้ดีว่าเจ้านายสั่งเอาไว้อย่างไร
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าตอนนี้คุยธุระอยู่” ใบหน้าคมหันมาบอกขณะที่อีกมือ
หนึ่งดึงเอาโทรศัพท์ออกจากหู
“ค่ะๆ จะเรียนคุณคิบอมเดี๋ยวนี้ค่ะ” ว่าแล้วก็รีบออกจากห้องไปก่อนที่จะถูกเจ้านายตำหนิมากกว่านี้ เห็นอย่างนั้นแล้วซีวอนก็หันมาคุยธุระต่ออย่างไม่สนใจอะไรอีกต่อไป
ตั้งแต่ที่ดงแฮพาฮีชอลไปอยู่เมืองนอก ทุกคนรอบข้างต่างก็กลัวเหลือเกินว่าซีวอนจะเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการร้องไห้ในห้อง งานก็ลา ข้าวปลาก็แทบไม่แตะ ไม่ยุ่งอะไรกับใครทั้งสิ้น อย่างสามวันแรกที่ทุกคนใจจะขาดไปด้วย แต่ก็แค่สามวันแรกเท่านั้น เพราะจู่ๆหลังจากนั้นซีวอนคนเดิมก็กลับมา ฟังดูแล้วเหมือนจะดีขึ้น แต่ไม่เลย ทุกคนยิ่งเป็นห่วงไปกันใหญ่ ในเมื่อเขาเอาแต่ทำงานโดยที่ไม่สนใจอะไรเลย งานที่เคยยุ่งอยู่แทบทุกวัน ซีวอนก็ทำมากกว่าเดิมเป็นหลายเท่า ฮันคยองที่อยู่บ้านด้วยกันก็แทบไมได้เจอด้วยซ้ำ .. ไม่มีการพูดถึงใครคนอื่นนอกจากงาน ไม่มีการพูดถึงใครบางคนที่อยู่แสนไกล
.. เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จากคืนเป็นวัน จากวันเป็นเดือน แต่ละเดือนผ่านไปพร้อมกับความว่างเปล่า ..
“ซีวอน .. ซีวอน” เสียงเรียกจากนอกห้องไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร ร่างสูงที่นอนสลบอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อคืนไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมาเลย ถึงหูจะรับรู้ว่ามีคนเรียกก็ตามที ร่างโปร่งบางที่ยืนเก้ออยู่หน้าห้องเลยได้แต่ตัดใจแล้วเดินบ่นลงมาตามบันได ถึงฮันคยองจะรู้สึกหงุดหงิด แต่ทุกอย่างก็ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจ
“อะไรกันคะคุณหนู เสียงดังแต่เช้าเลย” ป้ายุนฮีร้องถามขณะที่กำลังจัดเรียงอาหารเช้าในถาดลงไปยังโต๊ะ คนถูกถามถอนหายใจอย่างปลงๆแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ โต๊ะอาหารแม้จะไม่ถึงขนาดกับกว้างจนเอื้อมไม่ถึง แต่เวลานี้ที่มีตัวเองคนเดียว มันก็เหงาไม่ต่างไปจากทุกวัน
“ซีวอนไม่ตื่นน่ะครับป้า”
“โอ๊ย .. ตั้งแต่วันนั้นคุณซีวอนเคยลงมาทานข้างกับเราที่ไหนล่ะคะ วันนี้ก็อย่าไปเรียกเลย คนไม่ได้นอนมาตั้งหลายวัน นานๆทีก็ปล่อยเค้าเถอะค่ะ” ทั้งสองมองหน้ากันอย่างกลุ้มใจ แต่เขาทั้งคู่จะทำอะไรได้
ไกลออกไปแทบจะคนละมุมโลก ค่ำคืนแรกจวบจนคืนนี้แทบไม่มีอะไรต่างไปสักนิด คิดถึงใครบางคนยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดเวลาที่ความจำเสื่อม บางทีก็อยากให้เป็นอย่างนั้นไปตลอด ไม่รู้อะไร ไม่ต้องรู้จักใคร แล้วก็จะได้เริ่มต้นใหม่กับผู้ชายที่เคยทำร้ายได้โดยที่ทิ้งเรื่องเก่าๆไว้ข้างหลัง
“เพ้อเจ้ออีกแล้วสิเรา มันจะเป็นไปได้ไง เลิกคิดได้แล้ว” เรียวปากอิ่มขยับพูดกับตัวเองก่อนจะก้มลงไปยิ้มให้กับภาพของคนตัวเล็กที่หลับปุ๋ยอยู่ข้างกันบนเตียง
“คุณหนูคะ พรุ่งนี้จะกลับกี่โมงคะ” ร่างของพี่เลี้ยงสาวเดินเข้ามาถามก่อนที่จะออกไปนอนที่ห้องตัวเองบ้าง
“คงค่ำกว่าเดิมนิดหน่อย ช่วงนี้ประชุมถี่มาก พาฮีชอลเข้านอนแล้วก็หลับได้เลยนะ ไม่ต้องรอ”
“ค่ะคุณหนู” ว่าแล้วก็กลับออกไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่อีกฝั่งของบ้าน
ซูยองคอยรายงานเหตุการณ์ที่นี่ให้กับฮันคยองและป้ายุนฮีรู้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งก่อนมาทั้งสองก็กำชับหนักหนาว่าให้ดูแลคุณหนูทั้งสองคนดีๆ แต่เรื่องนี้ดงแฮกลับไม่รู้เลย รู้แค่ว่านานๆทีจะได้คุยโทรศัพท์กับฮันคยอง โดยที่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับคนๆนั้นแม้แต่น้อย
ตลอดเวลาที่จากบ้านมาอยู่ที่นี่ บางทีดงแฮก็อดนึกถึงแปลงดอกไม้ข้างสวนที่บ้านไม่ได้ ป่านนี้คงแห้งเหี่ยวจนเหลือแต่ซากแน่ๆ ก็ตั้งแต่ความจำเสื่อมมาจนตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้สนใจไปดูไปแลมันเลย
.. อุตส่าห์ดูแลมานานแค่ไหน เฝ้ารดน้ำพรวนดินจนงอกงามมาขนาดนี้แล้วแท้ๆ สุดท้ายก็ตายกลับสู่ดินอยู่ดี ..
***************
แสงแดดในตอนเช้ามืดเริ่มจะส่องพ้นก้อนเมฆออกมา เม็ดเหงื่อที่ไหลลงมาตามข้างแก้มถูกมือข้างหนึ่งยกขึ้นปาดมันออกอย่างไม่สนใจ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยังคงกำวัตถุบางอย่างไว้ เศษดินร่วนๆทุกชะผ่านลงไปด้วยน้ำทุกหยาดหยดที่ไหลมาตามก้านเล็กของลำต้น กลีบดอกไม้บางต้นเริ่มจะผลิออกน้อยๆ เรียกรอยยิ้มของคนที่เฝ้ามองดูอยู่แทบทุกวัน
“กว่าจะบานก็ยากเหมือนกันนะเนี่ย” เสียงทุ้มเอ่ยกับตัวเองก่อนที่จะต้องรีบกลับขึ้นห้องไปเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปทำงานอย่างทุกวัน
ไม่มีใครรู้หรอกว่าแปลกดอกไม้ของเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว จะมีผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยจะสนใจ กำลังรดน้ำพรวนดินรอให้กลับมาเหมือนเดิม
จากเดือนแรกที่ผ่านไป เป็นหลายเดือน .. และหนึ่งปี
แสงไฟหลากสีส่องสลับกับความมืดไปมาชวนปวดหัว เสียงเพลงจังหวะหนักๆกระแทกเข้ามาในโสตประสาทของหลายๆคนที่กำลังติดอกติดใจจนไม่อยากกลับบ้าน ร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งกำลังกระดกแก้วเหล้าเข้าปากบนเก้าอี้ที่หันหน้าเข้ากับบาร์ที่เป็นแนวยาว
“คอแข็งเหมือนเดิมเชียวนะมึง คังอิน” เสียงของคนที่ถูกบังคับให้มา เมื่อมาถึงก็นั่งลงโดยไม่ต้องมีใครเชิญ
“กว่าจะโทรลากคุณซีวอนออกจากงานมาได้นะครับ” คังอินทำหน้าล้อเลียนให้คนที่เอาแต่นิ่วหน้ากับท่าทางของเขา ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะดีกว่ากันนี่นะ คังอินเลยอดรู้สึกหมั่นไส้เพื่อนรักไม่ได้
“คืนนี้กูต้องเคลียร์งานอีกเยอะ นี่ออกมานั่งเป็นเพื่อนมึงก็ดีเท่าไหร่แล้ววะ” พูดจบก็เงยหน้าสั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์
“เหอะ งานมันไม่หายไปไหนหรอก ห่วงอย่างอื่นเหอะวะ..” คังอินพูดไปก็เหมือนพูดคนเดียวเพราะคนฟังเอาแต่นั่งมองแก้วในมือตัวเองโดยไม่ยกขึ้นมาเลยสักนิด
“ความรักก็งี้แหละนะซีวอน คนเราชอบหาว่ามันเข้าใจยาก แท้จริงแล้วตัวเองต่างหากที่โง่เอง” เสียงทุ้มของคุณหมอหนุ่มเปรยๆไปกับอากาศราวกับคนมีปัญหาหัวใจ แต่คนมีปัญหาจริงๆกลับนั่งเฉยๆไม่พูดไม่จา ซีวอนเปลี่ยนเรื่องทันที
“แล้วนี่ว่างเหรอวะ คนไข้ไม่รอแย่แล้วรึไง”
“หมอก็คนนะเว้ย นานๆทีก็พักบ้างสิวะ .. ว่าแต่มึงเหอะ เป็นคนดีตั้งแต่เมื่อไหร่ จะกินก็กินเข้าไปสิวะนั่งจ้องมันอยู่ได้ เอ๊ะ .. หรือว่ากำลังกลับใจ” เหมือนถูกแทงใจดำ ซีวอนรีบยกแก้วในมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ก่อนจะสั่งมาอีกอย่างไม่รอช้า
“ใครว่ากูไม่ดื่ม ได้ทุกที่แหละ แค่ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง” ซีวอนพูดกลบเกลื่อนไปและก็ไม่คิดจะเอ่ยอะไรมากมายอย่างเวลาที่เจอกัน เห็นอย่างนี้คังอินก็อดสงสารไม่ได้
เรื่องทั้งหมดใครเลยจะนึกว่าจะจบแบบนี้ แต่ในใจเขาก็หวังเสมอว่าเพื่อนสองคนจะกลับมาคืนได้กัน คังอินมองซีวอนที่เหมือนกับกลายเสื้อหมดลายไปโดยปริยาย ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามกลบเกลื่อนด้วยการออกไปเต้นรำอยู่กลางฟลอร์กับสาวๆหุ่นเซ็กซี่ก็ตามที แต่สุดท้ายก็เป็นไปตามคาด คังอินต้องเป็นฝ่ายแบกเอาเพื่อนรักออกมาในตอนที่จะกลับบ้าน
“เฮ้ ซีวอน ทำเป็นอวดดีแล้วใครใช้ให้มึงกินเข้าไปขนาดนี้วะ .. รู้มั้ยว่ากูหนัก” เสียงทุ้มบ่นใส่หูคนที่เขาแบกเอาซึ่งไม่ได้รับรู้อะไรเลย ใบหน้าแดงก่ำกับรอยยิ้มเพ้อๆแบบคนเมาทำให้คังอินสุดแสนจะกลุ้ม
“เฮ้อ.. มึงนะมึง เมียกับลูกทิ้งไปแล้วยังจะโง่อยู่แบบนี้อีก ถ้ารู้ว่ามันทรมานแบบนี้แล้วปล่อยไปทำไมวะ” ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่คังอินก็รู้ดีว่าทุกอย่างมันเป็นมาอย่างไร บางทีถ้าเป็นเขาก็อาจจะต้องเป็นแบบนี้ก็ได้
คืนนี้คังอินจึงตัดสินใจทิ้งรถตัวเองไว้ที่นี่แล้วขากลับค่อยย้อนมาเอา มือหนาควานหากุญแจรถจากร่างของคนที่เมาไม่รู้เรื่องแล้วเป็นฝ่ายอาสาพาไปส่งที่บ้านเอง ระหว่างทางที่นั่งรถด้วยกันมาคนขับก็ต้องรู้สึกลำบากใจอีกรอบ
“อึก .. ดงแฮ ดงแฮ ไหนเธอบอกว่ารักฉันไง แล้วเธอทิ้งฉันได้ยังไง .. ฮึก ฮือ นายมันผิดเองซีวอน นายมันเลว ...” เสียงร้องไห้ละเมอเพ้อไปของคนเมาที่ไม่ได้สติดังออกมาให้คนที่ฟังอยู่อดสะเทือนใจไม่ได้ ความเสียใจทั้งหมดที่พยายามเก็บเอาไว้มันปะทุออกมาในยามควบคุมตัวเองไม่อยู่
คังอินนึกย้อนไปหลายปีก่อนที่เพื่อนสองคนคบกัน ตอนนั้นถ้าเขารู้ว่าซีวอนจะเป็นฝ่ายทำร้ายดงแฮแล้วตัวเองก็เสียอีกฝ่ายไป ตอนนั้นเขาจะไม่สงสารคนผิดเลยสักนิด แต่ตอนนี้ล่ะ .. ยังไงเสียไม่ว่าใครจะถูกจะผิด ถ้ารักกันมากขนาดนี้เขาก็เห็นใจทั้งคู่อยู่ดี
***********
หลายวันต่อมาในเช้าที่สดใส แสงแดดสาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณบ้านหลังใหญ่ที่บ่งบอกฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี ใบหน้าคมของร่างสูงที่วุ่นวายกับการแต่งตัวอยู่ในห้องจู่ๆก็ชะโงกหน้าออกไปนอกระเบียง ดอกไม้เล็กๆหลากสีเบ่งบานแข่งกันรับแสงตะวัน ซีวอนยิ้มให้กับภาพเบื้องล่างที่ตัวเองเฝ้ารอมาตลอด อุตส่าห์ดูแลจนกลับมาเบ่งบาน
.. นึกแล้วก็อยากให้เจ้าของคนเดิมของมันมาเห็นจัง ..
วูบเดียวที่แววตาสดใสนั้นสลดลงเมื่อนึกเรื่องที่มันไม่มีทางเป็นไปได้ ซีวอนเลิกสนใจแปลงดอกไม้ด้านล่างแล้วรีบกลับเข้าห้องมาหอบเอาประเป๋าเอกสารกับโทรศัพท์มือถือไว้เพื่อที่จะได้ออกไปทำงานมากมายที่รอเขาอยู่ จะมัวชักช้าคงไม่ทันการณ์
เสียงหัวเราะคิกคักในห้องรับแขกทำให้คนที่วิ่งลงบันไดมาต้องหยุดชะงักด้วยความประหลาดใจ คิบอมกับฮันคยองที่กำลังนั่งดูรายการตลกอยู่กันสองคนแทบไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ ถุงขนมห่อใหญ่ที่คนทั้งคู่แย่งกันล้วงลงไปส่งเสียงดังกรอบแกรบ จะว่าไปก็มันน่าอิจฉาบรรยากาศดีๆแบบนี้เหลือเกิน ซีวอนยิ้มให้กับสิ่งดีๆที่เห็นก่อนจะเดินผ่านไปทางประตู คนทั้งคู่ที่นั่งอยู่ข้างกันเห็นเข้า เสียงโทรทัศน์จึงถูกปิดลง
“เฮ้ ซีวอน ! วันอาทิตย์นะเว้ย ไปทำงานอะไรอีกวะ” คิบอมร้องทักเสียงดัง แต่สิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่การสวนกลับ มันเป็นเพียงแค่รอยยิ้มเท่านั้น รอยยิ้มง่ายๆที่คนได้รับไม่รู้จะพูดอะไรกลับไป
“เย็นนี้กลับบ้านให้เร็วหน่อนะซีวอน” ฮันคยองเอ่ยออกมาสั้นๆ ทำให้ซีวอนต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“ทำไม มีนัดทานข้าวกันเหรอ ถ้างั้นพวกนายก็ตามสบายเลยนะ ฮันคง ...”
“บอกให้มาก็มาเหอะ แต่ถ้าไม่ว่างหรือไม่อยากมาก็ตามใจนะ เสียใจทีหลังก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน” ฮันคยองพูดแล้วก็ดึงคิบอมให้หันกลับไปสนุกกับรายการตลกด้วยกันต่อโดยไม่ได้สนใจคนที่ยังยืนงงอยู่เลย ซีวอนส่ายหัวนิดๆก่อนที่จะก้มมองเวลาแล้วรีบออกไปจากบ้านทันที
หลังจากที่ซีวอนออกไปแล้ว คิบอมและฮันคยองก็หันมามองหน้ากัน
“พี่ว่ามันจะมามั้ย”
“ไม่รู้สิ ก็อย่างที่บอกว่าตามใจ .. อีกอย่าง เราช่วยอะไรไม่ได้มากหรอกคิบอม”
ผ่านไปเกือบครึ่งวัน ใบหน้าคมเงยขึ้นจากโต๊ะทำงานพลางนึกถึงเรื่องที่ฮันคยองบอกเมื่อเช้า
“..เซอร์ไพรส์วันเกิดเหรอ อีกตั้งหลายเดือนเนี่ยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยกับตัวเองทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่อยู่แล้ว แต่ถ้าให้เขาเลือกได้ว่าอยากให้เป็นอะไร สิ่งนั้นแหละ .. ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย
การสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป สำหรับคนๆหนึ่ง มันเหมือนจะเป็นบทเรียนอันทรงค่าที่ทำให้ต้องย้อนมองตัวเองและไม่ทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไปอีกเพื่อที่ต่อไปจะไม่เสียสิ่งมีค่าไป แต่สำหรับชีวิตของผู้ชายคนนี้ เขาจะเอาบทเรียนนี้ไปใช้กับใครล่ะ ในเมื่อสิ่งที่เขาสูญเสียไปนั้นเป็นคนสำคัญที่มีเพียงคนเดียวบนโลกนี้ คนเดียวที่ไม่สามารถมีใครมาแทนที่ได้
ซีวอนนึกในใจขณะที่ขับรถกลับบ้านว่าป่านนี้สองคนเมื่อเช้าคงรอเขาอยู่เป็นแน่ และเมื่อเห็นหน้าเขา ทั้งสองก็ต้องบอกว่าเป็นไปตามคาด คิดแล้วก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงคิบอมและฮันคยอง
.. แน่ล่ะ นายไม่เคยทำให้คนที่รักต้องเสียใจอยู่แล้วนี่ คิบอม
และเมื่อมาถึงบ้าน อารมณ์ที่อยากรู้ก็ปะทุขึ้นมาในอกเอาดื้อๆ แต่คิดไปคิดมาเขาก็ต้องเตือนตัวเองเอาไว้ จริงๆแล้วอาจเป็นแผนแกล้งอำอะไรกันสักอย่างก็ได้ ก็ดูแล้วบรรยากาศที่บ้านก็ไม่เห็นจะมีอะไรต่างไปจากเมื่อเช้าเลย และทันทีที่ขาทั้งคู่ก้าวพ้นประตูหน้าบ้านเข้ามา
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็ทำให้ซีวอนแทบไม่เชื่อสายตา เหมือนกับว่าตัวเองกำลังฝันไป ร่างเล็กๆที่แสนคิดถึงกำลังวิ่งเตาะแตะตรงมาหาเขา อ้อมแขนของคนเป็นพ่อกางออกรับเอาลูกสาวตัวน้อยมากอดไว้โดยไม่ต้องคิด ไม่ใช่แค่ซีวอนที่ดีใจ ทุกคนที่มองอยู่ต่างก็ดีใจไม่แพ้กัน
“ฮีชอลคิดถึงคุณพ่อที่สุดในโลก” เสียงใสร้องบอกอย่างสุขใจตามประสาเด็กที่ไม่ได้เจอพ่อตัวเองมานานถึงหนึ่งปี คนเป็นพ่อก็ดีใจไม่ต่างกันแต่ความรู้สึกมันมากกว่าคนที่ยังเป็นเด็กอยู่มาก ใบหน้าคมยิ้มให้ลูกสาวขณะที่ดวงตามีน้ำซึมออกมา เขาไม่รู้จะเอ่ยอะไร มันตื้นตันจนพูดไม่ออก
“พ่อก็คิดถึงลูก..” สองพ่อลูกกอดกันอยู่อย่างนั้น เรียกน้ำตาจากป้ายุนฮีได้ไม่ยาก และมีบางอย่างที่ซีวอนไม่ได้ลืมไปสักนิด หลังจากที่อุ้มฮีชอลเอาไว้แล้วเขาก็มองเข้าไปยังทุกคนที่ยืนอยู่ ดวงตาคมกวาดมองรอบๆเหมือนกำลังหาใครบางคน
“ดงแฮไม่ได้มาที่บ้านหรอก..” คิบอมเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“คุณแม่บอกว่ากลัวฮีชอลจะคิดถึงคุณพ่อ แล้วคุณพ่อก็คิดถึงฮีชอล .. ” เสียงของเด็กน้อยดังขึ้นตามอย่างรู้ประสาแต่ก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่นัก ซีวอนได้ยินแบบนั้นเลยเลิกชะเง้อหา ความหวังเพียงน้อยนิดของเขามันได้มลายหายไปทั้งที่จริงก็ไม่มีอยู่แต่แรกแล้ว
“ซูยองๆ พาฮีชอลไปอาบน้ำก่อนไป มาถึงตั้งนานจะได้สบายตัว” ฮันคยองรีบตัดบทขึ้นเพื่อที่จะได้คุยกันสะดวก ก่อนที่พี่เลี้ยงสาวจะเดินไปรับเอาคุณหนูตัวน้อยของเธอมาจากซีวอนแล้วขึ้นห้องไปตามคำสั่งของเจ้านาย ร่างสูงที่ยืนอยู่ที่เดิมระบายยิ้มเศร้าๆออกมากับตัวเอง
“เราไปรับทั้งสามคนมาจากสนามบิน ส่วนดงแฮที่มาครั้งนี้เพราะต้องเอารายงานประจำปีของสาขามาส่งให้บริษัท แล้วตอนนี้ก็พักที่โรงแรมเพราะพรุ่งนี้สายๆก็คงต้องรีบกลับ แต่ฮีชอลกับซูยองจะอยู่กับเราเหมือนเดิม”
“หมายความว่า..”
“ก็หมายความว่า ดงแฮก็อยู่คนเดียวที่นู่น ลูกกับนายจะได้อยู่ที่บ้านพร้อมหน้ากัน”
“พร้อมหน้ากัน .. ดีจังแฮะ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆพร้อมกับรอยยิ้ม แต่แววตาทั้งคู่มันเศร้าจนปิดไม่มิด ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าคำว่าพร้อมหน้าที่พูดออกมานั้น มันจะบาดลึกลงไปในใจแค่ไหน
ซีวอนรู้สึกเสียใจเหมือนทุกครั้งที่ไม่สามารถได้คนรักของตัวเองคืนกลับมา แต่แล้วยังไงล่ะ เขาจะทำอะไรได้ในเมื่อทุกอย่างไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรอีกแล้ว อีกใจก็อดห่วงไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ยังไง จะเหงาบ้างไหม
.. เธอน่ะ ทำอะไรก็อย่าให้ฉันห่วงเลยได้ไหม
แม้ว่าซีวอนจะคิดทุกอย่างในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทุกคนที่เฝ้ามองอยู่ก็รู้ดีแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป ช่วงเวลาอาหารเย็นที่มีคิบอมเป็นแขกรับเชิญบ่อยๆนั้นได้ผ่านไปอย่างมีความสุข ค่ำคืนนี้ก็ผ่านไปอย่างอบอุ่นเพราะมีคนตัวเล็กๆให้นอนกอด ทุกอย่างดีขึ้นก็จริง แต่บางอย่างทำยังไงก็เลิกคิดไม่ได้
**************
เช้าวันจันทร์ที่เป็นชั่วโมงเร่งรีบวนมาถึงอีกครั้ง หน้าตึกสูงตระหง่านมีพนักงานเดินผ่านประตูเข้าออกกันให้ควัก เวลาผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงจึงได้เริ่มบางตาลงบ้าง บริเวณชั้นหนึ่งที่มีคนผ่านไปมาประปรายทำให้ร่างบางที่เดินออกจากลิฟต์มารู้สึกว่าค่อยหายใจคล่องขึ้นบ้าง มือทั้งคู่หอบเอาเอกสารมากมายไว้ขณะที่ก้มมองนาฬิกาข้อมือตลอดเวลา
“ยังดีที่ไม่นาน ถ้าตกเครื่องมีหวังแย่แน่” ดงแฮพูดกับตัวเองก่อนที่วูบหนึ่งในจิตใจมันจะทำให้อ่อนแอลงอย่างยากจะต้านทาน ถึงไม่อยากกลับก็ต้องกลับ บอกตัวเองอย่าทำตัวเป็นเด็กเอาแต่ใจ และเมื่อเสร็จธุระเมื่อครู่แล้วสองขาก็พาตัวเองเดินออกมาตามทางที่จะตรงไปยังประตู
ห่างออกไปในชั้นเดียวกัน ร่างสูงของซีวอนที่ผ่านเข้าประตูมาก็รีบตรงมาตามทางในชั้นหนึ่งเพื่อไปยังลิฟต์ เช้านี้เขามาสายเพราะเจ้าตัวน้อยวุ่นวายแท้ๆเลย ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องที่ฮันคยองบอกเมื่อวาน ถ้าดงแฮมาที่นี่จริงแล้วจะเจอกันไหม แต่ก็คงเป็นไปได้ยาก
ไม่รู้จะคาดหวังอะไรในเมื่อทางที่เขาเดินอยู่มันก็ต้องตรงไปที่ห้องทำงานห้องเดิม และตารางของวันนี้มันก็บอกว่ากว่าจะได้ออกมาอีกทีก็คงเป็นตอนเย็น ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็คงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว นึกแล้วก็ต้องถอนหายใจเอาความหวังทิ้งไปกับอากาศ ถึงจะเจอกันเขาก็คงไม่รู้จะพูดอะไร ก็แค่อยากเห็นหน้า
.. จะเห็นทำไมล่ะซีวอน เห็นให้ตัวเองขาดใจตายรึไงกัน
ดงแฮที่เดินตรงมาทางเดียวกันนั้นกำลังคิดอะไรบางอย่าง นอกจากเรื่องงานกับฮีชอลแล้ว ใครว่าเขาไม่คิดเรื่องอื่นอีกเลยล่ะ เรื่องบางเรื่องที่ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย สุดท้ายก็กลายเป็นเสียใจทุกครั้งไป ดวงตาทั้งคู่หันมองไปยังเก้าอี้รับรองที่ว่างเปล่าขณะที่เดินผ่าน ชวนให้นึกถึงเรื่องเก่าๆโดยไม่รู้ตัว น้ำส้มแก้วนั้น เมื่อไหร่จะได้ดื่มมันอีก คงไม่มีอีกแล้วสินะ
.. เพ้อเจ้อน่ะ แค่น้ำส้มแก้วเดียวมันจะมีอะไรให้น่าจดจำ
และผลจากการที่ไม่ทันระวังเพราะมัวแต่มองก็ทำให้เอกสารในมือเกิดปลิวลงมาที่พื้น รู้ตัวจึงต้องก้มลงเก็บอย่างรวดเร็ว จังหวะเดียวกันนั้นร่างของอีกคนที่เดินผ่านมาพอดีก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตารีบไปทำงานโดยที่ไม่ทันได้สังเกต ซีวอนตรงไปยังหน้าลิฟต์แล้ว ขณะที่ดงแฮลุกขึ้นอย่างเดิมแล้วตรงไปที่ประตูทางด้านหน้าทันที .. จะว่าไปก็น่าเสียดายไม่น้อย ทั้งที่จะได้เจอกันแล้วแท้ๆแต่กลับคลาดกันเพราะเหตุบังเอิญ
“เฮ้ย..” มือข้างหนึ่งของซีวอนที่ล้วงไปในกระเป๋ากางเกงต้องชะงักลง ร่างสูงที่กำลังจะก้าวเข้าไปในลิฟต์ต้องถอยหลังกลับมาเมื่อนึกได้ว่าตัวเองลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในรถ ซีวอนหมุนตัวกลับอย่างไม่ต้องคิด
.. หากเรื่องน่าเสียดายเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ งั้นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ เป็นเพราะโชคชะตาหรืออย่างไร ..
ดวงตาทั้งคู่ที่หันกลับมาต้องสะดุดเข้ากับแผ่นหลังของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินห่างออกไป รูปร่างแบบนี้ ปลายผมที่เคลียลงมาตามลำคอเผยให้เห็นเสี้ยวหน้าเพียงน้อยนิด แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีคนมากมาย แต่ต่อให้มีคนเป็นร้อยเป็นพันยืนอยู่รวมกัน เขาก็มั่นใจว่าตัวเองจำคนๆนี้ได้ดี .. ไม่เคยลืม
แล้วยังไงต่อ ครั้งนี้ความรู้สึกที่ถูกบังคับมานานมันไม่เชื่อฟังแล้วสิ
“ดงแฮ!” เสียงเรียกที่เปล่งออกไป ไม่ถึงกับเบาแต่ก็ไม่ดังขนาดที่ใครจะได้ยินกันหมด คนถูกเรียกต้องหยุดขาทั้งคู่ลงเมื่อได้ยิน ดงแฮไม่รู้หรอกว่าตัวเองจะคิดถูกไหม แต่เขาก็คิดไม่ต่างกัน ต่อให้คนเป็นร้อยเป็นพันตะโกนเรียกชื่อเขาพร้อมกัน เขาก็รู้ว่ามันไม่ใช่ถ้าเป็นคนอื่น ไม่ใช่คนๆนี้ คนเดียวที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีใครมาแทนที่ได้เสียที
.. ซีวอน
น้ำตาหนึ่งหยดจู่ๆก็ไหลลงมาอย่างไม่มีเหตุผล มือบางยกขึ้นเช็ดมันออกก่อนที่จะหันกลับไป คนทั้งสองสบตากันอย่างไม่ต้องคิด วินาทีที่คิดว่าไม่มีทางมันกำลังเป็นจริง ซีวอนแทบไม่อยากเชื่อว่าดงแฮจะมายืนอยู่ตรงหน้าของเขา ดงแฮก็แทบไม่อยากเชื่อว่าคนที่ตัวเองอยากจะหนีและไม่อยากเจอหน้ากันอีกจะมาเจอกันได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นแต่ก่อนคงจะเข้าไปกอดด้วยความคิดถึง .. หรือเพราะความรักที่มีให้กันถูกใช้แสดงออกมากเกินไป วันนี้มันถึงไม่เหลือ
ซีวอนหยุดยืนห่างจากดงแฮเพียงก้าวเดียว สองคนยืนจ้องกันพร้อมกับกำแพงในใจที่กั้นความรู้สึกของกันและกันไว้ จะก้าวเข้าไปอีกก้าวก็ทำไม่ได้ แต่จะก้าวถอยออกมาก็ไม่อยากจะทำ สักพักรอยยิ้มที่มาจากการฝืนก็ปรากฏบนใบหน้าของคนทั้งสอง
“สบายดีเหรอ” ดงแฮเป้นฝ่ายทักก่อน แน่นอนที่ซีวอนจะไม่แปลกใจกับคำทักทายที่ราวกับเป็นคนอื่น แต่มันก็คือความจริง ต่อให้เคยรักแต่ตอนนี้เป็นเหมือนคนรู้จักดีๆนี่เอง
“อืม แล้วเธอสบายดี”
“สบายดี..” บทสนทนามีเพียงเท่านี้จริงๆงั้นหรือ ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก ดงแฮกำลังหวังลึกๆให้ซีวอนพูดอะไรออกมา แต่เขาก็ต้องหยุดความคิดทั้งหมดลงอย่างเคย ดงแฮเอ่ยขอตัวออกไปแล้วหันเดินกลับด้วยความรู้สึกฝืนเต็มที .. ครั้งแรกที่จากมาเจ็บแค่ไหน ครั้งนี้มันเจ็บกว่านั้น
“ .. ไปดื่มกาแฟเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” ซีวอนตัดสินใจเรียกดงแฮเอาไว้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำไปได้ยังไงและไม่คิดว่ามันจะมีความหมายอะไร แค่อยากยื้อเวลาไว้อีกนิดก็เท่านั้นเอง
โต๊ะเล็กๆมุมหนึ่งในร้านกาแฟเล็กๆของบริษัท มีคนสองคนที่เป็นเพียงแค่คนรู้จักกัน กำลังนั่งดื่มกาแฟไปเงียบๆ
“งานโอเคมั้ย ที่นู่นน่ะ” ซีวอนถาม
“ก็ดี คนเกาหลีเยอะกว่าที่คิด”
“คงเหนื่อยแย่สินะ”
“ก็ประมาณนั้น แต่ก็ไม่เท่าไหร่หรอก กลับบ้านมาเห็นหน้าลูกก็หายเหนื่อยไปเยอะ..”
“........”
“ว่าแต่นายเองผอมลงไปนะ งานยุ่งล่ะสิ” ดงแฮพยายามเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มมีบางอย่างฉายออกมาผ่านแววตาทั้งคู่ แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ถามออกไปใหม่นั้นมันไม่ได้ต่างจากประโยคแรกตรงไหนเลย
.. เธอห่วงฉันด้วยเหรอดงแฮ
“ก็นิดหน่อยน่ะ ช่วงนี้ก็ดูท่าว่าตำแหน่งใหม่คงไม่ไกลเกินเอื้อม” ซีวอนพูดไปขณะที่มองคนตรงหน้าก้มจิบกาแฟไป ดงแฮเงยขึ้นยิ้มให้อย่างยินดี
“ดีใจด้วยนะ นายเก่งอยู่แล้ว”
“แต่เธอยังไม่เก่งเรื่องกินเลย ให้ตายสิ..” พูดไม่ทันจบมือข้างหนึ่งก็หยิบเอากระดาษบนโต๊ะเอื้อมออกไปเช็ดเบาๆที่คราบกาแฟข้างแก้มของคนตรงหน้าที่ไม่ระวังเลย ไม่กี่วินาทีกับการกระทำอันแสนห่วงใยทำให้หัวใจของคนที่นั่งนิ่งอยู่นั้นกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะไปทุกที ดงแฮรู้ตัวดีว่าตัวเองกำลังจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว เขารู้ว่าใกล้คนๆนี้ทีไรใจมันไม่เคยแข็งได้เสียที ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปตัวเองคงต้องเป็นฝ่ายร้องขออย่างคนหมดหนทางแน่ๆ
“นายดีแบบนี้กับสาวที่ไหนบ้างแล้วล่ะ” ดงแฮแกล้งถาม ก่อนจะนึกได้ว่าไม่น่าพูดออกไปเลย
“ก็อืม เค้าทำงานอยู่แถวนี้แหละ เป็นคนดีมากด้วย ไว้ผมยาว อายุน้อยกว่าฉันปีเดียว” ทั้งประโยคที่ไม่ได้นึกเอาไว้ก่อนนั้นหลุดออกมาจากปากของซีวอนอย่างง่ายดาย ทั้งที่อยากประชดตัวเองแต่หารู้ไม่ว่าคนฟังกำลังเจ็บแปลบที่หัวใจ ดงแฮได้เพียงแค่ยิ้มออกไปให้อย่างที่เคย จริงอยู่ที่ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แต่ทำไมล่ะ ..
“ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ อีกสามชั่วโมงเครื่องจะออกแล้ว ต้องรีบไปเก็บของที่โรงแรมด้วย .. ส่วนฮีชอล ฝากดูแลทีนะ ลูกกับนายคงคิดถึงกันมาก ฉันเองก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดที่จะพรากลูกไปจากนายตลอดชีวิตหรอกน่า” พูดไปอย่างปกติทั้งที่ใจกำลังจะขาด ซีวอนอยากบอกเหลือเกินว่าเรื่องลูกดงแฮอาจไม่ได้ใจร้าย แต่อีกฝ่ายกำลังใจร้ายที่พรากคนรักของเขาไปตลอดชีวิตต่างหากล่ะ
“โชคดีนะซีวอน ขอบใจที่เลี้ยง” ดงแฮพยายามพูดออกไปแล้วรีบจากมาให้เร็วที่สุด ไม่อยากเห็นหน้าและไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาเห็นว่าตัวเองกำลังร้องไห้
.. คนที่ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังจะมีสิทธิ์เรียกร้องอะไรอีก ตัวเองเป็นคนทิ้งเค้ามาแท้ๆ ที่สำคัญ คนใหม่เค้าก็มีอยู่ทั้งคน
หนึ่งคนที่จากไป เหลือเอาไว้เพียงคนๆเดิมที่นั่งอยู่คนเดียวอย่างเดิม ใบหน้าคมแค่นยิ้มให้กับความว่างเปล่าตรงหน้าของตัวเอง เขาก้มมองถ้วยกาแฟสองถ้วยบนโต๊ะ .. เวลาไม่กี่นาทีอันมีค่าที่ซื้อเอาไว้ด้วยค่ากาแฟเพียงไม่กี่วอน ได้หมดลงแล้ว
*************
เข็มนาฬิกาบนโต๊ะทำงานหมุนไปอย่างเชื่องช้า แต่ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมามองมันกลับเดินไปไกลเกินกว่าจะตามทัน สิบนาทีผ่านไป ยี่สิบนาทีผ่านไป หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง .. ใบหน้าคมของเจ้าของหายใจไม่ถนัดเอาเสียเลย เขาหงุดหงิดจนต้องจับนาฬิกาเรือนนี้ยัดลงไปในลิ้นชัก จะได้ไม่ต้องเห็นมันอีก ซีวอนก้มลงจัดการกับเอกสารตรงหน้าต่อไปอย่างตั้งใจและคิดว่าจะไม่สนอะไรอีกแล้วทั้งสิ้น
“อะไรกันเล่าคยูฮยอน ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไป” เรียงเล็กร้องขึ้นด้วยความโมโหขณะที่ยืนเถียงกันอยู่กับคยูฮยอนบริเวณชั้นล่างของบริษัท
“เบาๆสิ ไม่อายคนรึไง .. นะซองมิน ฉันบอกว่านายต้องไปก็ต้องไปสิ คุณย่าท่านนานๆจะมาที่บ้านฉันทีนะ”
“ก็บอกไปสิว่าฉันอยู่ตรงข้าม ไม่ได้เป็นคนอื่นคนไกล”
“แต่คุณย่าท่านอยากให้นายมาทานข้าวที่บ้านด้วยจริงๆนะ”
“ก็แล้วทำไม .. โอ๊ย!” ซองมินร้องขึ้นเมื่อถูกใครก็ไม้รู้ชนเข้าอย่างจัง แต่ก็ไม่ได้ล้มลงไปเพราะคยูฮยอนรับเอาไว้ได้ทันเสียก่อน ทั้งสองมองหน้าคนที่วิ่งมาชนก่อนจะรู้ว่าเป็นใคร
“ขอโทษนะซองมิน ฉันรีบจริงๆเลยไม่ทันดู” คนผิดเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบวิ่งออกจากบริษัทไป คนทั้งคู่ที่ยืนอยู่ได้เพียงมองตามอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก
“คุณซีวอนเค้าจะรีบไปไหนนะ ..”
ไม่รู้ว่าจะแก้ไขมันอย่างไร ปัญหานี้คนฉลาดอย่างซีวอนที่โง่มาตั้งแต่ต้น ตอนสุดท้ายก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น แต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อมันเป็นปัญหาของหัวใจ ผู้ชายคนนี้ก็มีปัญญาแค่ทำตามหัวใจตัวเอง ถึงผลลัพธ์จะออกมาเป็นศูนย์อย่างทุกครั้งเขาก็คงไม่มีอะไรให้ติดลบมากกว่านี้แล้ว
.. ความรักเป็นอย่างนี้นี่เอง ต่อให้ผิดที่ผิดทาง ผิดตัวผิดคน มันก็ยังคงรัก ต่อให้ผิดที่อีกฝ่ายตายจากไปนานแค่ไหน บางคนก็ยังรักนานเท่านั้น .. หนึ่งปีที่ทรมานได้ผ่านไปอย่างแสนสาหัสแค่ไหน แล้วถ้าวันนี้เสียไปอีกแค่หนึ่งชั่วโมงจะเป็นไรไป ต่อให้ไม่มีอะไรเปลี่ยนก็ไม่เป็นไร
ร่างสูงของซีวอนรีบบึ่งรถตรงไปยังสนามบินทันทีที่ออกมา และเมื่อถึงที่หมายเขาก็วิ่งตามหาร่างของใครบางคนราวกับคนบ้า ซีวอนไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปเพียงวินาทีเดียว เขาวิ่งมองหาให้ทั่ว ตามไปทุกชั้นทุกล็อค วิ่งไปทั่วแล้วก็วนกลับมาที่เดิมก็ยังจะทำอยู่อย่างนั้น
.. พระเจ้า ลูกขอเห็นแก่ตัวอีกสักครั้งเถอะ ถ้าไม่มีเค้าก็เท่ากับว่าหัวใจของลูกหายไปด้วย
สองขาที่ออกแรงมากกว่าเก่าวิ่งตามหาคนๆเดียวไม่เลิก คนที่พบเห็นต่างก็มองมาอย่างแปลกใจ พวกเขาอาจจะคิดว่านี่เป็นการถ่ายทำหนังสักเรื่องก็เป็นได้หากว่าเห็นกล้องสักตัว แต่นี่กลับไม่มีเลย มีเพียงพระเอกที่สุดท้ายก็เป็นตัวร้ายไปเพราะความผิดพลาดของตัวเอง
ซีวอนเริ่มใจไม่ดีเข้าจริงๆ ใบหน้าชุ่มเหงื่อเงยขึ้นมองผังไฟล์ทที่ได้เวลาเครื่องจะออกแล้ว ตอนนี้ต่อให้เขาพยายามเท่าไหร่ก็คงไม่มีแม้แต่เงาของดงแฮให้เห็นอีกแล้ว
.. นั่นสินะ ยังไงเธอก็ไม่รอฉันอยู่ดี คนอย่างฉันไม่มีค่าให้เธอรออีกแล้วใช่ไหมดงแฮ
เม็ดเหงื่อที่ผุดพรายออกมานอกเสื้อเชิ้ตสีเข้มบ่งบอกให้รู้ว่าเขาวิ่งมานานแค่ไหน แต่แรงสั่นของร่างกายมันกลับไม่ใช่เพราะความเหนื่อย แต่เพราะว่าเจ้าของร่างนี้กำลังร้องไห้ ซีวอนกำลังร้องไห้ออกมาอย่างคนบ้า ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวขณะที่มือทั้งสองข้างยกปิดหน้าเอาไว้ให้น้ำตามันพรั่งพรูออกมาด้วยความเสียใจ
“ฉันขอโทษ .. ฉันขอโทษ .......” เสียงสะอื้นกับทุกถ้อยคำมันช่างซ้ำซากในความรู้สึก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะเอ่ยมันออกมา ต่อให้คนที่อยากให้ได้ยินมันนั้นจะไม่มีทางได้ยินมันอีกแล้วก็ตาม
ทุกอย่างระหว่างคนสองคน หากจะจบลง ก็ใช่ว่าคนที่ผิดจะเจ็บปวดอยู่คนเดียว
“ร้องไห้ทำไม ...” จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตรงหน้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาค่อยๆเงยขึ้นมาพบกับคนที่เขาไม่นึกว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้เลย ร่างบางที่อีกมือลากกระเป๋ามาด้วยยืนมองคนที่นั่งอยู่อย่างไม่เข้าใจ ซีวอนลุกขึ้นยืนอย่างไม่รอช้า ร่างสูงที่เหมือนคนไม่ได้สติกำลังยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“ดงแฮ .. ดงแฮ เธอยังไม่ได้ไปเหรอเนี่ย”
“อ่ะ อื้ม อีกครึ่งชั่วโมงน่ะ”
“แล้วไหน..”
“อ๋อ นั่นไฟล์ทก่อนหน้าไง” ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ไม่ถามอะไรให้มากความ ซีวอนไม่มีเวลาอีกแล้ว เขาไม่มีเวลามายืนมองหน้าดงแฮแล้วรอให้อีกฝ่ายเดินจากไปอีกแล้ว
“รู้มั้ยว่าฉันตามหาเธอแค่ไหน” ประโยคเดียวที่ทำให้ใจคนฟังวูบไหว ดงแฮได้เพียงทำหน้าปกติไม่แสดงอะไรออกมา
“ตามหาทำไม”
“เรื่องผู้หญิงที่ฉันเล่าให้เธอฟัง จริงๆแล้วเค้าเป็นผู้ชาย”
“.. งั้นเหรอ แล้วมาบอกฉันทำไมล่ะ” ถามกลับไปอีกทั้งที่ฟังแล้วหัวใจกลับดิ่งลงไปที่เดิม เหมือนถูกเข็มหลายเล่มปักลงกลางใจ .. แต่จะบอกได้ยังไง ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอะไรกัน
“ก็อยากให้เธอรู้ไง เผื่อว่าเธอจะช่วยฉันตามหาเค้าได้”
“...........”
“เค้าเป็นผู้ชาย ผมสั้น หน้าตาดี เป็นคนน่ารักมาก อายุก็ห่างกับฉันราวๆหกเดือน .. ที่สำคัญ เค้ารักฉันมาก” ประโยคสุดท้ายของซีวอนทำเอาดงแฮรู้สึกสับสนอย่างยากจะอธิบาย เขาอยากบอกเหลือเกินว่าได้โปรดอย่าทำให้ต้องนึกเข้าข้างตัวเองทั้งที่มันไม่จริง แต่ทำไมล่ะ ทำไมซีวอนไม่รู้เสียที
“แล้วนาย .. มาบอกฉันทำไม เค้าหายไปไหนแล้วนายต้องมาให้ฉันช่วย
ทำไม” น้ำเสียงที่เก็บกลั้นมานานนั้นเริ่มจะสั่นเครือมากกว่าเดิม ดงแฮเริ่มเก็บมันไม่มิดจนคนตรงหน้าต้องขยับเข้าหามากขึ้น
“ก็คนที่ช่วยฉันได้ มีแค่เธอคนเดียว”
“ .. นายมันใจร้ายจริงๆ ซีวอน” ดวงตากลมที่ตัดพ้อต่อว่ามานั้น ในตอนนี้ไม่มีแม้แต่ความอดทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว น้ำตาทั้งหมดร่วงลงมาตามใบหน้าของคนที่เสียใจ ดูเหมือนว่าดงแฮคงจะไม่เข้าใจกับสิ่งที่ซีวอนพูด แต่แบบนี้คนพูดก็ดีใจมากแล้ว
“เค้ามาที่นี่และกำลังจะหนีฉันไปอีกครั้งเหมือนเมื่อหนึ่งปีก่อน..”
“............”
“ฉันอยากจะขอร้องให้เค้ากลับมาหาฉันอีกสักครั้ง ถ้าเค้ายังรักกันอยู่ ฉันอยากจะขอร้องให้เค้ากลับมา อยากบอกว่าฉันรักเค้ามากแค่ไหน..”
“.............”
“เค้าจะรู้มั้ยว่าเป็นดั่งลมหายใจของฉัน ที่ชีวิตของคนผิดคนนี้ขาดไปไม่ได้ซักวินาทีเดียว” ดวงตาคมที่เอ่ยทุกอย่างออกมากำลังจ้องลึกลงไปที่ดวงตาทั้งคู่ของคนที่กำลังร้องไห้ ตอนนี้บางอย่างที่ดงแฮเข้าใจมันได้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างราวกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
.. ฉันยอมแล้วซีวอน ฉันแพ้นายจนได้ ไม่มีทางชนะคนอย่างนายได้สักครั้งเดียว
“นายบอกเค้าเองไม่ดีกว่าเหรอ .. ในเมื่อเค้าก็ยืนอยู่ตรงหน้านายแล้วนี่ไง”
กำแพงในใจจู่ๆก็หายไปอย่าง่ายดาย ทุกอย่างทั้งหมดที่จุกอยู่ในอกกำลังถูกอะไรบางอย่างทำให้มันหายไป ความดีใจที่มีมันเก็บเอาไว้ไม่ไหวจนต้องเสียน้ำตา ซีวอนเอื้อมมือออกไปสัมผัสใบหน้าของคนที่ห่วงหาตลอดเวลา เรียวนิ้วทั้งสองข้างลูบเบาๆให้น้ำตาที่กำลังไหลนั้นค่อยๆหายไป
“เธอ .. เธอยกโทษให้ฉันแล้วใช่มั้ย”
“แล้วถ้าฉันจะยกโทษให้นายตอนนี้เลย มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”
“อะไรก็ได้ เธอจะให้ฉันทำอะไรก็ได้ ฉันยอมทุกอย่างแล้ว”
“งั้นสัญญาได้มั้ย .. ว่าจะคอยเช็ดน้ำตาให้เวลาที่ฉันร้องไห้ ไม่ใช่ปล่อยให้ร้องไห้อยู่คนเดียว..” ดงแฮพูดขณะที่มืออีกข้างยกขึ้นไปกุมมือของซีวอนเอาไว้ คำขอร้องง่ายๆที่คนฟังได้ยินแล้วอยากจะเป็นฝ่ายร้องไห้เสียเอง ทุกหยดน้ำตาของดงแฮ ซีวอนอยากจะขอให้มันไม่ไหลออกมาอีก จะมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายร้องไห้แทนไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะเลวร้ายจนเกินรับไหวแค่ไหนก็ตาม
“ฉันจะไม่ทำให้เธอร้องไห้อีก เพราะหัวใจฉันมันเจ็บเกินทนที่เห็นเธอต้องเสียน้ำตา”
“..........”
“กลับบ้านกับฉันนะดงแฮ”
ร่างสูงของซีวอนรวบเอาคนที่พยักหน้าช้าๆเข้ามากอดไว้แนบกาย มือบางที่จับกระเป๋าเอาไว้ตอนนี้ได้ปล่อยมันออกอย่างไม่สนใจก่อนที่จะยกขึ้นกอดตอบโดยไม่ลังเล
“คิดว่านายจะไม่มาแล้วซะอีก”
“ .. มาสิ แค่เธอรอฉัน ไม่ว่าที่ไหนฉันก็มาหาได้เสมอ”
“รู้มั้ยว่าฉันเกลียดนายจริงๆ นายมันไม่ได้เรื่องเลยซีวอน .. แต่ฉันก็ผิดเองที่รักนายได้แค่คนเดียว”
“.. ฉันก็รักเธอ จนไม่เหลือหัวใจให้ใครอีกแล้ว”
อ้อมกอดที่รอมานานแสนนานถูกมอบให้กันโดยไม่แคร์สายตาของใครที่มองอยู่เลย
ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาทั้งสองปล่อยทุกอย่างไปได้ยังไง แต่แค่วันนี้ได้กลับคืน จะกี่ปีก็คุ้มค่ากับการรอคอย
.. จุดเริ่มต้น จุดเปลี่ยน จุดสุดท้าย ต่อให้ยากง่ายไม่เท่ากัน แต่ความบังเอิญหรือที่เรียกกันว่าโชคชะตาระหว่างคนสองคน กลับนำพาให้อะไรบางอย่างมันง่ายดายกว่าที่คิด ..
'เมื่อใด' คำถามที่ทุกหัวใจเพรียกหาคำตอบ ซึ่งเป็นคำตอบง่ายๆที่คงไม่มีใครตอบได้นอกจากหัวใจของตัวเอง เหมือนความรู้สึกของคนสองคน ต่อให้ต้องสวนทางกันไปมาบ่อยครั้งแค่ไหน สุดท้ายก็บรรจบลงที่เดิม .. อย่างง่ายดาย
END OF [WHEN ?]
Chapter ♥ 109 :: Epilogue
หลายเดือนผ่านไปอะไรหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมท่ามกลางความสดใสในเช้าวันหยุดอันแสนสบายของใครหลายๆคน
แต่สำหรับร่างเล็กที่ใบหน้ากำลังบอกบุญไม่รับ ขณะยืนอยู่ข้างมินิคูเปอร์สีเหลืองสุดรักที่หน้าบ้านตัวเองนั้น เช้านี้มันช่างพลิกล็อคจนแทบจะบ้าตายให้ได้เลยทีเดียว ซองมินกดโทรศัพท์เพื่อจะเอาคำตอบจากเจ้านายตัวเองสำหรับงานชิ้นสำคัญที่เขาต้องเป็นคนรวบรวมทุกอย่างให้ทันกำหนด แต่แล้วมันก็ไม่มีสัญญาณตอบรับแต่อย่างใด
“โอ๊ย .. นายมันซวยไปไหนซองมิน” ว่าแล้วก็ตัดสินใจโทรไปหาคนที่คิดว่าจะช่วยหาทางแก้ได้เสียเดี๋ยวนั้น
โทรศัพท์ดังขึ้นปลุกให้คนบนเตียงต้องรู้สึกตัว ดวงตากลมลืมขึ้นมองแก้มใสของลูกสาวตัวน้อยที่หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องอยู่ตรงกลางระหว่างตัวเองกับร่างของอีกคนที่ยังขี้เซาไม่แพ้เด็ก ดงแฮอมยิ้มให้กับสองพ่อลูกได้ไม่นานก็ต้องรีบไปรับโทรศัพท์ที่ร้องเรียกอยู่อย่างนั้น ดงแฮหยิบโทรศัพท์ของซีวอนขึ้นมารับทันทีที่เห็นว่าเป็นสายของใคร
“ว่าไงซองมิน”
“เอ่อ คุณดงแฮเหรอครับ”
“ใช่แล้ว ซีวอนยังไม่ตื่นน่ะ มีธุระมั้ยล่ะจะได้ปลุก”
“เปล่าหรอกครับ ไม่ต้องก็ได้ แค่ผมกำลังมีปัญหาที่ติดต่อคุณคิบอมไม่ได้น่ะครับ แล้วคุณฮันคยองก็ไม่รับโทรศัพท์ด้วย ไม่ทราบว่าคุณฮันคยองอยู่ที่บ้านหรือเปล่าครับ” ได้ยินอย่างนั้นแล้วดงแฮก็แทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ บางทีเขาคิดว่าซองมินก็น่าจะรู้อยู่เหมือนกันแต่คงไม่แน่ใจ
“พี่ฮันเค้าออกไปแค่เช้าแล้วน่ะซองมิน เห็นว่าลางานเพราะจะไม่อยู่หลายวันน่ะ”
“ .. งั้นเหรอครับ แบบนี้แสดงว่า”
“ว่า ..” ทั้งสองไม่ตอบอะไรกัน เพราะรู้กันอยู่ ดงแฮไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรอีกฝ่ายได้ ทำได้แค่บอกว่าถ้าติดต่อได้แล้วจะบอกให้
ทางด้านคนที่ทำให้คนอื่นวุ่นวายกำลังนั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ที่สนามบิน ร่างสูงมองดูเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน
“คิบอม รอนานมั้ย” ฮันคยองที่วิ่งมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่หยุดยืนหน้าคนที่เป็นฝ่ายรอ ใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องที่ตอนนี้เรียกว่าคนรักน่าจะดีกว่านั้น กำลังส่งยิ้มมาให้เขา
“พี่จะรีบทำไมครับ อีกตั้งนาน”
“ก็ถ้าไม่ทันแล้วจะทำยังไงเล่า นี่ฉันตั้งใจกับทริปนี้จริงๆเลยนะ”
“อะไรกัน ไปไซปันกี่รอบแล้วไม่เบื่อรึไง” คิบอมแค่ลองถามดูทังที่รู้อยู่เต็มอกว่าครั้งนี้จะได้อยู่ด้วยกันแค่สองคน และก็ไม่มีปัญหาอะไรมากวนใจได้อีกแล้ว ฮันคยองหัวเราะออกมาจนคนพูดเริ่มจะคิ้วขมวด
“ผมตลกเหรอ”
“แหม ก็อยากให้ตอบว่าครั้งนี้เราจะได้ไปเที่ยวกันสองคนล่ะสิ รู้หรอกน่า” คนถูกรู้ทันได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างยอมแพ้ คิบอมเอื้อมมือไปจับมือฮันคยองให้เดินไปด้วยกัน เพื่อไซปันที่รอพวกเขาอยู่ ถึงแม้จะรู้กันดีว่าอาจมีใครเดือดร้อน แต่ครั้งนี้ขอทิ้งไว้ข้างหลังบ้างแล้วกัน .. เพราะช่วงเวลาต่อไปนี้ ขอใช้มันให้สมกับที่รอมานาน กับคนที่รักสุดหัวใจ
ใบหน้าน่ารักถอนหายใจอีกทีหลังจากที่วางสายจากดงแฮไปก่อนจะกดไปเช็คข้อมูลที่บริษัทอีกรอบ และสิ่งที่ได้คือเป็นไปตามคาด คิบอมก็ลาพักร้อนไปหลายวันเหมือนกัน
“ให้มันได้อย่างงี้สิ ให้มันได้อย่างงี้” ซองมินกลุ้มใจจนต้องตะโกนกับตัวเองอยู่หน้าบ้านโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเดินตรงมาหา
“นี่นาย จะตื่นเช้าแล้วมายืนเสียงดังตรงนี้ก็หัดเกรงใจคนบ้านตรงข้ามบ้างสิ” คยูฮยอนที่ยังอยู่ในชุดนอนเดินออกมาจากบ้านตัวเองขณะที่อ้าปากหาวอย่างไม่กลัวเสียมารยาท เขาตรงมาหาซองมินก่อนที่จะแปลกกับอะไรบางอย่าง อีกฝ่ายไม่ได้หันมาต่อว่าเขาอย่างที่ควรจะเป็นน่ะสิ ร่างเล็กที่ยืนหันข้างให้ทำเอาคยูฮยอนเริ่มจะจริงจังขึ้นมาเสียเอง
“เฮ้ยนี่ ซองมิน ซองมิน” มือหนาเอื้อมไปดึงให้คนตรงหน้าหันมาหาเขา สิ่งที่แทบทำให้ช็อคคืออีกฝ่ายกำลังร้องไห้
“ร้องไห้ทำไม นี่ฉันดุนายงั้นเหรอ” คยูฮยอนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“.........”
“ซองมิน หรือว่านายมีปัญหากับไอ้มินิบ้าคันนี้ ถ้ามันเกิดดับอีกไว้วันเกิดนายฉันซื้อให้ใหม่เอามั้ย” ใบหน้าหล่อเหลาไม่รู้ตัวเลยว่ายิ่งพูดก็ยิ่งทำให้คนฟังอยากจะร้องไห้มากขึ้น ซองมินโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไรกับคนไร้สาระตรงหน้า
“ไอ้บ้า !” จู่ๆคยูฮยอนก็ถูกตะโกนใส่หน้าอย่างไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ซองมินวิ่งกลับเข้าบ้านไปก่อนที่คยูฮยอนจะตะโกนตามหลัง
“ซองมิน !! ซองมิน นายเป็นอะไรน่ะ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ” ร่างสูงของคุณชายคยูฮยอนในชุดนอนที่ยืนเกาะรั้วของบ้านตรงข้ามแล้วตะโกนอยู่อย่างนั้นทำเอาลุงคนขับรถที่ยืนมองอยู่จากฝั่งตรงข้ามต้องมองคุณชายของตัวเองแล้วหัวเราะอยู่คนเดียว เขาแค่กำลังคิดว่าคนหนุ่มสมัยนี้ช่างน่ารักสดใสกันเสียจริงๆ
แปลงดอกไม้เดิมที่ต่างไปจากแต่ก่อน ในตอนนี้บานสะพรั่งไปด้วยสีสันสดใสของดอกไม้ต้นเล็กๆมากมาย ดงแฮนั่งลงมองมันแข่งกันรับแสงแดดในเช้านี้ หลายเดือนที่กลับมาอยู่บ้านใครเลยจะคิดว่าพวกมันจะกลับมาเหมือนเดิม ไม่สิ .. เติบโตกว่าเดิมเสียอีก ต้องขอบใจใครบางคนอย่างมากเลยสินะ
ดงแฮยืนขึ้นข้างแปลงดอกไม้พร้อมกับรอยยิ้มอันสดใสระบายออกมาบนใบหน้า ปลายผมถูกลมพัดเคลียพวงแก้มให้คนที่มายืนอยู่ข้างหลังพักใหญ่แล้วต้องได้แต่แอบมอง ก่อนที่จะอดไม่ไหวจึงต้องเดินเข้าไปสวมกอดร่างตรงหน้าเอาไว้
“ซีวอน ..”
“อืม หอมจังนะ”
“แน่นอน .. เพราะพันธุ์ที่ฉันหามา บางพันธุ์ก็หอมมากเลยนะ”
“ฉันหมายถึงเธอ”
ได้ยินอย่างนั้นดงแฮก็ไม่ตอบเมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายถึงดอกไม้ ใบหน้าคมกดจมูกลงไปข้างแก้มชมพูที่ตอนนี้มันเริ่มเปลี่ยนมาเป็นสีแดงโดยไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้
“ผมเธอ แก้มเธอ หอมมากกว่าดอกไม้พวกนี้เป็นไหนๆ” ลมหายใจอุ่นๆรดลงที่ต้นคอของร่างที่ยืนนิ่งในอ้อมกอด ซีวอนได้ใจก็ไม่ยอมปล่อยดงแฮที่อยากจะเข้าบ้านเต็มที จู่ๆเสียงฮีชอลที่เพิ่งจะตื่นก็ดังออกมา
“ซีวอน .. ลูกร้อง” มือบางเริ่มออกแรงแกะอ้อมแขนแกร่งให้ออกจากตัว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อย
“น่า ..ให้ซูยองดูไปก่อนเหอะ อีกอย่างลูกคงเข้าใจดีว่าพ่อไม่ว่าง พ่อกำลังกอดแม่ให้ชื่นใจอยู่นี่ไง”
“ .. บ้า!”
แสงแดดอันอบอุ่นโอบกอดคนทั้งสองเอาไว้ .. ด้วยความรักที่ยังคงอยู่
.. บ้างก็ว่ามนุษย์นั้นแสนโง่เขลา ที่ยอมให้ความรักมาทำร้ายตัวเอง
แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่ามนุษย์กลับฉลาดพอ ที่จะไม่ทำลายความรักของตัวเอง ..
End of [Chapter ♥ 109 :: Epilogue]
talk :: แอบเน่ามั้ยคะ .. อทฮ.แพ้ทุกงานค่ะ หึหึหึ ต้องโทษไรท์เตอร์เนอะ แหม .. ก็คนมันต้องการให้แพ้ ชซว.พระเอกของเราอยู่แล้ว .. คู่อื่นก็จบน่ารักซะไม่มี ทุกคนแฮปปี้ก็น่าดีใจค่ะ โดยเฉพาะหนูน้อยฮีชอล คงไม่ต้องถูกทิ้งอีกแล้ว (ต้องขอบคุณคิมฮีมากที่เราแอบยืมเอาพี่ท่านมาทำคาแร็กเตอร์นี้ และทุกคนที่โผล่มาในเรื่อง) . . สุดท้าย พระนาง(?)ก็หวานซะ - /// -
*น้ำตาไหลพราก โบกผ้าเช็ดหน้าลากันไปกับเรื่องนี้ก่อนนะคะ T T เจอกันเรื่องหน้าค่ะ
ความคิดเห็น