คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : WHEN ? .. Chapter.[1]
พาร์ทแรกๆมันจะสั้นหน่อยนะคะ ^^~
Chapter 1
เช้าวันใหม่มาเยือนหลังจากค่ำคืนที่แสนยาวนานของใครบางคนได้ผ่านเลยไป ความสดใสของโลกใบนี้ก็ยังคงอยู่
บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าถูกห้องล้อมด้วยรั้วเหล็กสูงตระหง่านมิดชิดเหมือนกับบ้านหลังอื่นๆของเศรษฐีมีเงินทั่วไปในสมัยนี้ ต้นไม้เขียวถูกตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบเช่นเดียวกับหญ้านุ่มที่ราวกับเป็นพรมสีเขียวอ่อนผืนใหญ่ที่ถูกปูไว้ตรงสนามหน้าบ้าน อ่างปั้นน้ำพุขนาดเล็กพอเหมาะถูกวางไว้มุมหนึ่งของถนนทางเข้าที่ปูด้วยอิฐก้อนสี่เหลี่ยมสีแดงเลือดหมู แสงแดดอ่อนๆในยามสายของเช้าวันหยุดปลุกให้เด็กน้อยตื่นก่อนใคร ขาเล็กกระโดดลงจากเตียงนอนก่อนจะวิ่งผ่านร่างพี่เลี้ยงสาวที่นอนยังไม่ตื่นอยู่บนเตียงข้างๆแล้วออกจากห้องไปยังอีกห้องที่อยู่ติดกัน สองร่างที่นอนนิ่งอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเตียงกว้างคือเป้าหมายของร่างเล็ก
“คุณพ่อคะ ตื่นได้แล้วนะ วันนี้พาฮีชอลไปเที่ยวนะ” เสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวดังขึ้นพร้อมกับแรงเขย่าเบาๆทำให้ซีวอนต้องลืมตาตื่น
“ตื่นแล้วเหรอลูก เช้าอยู่เลยนะ” มือใหญ่ลูบเข้าที่ศีรษะฮีชอลน้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะหลับตาลงอีกครั้งเพระความง่วง ได้นอนเต็มที่ทั้งทีเขาเองเลยยังไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเอาตอนนี้
“ไม่ง้อแล้ว .. ฮีชอลปลุกคุณแม่ก็ได้” ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นเตียงไปอีกทาง มือเล็กเขย่าแขนผู้เป็นแม่อย่างกระตือรือร้น
“คุณแม่ ตื่นๆๆๆ วันนี้วันอาทิตย์ไปเที่ยวกันนะคะ” แรงเขย่าของเด็กน้อยไม่ได้ทำให้คนที่ถูกปลุกรู้สึกตัวเลย ซึ่งหากปกติแค่ฮีชอลตะโกนเข้ามาคนเป็นแม่ก็จะตื่นขึ้นแล้ว มือเล็กวางลงที่ข้างแก้มเนียนเพื่อจะสัมผัสดูให้แน่ใจแต่ก็ต้องได้แต่ตีสีหน้าประหลาดใจเสียมากกว่า เสียงของลูกสาวตัวน้อยเงียบไปทำให้ซีวอนอดลืมตาขึ้นมองไม่ได้ และเมื่อเห็นว่าท่าทางฮีชอลดูแปลกๆเขาก็นึกขึ้นได้ ร่างสูงลุกขึ้นนั่งโดยความง่วงทั้งหมดหายไปแทบจะในทันทีก่อนจะวางมือตัวเองทาบไปที่หน้าผากมนของคนที่นอนอยู่ข้างกายเพื่อจะดูให้แน่ใจ
“ดงแฮ เธอมีไข้นี่นา ..ฮีชอล เดี๋ยวลูกลงไปบอกป้ายุนฮีนะว่าให้ตามหมอมาดูคุณแม่ที” ฮีชอลพยักหน้ารับตามประสาเด็กก่อนที่จะวิ่งออกไปด้วยท่าทางที่คนเป็นพ่อห่วงเหลือเกินว่าจะหกล้มเอาได้ ในขณะที่อีกคนก็เป็นห่วงไม่แพ้กัน
“นายไปใช้ลูกทำไมซีวอน วิ่งไปเดี๋ยวก็ล้มหรอก” น้ำเสียงแผ่วเบาแทบไม่มีแรงบอกขึ้นเพราะเป็นห่วงเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบ
“เธออย่าเพิ่งพูดอะไรเลย อยู่นิ่งๆเดี๋ยวหมอก็มา” ใบหน้าคมแสดงความเป็นห่วงคนรักชัดเจน มือหนาบีบเข้าที่มือบางเบาๆ
“ฉันไม่ได้กำลังจะตายเสียหน่อย”
“บอกแล้วไงว่านอนเฉยๆ”
“อืม” ดงแฮหลับตาลงอย่างว่าง่าย ถึงแม้ว่าเหตุผลของซีวอนจะดูไม่น่าฟังนักแต่เมื่อเทียบกับความเป็นห่วงที่อีกฝ่ายมีให้ทำให้เขาเองต้องทำตามทุกครั้งไปอย่างโดยดี
ทั้งห้องนอนมีเพียงความเงียบระหว่างคนทั้งสอง หลายครั้งแล้วที่ดงแฮไม่ค่อยสบาย พักหลังมาก็ดูไม่ค่อยจะแข็งแรงเอาเสียเลย ซีวอนแปลกใจว่าทำไมเช้านี้ถึงได้ตัวร้อนขนาดนี้ทั้งที่เมื่อวานก็ยังปกติดีอยู่เลย ชายหนุ่มจะรู้สักนิดหรือไม่ว่าที่คิดว่าอีกฝ่ายปกติดีนั้นมันกลับตรงข้าม แม้แต่เมื่อคืนที่ดงแฮยืนร้องไห้ตากน้ำค้างอยู่ที่ระเบียงห้องชั้นบนที่เบื้องล่างคือตัวเขาเองและพี่ชายของอีกฝ่าย .. ซีวอนยังไม่รู้เลย
หลังจากที่หมอตรวจดูอาการก็พบว่าเป็นไข้ธรรมดา ช่วงนี้จึงให้พักผ่อนมากกว่าเดิม เมื่อคุณหมอกลับไปฮันคยองที่ยืนเป็นห่วงน้องชายอยู่ก็พลันทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงตามด้วยซีวอนที่นั่งลงอยู่ข้างๆ
“พี่บอกแล้วว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ ช่วงนี้อากาศยิ่งเปลี่ยนแปลงบ่อยแล้ว
ตัวเองก็ไม่สบายง่ายอยู่ด้วย” ฮันคยองบอกน้องเสียงเข้มที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ขอบคุณนะพี่ฮันที่เป็นห่วง เป็นไข้แค่นี้เองเดี๋ยวก็หาย” รอยยิ้มของคนไม่มีแรงส่งมาให้ผู้เป็นพี่ก่อนที่จะมองอีกคนข้างๆแล้วรีบหลับตาลง
.. พี่คงไม่รู้หรอกว่าเป็นไข้เดี๋ยวก็หาย แต่สิ่งที่พี่ทำไว้กับใจน้องคนนี้มันจะหายรึเปล่า .. ผมรักพี่แต่ก็รักเค้า ยิ่งได้เห็นหน้าพี่ ได้เห็นหน้าเค้า มันก็เจ็บปวดเกินทน ต่อหน้าเหมือนคนรู้จักแต่ลับหลังมันยิ่งกว่า
“งั้นพี่ว่านายนอนพักเถอะนะ” ว่าแล้วฮันคยองก็เปิดประตูออกจากห้องไปแต่ซีวอนที่ยังนั่งอยู่ก็ไม่ลุกไปไหน
“ซีวอน”
“หืม”
“ลูกล่ะ ฮีชอลไปไหน”
“กินข้าวอยู่ข้างล่างน่ะ”
“..ซีวอน”
“อะไรอีกล่ะ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามอย่างอ่อนโยน
“ฉันจะหลับแล้ว .. เหนื่อย”
“ก็หลับไปสิ” ว่าแล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นเลื่อนผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมร่างบางให้มากกว่าเก่าก่อนที่จุมพิตเบาๆจะทาบทับลงที่หน้าผากมน
“เธอนอนไปเถอะ พักผ่อนเยอะๆจะได้หายเร็วๆ ฉันจะอยู่ตรงนี้แหละ”
“อืม” ดวงตาคู่สวยค่อยๆหลับลง
..จะอยู่งั้นเหรอ จะไม่หนีไปไหนใช่ไหม ทั้งที่ตอนนี้นายจะไปหาใครก็ได้นะ
ไปหาคนที่นายชอบ คนที่นายอยากเจอและอยากอยู่ด้วย เพราะฉันจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปเห็นให้ต้องกลัว
อีกฟากหนึ่งของบานประตู คนที่เพิ่งจะเดินออกมากลับยังไม่ไปไหน ใบหน้าที่แย้มยิ้มเมื่อครู่กลับกลายเป็นเศร้าสร้อยลงทันที น้ำใสในดวงตาทั้งคู่เอ่อออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ภาพที่เห็นก่อนจะเดินออกมา เสียงที่เล็ดลอดให้ได้ยินนั้นคอยย้ำเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ
.. เรามันผิดไม่ใช่รึไง ทำไมต้องมาเสียใจด้วย รู้ทั้งรู้ว่าเค้าไม่ใช่ของเรา ยังไงคนที่เค้าเลือกก็มีแค่คนเดียวอยู่ดี ..ฉันมันก็แค่คนแก้เหงาสินะ ซีวอน
ฮันคยองได้แต่คิดพร้อมกับขาที่เดินลงบันไดมาช้าๆด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง คนเราหากทำเรื่องที่ถูกต้องก็คงไม่ต้องมารู้สึกแย่แบบนี้ คนไม่ดีก็เจ็บเพราะตัวเองเป็นเหมือนกัน สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฮันคยองกดรับสายทันทีที่รู้ว่าเป็นใครโทรมา .. คงเป็นเรื่องงานสินะ
“ฮัลโหล คิบอม”
“เที่ยงนี้พี่ว่างไหม”
“อ่ะ..อื้ม วันนี้วันอาทิตย์ไม่ได้ไปไหน ทำไมเหรอ”
“ไปทานข้าวกับผมนะ”
“เอ่อ ..คือ” ฮันคยองอ้ำอึ้งไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากไป
“นะครับพี่” คิบอมยังคงพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง
“ก็ได้ ที่ไหนล่ะ”
“เดี๋ยวผมไปรับ แค่นี้นะครับแล้วเจอกัน”
“เดี๋ยวก่อนคิบอม คิบอม” แล้วสัญญาณก็โดนตัดไปเพราะอีกฝ่าย ฮันคยองส่ายหน้ากับตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่าจะรีบไปไหนของเค้า แค่จะบอกว่าไปเองได้เพราะจะเอารถของดงแฮไปแทนรถตัวเองที่เพิ่งจะยางแตกไปเมื่อวานนี้เอง แต่อีกอย่างก็คงเพราะไม่อยากให้คิบอมมาที่นี่ด้วยล่ะมั้ง
พอเวลาเริ่มเดินเข้าเที่ยงวันเสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดับลง คิบอมยืนรอเด็กรับใช้คนหนึ่งวิ่งมาเปิดประตูรั้วให้พร้อมกับที่ฮันคยองเดินออกมาพอดี
“ไปกันเถอะคิบอม นี่ก็เที่ยงแล้ว” ว่าแล้วขายาวก็พาร่างตัวเองเดินตรงไปที่รถของอีกฝ่ายทันที คิบอมแปลกใจที่ตัวเองยังไมได้เข้าไปในบ้านเลยเพราะว่าตามปกติถ้าเขามาที่นี่ก็จะต้องเข้าไปในบ้านเพื่อไปเจอดงแฮและไปเล่นกับฮีชอล แต่ทำไมวันนี้ฮันคยองต้องรีบด้วย
“พี่จะรีบไปไหนครับ ดูท่าทางแปลกๆนะ” ชายหนุ่มถามแต่ก็เดินตามไปนั่งที่ประจำของคนขับแต่โดยดีแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ออกไป
ตลอดทางที่นั่งมาด้วยกันฮันคยองยกเรื่องงานมาคุยจนถึงปลายทางที่เป็นร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ทั้งสองเอ่ยปากคุยกันเรื่องอื่นๆในระหว่างที่รอรายการอาหารที่เพิ่งสั่งไป
“ที่จริงนายไม่เห็นต้องไปรับพี่เลยนะ เดี๋ยวเอารถดงแฮมาก็ได้”
“พี่นี่ตลกดีนะ เดี๋ยวจะแวะไปเอารถตัวเองด้วยไม่ใช่เหรอ แล้วจะขับกลับยังไงตั้งสองคัน มากับผมน่ะถูกแล้ว”
“จริงด้วยแฮะ พี่ก็ลืมไป” ว่าแล้วก็ทำหน้างุนงงแบบครุ่นคิดราวกับว่ามันเป็นปัญหาอะไรใหญ่โต เรียกเอารอยยิ้มล้อเลียนจากคนตรงหน้าออกมา ทำให้รู้ตัวว่าโดนแกล้งเสียแล้ว
“แต่ว่าคิบอม นี่นายแกล้งพี่เหรอ ก็เมื่อวานบอกไปแล้วนี่ว่าให้คนขับรถไปเอาก็ได้ แล้วมาถามอีกทำไมล่ะ” ฮันคยองทำหน้าไม่พอใจที่ตัวเองกลายเป็นตัวตลกเสียอย่างนั้น คิบอมเอาแต่หัวเราะลูกเดียว
“น่า ผมล้อเล่น เห็นพี่เหม่อๆเลยถามไปงั้นแหละ” ใจจริงก็ไม่อยากจะพูดมันนักหรอกเรื่องพวกนี้ แต่แค่ได้คุยอะไรที่มันสบายใจก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ อีกอย่างรอยยิ้มแบบนี้ หน้าตางอนๆซื่อๆแบบนี้ ให้ตายสิ ทำไมกันนะ คิม คิบอมคนนี้ถึงถอนตัวถอนใจไม่เคยได้เสียที
“ว่าแต่ พี่จะเอารถดงแฮมาไม่โดนโวยวายแย่เหรอครับ”
“เพื่อนนายรายนั้นเค้าไม่สบาย ตอนนี้หลับอยู่ พี่บอกแล้วว่าให้ดูแลตัวเองดีๆหน่อยก็ไม่เชื่อ”พูดจบมือเรียวก็ยกแก้วน้ำผลไม้ที่พนักงานสาวคนหนึ่งเพิ่งวางลงไว้ขึ้นมาจิบ
“ธรรมดานี่ครับ ดงแฮน่ะไม่สบายง่ายผิดกับนิสัยดื้อดึงของตัวเองอย่างกับอะไร” คิบอมพูดถึงดงแฮอย่างรู้ดีอย่างกับว่าคนตรงหน้านั้นไม่ใช่พี่ชายของเพื่อนตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลามองออกไปนอกโต๊ะเมื่อนึกถึงคนที่กำลังพูดถึงโดยไม่สังเกตว่าคนตรงหน้าก็ได้แต่มองเขาเช่นกัน
.. อยากรู้ แต่ถ้าถามหน่อยคงไม่เป็นไรล่ะมั้ง
“คิบอม”
“ครับ”
“ยังชอบดงแฮอยู่รึเปล่า” ฮันคยองถามด้วยน้ำเสียงที่แสนเบาแต่แฝงไปด้วยความอยากได้คำตอบ แววตาทั้งคู่จับจ้องอีกฝ่ายนิ่ง
“ผมน่ะเหรอ ...หึหึ อกหักมานานแล้วนี่ครับ”
“เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่พี่หมายถึงความรู้สึกนายต่างหากว่ายังชอบอยู่รึเปล่า” แม้ตัวเองจะรู้ดีว่าไม่มีทางแน่ที่ดงแฮจะหันมามองคนๆนี้ แต่ความรู้สึกของคิบอมล่ะ ตอนนี้มันยังมีใจไหมก็แค่นั้นเองที่เขาอยากรู้
“ผมกับเค้าเรามันแค่เพื่อน ตอนที่ชอบมันก็ใช่แต่มันก็นานมากแล้ว อีกอย่าง..” พูดยังไม่จบคิบอมก็หยุดไว้แล้วเงียบไป ร้อนให้คนที่รอคำตอบได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“อีกอย่าง อีกอย่างอะไร”
“ก็ตอนนี้ผมมีคนที่ชอบแล้วไง ชอบมาก แล้วก็ชอบมานานแล้วด้วย แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะต้องแพ้ให้กับใครไปเหมือนเคย” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงใคร สายตาคมที่มองกลับเล่นเอาฮันคยองปรับตัวไม่ถูกจึงได้แต่ก้มหน้าหลบตาไปไม่มีทางเลือก จะบอกว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่ จะถามว่าใครก็ไม่ได้ ก็ในเมื่อคนมันรู้ๆกันอยู่แล้วจะ
แกล้งโง่สานต่อให้มันได้อะไร แต่ในเมื่อพูดมาถึงขั้นนี้แล้วอารมณ์ความรู้สึกที่มันเริ่มล้นของคิบอมก็ชักจะเก็บไว้ไม่อยู่จึงหันกลับมาถามเสียเอง
“พี่ไม่ถามเหรอครับว่าใคร”
“.............”
“นั่นสินะ .... พี่คงไม่อยากรู้หรอก ถึงรู้ไปมันก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ยังไงความรักของผมจะเฝ้าคอยเท่าไหร่มันก็คงไม่มีวันเป็นจริง”
“คิบอม” ฮันคยองไม่รู้จะพูดอย่างไรเมื่อเห็นคนตรงหน้าได้แต่เงียบไป ไม่น่าถามเลยจริงๆคิดแล้วก็โกรธตัวเองที่ไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่ามันจะโยงเข้ามาให้รู้สึกผิดอีกจนได้ แล้วอีกฝ่ายก็รู้สึกแย่ ฮันคยองเอื้อมมือออกไปกุมมือคิบอมไว้เบาๆอย่างเข้าใจ
“คิบอมคือพี่”
“ไม่เป็นไรหรอก ฮะฮะ พี่อย่าห่วงคนอื่นมากนักสิ ผมไม่เป็นไรหรอก” ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่คนฟังกลับไม่คิดแบบนั้นเลย หลายครั้งที่คิบอมชอบพูดกลบเกลื่อนในขณะที่ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะพูดถึงมัน
..ไม่อยากทำร้ายใคร ไม่อยากรู้สึกผิด..
ไม่นานนักจานอาหารตามเมนูที่สั่งไปก็เริ่มวางลงตรงหน้าคนทั้งสอง หลังจากที่เงียบกันไปพักใหญ่บทสนทนาเรื่องเมนูตรงหน้าก็ดังขึ้น
“พี่ลืมถามเลยว่าที่นี่ที่ไหน ไม่ยักรู้ว่ามีร้านอาหารแบบนี้อยู่ด้วย” ฮันคยองเปลี่ยนเรื่องพูดทันทีพลางมองตามอาหารต่างๆตรงหน้า เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่เลยไม่ทันสังเกตร้านที่มา
“เปิดใหม่น่ะครับ แต่อาหารเค้าอร่อยมากเลยนะโดยเฉพาะนี่เลย ธรรมดาๆแต่ผมชอบมันมากเลยล่ะ” คิบอมยิ้มกว้างก่อนที่จะตักอาหารในจานที่พูดถึงไปให้ฮันคยอง
“ขอบใจนะ มีร้านน่ากินแบบนี้อยู่ก็ไม่บอกพี่”
“เราไม่ค่อยมีเวลาล่ะมั้ง ผมเองก็เพิ่งจะมาได้ไม่กี่ครั้งเอง” ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ทั้งสองก้มลงลิ้มรสอาหารตรงหน้ากันทันที
“นั่นสินะ พวกเราเองก็มีค่อยมีเวลามาทานแบบนี้กันด้วย ไว้วันหลังชวนดงแฮกับซีวอน ..” พอถึงชื่อสุดท้ายก็หยุดพูดไปอย่างไม่ทันรู้ตัว
คิบอมทำเฉยไปก่อนจะพูดเรื่องอื่นมาแทนเพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศ
ฮันคยองยิ้มกว้างเมื่อได้ฟังคิบอมเล่าเกี่ยวกับเรื่องตลกของพนักงานที่บริษัทที่เขาไม่เคยรู้
“จริงเหรอ มีแบบนั้นด้วยเหรอ เค้าคงอายแย่เลยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิครับ เค้าเพิ่งมาทำงานใหม่คงไม่รู้จักใครเลยคิดว่าผมเป็นซองมิน ว่าแต่ว่าผมหน้าคล้ายเลขาตัวเองขนาดนั้นเหรอเนี่ย”
“จะบ้ารึไง ก็ไหนบอกว่าเค้าไม่รู้จักไงล่ะ”
“นั่นสินะ ผมนี่โง่อีกแล้ว” เสียงหัวเราะเบาๆดังคลอบรรยากาศการทานอาหารระหว่างทั้งคู่ไปอย่างไม่รีบร้อน มุมต่างๆของร้านที่แม้จะแคบไปหน่อยแต่ด้วยต้นไม้สีเขียวกับความสะอาดก็ทำให้ร้านดูน่านั่งได้ไม่แพ้ที่หรูๆอื่นเลย
“พี่ชอบเหรอครับที่นี่น่ะ”
“อื้ม ทำไมเหรอ”
“ก็ถ้าพี่ชอบ วันหลังผมจะพามาอีก”
“นายเลี้ยงนะ”
“ได้เลย” แล้วฮันคยองก็ส่งยิ้มให้โดยไม่ทันรู้ตัวว่าตะเกียบที่คีบอาหารอยู่
จะทำให้ซอสเปื้อนแก้ม คิบอมเห็นก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อทันที แต่เขาก็เลือกที่จะกำมันไว้ในมือแทนเมื่อนึกได้ว่าไม่จะดีกว่า
“ซอสเปื้อนแก้มพี่น่ะครับ”
“อ้าวเหรอ โทษทีนะ พี่ไม่ระวังอีกแล้ว” มือข้างหนึ่งที่หยิบผ้าเช็ดปากขึ้น
ค่อยๆไล้ไปตามแก้มเพื่อหารอยเปื้อนโดยที่ไม่รู้ตัวอีกเหมือนเคยว่าสายตาของคนตรงหน้านั้นมันน่าสงสารแค่ไหนที่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้มากกว่านี้
.. รักมาก แต่มันก็แค่นั้น ..จะให้ผมบอกรึเปล่าว่าคนๆนั้นก็คือพี่
พี่รู้มาตลอดทั้งที่ผมไม่เคยพูด เพราะถ้ามันจะทำให้พี่ไม่สบายใจ ... แล้วจะให้ผมบอกให้มันได้อะไรกัน
.
.
Tbc. Chapter 2
ความคิดเห็น