คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : WHEN ? .. Chapter.[15] Up!!
แอร๊~ แอบมาลงช้าอีกแล้วค่ะ
ปีใหม่ได้หยุดงานตั้งสองวันเลยเพลินไปหน่อย (T T ตรงไหน?)
นี่ก็ใกล้จบแล้ว .. ยังคงขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาตามเคยนะคะ
ณ จุดนี้ เมนท์ไม่เมนท์ ไม่ว่า ถึงอยากให้มีก็เหอะ
ไม่เป็นไรค่ะ
(*ภาพตอนนี้ .. คือหนึ่งในที่คั่นที่แถมไปกับรวมเล่ม^^)
---------------------------------------------------------------
Chapter 15
หลังจากที่เหตุการณ์สะเทือนใจสำหรับคนสองคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยได้ผ่านไป ซองมินก็พาคยูฮยอนมาที่ห้องเบรกของพนักงานในบริษัทซึ่งอยู่อีกชั้นถัดลงมาเพราะที่นี่มีทั้งเครื่องดื่มและอุปกรณ์ต่างๆ ที่สำคัญ มีกล่องปฐมพยาบาลด้วย เห็นแบบนี้แต่ซองมินก็มีน้ำใจพอจะพาคยูฮยอนมาทำแผลแม้ว่าคนที่น่าจะต้องรับผิดชอบจะไม่ใช่เขาก็ตาม
“นั่งลงสิ” ซองมินสั่งโดยที่คยูฮยอนก็นั่งลงแต่โดยดี ร่างเล็กเดินไปเปิดเอากล่องพยาบาลออกมาจากตู้ด้านบนเคาน์เตอร์กาแฟแล้วมาวางไว้ที่ตรงหน้าอีกฝ่าย คนเจ็บมองกล่องแล้วก็ต้องเงยหน้ามองคนที่เอามาวาไว้ให้
“มองอะไร รีบทำเข้าสิ งานยังไม่เลิกนะจะได้มายืดยาดแบบนี้” เจอแบบนี้เข้าไปคนถูกว่าก็หน้าเสียขึ้นมาทันที
“อะไรกัน ทำไมต้องพูดแบบนี้ด้วย ไม่เห็นรึไงว่าฉันกำลังเจ็บ”
“ก็เห็นไงถึงได้บอกให้รีบเข้า”
“นายนั่นแหละที่ต้องรีบ”
“หมายความว่าไง”
“ก็รีบมาทำแผลให้ฉันไงเล่า เข้าใจยากจริงนะ” ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มทำท่าไม่สบอารมณ์ขณะที่อีกคนได้แต่ยืนอ้าปากค้างก่อนที่จะพยายามเก็บอาการไว้ไม่อยากทะเลาะกับใคร ซองมินเป็นฝ่ายนั่งลงบ้างตรงข้างคยูฮยอนแล้วจัดการทำแผลให้อย่างไม่เต็มใจ
“โอ๊ยนี่ ! แผลนะไม่ใช่ที่จุ่มหมึกจะได้กดเอาๆแบบนี้” คยูฮยอนร้องด้วยความเจ็บกับการทำแผลที่ไม่ได้เรื่องของซองมินแต่ลึกๆแล้วเขาก็พอใจอยู่ไม่น้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เขาลอบมองใบหน้าน่ารักที่เอาแต่บูดบึ้งทุกทีที่อยู่กับเขาโดยที่คนถูกมองก็ไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่ทำแผลไปอย่างเสียไม่ได้
“เสร็จแล้ว” ซองมินดึงมือกลับทำให้คยูฮยอนหลุดออกมาจากห้วงความคิด
“ขอบใจนะ..” ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ยินหรือตอบรับโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กก็ดังขึ้น ซองมินรีบกดรับทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นใคร เสียงพูดคุยไม่กี่ประโยคดังขึ้นก่อนจะวางไปทำให้คนที่มองอยู่นั้นไม่รู้ว่าใครโทรมา
“โธ่เอ๊ย งานด่วนอะไรล่ะ งานเข้าล่ะสิไม่ว่า” เสียงเล็กบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจเจ้านายที่จู่ๆจะไปก็ไปไม่ได้สนใจเลยว่าวันนี้เป็นงานสำคัญ แต่ทุกทีก็ได้แต่โทรมาสั่งแบบนี้ประจำ
“ดูคุณเลขาจะมีเรื่องให้วุ่นวายใจหลายอย่างจังนะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น ซึ่งถ้าหากซองมินคนนี้เข้าใจว่าหวังดีก็คงเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลกเป็นแน่
“ถ้าอยากให้แผลหายไวๆก็เก็บปากเอาไว้ทายาเถอะนะคุณหัวหน้าฝ่ายการตลาดคนเก่ง” ใบหน้าน่ารักเปลี่ยนจากอารมณ์บูดมาเป็นยิ้มให้อย่างที่คนตรง
หน้าดูออก แต่เมื่อคยูฮยอนอ้าปากจะเถียงก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาประคองแก้มที่ช้ำเอาไว้ จึงทำได้เพียงส่งสายตาเจ็บใจมาให้ .. ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสองเพราะคนตัวเล็กกว่าไม่คิดอยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย ซองมินหมุนเก้าอี้หันออกไปยังหน้าต่างกระจกใสด้านนอกพลางมองออกไป
“สมน้ำหน้าที่ไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน” พูดไปทั้งที่หันข้างให้ตัวต้นเหตุที่ไม่เคยจะยอมรับ
“เหอะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย”
“ไม่สำนึกอีกนะ ก็เรื่องคุณดงแฮไง เลิกยุ่งกับเค้าได้แล้ว ขืนนายไม่เลิกคุณซีวอนเอานายตายแน่”
“อ๋อเหรอ งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ ก็ฉันชอบเค้านี่”
“ชอบงั้นเหรอ” ซองมินหันกลับมาถามด้วยใบหน้าที่แสดงออกมาว่าสิ่งที่
“มองแบบนี้หมายความว่าไง”
“จะบอกอะไรให้นะคุณคยูฮยอน คุณดงแฮเค้าไม่มีวันหันมาสนใจคุณหรอก”
“แต่ฉันสนใจเค้า”
“แต่เค้าไม่ได้สนใจนาย”
“แล้วนายรู้ได้ไง” ถึงตรงนี้ซองมินก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เขาอยากจะถามเหลือเกินว่ายังจะกล้าคิดอีกเหรอว่าคุณดงแฮจะสนใจตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้แม้แต่จะคิดหรอก แม้แต่คิบอมที่คบกันมานานและเคยชอบดงแฮมาก่อน ดงแฮก็ยังไม่คิดเกินเลยด้วยแม้แต่นิด
“เอ๊ะ .. รึว่านายหึงฉัน”
“อย่าหลงตัวเองเลย” พูดไปอย่างนั้นทั้งที่กำลังใจเต้นอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ก็ตระหนักได้ว่ากำลังถูกแกล้งเหมือนอย่างเคย ซองมินรีบหันหน้าหนีคนไม่ได้เรื่อง
“นายมันมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นจริงๆ”
“งั้นเหรอ”
“นิสัยแย่”
“อืม”
“ไม่ได้เรื่อง”
“นั่นสินะ”
คยูฮยอนนึกเรื่องสนุกออกเลยได้แต่ยิ้มอย่างมีเลศนัยอยู่ด้านหลังซองมิน
“นี่นาย มีแฟนรึยัง” แน่นอนว่าเป็นอย่างที่คิด อีกฝ่ายหันขวับกลับมาทันทีราวกับสั่งได้
“ขอเตือนครั้งสุดท้ายว่าอย่ากวนประสาท” ซองมินบอกด้วยท่าทีที่
“หัวเราะอะไร”
“เปล่า .. ก็แค่คิดว่าทำไมนายต้องหน้าแดงด้วย”
“ว่าไงนะ” ว่าแล้วก็ต้องยกมือขึ้นจับที่หน้าตัวเอง ท่าทางเชื่อง่ายแบบนั้นบางทีคยูฮยอนก็รู้สึกชอบขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ร่างเล็กเห็นทีท่าอีกฝ่ายก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าตัวเองกำลังถูกหลอก ด้วยความที่ไม่ชอบขี้หน้าอยู่แล้วความอดทนจึงหมดไป ใบหน้าที่ช้ำจากการถูกต่อยเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ถูกทำให้เกิดรอยช้ำซ้ำสองด้วยหมัดเล็กๆที่ชกเข้ามาเต็มๆ
“โอ๊ย !!!” คยูฮยอนร้องสียงหลงด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะถูกดึงให้ลุกจากเก้าอี้แล้วผลักออกไปยังผนังห้องอย่างแรง
“ทำอะไรน่ะซองมิน จะบ้ารึไง” หนุ่มนักเรียนนอกร้องใส่อย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเขาต้องโดนผู้ชายสองคนต่อยเอาในวันเดียวกัน
“คนที่บ้าน่ะมันนายต่างหาก ชีวิตว่างมากนักรึไงถึงได้ต้องไปแย่งแฟนคนอื่นเค้า” ซองมินหน้าแดงขึ้นมาจริงๆเพราะว่ากำลังโกรธมาก ดวงตากลมโตจ้องมาอย่างแน่วแน่จนคยูฮยอนไม่เข้าใจจึงได้เอ่ยถามช้าๆ
“แล้วนายโกรธแทนพวกเค้ามากขนาดนั้นเลยเหรอ” ก็จริงอยู่ที่ซองมินโกรธแทนแต่ว่ามันก็ไม่ทั้งหมด บางทีเขารู้สึกจิตใจมันแปลกๆ สงสัยเป็นเพราะไม่ชอบคยูฮยอนล่ะมั้ง ใบหน้าน่ารักก้มมองพื้นอย่างใช้ความคิด ทำให้คนที่มองอยู่ถือโอกาสตรงเข้าประชิดตัวแล้วล็อคแขนเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนี
“เฮ้ย ! จะทำอะไรน่ะ” ซองมินตกใจที่จู่ๆก็ถูกเอาคืนแบบนี้
“ไม่น่าถาม” ใบหน้าหล่อเหลาที่ยังรอยช้ำเอาไว้นั้นดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที ร่างเล็กเริ่มรู้สึกได้ว่าไม่น่าทำแบบนั้นลงไปเลยจริงๆ งานนี้เขาต้องโดนเอาคืนแน่ แต่ต่อให้รู้ตัวก็ไม่คิดจะร้องขออะไรออกไป ถ้าจะถูกต่อยคืนก็คงไม่ถึงตาย ลูกผู้ชายแค่นี้
ร่างสูงที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังล็อคแขนอีกฝ่ายเอาไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อยหลุดไปได้เลย คนตัวเล็กค่อยหายเข้าไปในอ้อมกอดนั้นมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว น่าแปลกที่ซองมินไม่ได้โวยวายอย่างที่คยูฮยอนคิดไว้ เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน สันจมูกโด่งแอบแนบลงไปที่เรือนผมของคนในอ้อมกอด .. ซองมินอึดอัดในใจมาก
ชั่วขณะเดียวที่ไร้เสียงพูดและการไหวติง ร่างกายที่อิงแอบ ใบหน้าที่ใกล้กัน จากที่แค่อยากจะแกล้ง สุดท้ายคยูฮยอนก็อดไม่ได้จริงๆ
.. ความอึดอัดท่ามกลางความเงียบถูกเขาทำลายลงเพียงแค่ .. หนึ่งจุมพิต
ร้านกาแฟเล็กๆอยู่ไม่ไกลจากตึกบริษัทนัก คิบอมพางดงแฮมาที่นี่เพราะคิดว่าหากอยู่ที่นั่นต่อไปต่อให้เข้มแข็งยังไงก็คงทรมานใจอยู่ดี ไออุ่นของกาแกในถ้วยเซรามิกลอยส่งกลิ่นหอมกรุ่นทำให้คนที่กำลังจะดื่มนั้นรู้สึกดีไม่น้อย
“รู้สึกอะไรไหม” คิบอมถามคนตรงหน้าที่นั่งเงียบก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่ม เขามองใบหน้าของเพื่อนรักอย่างเดาอาการไม่ถูก
“รู้สึกอะไร ไม่หนิ” ดงแฮปฏิเสธไปทั้งที่คิบอมก็พอจะเข้าใจว่าสาเหตุของการความจำเสื่อมนั้นมันคงทำให้ดงแฮติดใจอยู่ไม่น้อย
“นายจะปากแข็งไปถึงไหน ร้องไห้แบบนี้เนี่ยนะไม่รู้สึกอะไร”
“...........” ดงแฮไม่ตอบอะไร ถูกพูดมาแบบนี้แล้วจะให้บอกว่ารู้สึกงั้นเหรอ
“อยากจำได้ใช่มั้ย” แน่นอน ดงแฮอยากจำได้จะได้รู้ๆไปว่าทุกอย่างเป็นยังไง ถึงเวลานั้นก็จะได้ตัดสินใจได้โดยไม่ลังเลแบบคนไม่รู้ทิศทางอะไรแบบนี้
“นายเป็นเพื่อนฉันเหรอคิบอม งั้นขอถามอะไรอย่างสิ”
“อืม ว่ามาสิ” เสียงทุ้มรับคำก่อนจะยกกาแฟถ้วยตรงหน้าขึ้นจิบบ้าง
“นายกับพี่ฉันมีอะไรกันงั้นเหรอ” คนถูกถามวางถ้วยลงทันทีอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะโดนถามแบบนี้ คิบอมหันหน้าหนีเหมือนไม่อยากพูดถึงเท่าไหร่นัก ดงแฮจ้องมองอย่างจะเอาคำตอบให้ได้
“จะถามทำไม”
“แล้วทำไมจะถามไม่ได้ ก็รู้ๆกันอยู่ นอกจากฉันแล้วคนบางคนก็คงจะรู้ด้วยอ่ะนะ ถึงได้ดูหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ตลอดเวลา ที่แท้ก็หึงพี่ฮันนี่เอง” พูดแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างรู้ดีไปเสียหมด
“นายเข้าใจอย่างนั้นเหรอ” คิบอมแปลกใจที่ดงแฮเข้าใจไปอีกแบบก่อนที่จะนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ .. ทำไมดงแฮรู้เรื่องซีวอนกับฮันคยอง ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจกับเรื่องที่กำลังสงสัยขณะที่คนตรงหน้าก็นั่งดื่มกาแฟไปเงียบๆโดยไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเรื่องที่ตัวเองพูดออกไปก่อนหน้านี้
“คิดอะไรอยู่น่ะ” จู่ๆดงแฮก็ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าคิบอมเงียบไปนานเหมือนคิดอะไรอยู่
“ถามจริงๆนะดงแฮ นายมีอะไรในใจรึเปล่า”
“หึ ตลกดีนะ จะมีอะไรในใจได้ไง ในหัวยังไม่มีอะไรเหลือเลย”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยอารมณ์ที่แตกต่าง อีกคนปฏิเสธทุกอย่าง อีกคนก็แคลงใจอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ คิบอมคิดว่าเก็บคำถามไว้ในใจแล้วรอดูทุกอย่างต่อไปจะดีกว่า ตอนนี้เขาไม่อยากจะคาดคั้นเอาอะไรกับอีกฝ่ายมากนัก แค่นี้ที่เป็นอยู่ก็สงสารเพื่อนตัวเองจะแย่ เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าสักวันดงแฮจะต้องมาเจ็บช้ำเพราะซีวอนเข้าจริงๆ ทั้งสองปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ได้พูดอะไรกันเลย ไม่นานเค้กส้มหนึ่งชิ้นก็ถูกวางลง
“นายสั่งมาเหรอ”
“อืม อย่ามัวแต่มองสิ สั่งให้นายนั่นแหละ”
“โห ใจดีซะด้วยนะ” ว่าแล้วก็ยิ้มขอบคุณก่อนจะลงมือหยิบส้อมอันเล็กจิ้มเค้กเข้าปาก
“เป็นไง อร่อยล่ะสิ”
“จริงด้วยแฮะ อีกอย่างฉันกำลังหิวน่ะ” พูดจบก็กินต่อไปโดยมีคิบอมนั่งอมยิ้มมองดูอยู่
“เมื่อไหร่นายจะจำได้นะดงแฮ นายคนเดิมที่..” คิบอมกำลังจะบอกว่าคนที่รักซีวอนหมดหัวใจหายไปไหนกัน ดงแฮเงยหน้ามองพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจที่คิบอมกำลังจะพูด แต่เขาก็ไม่อยากจะรู้นักหรอกในเมื่อรู้ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา
“ทำหน้าเครียดแบบนี้ไม่หล่อเลยนะคิบอม” น้ำเสียงร่าเริงที่เคยแซวกันมาก่อนถูกเอ่ยออกมาจากปากของคนที่จำไม่ได้ คิบอมจ้องดงแฮไม่วางตาเพราะเขารู้สึกได้มากขึ้นว่าเพื่อนรักคนเดิมใกล้จะกลับมาแล้ว
งานเลี้ยงที่จัดขึ้นดำเนินไปด้วยดีต่างจากบรรยากาศภายนอกที่ฮันคยองและซีวอนเพิ่งจากมา ร่างโปร่งบางมองหาน้องชายด้วยความเป็นห่วงจนลืมไปเลยว่าเวลานี้มันเป็นเวลางานที่เขาควรจะทำตัวปกติ ไม่ใช่คอยคิดแต่เรื่องส่วนตัวอย่างนี้ ร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกันก็กลัวว่าคนที่พวกเขากำลังมองหาจะเป็นอะไรหรือเปล่า ทั้งสองมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งท่ามกลางแขกในงานก่อนที่เดินหลบออกมาทางด้านห้อง
“ดงแฮยิ่งจำอะไรไม่ได้อยู่ด้วย แล้วหายไปไหนของเค้านะ” เขากำลังกลุ้มใจมากโดยมีซีวอนที่นั่งอยู่ข้างๆพยายามปลอบใจ
“ใจเย็นๆสิ ดงแฮโตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ”
“ก็ถ้าเด็กคงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
“เฮ้อ ..” ซีวอนถอนหายใจเพราะไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง ทั้งที่เขาก็ห่วงไม่แพ้กันหรืออันที่จริงที่กำลังพุดอยู่ตอนนี้มันเป็นข้ออ้างที่ไม่กล้าเจออีกฝ่ายกันแน่เขาเองก็ไม่แน่ใจนัก
“ก็ถูกของนายนะ ดงแฮโตแล้วไม่เป็นอะไรหรอก” ฮันคยองคลายความตึงเครียดลงเมื่อลองนึกให้มันสมเหตุสมผล อันที่จริงแล้วเขาคงจะบ้าห่วงน้องมากไปหน่อยเท่านั้นเอง
“น้องชายนายเค้าเกลียดฉันจะแย่อยู่แล้ว รู้มั้ยว่าฉันไม่กล้าเจอเค้า ฉันกลัว” ซีวอนบอก
“ฉันเข้าใจนะซีวอน แต่นายอย่าลืมสิ...”
“ว่าเราทำร้ายดงแฮมามากแค่ไหน”
“.......” ฮันคยองเงียบไปเมื่อถูกอีกฝ่ายแย่งพูดประโยคของเขาเสียก่อน
“บางทีนายก็ต้องรู้จักให้เวลาดงแฮบ้าง ค่อยเป็นค่อยไป อย่าเพิ่งท้อสิ”
“แต่ฉัน” สีหน้ากลุ้มใจไม่ต่างกันทำให้ฮันคยองเป็นฝ่ายยิ้มให้เสียเอง
“เอางี้ดีกว่า นายต้องรอและพยายามพาดงแฮไปในที่ๆเคยไป พยายามพูดเรื่องเก่าๆระหว่างนายกับเค้า” ฮันคยองแนะนำ แต่พอถึงตรงนี้ทั้งสองก็ต่างรู้ดีแก่ใจว่าเรื่องเก่าๆมันคืออะไร พวกเขาเลือกที่จะไม่พูดมันออกมามากกว่า
“โอเคนะซีวอน ฉันไปดูลูกน้องหน่อยดีกว่า หายมาซะนาน” ว่าแล้วก็ตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะเดินจากไปในอีกมุมหนึ่งของงานพร้อมกับรอยยิ้มที่ฉาบไว้บนใบหน้าได้จางหายไป
ทุกอย่างมันกำลังใกล้เข้ามาทุกที .. วันที่ดงแฮจำได้
ซีวอนออกมายืนอยู่ตรงระเบียงที่เดิมซึ่งตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีใครออกมาเหมือนอย่างเคยเพราะอากาศที่เย็นลงเรื่อยๆในยามค่ำ ในใจก็นึกคนที่ก่อนหน้านี้ได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกัน เรียวยกขึ้นสัมผัสเบาๆที่รอยแผลตรงมุมปาก
“แค่นี้ยังน้อยไปนะดงแฮ” ซีวอนรู้ตัวดีเสมอ บางทีเจ็บแค่นี้มันคงไม่สาสมกับทุกอย่างที่ผ่านมา งานในวันนี้เขาควรจะรับผิดชอบอะไรมากกว่าที่จะมาคิดแต่เรื่องส่วนตัว แต่ในเวลานี้เขาก็เลือกที่จะทิ้งแขกคนสำคัญหรือแม้กระทั่งผู้บริหารจากที่อื่นที่เขาควรจะไปต้อนรับ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแลกกับการได้ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว .. อยู่กับตัวเอง
“ซองมิน!” เสียงเรียกดังขึ้นให้ร่างเล็กที่นั่งเหม่ออยู่ในห้องควบคุมเสียงต้องรีบหันมาหา
“คุณฮันคยอง”
“เห็นดงแฮบ้างมั้ย ไม่รู้ว่าเค้าหายไปไหนเลยเนี่ย ฉันกับซีวอนหาเค้าไม่เจอเลย” ฮันคยองถามอย่างเป็นห่วง ซึ่งซองมินก็รู้ดีว่าดงแฮอยู่ที่ไหนกับใคร
“ว่าไงล่ะซองมิน” ยิ่งถูกเร่งเร้าก็ยิ่งต้องตัดสินใจ อย่างน้อยคิบอมก็ไม่ได้ห้ามบอกใครนี่นา
“คุณดงแฮไปกับคุณคิบอมน่ะครับ” ตอบออกไปอย่างปกติแต่แล้วก็ต้องเอะใจขึ้นมา
“แล้วตอนที่คุณดงแฮตามคุณซีวอนไปไม่ได้เจอกันเหรอครับ เห็นคุณ
“ว่าไงนะ นายบอกว่าสองคนนั่นตามไปงั้นเหอร”
“ครับ ก็ประมาณนั้น ตอนที่คุณดงแฮตบหน้าคุณซีวอน คุณซีวอนก็วิ่งออกไปเลย”
“แล้วไงต่อ มีอะไรเล่ามาให้หมดนะซองมิน” ท่าทางร้อนรนอยากจะรู้แบบนั้นยิ่งทำให้ซองมินพูดทุกอย่างออกไป
“แล้วสักพักคุณดงแฮก็วิ่งตามไปน่ะครับ จากนั้นคุณคิบอมก็ออกจากงานมาแล้วบอกว่าจะไปหาคุณเพราะเห็นว่าไปห้องน้ำเสียนาน”
“หมายความว่า”
“ก็ผมเข้าใจว่าพวกคุณอยู่ด้วยกันเสียอีก” ได้ยินแบบนั้นฮันคยองก็ไม่ตอบอะไรมีเพียงสีหน้าที่ไม่สบายใจแสดงออกมาให้ซองมินต้องฉงนสงสัยไปตาม
“แต่ไม่ต้องห่วงนะครับเดี๋ยวคุณคิบอมคงพาคุณดงแฮไปส่งที่บ้านคืนนี้” ซองมินปลอบใจ แต่ข้อนี้ฮันคยองก็รู้ดี เขาไม่ได้ห่วงเรื่องนี้นักหรอก
“ว่าแต่คุณโอเคมั้ยครับ ดูไม่ค่อยจะสบายเลย”
“อืม ไม่มีอะไรหรอก สงสัยไม่ค่อยได้นอน ขอบใจมากนะ” ฮันคยองกลับเข้าไปในงานที่เต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ทิ้งซองมินเอาไว้ให้ครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะตามเข้าไปทำหน้าที่ตัวเองเช่นกัน
เข็มของนาฬิกาในร้านกาแฟร้านเดิมกำลังหมุนไปเรื่อยๆบอกให้รู้ว่าเวลานี้ร้านใกล้จะปิดแล้ว ร่างบางเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ไม้ด้วยความอิ่มหลังจากที่จัดการกับของว่างที่สั่งมาเพิ่มเมื่อก่อนหน้านี้
“นายเลี้ยงเหรอคิบอม” รอยยิ้มมีเลศนัยส่งมาให้คนอีกฝั่งโต๊ะที่ได้แต่ยิ้มตอบกลับไป ยิ่งได้คุยกันคิบอมก็รู้สึกว่าดงแฮก็ยังมีความเป็นดงแฮอยู่ไม่เปลี่ยน
“ที่ผ่านมาถึงฉันไม่เลี้ยงนายก็ไม่ยอมจ่ายอยู่ดีนั่นแหละ”
“ฮะฮะ งั้นก็ขอบใจสำหรับที่ผ่านมานะ”
“คร้าบ .. คุณหนูดงแฮ” ทั้งสองหัวเราะกันใหญ่ราวกับว่าเป็นวันวานเก่าๆ
“ไม่อยากกลับบ้าน” ดงแฮเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาถึงรถที่จอดไว้นอกร้าน
“อย่าหนีสิดงแฮ” คิบอมเตือนทั้งที่อดนึกไม่ได้ว่าตัวเองก็ดีแต่แนะนำคนอื่น เรื่องของตัวเองกลับไม่เอามาใช้เสียบ้าง ความเจ็บปวดที่ดงแฮไม่ได้บอกไปคิบอมก็พอจะเข้าใจดี ถึงเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้อะไรมาบ้างแต่ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ดงแฮมีอยู่ ความเจ็บปวดในหัวใจ ต่อให้ความทรงจำจะหายไปแค่ไหนแต่ยังไงความรู้สึกทั้งหมดก็คงฝังไว้อยู่อย่างนั้น
.. แต่น่าเสียดายที่ความเจ็บปวดมันยังไม่ฝังรากลึกลงไปเท่ากับความรัก ที่ตอนนี้หายังไงก็คงไม่เจอ..
งานเลี้ยงจบลงด้วยดีท่ามกลางความประทับใจของแขกเหรื่อมีระดับและผู้บริหารทุกคน ซีวอนยิ้มแย้มขณะที่กำลังยืนส่งแขกพร้อมกับเลขาสาวของตัวเอง ไม่ต่างกับฮันคยองที่กำลังพูดคุยกับประธานของกลุ่มคู่ค้าคนสำคัญก่อนที่จะกลับจากงานไป ทุกอย่างช่างราบรื่นต่างกับจิตใจภายใต้รอยยิ้มของคนไม่กี่คนเสียเหลือ
ร่างเล็กของเลขาที่ยืนอยู่โดยปราศจากเจ้านายนั้นแอบนิ่วหน้าขึ้นมาทันทีที่ไม่มีใครสังเกต ซองมินไม่แน่ใจนักว่าคิบอมจะเป็นอย่างนี้ไปนานแค่ไหน เขาเบื่อเต็มทีแล้วที่ต้องตอบคำถามว่าเจ้านายของตัวเองไปไหน
“เฮ้อ”
“ถอนหายใจเป็นอะไรอีกหนอ” เสียงที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของใครดังขึ้นด้านหลังของซองมิน เขาอ้าปากจะพูดสวนกลับไปแต่พอเห็นใบหน้านั้นแล้วก็อดนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้ เลยเลือกที่จะหันหน้าหนีอย่างไม่สนใจแทน คยูฮยอนเมื่อเห็นอย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขารู้สึกแปลกๆไปด้วย และก็น่าแปลกที่ตัวเองไม่ตามตอแยอย่างแต่ก่อน เขาปล่อยให้อีกฝ่ายเดินผ่านไปเสียเฉยๆขณะที่ในใจก็ไม่ลืมเรื่องที่ตัวเองทำเอาไว้ เหตุการณ์มันเร็วมากจนต่างคนต่างทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และหากว่าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงดี ถ้าซองมินจะด่าหรือต่อว่าอย่างที่ควรเป็นก็คงจะดีกว่านี้ แค่นี้ไม่มีอาการใดๆเลย ไม่สิ ไม่สนใจเขาเลยด้วยซ้ำไป
.. เป็นอะไรของแกนะคยูฮยอน แค่จูบเองนี่หว่า
ซีวอนและฮันคยองกลับมาที่บ้านพร้อมกัน ซีวอนได้ฟังที่อีกฝ่ายเล่ามาก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน ร่างสูงเดินขึ้นบันไดไปอย่างหัวเสียกับตัวเองที่ทำอะไรไม่คิด สุดท้ายเขาก็แคร์ดงแฮมากที่สุดจนลืมไปเลยว่าตัวเองถูกเกลียดมากแค่ไหน
ฮันคยองมองตามซีวอนแต่ตัวเขาเองกลับทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ตัวนุ่มในห้องรับแขก นิ้วเรียวกดโทรศัพท์มือถือหาคิบอมอย่างร้อนใจ
“รับสิ คิบอมรับสิ” โทรให้ตายยังไงอีกฝ่ายก็ไม่รับสายเสียที
.. นายอย่าเข้าใจผิดอีกเลยนะขอร้อง
น้ำตาจากความรู้สึกทั้งหมดรื้นออกมาอยู่ที่ขอบดวงตาเรียวทั้งคู่ท่ามกลางสายตาของหลานสาวตัวน้อยและพี่เลี้ยงซูยองที่ได้แต่มองอย่างเดียว หนูน้อยฮีชอลเอียงคอสงสัยอยู่ตรงพื้นที่ปูด้วยพรมผืนนุ่มในบริเวณห้องรับแขกแต่ก็ต้องถูกหันเหความสนใจด้วยของเล่นจากพี่เลี้ยงตามประสาเด็กน้อย
“เมื่อไหร่คุณแม่จะกลับ” เสียงเล็กถามพี่เลี้ยงสาวทั้งที่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
“ไม่นานหรอกค่ะคุณหนู ไปนอนก่อนดีกว่านะคะ” ถึงจะบอกอย่างนั้นหล่อนเองก็หวังจะให้หนูน้อยง่วงแล้วค่อยพาขึ้นไปนอนจะได้ไม่ขัดคำสั่งของคุณ
ซีวอนที่สั่งเอาไว้
ฮันคยองชำเลืองมองหลานที่นั่งเล่นอยู่กับพี่เลี้ยงด้วยความสงสาร มือบางวางโทรศัพท์มือถือลงก่อนที่เสียงเครื่องยนต์ที่หน้าประตูรั้วด้านนอกจะดังเข้ามา ฮันคยองใจเต้นที่จะได้เจอคิบอมแต่ก็กลัวเหลือเกินว่าจะถูกต่อว่าหรือเข้าใจเขาผิดไป ร่างโปร่งบางลุกขึ้นขณะที่คนทั้งสองจะเดินเข้ามาด้วยกัน
“ดงแฮ คิบอม..” ฮันคยองเรียกแต่เหมือนไม่มีความหมาย
“ขอบใจมากนะคิบอมที่มาส่ง” เป็นดงแฮเองที่หันไปขอบใจคนมาส่งโดยที่ไม่ได้สนใจพี่ชายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ฮันคยองยืนเก้อมองทั้งสองอยู่อย่างนั้น
“ไม่เป็นไรหรอก รีบไปอาบน้ำนอนเหอะดึกมากแล้ว” คิบอมบอก
“อืม ไว้เจอกันนะ” พูดจบก็เดินผ่านฮันคยองไปสร้างความสงสัยให้คนที่ได้แต่มองว่าทำไมถึงได้ดูสนิทสนมกันแบบนี้ ส่วนคิบอมก็หันหลังจะกลับไปทันที
.. บางทีเขาเองก็อดสงสารคิบอมไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมความรักของคนเรามันถึงได้สมหวังยากอย่างนี้ ..
“คุณหนูคะ”
“คุณแม่” เสียงเรียกของซูยองและฮีชอลทำให้ดงแฮต้องหันไปมอง เขาเพิ่งสังเกตว่าทั้งสองก็อยู่ตรงนี้ด้วยเหมือนกัน ดงแฮคงไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่ตัวเองจำอะไรไม่ได้ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป คิบอมที่เฮฮากับหนูน้อยฮีชอลหายไป ป้าฮันนี่ที่แสนดีก็ดูจะกลุ้มอกกลุ้มใจกับปัญหาจนแทบไม่เหลือรอยยิ้มไว้ให้เด็กน้อยเลย แม้แต่
“คุณแม่” ฮีชอลเรียกพลางเดินเข้ามาหาตามด้วยพี่เลี้ยงที่เดินตามมา สีหน้าหวั่นใจของดงแฮทำให้ซูยองต้องอุ้มฮีชอลเอาไว้เสียก่อนเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคงหนักใจ ที่สำคัญหล่อนทำไปเพราะคำสั่งของซีวอนที่บอกว่าอย่าให้ฮีชอลเข้าใกล้
ดงแฮ
“ไม่เอานะคะคุณหนู เดี๋ยวเราไปนอนกันดีกว่า พี่จะเล่านิทานให้ฟังนะคะ” พี่เลี้ยงสาวยิ้มให้ดงแฮก่อนจะรีบพาฮีชอลที่อุ่มไว้ขึ้นบันไดไปโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของหนูน้อยเลย
“เดี๋ยว ..” ดงแฮอ้าปากจะเรียกเอาไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว ซูยองพาฮีชอลไปแล้วเขาจึงได้แต่ยืนมองตามอย่างทำอะไรไม่ได้ ก็แค่อยากจะบอกว่าอย่างเพิ่งไปก็เท่านั้นเอง
“ใจอ่อนแล้วเหรอคะคุณหนู” เสียงของคนด้านหลังทำให้ดงแฮรีบเก็บอาการทั้งหมดเอาไว้
“ป้ายุนฮี”
“ค่ะ เอง”
“ยังไม่นอนเหรอครับ ดึกมากแล้วนะ” ดงแฮถามอย่างเป็นห่วงซึ่งคนฟังก็พอจะเดาออกว่าอีกอย่างก็เพื่อต้องการเปลี่ยนเรื่องด้วยนั่นแหละ
“ป้านอนไม่หลับค่ะ ป้าสงสารคุณหนูฮีชอล”
“...........” ดงแฮพูดไม่ออกเมื่อเห็นแววตาทั้งคู่ของป้ายุนฮีดูจริงจังราวกับว่ากำลังต่อว่าคนใจร้ายอย่างเขาอยู่
“ป้าสงสารคุณหนูฮันคยอง สงสารคุณซีวอน”
“ป้าพูดอะไรน่ะ” ดวงตากลมหันหลบไปอีกทาง ดงแฮไม่อยากจะพูดถึงเรื่องพวกนี้ในตอนนี้เลย
“เปล่าหรอกค่ะ ป้าก็แค่สงสารพวกเค้า”
“แล้วผมล่ะ มีใครสงสารผมรึเปล่า” ดงแฮถามกลับอย่างสุดจะทนทำให้คนฟังรู้สึกว่ามันน่าแปลก ทำไมดงแฮต้องถามแบบนี้
“ทำไมจะไม่สงสารล่ะค่ะ .. ว่าแต่คุณหนูหมายถึงอะไรอย่างอื่นมั้ยคะ”
“ก็หมายถึง .. เอ่อ เปล่าหรอก ผมไม่ชอบหน้าเค้าน่ะ” ดงแฮกำลังโกหก
“แน่ใจเหรอคะว่าแค่นี้”
“แน่ใจสิ” ท่าทางที่สับสนอย่างนั้นทำให้ป้ายุนฮีไม่อยากจะถามต่อ เห็นทียิ่งพูดก็ยิ่งจะไม่เข้าใจกันไปใหญ่ แววตาอ่อนโยนจ้องลึกลงไปในดวงตาของคนที่กำลังร้องไห้อยู่ในใจ
“อะไรก็ตามที่คุณหนูรู้ แล้วอะไรก็ตามที่จะต้องรู้ สักวันมันคงมาถึง เชื่อป้านะคะว่าอีกไม่นานเมื่อถึงตอนที่กลับมาจำได้ ตอนนั้นค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย”
ฮันคยองวิ่งตามคิบอมออกมาที่หน้าบ้าน ดึกมากแล้วมีเพียงแค่แสงจากหลอดไฟตรงแต่ละมุมรั้วเท่านั้นที่ทำให้มองเห็นทางและวิ่งตามเงาของคนที่รีบรุดจะเดินจากไป
“คิบอม!” เสียงเรียกจากข้างหลังสั่งให้ขาทั้งคู่ของชายหนุ่มต้องหยุดเดิน คิบอมไม่อยากจะคุยอะไรในตอนนี้เลยจริงๆ
“พี่มีอะไรเหรอครับ” ถามกลับโดยที่ไม่หันกลับมามองหน้า ท่าทางแบบนี้ฮันคยองรู้สึกว่ามันจะเย็นชากันเกินไปแล้ว ร่างโปร่งบางเดินไปขวางหน้าอีกฝ่ายเอาไว้
“โทรไปทำไมไม่รับ”
“พี่โทรมาเหรอ ผมไม่รู้แฮะ”
“ไม่ต้องมาแกล้งไม่รู้ ขอร้องล่ะคิบอม นายกำลังเข้าใจพี่ผิดนะ”
“เข้าใจผิด เรื่องอะไรเหรอครับ”
“คิบอม” ฮันคยองไม่รู้จะพูดอะไรเมื่อเห็นท่าทีที่ยังคงแสร้งไม่รู้อย่างนั้น
“นายเข้าใจพี่กับซีวอนผิดนะ ที่ห้องน้ำนั่นน่ะเราแค่..”
“แค่กอดกันอย่างเข้าอกเข้าใจ”
“...........”
“ถึงผมจะไม่ได้ยินที่พูดกันแต่ก็พอเดาได้อยู่หรอกนะ”
“ก็เพราะว่านายไม่ได้ยินไงเล่านายถึงไม่เข้าใจอย่างนี้” ฮันคยองพยายามจะอธิบายแต่อีกฝ่ายก็ไม่ฟังเอาเสียเลย
“ไม่เข้าใจว่าพี่แคร์มันแค่ไหนน่ะเหรอ แค่มันเห็นพี่สำคัญในเวลาที่มันไม่มีใครแล้วพี่ก็พอใจ ต่อไปก็คงจะกลับไปแย่งมันมาจากดงแฮใช่ไหมล่ะ” พูดจบคิบอมก็ต้องหน้าหันไปตามแรงมือของฮันคยองที่ตบหน้าเขาอย่างแรงเพราะน้อยใจแล้วก็เสียใจที่ถูกกล่าวหาว่าเลวอย่างนี้
“นายมองฉันได้แค่นี้สินะ” ใบหน้าของคนที่ถูกตบจนชาค่อยๆหันกลับมาอีกครั้งก่อนจะพบเข้ากับหยดน้ำตาของคนที่รักมากที่สุดกำลังไหลออกมาไม่หยุด คิบอมตั้งรับกับความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ถูก แต่ที่แน่ๆคือเขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นน้ำตาของฮันคยองแบบนี้ ยิ่งเพราะเขาเป็นคนทำด้วยแล้วยิ่งเสียใจอย่างที่สุด
“ใช่สิ นายทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งเก่ง สาวๆที่ไหนก็สนใจ คนดีๆมีให้เลือกมากมายนายคงไม่ได้มาสนใจหรือจริงจังกับคนอย่างฉันนักหรอก ทั้งจู๋จี๋อี๋อ๋อกับน้องมินยองขนาดนั้นฉันก็คงเป็นแค่คนอื่นที่นายไม่สนใจ”
“แต่..”
“พอเถอะ ถ้านายจะต่อว่ากันอีกล่ะก็อย่าเลย” ฮันคยองก้าวขาจะเดินผ่านไปแต่คิบอมก็หันกลับไปคว้าเอาเรียวแขนนั้นไว้ก่อน
“ผมมันไม่ดีเท่าซีวอนเลยใช่ไหม”
“ปล่อย...”
“บอกมาสิ แค่พี่บอกมาผมก็จะปล่อย ไม่ดีเท่ามันเลยซักนิดพี่ถึงไม่คิดจะสนใจ”
“นายคิดงั้นเหรอ”
“แล้วจะให้ผมคิดยังไง” ฮันคยองฟังที่คิบอมบอกมาก็รู้สึกว่าความรัก
“งั้นพี่ก็ตอบมาสิ..”
“ใช่ ซีวอนน่ะจริงใจ พอใจแล้วรึยัง แล้วนายล่ะจะดีกับฉันไปถึงเมื่อไหร่ จะดีได้นานแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็อยากจะตีตัวออกห่างด้วยการมาอ้างว่าฉันมันไม่ดีใช่มั้ย” ทั้งที่ขอบใจที่คิบอมแคร์กันแค่ไหนแต่สุดท้ายฮันคยองก็แพ้ความไม่กล้าในจิตใจอยู่ดี เขาไม่กล้าจะเข้าข้างตัวเองเลยว่าอีกฝ่ายจะรักกันได้แค่ไหนเพราะลึกๆแล้วก็ไม่อยากจะต้องเจ็บเหมือนที่เคย
ฮันคยองดึงสร้อยคอเส้นที่คิบอมเคยให้ไว้ออกมาจากคอตัวเองที่สวมใส่มันอยู่ มือบางยื่นมันไปให้เจ้าของคนเดิมรับเอาไว้ ทั้งสองรู้ดีว่าตัวเองเสียใจแค่ไหน แต่จะรู้บ้างไหมว่าอีกฝ่ายก็เสียใจไม่ต่างกัน .. คิบอมกลั้นน้ำตาเอาไว้กับความเสียใจทั้งหมดขณะที่ก้มมองสร้อยในมือของตัวเอง ใบหน้าของชายหนุ่มเงยขึ้นมองคนตรงหน้าช้าๆ
“ผมคิดเสมอว่าอาจเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวจริงของพี่เสียที ผมคิดมาตลอดว่าซักวันพี่จะรักผมจนหมดใจแม้ว่ามันจะเหมือนแค่ความฝัน แต่พี่กลับทำให้ผมเข้าใจว่าความฝันกำลังจะกลายเป็นจริง แล้วพี่ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าคิดไปเองคนเดียว กระทั่งตอนนี้ที่ผมเข้าใจว่าเราเป็นอะไรกัน มันเป็นเรื่องที่ผมคิดไปเองใช่มั้ย”
แววตาจริงจังและประโยคตัดพ้อต่างๆดูยังไงก็ไม่เหมือนคนโกหกเลย ตอนนี้ฮันคยองกลับเป็นฝ่ายที่จ้องตาคิบอมอย่างยากลำบาก แรงบีบเบาๆที่แขนของฮันคยองบ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังเจ็บปวดเมื่อยามที่ต้องเอ่ยทุกอย่างออกมา
“จนตอนนี้ผมก็อยากให้พี่เลิกยุ่งกับมันเสียที เพราะมันทำให้พี่ต้องเสียใจมาแค่ไหน มันดูถูกความรักของพี่มาตลอดทั้งที่พี่รักมันหมดหัวใจ”
“............”
“และทุกอย่างทั้งหมดก็เพราะว่าผมรักพี่” ประโยคเดียวที่ทำเอา
“คือพี่...”
“ผมมันโง่เอง ไม่ใช่เพราะถูกพี่หลอกหรอกนะ แต่ผมเองต่างหากที่หลอกตัวเองอยู่ได้ตั้งนาน” เสียงสั่นเครือเอ่ยออกมาครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยมือออกจากแขนของฮันคยองช้าๆ มือข้างหนึ่งกำสร้อยคอที่ได้รับคืนมาเอาไว้ .. ราวกับหัวใจที่ฝากเอาไว้แล้วถูกโยนกลับคืนมาเพราะไม่อยากได้ ร่างสูงหันกลับออกไปด้วยหัวใจที่ร้าวรานจนแทบจะแตกสลาย
“คิบอม!” ฮันคยองร้องเรียกพร้อมกับวิ่งตามไปแต่ก้ไม่ทันเสียแล้วเมื่อเสียงเครื่องยนต์ของรถคันหรูค่อยๆหายไปจากที่ตรงนั้น ร่างทั้งร่างที่แบกความเสียใจเอาไว้ทรุดลงนั่งกับพื้นถนนท่ามกลางแสงจันทร์ในความมืด
“พี่ขอโทษ ฮึก .. แต่พี่ทิ้งซีวอนกับดงแฮไม่ได้ เพราะพี่เองที่เป็นคนผิด นายเข้าใจรึเปล่าคิบอม” ฮันคยองร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้น ทำไมเขามันถึงได้ทำอะไรโง่ๆลงไปอย่างนี้ แล้วแค่บอกว่ารักทำไมถึงพูดไม่ได้ เป็นครั้งแรกที่ทะเลาะกันและต่อว่ากันถึงขนาดนี้เพียงเพราะความเข้าใจกัน
ห่างออกไปไม่ไกลบนระเบียงห้องนอนที่ไม่ได้เปิดไฟยังคงมีแต่ความมืด ร่างสูงมองลงมายังเบื้องล่างที่มีเพียงคนหนึ่งคนกำลังนั่งร้องไห้เสียใจ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาเฝ้าดูมาตลอดมันตอกย้ำให้รู้สึกผิดไปมากกว่าเก่า ซีวอนมองภาพของฮันคยองจากระเบียงห้องนอนของอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เจ็บปวดไปด้วย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างมันต้องเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ว่าจะถามตัวเองกี่ครั้งคำตอบที่ได้ก็ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม คือเขาเองที่เป็นคนเริ่มทุกอย่าง ซีวอนหันหน้าหนีภาพที่กำลังมองอยู่ เขาไม่อยากจะมองไม่อยากจะเห็นใครเสียใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว ร่างสูงเดินกลับเข้ามาทิ้งตัวลงยังเตียงที่เจ้าของมันกำลังร้องไห้อยู่ด้านล่าง ตั้งแต่ดงแฮสลับห้องกับฮันคยองเขาก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้อยู่คนเดียวตามต้องการ ใบหน้าคมมองไปรอบๆห้องในความมืดก็หวนนึกถึงเรื่องที่ทำเอาไว้มากมาย หากย้อนเวลากลับไปได้เขาเองก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าตัวเองจะดีพอที่จะไม่ทำอะไรเลวๆลงไป
“ขอโทษนะฮัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
.. ทั้งนายทั้งคิบอมต้องมาผิดใจกันเพราะฉัน แล้วก็คนที่ฉันรักมากที่สุดต้องเจ็บปวดมาตลอด
ประตูห้องนอนถูกผลักออก แสงสว่างจากด้านนอกเผยให้เห็นร่างของคนที่เปิดเข้ามา ดงแฮเดินเข้ามาด้วยความเหนื่อยอ่อนโดยไม่รู้ว่าในห้องมีคนอยู่ก่อนแล้ว มือบางปิดประตูลงก่อนจะเอื้อมไปที่สวิตซ์ไฟตรงผนังห้อง จู่ๆความตกใจก็แล่นเข้ามาเมื่อใครสักคนดึงมือเขาออกไปก่อน แผ่นหลังบางถูกรวบหายเข้าไปในอ้อมกอดของคนในความมืด
“นายเข้ามาได้ยังไง”
“รู้ด้วยเหรอว่าเป็นฉัน อย่างว่าล่ะนะ ก็เราเป็น..” จมูกโด่งซุกไซร้ไปตามเรือนผมนุ่มที่ระลงมาปรกต้นคอของดงแฮ คนที่ถูกกระทำดิ้นไปไหนไม่ได้จึงยืนตัวแข็งทื่อให้ซีวอนรุกรานอย่างได้ใจ แต่นี่คงไม่ใช่เวลาที่เขาจะทำอะไรแบบนั้น ดงแฮกลั้นหายใจกับสัมผัสของซีวอนที่เขาไม่มีทางจะหนีไปไหนได้ ดูเหมือนซีวอนจะรู้ดีเลยได้แค่แกล้งทำอยู่อย่างนั้นก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระอย่างง่ายดาย
ดงแฮหันกลับมาแล้วถอยหลังห่างออกไปโดยที่ซีวอนกลับตรงเข้าหาช้าๆและเมื่อจนมุมที่ผนังห้องดงแฮก็รีบเปิดไฟขึ้นทันที ใบหน้าของคนตรงหน้าเด่นชัดขึ้นมาให้ดงแฮได้เห็นรอยช้ำที่เกิดจากตัวเอง เขาอยากจะขอโทษแต่มันก็ไม่กล้า
พอจะพูดออกไป
“เธอเกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยแววตาที่ทรมานจนดงแฮอยากจะใจอ่อน
“นายออกไปก่อนดีกว่า”
“เธอก็บอกมาสิว่าเกลียดฉันมาก ที่ตบหน้าเพราะเธอเชื่อมันมากกว่าฉันใช่ไหม” ซีวอนถามย้ำอีกยิ่งทำให้ดงแฮพูดไม่ออก เขารู้แล้วว่าซีวอนทำไปเพราะปก
“เลิกถามซักทีได้มั้ย ฉันผิดเองที่ทำไม่ดีลงไปกับนาย”
“เธอแคร์ด้วยเหรอ”
“ไม่ได้แคร์ คนอย่างนายฉันไม่มีวันจะสนใจ”
“แล้วที่ตามฉันไปล่ะ ตามไปทำไม”
“...........” ดงแฮเถียงไม่ออกว่ามันเป็นความจริง แล้วก็เถียงไม่ออกมากกว่าเดิมด้วยเมื่อสิ่งที่เห็นมันตอกย้ำกับความจริงที่รู้มา
“แล้วถ้าฉันไม่ตามไปก็คงจะไม่ได้เห็นอะไรดีๆด้วยงั้นสินะ”
“เธอเข้าใจผิดนะ ฉันกับฮันเราไม่ได้มีอะไรกัน” ซีวอนกลับเป็นฝ่ายที่ต้องรีบอธิบาย เขาไม่อยากให้ทุกอย่างในตอนนี้แย่ไปมากกว่าเก่า แต่ซีวอนคงไม่รู้หรอกว่ายิ่งแก้ตัวมากเท่าไหร่ในสายตาของดงแฮเขามันก็เป็นคนหลอกลวงมากเท่านั้น เพราะความจริงทั้งหมดที่คิดว่าดงแฮไม่รู้มันไม่ได้หลุดออกมาจากปากของซีวอนเลยสักนิด ดงแฮเสียใจอยู่ลึกๆว่าที่แท้คนตรงหน้าก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ จะมีอะไรเหลือให้พิสูจน์อีกไหมแล้วอะไรล่ะที่สามารถเชื่อได้ ทุกวันนี้คงมีทางเดียว .. มันคงเป็นอย่างที่ป้ายุนฮีบอกว่าเมื่อไหร่ที่จำได้ค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย ทั้งสองมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น คนหนึ่งอ้อนวอนอยากให้เข้าใจ อีกคนมีแต่จะผลักไสให้ออกไปพ้นๆ
“นายออกไปเถอะ ฉันจะพักผ่อน” ดงแฮเดินผ่านซีวอนเข้าไปในห้อง
“ฉันบอกให้นายกลับห้องนายไปไงล่ะ”
“ห้องของเรายกให้ฮันคยองอยู่แล้วจะให้ฉันกลับไปได้ยังไง”
“หึ ถ้านายไม่ไปงั้นฉันไปเอง” ว่าแล้วก็จะเดินออกไปแต่ซีวอนก็เดินไปขวางประตูเอาไว้
“หลีกไป” ดงแฮร้องบอกอย่างไม่สนใจเลย แต่ซีวอนรู้อะไรมั้ยว่ามันยากแค่ไหนที่ต้องแข็งใจตลอดเวลา
“พอเถอะดงแฮ”
“นายต่างหากที่ควรจะพอ นายมันไม่รู้จักพอ”
“...........” ซีวอนอึ้งไปทันทีที่ถูกตะโกนใส่หน้าแบบนี้ วูบเดียวในใจมันรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้ดงแฮพูดแบบนี้
“เธอ...”
“เพราะนายไม่รู้จักพอไง ฉันถึง..”
“ถึง ถึงอะไร” ร่างสูงตรงเข้ามาดึงเอาร่างตรงหน้าให้สบตากับเขา หัวใจมันเต้นแรงทุกทีที่รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร เขาไม่แน่ใจนักหรอกว่าควรจะดีใจหรือไม่หากว่าดงแฮกลับมาจำได้ แต่อย่างน้อยถึงต้องเจ็บแค่ไหนเขาก็ยอมรับผิดแต่โดยดี ขอเพียงอย่าหายไปจากความทรงจำของดงแฮแบบนี้
“ถึงได้เกลียดนายไง รู้ไว้ด้วย” ดงแฮสะบัดมือซีวอนออกไปจากร่างตัวเองแต่มือคู่นั้นก็ยังคงรั้งเขาเอาไว้ไม่ให้ไปเสียที
“เธอจำได้ใช่ไหม” น้ำเสียงจริงจังเอ่ยถามตรงๆอย่างไม่ให้ตั้งตัว ดงแฮไม่ตอบอะไรนอกจากพยายามแกะมือของซีวอนออกไป
“ถ้าวันนี้เธอไม่ตอบฉันก็จะไม่ปล่อย”
“นายมันหน้าด้าน”
“ก็คนที่หน้าด้านคนนี้แหละที่มันรักเธอหมดหัวใจ”
“...........” ดงแฮกำลังร้องไห้อยู่ในใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขาควรจะดีใจใช่ไหมหากว่ามันคือความจริง เขาควรจะต้องซาบซึ้งอย่างที่สุดหากว่าไม่มีความจริงอันแสนเจ็บปวดที่คอยให้ซีวอนพูดสวนทางกันอยู่อย่างนี้
.. ได้โปรด อย่าทำให้ฉันเชื่อนายทั้งที่มันไม่จริง
“หึ บอกให้ก็ได้นะ ต่อให้ฉันจำได้ฉันก็ไม่มีวันกลับไปรักคนอย่างนายหรอก คนเลว” ซีวอนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะไม่ชินเสียทีกับการผลักไสไล่กันไปอย่างนี้ของดงแฮ ร่างสูงรวบเอาคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้ไม่ยอมปล่อย
“นายจะทำแบบนี้เพื่ออะไร ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
“หึ รังเกียจมากเลยสินะ” ซีวอนรีบปล่อยดงแฮออกเพราะเขาไม่อยากจะเห็นท่าทางรังเกียจกันไปมากกว่านี้ มันทรมาน ความหวังที่พอจะมีเริ่มหายไปกับสายตาของดงแฮที่นับวันยิ่งไม่มีเขาอยู่เลยแม้แต่นิด และด้วยความไม่ไว้ใจของดงแฮทำให้เขาต้องถอยห่างออกมาจากซีวอนมากกว่าเดิม ขณะที่ในใจของอีกคนกำลังร่ำร้องไม่อยากให้หมางเมินกันไปมากกว่านี้ ร่างสูงที่ยืนขวางประตูเอาไว้ทำให้คนที่อยากจะออกไปชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะออกไปได้หรือไม่ และแน่นอนที่ไม่อยากจะอยู่ในห้องนี้ก็เพราะว่ามันอดที่จะนึกไม่ได้ว่าที่นี่มันมีอะไรที่เคยทำร้ายหัวใจตัวเอง บางทีความทรงจำบางส่วนก็นำมันกลับมาให้ได้นึกถึง
“ถอยไป” ดงแฮเอ่ยเสียงแข็งอย่างไม่กลัวเกรงซีวอนเลยแม้แต่นิด ร่างบางตรงเข้ามาเผชิญหน้ากับคนที่ยืนขวางอยู่อีกครั้ง
“ฉันจะออกไป ถ้านายต้องการจะอยู่ก็อยู่ไป ดึกมากแล้วอยากพักผ่อน” แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ยืนอยู่ก็ไม่ได้ตอบตกลงแต่อย่างใด ใบหน้าคมเพียงแค่มองอีกฝ่ายด้วยแววตานิ่งๆที่ยังแฝงไว้ด้วยความโหยหาอย่างเก่า
“ทำไม เพราะมีฉันอยู่ด้วยเธอเลยไม่อยากจะอยู่ใช่มั้ย งั้นฉันจะไปเอง เธอพักผ่อนเถอะ” ซีวอนตัดใจจะเป็นฝ่ายไปเอง มันอาจจบแค่นั้นก็ได้หากว่าดงแฮไม่รั้งอีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน
“ไม่จำเป็นหรอก” ซีวอนชะงักไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น มือที่คว้าลูกบิดเอาไว้นั้นคลายลงทันที
“นายไม่จำเป็นต้องออกไปจากห้องนี้หรอก เพราะถึงห้องๆนี้จะมีนายหรือไม่ สำหรับฉันแล้วมันก็เป็นได้แค่ที่ๆน่ารังเกียจที่มีแต่ความทรงจำร้ายๆ”
“.............”
“จะให้ฉันนอนทับรอยของนายกับใคร ฉันทำไม่ได้หรอก”
“ดงแฮ..” ซีวอนหันกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้หรอกนะว่าที่อีกฝ่ายพูดมามันหมายถึงอะไร ซีวอนตรงเข้าไปเขย่าไหล่ของดงแฮอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบ
“เธอหมายความว่ายังไง เธอจำได้เหรอ เธอจำได้แล้วใช่ไหม” ร่างบางตั้งรับไม่ทันที่ถูกใช้กำลังแบบนี้
“ปะ ปล่อย ฉันเจ็บ” เสียงร้องบอกทำให้ซีวอนได้สติ ท่าทางของเขาคงทำให้ดงแฮตกใจไม่น้อย นึกได้จึงรีบปล่อยมือออกเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะช้ำเสียก่อน
“เธอ เธอ..” ซีวอนตื่นเต้นจนพูดไม่ถูก
“ฉันทำไม”
“เธอจำได้แล้วเหรอ เธอจำได้แล้วใช่มั้ย” ซีวอนตื่นเต้นดีใจอยู่คนเดียว ความหวังที่คิดเอาไว้จู่ๆก็พุ่งเข้ามาให้เขามั่นใจ ต่างจากคนตรงหน้าที่ได้แต่ยืนเฉยๆปล่อยให้อีกคนคิดไปเองอยู่คนเดียว
“จำได้ .. เรื่องอะไร” ดงแฮเอ่ยคำพูดที่ทำลายทุกอย่างที่ซีวอนมีไปจนหมดสิ้น หน้าตาท่าทางที่เหมือนไม่รู้เรื่องผิดกับตอนแรกทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ยังไงก็ขอลองเชื่อตัวเองสักครั้งแม้ว่าคำตอบที่ได้จะเหมือนเดิมก็ตามที
“เรื่องอะไร เธอถามฉันว่าเรื่องอะไรงั้นเหรอ” จู่ๆท่าทีของซีวอนก็เปลี่ยนไปทันที เพราะความรักที่มีเต็มอกมันสามารถเปลี่ยนความอ่อนโยนให้กลายเป็นความแข็งกร้าวได้เพียงพริบตา ดงแฮรู้สึกได้ว่าซีวอนกำลังคิดว่าตัวเองถูกหลอกแล้วก็ไม่เชื่อที่เขาพูด ร่างบางขยับถอยห่างออกมามากขึ้นเพราะรู้ว่าอาจจะไม่ปลอดภัย
“ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด นายพูดเรื่องอะไร” ดงแฮไม่อยากจะกลับไปพูดเรื่องเก่า ในใจมันเหนื่อยจนอยากจะพักและไม่อยากจะคิด
“แล้วที่พูดมาเมื่อกี้ล่ะ” ซีวอนพูดด้วยน้ำเสียงที่แคลงใจพลางขยับเข้าไปใกล้คนตรงหน้าที่ถอยออกมาจนแทบจะต้องนั่งลงบนเตียงได้แล้ว ดงแฮทำใจดีสู้เสือด้วยการเชิดหน้าเข้าหาซีวอนอย่างไม่กลัวเกรงอย่างที่ในใจกำลังเป็นอยู่
“ฉันรู้เรื่องอะไร ในเมื่อฉันความจำเสื่อมอยู่แบบนี้ ที่พูดไปก็แค่ไม่ต้องการนอนทับรอยของใครก็เท่านั้น” แต่ยิ่งพูดมากเท่าไหร่คนฟังก็ยิ่งสับสนมากขึ้น เขาไม่รู้ว่าควรจะเข้าใจอย่างไรดี ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อแบบไหนดีกับคนที่จำไม่ได้แต่ชอบพูดอะไรที่ประชดประชันกันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างในใจ เตียงขนาดใหญ่ยุบลงเมื่อร่างบางทิ้งตัวเองลงไปอย่างไม่มีทางเลือก
“เธอรู้อะไร บอกมา” ซีวอนขยับเข้ามาถามด้วยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมบอก
“นี่นายขู่ฉันเหรอ ฉันความจำเสื่อมนะไม่ใช่อาชญากรที่นายจะมาบังคับให้เปิดปากบอกอะไร”
“หึ จำไม่ได้แต่เธอก็พูดเก่งเหลือเกินนะ”
“แน่นอน แล้วถ้าจำได้เมื่อไหร่ฉันก็คงจะพูดมากกว่านี้แน่” ดงแฮตะโกนออกไปด้วยความรู้สึกโกรธที่ถูกกล่าวหาแบบนั้น ไหล่บางเริ่มจะสั่นไปตามแรงอารมณ์อย่างควบคุมไม่อยู่ ความรู้สึกกดดันและสมองที่เริ่มจะมีอะไรปะติดปะต่อเข้ามาทำให้ใบหน้าของเขาดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“กลัวฉันขนาดนั้นเลยเหรอ” ซีวอนเอาแต่พูดอย่างไม่ยอมแพ้โดยไม่ได้
“ฉันไม่ได้กลัว” ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันพยายามจะไม่แสดงออกให้คนตรงหน้าได้เห็น ซีวอนยืนห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง
“ไม่ได้กลัว แล้วทำไมต้องหนีไปขนาดนั้น” ใบหน้าที่พร้อมจะตรงเข้าหาดงแฮยกยิ้มขึ้นอย่างน่ากลัวผิดไปจากตอนที่เคยอ่อนโยน
“
.........”
“แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ยังไงเธอก็หนีฉันไปไม่พ้นหรอก”
ได้ยินอย่างนั้น
“นายจะทำอะไรน่ะ”
“ทำอะไรทำไมเธอต้องสน”
“ใช่ ฉันไม่มีวันสนนายหรอก” จู่ๆขณะที่กำลังเถียงกันดงแฮก็นึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาอย่างฉับพลัน เรื่องทั้งหมดในห้องนี้ บนเตียงนี้ ซีวอนกับ ..
ไม่ ! ดงแฮสลัดหัวเอาทุกอย่างออกอย่างไม่อยากจะเห็นเพราะมันกำลังเจ็บปวด
“ฉันเกลียดนาย ปล่อยฉันออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ เตียงนี้มันไม่ใช่ที่ของฉัน ฉันเกลียด”
“เกลียดฉันแต่เธอชอบไอ้หมอนั่นใช่มั้ย” ซีวอนตะโกนถามอย่างไม่มีเหตุผลขณะที่มือก็ออกแรงบีบข้อมือดงแฮมากกว่าเดิม ใบหน้าของคนด้านบนยามนี้มีแต่จะเอ่ยอะไรที่ทำร้ายกันอย่างถึงที่สุด
“..........”
“มันมีอะไรดี อ้อ .. มันคงจะดีกว่าฉันไปเสียหมดสินะ”
“ใช่ คยูฮยอนเค้าเป็นคนดี นายรู้แล้วก็ปล่อยฉันไปเสียที” ดงแฮตะโกนกลับไปบ้างเผื่อว่าคนที่กำลังเลือดขึ้นหน้าจะกลับมามีสติได้อีกครั้ง แต่เขาก็คิดผิดอย่างเคยเมื่อซีวอนในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับปีศาจที่คอยจะทำร้ายโดยที่ไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไป ไม่รู้เลยว่าทำให้อีกฝ่ายเจ็บแค่ไหน มือหนาดึงข้อมือที่กำเอาไว้ขึ้นให้เจ้าของร่างลุกขึ้นมาตาม
“ไม่ชอบเตียงงั้นที่พื้นเธอคงน่าจะพอใจกว่านะ”
“อ๊ะ .. อย่านะซีวอน” ดงแฮร้องห้ามอย่างตกใจแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อเขาถูกกดให้นอนลงกับพื้นที่ปูด้วยพรมผืนบาง ความเย็นแผ่ซ่านเข้ามาที่หลังทำให้ดงแฮต้องหลับตาลงอย่างทรมาน สองมือที่ยกขึ้นจะต่อต้านถูกซีวอนกดลงไปอย่างเดิมจนช้ำมากกว่าเก่า ร่างสูงไม่รอช้าที่จะปลุกปล้ำคนรักของตัวเองด้วยอารมณ์รุนแรงในจิตใจที่กำลังครุกรุ่นเหมือนกับไฟ
“ฮึก ..” แม้จะดิ้นอย่างไม่คิดชีวิตเพราะความกลัวแต่ก็ไม่คิดร้องขออีกแล้ว ซีวอนกำลังบ้าคลั่งจนแม้กระทั่งน้ำตาของคนที่เขารักมันก็ไม่ได้ทำให้เขาหยุดการกระทำลง ใบหน้าคมกดจูบลงไปที่ริมฝีปากของคนไม่มีทางสู้ ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าใช้กำลังอย่างไร้ความปราณีต่างจากทุกครั้งที่เคย การกระทำที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงนั้นไม่ต่างอะไรกับการขืนใจดีๆนี่เองในเมื่ออีกฝ่ายไม่เต็มใจแม้แต่นิด คนที่กำลังได้ใจนั้นไม่เหลืออะไรหลงเหลืออยู่ในความคิดเลยนอกจากความเจ็บช้ำที่ตอนนี้มันมากจนปะทุออกมาเป็นความรุนแรง แต่อีกคนที่ต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากำลังทรมานยิ่งกว่า
หลายวินาทีผ่านไปโดยที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จู่ๆซีวอนก็รู้สึกว่าคนในอ้อมกอดนิ่งไปจนน่าแปลกใจ เขาดันตัวเองขึ้นมองดงแฮที่ตอนนี้ได้หมดสติไปแล้ว แต่คนที่ได้สติกลับเป็นตัวเองที่กำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“ดงแฮ ดงแฮ” ซีวอนเขย่าร่างที่นอนหมดสติพร้อมกับเรียกชื่ออยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล คราบน้ำตาบนใบหน้าของคนรักรวมทั้งรอยช้ำที่เกิดจากตัวเอง เห็นแล้วก็นึกอยากจะฆ่าตัวเองให้ตายเสียจริงๆ นี่เขาทำอะไรลงไป เขาทำให้ดงแฮต้องเสียใจและตกใจกลัวขนาดที่ต้องหมดสติไปอย่างนี้เชียวหรือ ไม่น่าให้อภัยอีกแล้ว
“โธ่เว้ย ..” ซีวอนช้อนเอาร่างของดงแฮขึ้นมากจากพื้นแล้ววางลงไปบนเตียง มือหน้าเอื้อมไปสัมผัสเบาๆที่พวงแก้มของคนหลับตาอยู่อย่างห่วงใย ซีวอนยกมือบางที่มีรอยแดงช้ำขึ้นแนบไว้ที่ใบหน้าของตัวเอง ก็ในเมื่ออีกฝ่ายจำไม่ได้แล้วเขาจะต้องบังคับขืนใจไปทำไม
“นั่นสินะ ก็ถ้าจำได้เธอก็คงจากฉันไปแล้ว” ซีวอนชักไม่แน่ใจแล้วว่าอยากจะให้ดงแฮจำได้แล้วทิ้งกันไปหรือว่าให้เป็นอย่างนี้ต่อไปขอเพียงแค่อีกฝ่ายไม่จากไปไหน .. แววตาเศร้าสร้อยของคนที่กำลังรู้สึกผิดค่อยๆหลับลงก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา
ความผูกพันระหว่างคนสองคนมันไม่ยากนักหรอกที่จะตัด ..หากว่าพวกเขาต้องการ แต่หากรักกันมากขนาดนี้ แล้วจะตัดให้ขาดไปเพื่ออะไร
ประตูห้องบนคอนโดสุดหรูถูกเปิดออกด้วยร่างของคนที่ราวกับกำลังไร้ชีวิต ร่างสูงเดินตรงไปที่โซฟาตัวใหญ่ก่อนจะเหวี่ยงเอากระเป๋าและกุญแจรถออกไปคนละทาง ตามด้วยเสื้อนอกและเนคไทที่เขาดึงมันออกมาอย่างไม่ไยดี คิบอมทิ้งตัวลงนั่งอยู่ในความมืดที่มีเพียงแสงไฟในเมืองหลวงส่องเข้ามาเพียงนิดเท่านั้น เรื่องราวๆเก่าๆที่ผ่านมาไม่นานที่ไซปันกำลังถูกเขานึกถึง อยากย้อนเวลากลับไป อยากหยุดเวลาไว้แค่ที่ตรงนั้น อยากให้ทุกอย่างเป็นเหมือนตอนนั้น หรือไม่ก็ย้อนไปตั้งแต่แรกจะได้ไม่ไปรักเสียเลยก็ดี .. แต่เขาจะทำได้งั้นเหรอ สวรรค์แกล้งกันหรืออย่างไรที่ทำไมเป็นคนอื่นไม่ได้ ทำไมต้องเป็นคนนี้
คิบอมไม่อยากจะนึกถึงพรุ่งนี้เลยจริงๆ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ที่เขากับอีกฝ่ายมีนัดออกไปพบลูกค้าคนสำคัญตามตารางที่นัดหมายไว้ เขาไม่รู้หรอกว่าเจอหน้ากันแล้วจะต้องทำตัวอย่างไร
“ผมมันก็ดีแต่เข้าใจคนอื่น แต่เรื่องของพี่ทำไมผมถึงไม่เคยเข้าใจ ทำไมผมมันแย่ได้ขนาดนี้” เสียงแผ่วเบาเอ่ยตอกย้ำตัวเองอยู่คนเดียว มืออีกข้างควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าออกมาเปิดดูภาพที่เคยถ่ายคู่กัน แสงไฟจากหน้าจอสะท้อนลงบนใบหน้าที่ไร้รอยยิ้ม
“ .. ผมชอบพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ นานมาก มากจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอะไรระหว่างเราที่ทำให้ผมตกหลุมรักพี่ เพราะพี่ไม่เคยมองผมเลยแม้แต่นิด” นิ้วยาวกดปุ่มเลื่อนลงมายังเบอร์ของคนที่กำลังนึกถึง .. เขาอยากโทรหา แต่ก็ไม่กล้า
“ทำอะไรอยู่เหรอคะคุณหนู” เสียงของป้ายุนฮีร้องถามขึ้นขณะที่เปิดกระตูห้องเข้ามาพร้อมกับนมอุ่นๆหนึ่งแก้ว ฮันคยองที่นั่งอยู่บนเตียงหันยิ้มให้แทนคำตอบ
“นั่งมองโทรศัพท์แบบนี้คิดถึงใครอยู่รึเปล่าคะ” คนที่วางแก้วนมลงบนโต๊ะยังมิวายหันมาถามแกมแซวคุณหนูคนโตของเธอที่ไม่ได้สนุกด้วยเลยสักนิด
“งานน่ะครับ พรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้าเลย” ฮันคยองพูดกลบเกลื่อนไปแต่ป้า
“ดื่มนมแล้วรีบนอนนะคะ เหนื่อยมาทั้งวันพรุ่งนี้จะได้สดชื่น”
“ครับ” หลังจากที่อีกฝ่ายออกไปแล้วเขาก็ต้องถอนหายใจกับตัวเอง
หลังงานเลี้ยงเลิกได้ไม่นานสุดท้ายคยูฮยอนก็บังคับพาซองมินขึ้นรถเพื่อจะไปส่งที่บ้านจนได้ เนื่องมาจากว่ารถของซองมินที่กำลังซ่อมอยู่นั้นมันยังไม่เสร็จง่ายอย่างที่คิดไว้
“ไม่ต้องเงียบเพราะเกรงใจฉันขนาดนั้นก็ได้นะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นกับคนข้างกายที่นั่งเงียบมาตลอดทาง จะพูดบ้างก็แค่บอกให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปตามทางที่บอกเท่านั้น
“ขับรถไปเหอะ ดึกแล้วฉันง่วง”
“ง่วงก็นอนไปสิ ฉันไม่เอานายไปขายหรอกน่า” คยูฮยอนพูดประชดอย่างอารมณ์ดีไร้ความเดือดร้อนใดๆทั้งสิ้น ซองมินหมั่นไส้กับท่าทางแบบนั้นจนต้องหันหน้าหนีอย่างเดิม เขาอยากจะถามเหลือเกินว่าเรื่องนั้นมันหมายความว่าอย่างไร แต่จะให้พูดไปมันก็คงไม่เข้าท่าเท่าไหร่เพราะเขารู้ดีว่ามันคงเป็นเรื่องแกล้งกันที่อีกฝ่ายสนุกอยู่คนเดียว ซองมินไม่พูดอะไรนอกจากนั่งบอกทางไปเรื่อยๆอย่างเดิม
“นี่นาย รีบๆหน่อยไม่ได้รึไง” ร่างเล็กชักมีโมโหที่อีกฝ่ายดูจะใจเย็นเสียเหลือเกิน
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ชินทาง ไม่ค่อยได้อยู่เกาหลีเท่าไหร่” คยูฮยอนแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อให้ซองมินเชื่อเสียสนิทใจ และสุดท้ายคนที่แพ้ก็คือคนที่นั่งหน้าบูดต่อไปเหมือนเคย ตลอดทางที่มาทำให้คยูฮยอนรู้สึกติดใจกับเส้นทางนิดหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรในเวลาค่ำมืดอย่างนี้ .. อีกอย่างคงเพราะว่าแอบหันมามองคนข้างๆเลยลืมคิดอะไรไป รถยนต์จอดลงที่หน้ารั้วของบ้านหลังขนาดกลางตามที่คนนั่งมาด้วยบอก ซองมินปลดเข็มขัดออกก่อนจะหันมาขอบคุณคนมาส่งแต่แล้วก็ต้องเจอกับท่าทางแปลกๆของอีกฝ่ายเสียก่อน
“นายเป็นอะไร” เขาถาม
“จริงๆด้วย”
“อะไรของนาย” ใบหน้าของคนที่เบื่อเต็มทีขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ คราวนี้จะมาเล่นตลกอะไรอีกล่ะ
“ก็นี่มันบ้านฉัน”
“ฮะ เป็นบ้าอะไรอีกเนี่ย นี่บ้านฉันต่างหากเล่า”
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงหลังนั้นต่างหากล่ะ” คยูฮยอนชี้ไปที่บ้านหลังใหญ่ของอีกฝั่งถนนซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านของซองมิน คนที่มองตามไปเห็นแล้วก็อยากจะร้องออกมาว่ามันคงไม่จริง
“บ้านหลังนี้เป็นบ้านนายงั้นเหรอ” ซองมินถามซ้ำเผื่อว่าคยูฮยอนจะจำผิด แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ากลับมา ทั้งสองแปลกใจไม่แพ้กัน อยู่ตรงข้ามกันแบบนี้แต่ไม่เคยเจอกันสักครั้งได้ยังไง
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไปเรียนอยู่อังกฤษไม่ค่อยได้กลับมาหรอก” คยูฮยอนอธิบายซ้ำซึ่งก็เป็นความจริง แต่ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดแล้วทำไม
“แสดงว่า..” ทั้งสองร้องขึ้นพร้อมกันเมื่อนึกออก
“นายคือเด็กตัวกลมๆที่ชอบถืออมยิ้มเดินไปมาในซอยเห็นแล้วน่ารำคาญตา”
“ส่วนนายก็เด็กคนนั้น ไอ้คุณหนูจอมหยิ่งที่มีคนขับไปรับไปส่งที่โรงเรียนตลอด” พูดจบก็มองหน้ากันนิ่งก่อนจะรีบหันกลับมาตามเดิม มันบังเอิญมากไปแล้ว ไม่นานคยูฮยอนก็เป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยทำลายความเงียบก่อน
“โตมาก็ไม่ค่อยได้อยู่หรอก นานๆทีจะกลับ”
“ฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรตั้งแต่พ่อเสียเมื่อตอนเรียนจบแล้ว” ใบหน้าน่ารักที่บูดบึ้งใส่คยูฮยอนมาตลอดเพิ่งจะแสดงความเศร้าออกมาก็วันนี้เอง ร่างสูงไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรเลยได้แต่เงียบก่อนจะขอโทษที่ทำให้รู้สึกไม่ดี
“จะขอโทษทำไมเล่า นายไม่ได้ถามซักหน่อย”
“อืม แล้วตอนนี้อยู่กับใครน่ะ”
“อยู่กับแม่ ฉันเป็นลูกคนเดียวน่ะ” ซองมินบอกทั้งที่ยังรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อนึกถึงพ่อตัวเอง
“เหมือนกัน” คยูฮยอนบอกแค่นั้นก็เงียบไปอีกครั้ง เขากำลังนึกสงสารคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก .. แต่ไม่ทันไรซองมินก็หันกลับมาตีหน้ายักษ์ใส่เขาอีกครั้ง
“ว่าแต่ ที่บอกว่าไม่ชินทางน่ะ โกหกใช่มั้ยฮะ” คำถามที่ได้รับชัดเจนมากจนคยูฮยอนต้องสะดุ้ง คนเจ้าเล่ห์งานนี้พลาดเองเสียแล้ว เขาไม่รู้จะปฎิเสธอย่างไร ก็ใครมันจะไปรู้ว่าบ้านจะอยู่ตรงข้ามกันแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับขับกลับบ้านตัวเองชัดๆ เขากำลังคิดว่าตัวเองโง่มาก
“หนอย ไอ้คนเจ้าเล่ห์ อย่าหวังว่าจะได้หลอกกันอีกเลย”
“ไม่ใช่นะคือ...”
“คืออะไร คือว่านายสนุกมากงั้นสิ ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่ใช่ของเล่นของนาย”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” คยูฮยอนจะกล้าบอกไปได้ไงล่ะว่าแค่อยากจะนั่งรถไปด้วยกันนานๆก็เท่านั้นเอง
“แล้วเรื่องที่งานเลี้ยงฉันก็ไม่ได้สนุกด้วยหรอกนะ” หลังจากตะโกนใส่หน้าคยูฮยอนแล้วซองมินก็รีบลงจากรถแล้ววิ่งเข้าบ้านไป ทิ้งให้คนมาส่งได้แต่มองตามทั้งที่อยากจะอธิบาย
.. แต่จะว่าไป แล้วจะให้เขาเอาอะไรมาอธิบายล่ะ ในเมื่อมันอธิบายไม่ได้ ..
“เฮ้อ .. เรื่องนั้นใครว่าฉันสนุกกันล่ะ”
.
.
Tbc. Chaper 16
ความคิดเห็น