คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : WHEN ? .. Chapter.[14]
มาลงช้าอีกแล้วค่ะ หัวปั่นกับงานมากมาย (ไม่เกี่ยวกับบัตรคอนแต่อย่างใด)
ทั้งที่ก็รวมเล่มไปแล้วแต่มาอัพช้านี่มันไม่น่าเป็นการแก้ตัวได้เลยเนอะ^^
(เหมือนจะมีคนรออ่าน รึป่าว??? อิอิ)
ภาพของพาร์ทนี้ เป็นอันใหม่ที่ไม่ได้ทำไว้ในเรื่องนี้ ปกติรูปกับตอนก็ไม่ได้เข้ากันอยู่แล้ว
แต่แอบอยากให้เป็นหน้าเฮ .. รีบๆสิบนาที เลยออกมาทะมึนมากค่ะ -*-
*พาร์ทนี้ ลองอ่านดูอีกที แหม .. สุดๆอ่ะ
----------------------------------------------------
Chapter 14
รถยนต์สามคันขับไล่กันมาไม่ห่างกันมากเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะคันที่สองที่ตั้งใจจะขับให้ทันคันแรกเสียเหลือเกิน โดยที่คนขับของคันแรกนั้นก็จงใจจะขับให้ทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆจนคนที่นั่งอยู่เบาะหลังเริ่มสังเกตได้
“ไม่ต้องรีบก็ได้นะ” ซองมินเอ่ยเสียงเรียบโดยที่รู้ตัวดีว่าอีกฝ่ายนั้นคงไม่ได้อยากจะพาเขาไปให้ทันงานอย่างที่ควรจะเป็นหรอก
“นั้นสิคยูฮยอน รีบเหรอ” ดงแฮเอ่ยสมทบอย่างเห็นด้วยกับซองมิน ทำให้ซองมินนั้นรู้สึกได้ว่าคนๆนี้นั้นช่างซื่อเหลือเกิน น่าจะรู้ว่าอีกคนไม่ได้มีเจตนาดีอะไรเลยด้วยซ้ำไป .. คยูฮยอนลอบยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันมาทำหน้าตาจริงจังแล้วบอกว่าตัวเองกลัวจะไม่ทันงานเลี้ยงเพราะนี่เป็นครั้งแรกของเด็กใหม่อย่างเขา ไปช้ามันจะน่าเกลียดเอาได้ ดงแฮได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกชื่นชมอยู่ในใจกับความคิดของคยูฮยอน ขณะที่อีกคนที่เบาะหลังนั้นกำลังกอดอกมองคนพูดจากทางด้านหลังด้วยแววตาที่บ่งบอกว่ามันช่างเป็นเรื่องที่เสแสร้งสิ้นดี .. อีกอย่างที่ซองมินคิดคือ
ทางด้านของคนที่กำลังร้อนรนนั้นก็อยู่ในสายตาของผู้ที่มาด้วยเช่นกัน ฮันคยองที่นั่งข้างซีวอนแอบคิดว่าถ้าตัวเองเป็นดงแฮจะทำอย่างไรต่อไป จะดีใจที่
เขาทั้งสองทำผิดต่อดงแฮและก็ทำผิดต่อกันและกัน เพราะอย่างนั้นแล้วจึงไม่อยากที่จะให้เรื่องทุกอย่างมันแย่ไปอีกเพราะความรู้สึกที่ไม่ยอมจัดการให้แน่นอนไปเสียที
ซีวอนไม่พูดอะไรนอกจากขับรถไปถอนหายใจไป ถนนในเมืองกรุงที่ยานพาหนะคับคั่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันช่างเป็นอุปสรรคกับการที่เขาจะไปงานเลี้ยงให้ทันดงแฮเหลือเกิน ฮันคยองสงสารซีวอนอย่างมากเลยพยายามที่จะปลอบใจ
“อย่าคิดมากไปเลย ไม่นานดงแฮก็กลับมาจำได้”
“เรื่องนั้นฉันรู้ แต่จำได้แล้วยังไง มันจะดีกว่าเก่ารึเปล่า”
“อย่างน้อย ดงแฮก็รักนายนะซีวอน”
“เรื่องนั้น ฉันเคยคิดนะฮัน..” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างคนที่กำลังจะหมดแรงไปพร้อมกับทุกอย่างบนโลกนี้ ซีวอนพูดประหนึ่งว่าตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ไม่มีแล้วดงแฮคนเดิมที่คอยบอกว่ารักอยู่ทุกวัน .. เพราะคนที่ทำให้มันหายไปก็คือตัวเอง
ฮันคยองนั่งมองทางไปเรื่อยๆขณะที่ซีวอนก็บังคับพวงมาลัยรถไป
“ฉันเคยคิดว่าถ้าเราไม่เริ่ม ทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“ซีวอน”
“นายไม่ผิดหรอกนะ อย่าโทษตัวเองเลย”
“เราต่างก็ผิดแล้วจะให้ฉันโทษนายคนเดียวได้ยังไง”
“.. เราถึงได้โทษตัวเองซ้ำๆซากๆกันอยู่นี่ใช่ไหม”
คิบอมบังคับพวงมาลัยไปตามเส้นทางอย่างไม่รีบร้อน เขารู้ดีว่าดงแฮออกไปก่อนแล้ว แล้วซีวอนกับฮันคยองก็ตามไปอีกที มีเพียงตัวเองที่อยู่ข้างหลังเท่านั้นที่ความช้ามันลดลงลงไปเรื่อยๆจนถูกทิ้งห่างออกไป รู้สึกน้อยใจอย่างเดียวไม่พอยังรู้สึกถึงความว่างเปล่าราวกับไม่เหลืออะไรเลยด้วยซ้ำ
งานเลี้ยงระดับผู้บริหารได้ถูกจัดขึ้นที่ห้องประชุมขนาดใหญ่ของบริษัท แขกเหรื่อส่วนมากก็เป็นคนในเองและลูกค้าที่ได้รับเชิญมา
ซีวอนขึ้นกล่าวเป็นเกียรติในงานต่อจากผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งก่อนที่ทายาทของกิจการอย่างฮันคยองและดงแฮจะขึ้นเอ่ยตามที่ควรจะเป็น คนเป็นพี่รู้ดีว่าน้องวางตัวไม่ค่อยถูกแต่มีเขาอยู่ข้างๆเลยไม่ห่วงว่าดงแฮจะต้องลำบากใจอะไร และแม้
ว่าดงแฮจะรู้สึกประหม่าไปบ้างจากที่จำอะไรไม่ค่อยจะได้แต่ก็ไม่มีอะไรผิดพลาดนักเมื่อเขาก็กล่าวออกไปอย่างดีไม่มีที่ติ .. ฮันคยองยิ้มกว้างที่เห็นรอยยิ้มของน้องชายที่ยืนอยู่ข้างกายเขาไม่ต่างจากคนที่มองอยู่อย่างซีวอนและคิบอมที่กำลังยิ้มดีใจที่ดงแฮดูจะมีความสุข
“คุณดงแฮนี่นอกจากน่ารักแล้วยังพูดได้ดีอีกด้วยนะว่ามั้ย” เสียงทุ้มของร่างสูงที่ยืนไม่ห่างจากหน้าเวทีเอ่ยขึ้นขณะที่มือก็ถือแก้วเครื่องดื่มไว้ก่อนจะยกขึ้นจิบ และไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องธรรมดาแต่ทุกอย่างที่ผู้ชายคนนี้ทำอยู่มันช่างไม่น่ามองเลยในสายตาของคนอย่างซองมิน
ร่างเล็กที่บังเอิญว่ายืนอยู่ข้างๆนั้นไม่ตอบอะไรทั้งที่อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่รู้ตัวหรืออย่างไรที่ทำให้คนอื่นเค้ามีปัญหาเพิ่มขึ้นอีกก็เพราะตัวเอง และไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อไปก็ถึงคิวของหนุ่มนักบริหารคนใหม่ที่งานนี้นั้นถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับไปในตัวเลยก็ว่าได้
“เอาล่ะ ขอฉันเอ่ยบ้างละกันนะ” คยูฮยอนหันหน้ามายักคิ้วใส่ซองมินก่อนจะคว้ามือเล็กอันนุ่มนิ่มให้รับแก้วของเขาไปถือไว้อย่างไม่ถามก่อนเลย แล้วจึงเดินตรงไปยังเวทีตรงหน้างาน
“ไม่มีมารยาท” ซองมินบ่นอุบอยู่กับตัวเองเบาๆอย่างไม่พอใจ
ทุกคนจ้องมองไปที่บนเวทีอย่างสนใจคนที่กำลังจะมากล่าว และทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติ คยูฮยอนพูดฝากเนื้อฝากตัวและกล่าวยินดีที่ได้เข้ามาทำงานที่นี่ร่วมกับทุกๆคน ท่าทางการพูดที่เหมือนคนรุ่นใหม่และอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นทำให้ทุกคนต้องปรบมือให้หลังจากกล่าวจบ แต่ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อจู่ๆชายหนุ่มก็เอ่ยถึงคนที่เพิ่งขึ้นมาพูดก่อนเขาไปเมื่อครู่
“... และต้องขอบคุณคุณดงแฮด้วยนะครับที่ทำให้ผมรู้จักที่นี่มากขึ้นเหมือนที่ผมรู้จักเค้ามากขึ้น เราสนิทกันมากครับ” สายตาทุกคู่มองมายังคนถูกพูดถึงที่ทำหน้าไม่ถูกเลยได้แต่ยิ้มอย่างเดียว .. ไม่นานเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างชื่นชมในมิตรภาพของเขาทั้งสอง
จะมีก็เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้สึกแย่เพราะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คิบอมที่ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ค่อยเข้าใจกับสายตาของซีวอนนัก และถึงเขาจะไม่รู้แต่ก็พอเดาได้เมื่อมองไปที่ดงแฮเพื่อนตัวเอง ก็คนๆนี้เนื้อหอมจะตายไปเขารู้แก่ใจดีและถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็ไม่แปลกที่ซีวอนจะมีท่าทีไม่ชอบใจ
ผ่านไปแล้วกับการกล่าวเป็นเกียรติแก่งานในค่ำคืนนี้ พิธีกรชายหญิงกล่าวเชิญให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านดื่มให้แก่บริษัทด้วยกันในคืนนี้และจากนั้นก็มีการแสดงโชว์สินค้าตัวใหม่บนเวทีไปเรื่อยๆขณะที่ทุกคนต่างก็ชมไปทานอาการกันไปตามสไตล์งานเลี้ยงที่เปิดโอกาสให้ได้พบปะกันอีกด้วย
ฮันคยองเห็นคยูฮยอนเดินตรงมาทางพวกเขาโดยที่ซีวอนก็กำลังตรงมาอีกทางเช่นกัน มือบางกระตุกแขนน้องชายเบาๆเป็นการเตือนกับสถานการณ์ตรงหน้า เสียงกระซิบดังขึ้นข้างหูดงแฮที่ยืนไม่รู้เรื่องก่อนที่คยูฮยอนจะมาถึงตัวเขาพอดี
“พี่ไม่อยากให้ซีวอนคิดมากนะดงแฮ” ฮันคยองทำทียืนเฉยๆหลังจากบอกไปด้วยความเป็นห่วง โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนฟังจะคิดไปไกลกว่าที่เขาคาด ความแค้นในใจกับคนทั้งสองมันทำให้ดงแฮคอยจะต่อต้านทุกอย่างที่พวกเขาหยิบยื่นให้ และตอนนี้ไม่ว่าอะไรมันก็กลายเป็นว่ายิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุไปเสียแล้ว .. ทันทีที่คยูฮยอนเดินตรงเข้ามาประชิดตัวดงแฮก็ยิ้มหวานให้ทันทีเหมือนกับว่าไม่ได้ยินที่ฮันคยอง
“ดงแฮ..” เสียงของคนเป็นพี่นั้นได้แค่เรียกชื่อน้องชายออกมาเบาๆพร้อมกับดวงตาที่เบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เขาพูดไป
“พูดได้ดีมากเลยนะคยูฮยอน ฉันชอบมากเลยล่ะ” ใบหน้าน่ารักแสดงออกอย่างจงใจว่าเขาชื่นชมจริงๆอย่างที่ความจริงก็เป็นเช่นนั้น
“ขอบคุณครับ ดงแฮก็เหมือนกันนะ สมกับเป็นน้องชายของคุณฮันคยองเลย”คยูฮยอนชมอีกฝ่ายกลับไปบ้าง ทั้งสองเอ่ยปากพูดคุยกันไปไม่ทันจะจบดีจู่ๆอีกคนก็โผล่เข้ามา
“ชมน้องไม่เท่าไหร่จะชมพี่ด้วยให้ครบทั้งคู่เลยรึไง” ซีวอนเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าฮันคยองที่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยืนข้างๆ เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาตำหนิอย่างเสียไม่ได้ที่ไม่ห้ามอะไรน้องตัวเองเลย แต่กระนั้นเขาเองก็รู้ดีว่าฮันคยองไม่ได้ผิดอะไร .. ดงแฮเริ่มจะแสดงอาการเฉยเมยออกมาอีกครั้งโดยที่ในใจมันเริ่มจะว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อบรรยากาศน่าอึดอัดเวลาที่มีซีวอนอยู่กำลังเกิดขึ้นอีก ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าซีวอนดูเหมือนจะชอบมีปัญหากับเพื่อนใหม่ของเขา หรือบางทีในหัวใจของดงแฮต่างหากล่ะที่มันกำลังแอบหวั่นไหวโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เอาเสียเลย
คยูฮยอนเห็นว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่พูดแทรกพวกเขาขึ้นมา ที่แท้ก็แค่หมาหวงก้างดีๆนี่เอง ชายหนุ่มรุ่นน้องก็เลยเริ่มถือโอกาสตวัดอ้อมแขนตัวเองให้รั้งเอาคนข้างกายเข้ามาใกล้ แต่มันกลับช้าไปแค่วินาทีเดียวเมื่อกลายเป็นว่าร่างสูงของซีวอนนั้นดันตัวเองเข้ามาระหว่างเขาทั้งสองโดยดึงดงแฮมาข้างตัวอย่างรวดเร็ว
“ซีวอน .. นี่ปล่อย”
“อะไรกัน อะไรกัน แค่นี้เขินมากรึไง”
“ฉันไม่ได้เขิน” ดงแฮถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างนึกหมั่นไส้ แต่ซีวอนกลับยิ้มพอใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ
“งั้นถ้าไม่ได้เขินคนอื่นเค้า ก็ถือว่ากลัวเค้าอิจฉาแล้วกันนะที่รัก” สายตาคม
ที่พูดไปยิ้มไปพลางหันมามองอีกคนไปด้วยอย่างเหนือกว่า ขณะที่ฮันคยองเองกลับรู้สึกพอใจอยู่ลึกๆที่ซีวอนแสดงออกตรงไปตรงมาว่าไม่ต้องการให้คยูฮยอนมายุ่งกับคนของตัวเอง
ภาพคู่รักตรงหน้าทำให้อีกคนที่เหมือนถูกตัดหน้านั้นได้แต่เก็บอาการไม่พอใจไว้เงียบๆ ฮันคยองขยับเข้าไปใกล้คยูฮยอนมากขึ้นก่อนจะกระซิบเข้าที่หูของชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่า
“คู่นี้เค้าก็ชอบพ่อแง่ แม่ งอนกันแบบนี้ล่ะครับ” ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มให้หลัง
ร่างโปร่งบางปลีกตัวออกมาจากทั้งสามคนด้วยความเหนื่อยใจ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมดงแฮถึงดื้อแบบนี้ จริงอยู่ที่ความจำเสื่อมแต่ว่า ...
แล้วคำพูดที่ซีวอนเคยบอกกับตัวเองเอาไว้ก็ผุดขึ้นมาในหัว
“ประชดประชัน”
นั่นสิ .. ทำไมดงแฮถึงได้เปลี่ยนไปล่ะ
ใบหน้าได้รูปของชายหนุ่มเริ่มครุ่นคิดจนไม่ได้สังเกตว่ามีใครหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
“คิบอม” ความคิดทั้งหลายเรื่องน้องชายนั้นแตกกระเจิงออกไปหมดทันทีเมื่อพบว่าตรงหน้าเขาคือใคร
“ครับ ผมเอง”
“คือเมื่อกี้พี่ขอโทษนะ พอดีว่าซีวอนกับ...”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ไม่ต้องอธิบายหรอก” ฮันคยองคงดีใจแน่
“นายโกรธพี่”
“ผมมีสิทธิ์โกรธพี่ด้วยเหรอ” พูดอย่างนั้นแต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มผิดกับดวงตาที่แสดงความรู้สึกออกมาเต็มเปี่ยม ฮันคยองสูดหายใจเข้าลึกๆเพราะว่าเขาผิดเอง แต่เรื่องทั้งหมดที่มีที่คอยทับอยู่เหมือนดั่งก้อนหินที่แสนหนักอึ้งมันทำให้จิตใจของเขาแทบจะหมดแรงแล้ว
“นายไม่เข้าใจน่ะคิบอม” ฮันคยองขึ้นเสียงก่อนที่ปลายประโยคจะตัดให้เบาลงจนแทบไม่ได้ยินเมื่อมีบุคคลอื่นตรงมาที่พวกเขา หนึ่งในผู้บริหารและครอบครัวกำลังตรงเข้ามาทักทำให้เขาตระหนักได้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ในงาน
.. กำลังทำงาน ต้องมีแต่เรื่องงาน ไม่ใช่เรื่องอื่น
คิบอมเองก็เปลี่ยนท่าทีเช่นกัน ร่างสูงโค้งให้ผู้ใหญ่ทั้งสองท่านและครอบครัวพร้อมกับฮันคยอง สายตาของชายหนุ่มสบเข้ากับหญิงสาวที่เขาเข้าใจว่าคงเป็นลูกสาวของคนตรงหน้าเขา
“สวัสดีครับคุณปาร์ค งานวันนี้ถ้าไม่ได้ท่านเราคงแย่” ฮันคยองเอ่ยตามมารยาทเนื่องจากว่ามีบางจุดของงานที่ผู้ใหญ่คนนี้ได้ช่วยเหลือเอาไว้จากการประชุมครั้งก่อนทำให้งานใหญ่ในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างราบรื่นไปด้วยดี
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมมันแก่แล้ว ก็แค่คอยแนะนำพวกคุณบางเรื่อง” เสียงทุ้มใหญ่ของชายอายุมากกล่าวอย่างถ่อมตัวและชื่นชมคนทั้งสองรวมทั้งคนอื่นๆด้วย
“พ่อกับแม่คงดีใจถ้ารู้ว่าเรายังมีคุณ”
“นั่นสิครับ” คิบอมเสริมพร้อมกับแย้มยิ้มเป็นปกติ
“นี่ลูกสาวผมเองนะคุณคิบอม มินยองนี่คุณคิบอมไงลูก” ชายมีอายุแนะนำ
“สวัสดีค่ะคุณคิบอม ได้ยินคุณพ่อพูดถึงบ่อยๆ ยินดีที่ได้พบกันนะคะ”
“ครับ ยินดีครับ” ว่าแล้วมือข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปเพื่อจับกับมืออีกข้างของหล่อนที่ยื่นออกมาเกือบจะพร้อมกัน
“พ่อว่าเรียกคุณคิบอมว่าพี่ก็ได้นะลูก รู้จักกันไว้เผื่อว่าพ่อไม่อยู่แล้วจะได้ฝากฝังเรื่องงานให้พี่เขาดูแลไง จริงไหมฮันคยอง” ว่าแล้วก็หันมาถามคนที่ยืนเงียบอยู่บ้าง
“อ่ะ ครับท่าน” ฮันคยองตอบขณะที่คนถามนั้นหัวเราะออกมาดังๆอย่างพอใจด้วยท่าทีที่เหมือนจะอยากให้ลูกสาวตัวเองสนิทสนมกันกับผู้บริหารหนุ่มตรงหน้าเสียเหลือเกิน ฮันคยองเองเลยต้องพลอยเออออไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ ดวงตากลมเหลือบมองคนข้างกายที่กำลังหัวเราะชอบใจไปกับเค้าด้วยเหมือนกัน
คุยกันเรื่องงานบ้างส่วนตัวบ้างไม่นานเท่าไหร่นักผู้ใหญ่ที่ดูท่าจะเป็นใจเหลือเกินกับลูกสาวคนเดียวก็ขอปลีกตัวออกไปพร้อมทั้งดึงฮันคยองไปด้วยราวกับว่าเขานั้นจะคิดเป็นใจอย่างที่เข้าใจกัน และเมื่อดึงชายหนุ่มคนหนึ่งออกมาแล้วเหลือไว้เพียงมินยองและคิบอม ฮันคยองก็ได้แต่มองตามทั้งคู่อยู่ห่างๆ .. บางที
“ครับ ส่วนมากถ้าว่างนอกจากอ่านหนังสือนะพี่ก็มักจะนัดเพื่อนไปตีเทนนิสกัน”
“เทนนิส พี่คิบอมเล่นด้วยเหรอคะ”
“แปลกเหรอ”
“เปล่าค่ะ ฉันว่าพี่น่าจะชอบเล่นดนตรีเสียอีก” เหมือนกับว่าหล่อนพยายามจะบอกว่าเขาไม่น่าจะเล่นกีฬาเสียอย่างนั้น นึกแล้วมันก็ขำไปอีกแบบ คิบอมเงียบไปจนมินยองเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่ามีอะไรหรือเปล่า ชายหนุ่มยกยิ้มให้เมื่อนึกอะไรดีๆออก แต่ว่าเรื่องที่นึกออกนั้นมันไม่เกี่ยวกับหล่อนเลยต่างหากเพราะใจเขามันจดจ่ออยู่ที่ร่างของบางคนที่กำลังยืนมองเขาอย่างเก็บอาการไม่อยู่เสียด้วย ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้าใกล้แก้มเนียนของมินยองจนหล่อนต้องหน้าแดงอย่างเขินอาย
“พี่แค่อยากบอกว่าพี่เล่นดนตรีไม่เป็นหรอก อย่าบอกใครนะ”
ทันทีที่ผละตัวออกมาคิบอมก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแนบที่ริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงว่าให้เก็บเป็นความลับ มินยองยิ้มกว้างออกมาอย่างเขินอายตามประสาหญิงสาว ขณะที่ฮันคยองรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า เขากำลังควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างที่ผ่านๆมา มือบางกำแน่นเพื่อเตือนสติตัวเอง
.. มากไปแล้ว
ครั้งแรกที่รู้สึกว่าคิบอมกำลังทำให้เขาไม่พอใจ และครั้งนี้มันกำลังจะไม่เหมือนทุกครั้ง .. ภาพของคนทั้งสองที่หัวเราะต่อกระซิกกันอย่างสนิทสนมกำลังใกล้เขาเข้ามาทุกทีที่ก้าวตรงไปหา คิบอมได้ใจมากไปจนลืมสังเกตว่าฮันคยองหายไปจากตรงที่ยืนอยู่เสียแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องมองหาให้เสียเวลาเมื่ออีกฝ่ายกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทางที่ไม่พอใจ ไม่ทันที่คิบอมจะได้รู้เรื่องและไม่ทันที่ฮันคยองจะเดินเข้ามาถึง
“อ๊ะ...” จู่ๆร่างของพนักงานบริการเครื่องดื่มคนหนึ่งก็เดินตัดหน้าฮันคยองทำให้น้ำสีแดงเข้มของไวน์ในแก้วที่ถืออยู่หกลงมารดที่เสื้อของเขา ในเวลาแบบนี้มันช่างแย่เสียจริงๆ
“ขอโทษครับ ขอโทษครับ คือผมไม่ได้ตั้งใจ .. เดี๋ยวผมจะเอาผ้ามาเช็ด..”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้อง”
“แต่คุณ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง” ฮันคยองไม่ถือสาอะไรเพราะรู้ว่าไม่ได้ตั้งใจและอีกอย่างคนที่ซุ่มซ่ามก็คงจะเป็นตัวเองด้วยเหมือนกันที่เดินไม่ดู คิบอมมองมาอย่างเป็นห่วงก่อนจะสบตากับฮันคยอง .. สายตาตัดพ้อมองมาเพียงวินาทีเดียวก่อนจะก้มลงดูเสื้อตัวเองต่อไป ร่างโปร่งบางหันหลังเดินออกไปจากที่ตรงนั้นทันทีโดยไม่รอให้ใครได้มายุ่งกับตัวเองเลย
“จะไปไหนคะพี่คิบอม”
“ก็พี่ฮันเค้า..” คิบอมรู้ตัวว่ากำลังเป็นห่วงจนมีท่าทีเปลี่ยนไปเลยรีบปรับอาการให้กลับมาเหมือนเดิม
“เค้า .. ก็พี่เค้าออกไปห้องน้ำแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก พี่ว่าเราคุยต่อเรื่องเดิมเถอะ” คิบอมเปลี่ยนเรื่องทันทีทั้งที่อยากจะเดินตามออกไปขนาดนั้น ส่วนคนที่เดินจากมากำลังตรงไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันพลางนึกน้อยใจไปต่างๆนานา ฮันคยองถูผ้า
เช็ดหน้าตรงบริเวณเสื้อที่เปื้อนเพื่อให้มันแห้งกว่าเดิม
“บ๊าเอ๊ย..” จะดูแลเรื่องของน้องชายแต่ทำไมเรื่องตัวเองกลับยุ่งเหยิงไม่แพ้กัน น่าปวดหัวจริงๆ
“หน้าภรรยาฉันมีอะไรติดอยู่รึไงไม่ทราบ” คำถามนี้เด็กอนุบาลยังบอกได้เลยว่ามันไม่ได้หมายถึงการแสดงออกถึงความเป็นมิตรอย่างแน่นอน หากแต่คนถูกถามนั้นต้องแกล้งโง่ต่อไปพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ก็ไม่นี่ครับ แต่ว่าจะพูดไปแล้ว หน้าคุณดงแฮน่ามองมากเลยล่ะครับ” คนถูกชมควรจะยิ้มรับแต่กลับทำหน้าไม่ถูกไปใหญ่เมื่อทั้งสองฝ่ายกำลังห้ำหั่นกันด้วยคำพูด
“อ๋อเหรอ .. งั้นก็เชิญมองตามสบายนะ ฉันไม่คิดค่ามองหรอก” ดงแฮอึดอัดกับคำพูดแต่ละอย่างของซีวอนมาก แล้วการที่มากอดเอาไว้ไม่ให้ไปไหนแบบนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ
“พูดอะไรน่ะซีวอน คยูฮยอนเค้าพูดดีด้วยทำไมนายต้องนิสัยไม่ดีแบบนี้ด้วยนะ” ดงแฮเริ่มจะฉุนเอามากเมื่อซีวอนไม่ยอมพูดดีๆกับคยูฮยอนเลยแม้แต่นิด
“ฉันพูดอะไรผิดฮะ”
“แต่ฉันไม่ชอบ ฉันไม่ได้โง่นะ”
คยูฮยอนเห็นท่าทั้งสองจะแยกเขี้ยวใส่กันก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี ก็ที่มันงานเลี้ยงใหญ่เสียด้วย เขาก็ไม่อยากให้ตัวเองมีเอี่ยวกับเรื่องแบบนี้หลังจากมาทำงานได้ไม่นานนักหรอก
“ดงแฮครับ อย่าไปว่าคุณซีวอนเค้าเลย” คยูฮยอนเอ่ย
“ไม่เป็นไรหรอกคยูฮยอน เค้าไม่ได้สำนึกแม้แต่นิดหรอก แม้กระทั่ง
กับคนที่รักเค้า .. ” ประโยคหลังสะกิดใจคนได้ยินให้หยุดคิดตาม ดงแฮหยุดพูดทันทีที่นึกได้ว่าไม่ควร มือหนาของซีวอนจับเข้าที่ใหล่ทั้งสองข้างของคนรักแล้วดึงเข้ามาใกล้ตัวโดยที่คยูฮยอนทำได้แค่มอง
“ดงแฮ เธอจำได้แล้วเหรอ” อาการดีใจแบบนั้นทำเอาร่างบางแทบจะยืนไม่อยู่กับแรงของซีวอน
“จำ .. จำอะไรเหรอครับดงแฮ” เสียงคยูฮยอนดังขึ้นตัดบทอย่างไม่ทันคิดเพราะว่าความอยากรู้
“หือ อะไรเหรอ ไม่มีนี่” ดงแฮกลบเกลื่อน
“ก็ผมได้ยิน”
“ซีวอนเค้าชอบว่าฉันขี้ลืมน่ะคยูฮยอน ว่าแต่นายปล่อยฉันได้รึยัง” ว่าแล้วก็หันกลับมาทางซีวอนหลังจากที่ได้เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วจนคนที่กำลังดีใจนั้นตั้งตัวไม่ทัน ซีวอนค่อยๆคลายมือออกเมื่อนึกได้ว่าไม่ควรให้ใครรู้ว่าดงแฮกำลังความ
จำเสื่อม มือบางบีบเบาๆที่แขนของซีวอนเพื่อย้ำเตือนอีกที แต่ใบหน้าคมไม่ได้ตอบรับแต่อย่างใด ซีวอนหน้าเจื่อนลงไปจนคยูฮยอนสงสัยแต่เมื่อได้ทีตัวเองก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท เพราะตอนนี้ก็ถึงตาเขารุกบ้างล่ะ
“พรุ่งนี้วันอาทิตย์ว่างไหมครับดงแฮ” ซีวอนได้ยินเลยหันหน้ากลับมาตีคิ้วขมวดอีกครั้ง
“ดงแฮไม่ว่าง” เป็นซีวอนเองที่ตอบแทน ชายหนุ่มรัดอ้อมแขนตวัดเอาดงแฮเข้ามากอดอีกครั้ง
“ว่างสิ ว่างมากด้วย” ดงแฮรีบชิงบอกอย่างรวดเร็ว
“ไม่ว่าง ฉันบอกว่าไม่ว่างก็ไม่ว่างสิ”
“แต่ฉันว่าง”
“แต่ว่าพรุ่งนี้เธอต้องไปกับฉันเข้าใจไหม”อีกครั้งที่คยูฮยอนรู้สึกว่าตัวเองจะกลายเป็นส่วนเกินเข้าจริงๆ แต่คนตรงหน้าน่ารักขนาดนั้นเขาเองก็อยากจะ
เต็มที่เสียหน่อยล่ะ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมโทรไปถามดงแฮอีกทีแล้วกัน คุณซีวอนคงไม่มีปัญหาอะไร” ว่าแล้วก็ขอตัวจากคนทั้งสองไป ดงแฮดันแขนซีวอนจนหลุดออกจากร่างตัวเอง ดวงตาคู่สวยจ้องมองกลับมาอย่างแข็งกร้าว
“ทำไม โกรธฉันมากงั้นสิที่ขัดขวางกิ๊กใหม่ของเธอ”
“จะมากไปแล้วนะซีวอน”
“ไม่มากไปหรอกดงแฮ หมอนั่นมันตั้งใจจีบเธอไม่รู้ตัวรึไง”
“ก็แล้วทำไมล่ะ เค้าจะจีบฉันแล้วนายมีสิทธิ์อะไร”
“ก็สิทธิ์ของคนเป็นสามี”
“นาย...”
“เธออย่าลืมนะว่าเธอความจำเสื่อม” ประโยคเดิมที่ตั้งใจเตือนแต่ราวกับว่ากำลังตอกย้ำทุกอย่างที่ผ่านมาทั้งหมด
“หึ .. ฉันไม่ลืมหรอก เรื่องเลวๆทั้งหมดใครจะลืมลง”
ร่างสูงเบิกตากว้างอีกครั้งกับประโยคที่ได้ยิน ราวกับว่าเสียงรอบข้างกำลังหายไปเหลือแค่เขาสองคน ซีวอนไม่นึกเข้าข้างตัวเองว่าดงแฮจำได้และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาทำได้แค่นิ่งเพราะเป็นคนผิดอย่างทุกครั้ง เขาแพ้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายบอกว่าเขาทำไม่ดีแค่ไหน
“หมายความว่ายังไง” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆแต่หัวใจกำลังเต้นแรง
“ก็ที่นายนิสัยไม่ดีกับคยูฮยอนไง” ได้ยินแบบนั้นซีวอนก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไร ที่แท้แล้วก็เรื่องไร้สาระพวกนี้นี่เอง ความหวังที่พอจะมีกลับกลายเป็นเพียงแค่ความ
“ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ดี” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปสบตาดงแฮอย่างช้าๆ
แววตาที่จับจ้องลงมาที่ร่างบางช่างน่าสงสารอย่างสุดจะบรรยายเป็นคำพูดได้ ซีวอนอยากจะบอกว่าขอโทษกับทุกอย่าง อยากบอกว่าเขายอมแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไร กลับมาได้ไหมแม้ว่าคนผิดอย่างเขาจะต้องเดินจากไป
“ดงแฮ..”
“.........”
“เธอกลับมาได้ไหม ขอร้อง อย่าจากไปโดยที่บอกว่าไม่รู้จักฉัน หรือบอกว่าเราไม่เคยรักกัน”
น้ำตา .. ตอนนี้ที่ดวงตาคมกำลังจะมีน้ำตา และดงแฮเองก็ดูไม่ผิดหรอก อยากจะต่อต้าน ทว่าความคิดถึงท่วมท้นขึ้นมาในจิตใจที่เคยว่างเปล่าของตัวเขาเอง รู้สึกได้อีกแล้วว่ากำลังเศร้า
.. นายโกหกทำไมซีวอน ฉันที่จำอะไรไม่ได้กำลังได้แต่ฟังคำขอโทษจากนายงั้นเหรอ
บรรยากาศของงานเลี้ยงรอบข้างกำลังดำเนินไป แต่สองร่างที่ยืนข้างกันกำลังห่างออกไปไม่ต่างกับหัวใจ ดงแฮเลือกที่จะเดินหนีซีวอนเพราะหัวใจมันกำลังเจ็บอย่างบอกไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้ากัน เขาในเวลานี้ที่เหมือนกำลังจนมุมไม่มีที่ยึดเหนี่ยวนั้นกลับกล้าจะเดินเข้าหาคนที่ความรู้สึกมันบอกว่าไว้ใจได้
ซีวอนยืนมองดงแฮเดินผ่านคนอื่นๆแล้วตรงไปที่คิบอมและมินยองที่กำลัง
.. แต่เธอก็เลือกฉัน
“พี่ฮันไปไหนล่ะคิบอม” หลังจากที่ถามคนที่เข้าใจว่าเป็นเพื่อนตัวเองแล้วดงแฮยิ้มให้กับสาวสวยที่อยู่ข้างคิบอม
“สวัสดีค่ะพี่ดงแฮ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ” มินยองกล่าวขณะที่คิบอมกำลังงุนงงว่าทำไมดงแฮถึงมาถามหาฮันคยองกับเขา แต่เมื่อเห็นท่าทางแปลกๆเมื่อมินยองถามคิบอมก็เข้าใจว่าเพื่อนรักคนนี้ๆคงจะจำไม่ได้อยู่ดี .. ร่างสูงขยับเข้าหาอีกฝ่ายพลางเอ่ยแทน
“ดงแฮเค้าไม่ค่อยสบายน่ะช่วงนี้”
“เหรอคะ” หล่อนพูดอย่างเป็นห่วง แต่คิบอมก็ขัดขึ้นมาอีก
“อืม แต่ก่อนเค้าพูดบ่อยใช่มั้ย ตอนนี้เลยไม่ค่อยพูดมากอย่างแต่ก่อนแล้วล่ะ” ดงแฮรู้สึกดีที่มีคิบอม แต่ไอ้ท่าทางตอบแทนเขาไปทุกเรื่องมันก็ทำให้รู้สึกแปลกไปไม่น้อย
“แล้วฮีชอลน้อยสบายดีรึเปล่าคะพี่ดงแฮ”
“ก็ สบายดีครับ คือว่ากำลังซน” คำถามที่ดงแฮเลือกที่จะตอบเองนั้นทำเอาคิบอมไม่อยากเชื่อหู ก็ดูจะแอนตี้ออกเสียอย่างนั้นแต่กลับยิ้มแย้มตอบไปแนบเนียนเหลือเกิน
“ไว้วันหลังมินยองจะไปเยี่ยมแล้วกันนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
“เสียดายที่แต่ก่อนยังไม่รู้จักพี่คิบอมเลย” มินยองกล่าวเรื่องอื่นไปทำให้
ขณะที่มองคนรักอยู่อย่างนั้นก็มีเสียงของใครบางคนทักขึ้นข้างกายของ
“สวัสดีครับคุณปาร์ค” ซีวอนเอ่ยทักทายพลางโค้งตัวเคารพตามมารยาทของเขาที่พึงกระทำกับผู้ใหญ่ที่ถือว่าให้คำปรึกษาเรื่องงานในบริษัทแห่งนี้มาโดยตลอด
“งานออกมาดีมาก คนรุ่นใหม่อย่างพวกเธอทำให้ฉันไม่ผิดหวังเลยจริงๆ” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างชื่นชม
“ขอบคุณมากครับท่าน”
“ว่าแต่หนูดงแฮล่ะ ได้ยินว่าไม่ค่อยสบายเหรอพักนี้”
“เอ่อ .. ก็เหมือนเคยล่ะครับ รายนี้ป่วยง่าย แต่ก็ไม่หนักหนาอะไรมาก”
“แล้วอยู่ไหนล่ะตอนนี้”
“กำลังคุยกับน้องมินยองอยู่เลยด้วย” ว่าแล้วก็ผายมือให้คนตรงหน้าหันมองตามทั้งสามคนที่ยืนสนทนากันอยู่ รอยยิ้มของคุณคิมระบายออกมาตามรอยย่นของใบหน้าที่เริ่มชราไปตามวัย
“มีอะไรหรือครับท่าน”
“เปล่า ก็แค่นานๆทีจะเห็นใครสักคนที่ดีพอจะฝากมินยองลูกสาวคนเล็กของฉันไว้”
“ท่านหมายถึง..”
“ก็คิบอมน่ะทั้งยังหนุ่มยังแน่น ทำงานเก่ง เป็นผู้นำของกิจการ
มือบางทั้งคู่ถูผ้าเช็ดหน้าที่ชุบน้ำลงไปที่รอยเปื้อนบนเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในที่เกิดจากไวน์แดงเมื่อครู่ ชายหนุ่มยืนก้มหน้าทำอย่างนี้อยู่ที่หน้ากระจกเงาในห้องน้ำชายบนชั้นเดียวกันกับห้องงานเลี้ยงที่ห่างกันพอสมควร และที่เขาไม่ใช้ห้องน้ำด้านในก็เพราะว่าแขกเยอะคงไม่สะดวก ฮันคยองถอนหายใจที่เช็ดไปก็ไม่ได้ดีไปมากกว่าเดิมเลย และมันก็คงจะบังเอิญมากที่วันนี้ไม่ได้พกเสื้อมาด้วยนี่สิ
“เฮ้อ ...” ก็เพราะเรื่องวุ่นวายทั้งหลายมันทำให้แทบไม่ได้คิดอะไรเลย เขาเปลี่ยนใจดึงเอาเสื้อนอกเข้ามาบังเอาไว้แทนอย่างไม่ใส่ใจนัก ใบหน้าของตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่มองกลับมาอย่างน่าสมเพช คิดแล้วก็ยิ่งแย่ ยิ่งคิดก็ยิ่งช้ำ และยิ่งหวังก็ยิ่งผิดหวังเหมือนเคย หัวใจที่กำลังอ่อนแอรู้สึกแคร์ใครบางคนมากเกินกว่าจะห้ามใจได้ แน่นอนว่าฮันคยองน้อยใจคิบอมอย่างมาก เรื่องที่คิดว่าจะเข้าใจก็ไม่เข้าใจ และตอนนี้ที่คิดว่าจะตามมาถามไถ่กันก็ไม่เลยสักนิด ความเงียบปกคลุมห้องน้ำชายทั้งหมดที่มีเพียงเขาคนเดียวที่ใช้มัน เสียงน้ำที่ไหลจากก๊อกหายไปเมื่อถูกปิดลง .. ร่างโปร่งบางยืนนิ่งมองตัวเองอยู่อย่างนั้นราวกับคนไม่ได้สติ ริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยเบาๆกับตัวเองในกระจก
“ฮันคยอง ทำไมความรักของนายมันเหมือนจะไม่มีค่าในสายตาของใครเลยนะ”
ภายในห้องโถงใหญ่ งานเลี้ยงราบรื่นไปด้วยดี โดยเฉพาะในสายตาของคนที่เดินแยกตัวให้ห่างออกมาอย่างดงแฮ เขาพาตัวเองเดินออกมายืนอยู่ที่บริเวณระเบียงด้านนอกงานที่ยื่นออกมาจากห้องงานเลี้ยงขนาดใหญ่ อากาศที่หนาวเย็นในตอนกลางคืนเช่นนี้ทำให้ไม่ค่อยมีใครออกมายืนดื่มด่ำกับบรรยากาศมากนัก แต่คนยิ่งน้อยเขาเองกลับยิ่งพอใจเพราะเหมือนได้มุมส่วนตัวของตัวเองมากกว่า ไหล่บางทั้งคู่ห่อเข้าหากันเพราะความหนาวอย่างที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ดวงตากลมเหม่อมองออกไปยังตึกสูงระฟ้ามากมายของเมืองในยามค่ำคืน รู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าอยากกลับบ้านเป็นที่สุด ดงแฮสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าไปก่อนที่จะยืนอยู่อย่างนั้นได้ไม่นาน มือของตัวเองที่วางไว้บนขอบระเบียงต้องขยับออกมาเมื่อมีอีกมือวางลงมาข้างกัน ร่างสูงของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นใกล้มากจนรู้สึกได้ถึงไออุ่น ดงแฮไม่ได้ขยับหนีไปไหน ซีวอนก็เพียงแค่เอื้อมแขนทั้งสองโอบอ้อมร่างบางไปจับที่ขอบระเบียงไว้ สันจมูกโด่งห่างจากเรือนผมของอีกฝ่ายเพียงแค่นิดเดียว
.. ใกล้เพียงลมหายใจ หากไม่ได้สัมผัสแต่อย่างใด ..
“ซีวอน” แม้ไม่ได้เห็นหน้าดงแฮก็เอ่ยชื่อขึ้นมาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ชอบรึเปล่างานเลี้ยงแบบนี้” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างใส่ใจ ทั้งที่ในใจกำลังลุ้นมากกว่าว่าคนที่เกือบจะอยู่ในอ้อมกอดของเขานั้นจะถอยหนีเขาไปตอนไหน แต่ผิดคาด ดงแฮไม่ได้ขยับตัวมากกว่านี้เลย ได้เพียงแค่ยืนนิ่งๆไม่ได้ต่อต้านอะไร ท่าทางแบบนี้จากที่น่าจะดีใจแต่ซีวอนกลับรู้สึกแปลกใจเพราะปกติอีกฝ่ายดูจะรังเกียจเขาเอาเสียมาก ดงแฮไม่ตอบอะไรเอาแต่มองไปข้างหน้าทั้งที่ตอนนี้คนข้างกายกำลังมองมาที่ตัวเองอย่างสงสัย
“เธอโกรธฉันเหรอ”
“หึ ฉันจะโกรธอะไรล่ะ” นั่นสิ ดงแฮจะโกรธได้ยังไงในเมื่อความจำเสื่อม
ซีวอนนึกกลับไปในเรื่องเดิมที่ผ่านมา เขาคอยคิดแต่เรื่องพวกนี้จนรู้สึกว่าจะเป็นบ้าไปแล้ว มันอึดอัดจนอยากให้อีกฝ่ายจำได้แล้วเขาจะได้พูดออกไปและถูกต่อว่าหรือลงโทษอะไรก็ได้ให้สาสมไม่ใช่มีแต่เพียงความว่างเปล่าอย่างนี้
มือของซีวอนที่อ้อมตัวดงแฮเอาไว้ถอนออกช้าๆแต่หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายแอบใจหายอย่างไม่รู้ตัว ร่างสูงเปลี่ยนมายืนอยู่ข้างๆแทนโดยที่หันหน้าออกไปด้านนอกเหมือนกัน
“ขอโทษแล้วกัน” จู่ๆก็เอ่ยออกมา ท่าทางไม่อยากบังคับใจใครใจอย่างนั้นดงแฮดูออกแต่ก็ได้แต่แสร้งถามกลับไป
“เรื่องอะไร”
“ทุกอย่าง” แล้วทั้งสองก็เงียบไปโดยที่ต่างฝ่ายต่างคิดบางอย่างในใจไม่ให้อีกฝ่ายได้ล่วงรู้เลยแม้แต่นิด ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกันแท้ๆ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่กันล่ะ ..
ซีวอนทำลายความเงียบลงด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย
“วันนี้คนเยอะ รำคาญรึเปล่า”
“ก็ไม่หรอก เรื่องงานก็คือเรื่องงาน เรื่องส่วนรวมก็เรื่องส่วนรวม นายอย่ามาถามเหมือนฉันเป็นเด็กเลย” ดงแฮตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเดิมไม่มีผิด
“อ้าว แต่ฉันยังไม่ได้ว่าเธอเด็กเลยนะ”
“ก็ใครที่ไหนเค้าถามกันแบบนี้ ไม่ต้องแคร์มากก็ได้หรอกนะ ฝืนใจเปล่าๆ”
“หึ เหมือนจะรู้ดีนะ”
“แน่นอน”
“ไม่เลยต่างหาก เธอไม่ได้รู้ดีอย่างที่พูดหรอก เพราะดงแฮคนเดิมย่อมรู้ดีว่าฉันไม่ได้ฝืนใจแม้แต่น้อย” ใบหน้าคมอมยิ้มออกมายามพูดราวกับว่ากำลังพูดถึงใครคนหนึ่งที่อีกฝ่ายคงไม่รู้จักดีไปกว่าเขาเป็นแน่ ดงแฮหันมามองหน้าซีวอนที่ยังคงหันข้างให้เขาอย่างเดิม ความรู้สึกเจ็บแปลบเกิดขึ้นหลังจากที่ได้ยินเรื่องพวกนี้อีกครั้ง
“หึ นายแน่ใจงั้นเหรอว่าฉันคนเดิมยังจะคิดอย่างนั้น คิดผิดคิดใหม่ได้นะ”
ทุกประโยคประชดประชันที่ซีวอนได้ยินมันเหมือนกับการลงโทษจากคนที่แค้นเขามาก ทั้งเย็นชาทั้งรังเกียจ
ร่างบางว่าแล้วก็ผละออกมาเพื่อจะกลับเข้าไปในงานเลี้ยง ทุกก้าวที่ซีวอนรู้ว่าขาทั้งคู่ของอีกฝ่ายนั้นกำลังเดินทิ้งห่างเขาไปเรื่อยๆมันได้เพิ่มความรวดร้าวในใจให้แก่เขาอย่างยากจะห้ามไหว
.. สมใจแล้วใช่ไหมสวรรค์ รู้บ้างรึเปล่าว่าผมกำลังเจ็บเจียนตาย
“เดี๋ยว !” เสียงทุ้มเรียกเอาไว้ทำให้ดงแฮหยุดเดิน บริเวณด้านนอกนี้ไม่เหลือใครแล้วนอกจากเขาทั้งสอง ต่างกันกับภาพงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยผู้คนมาก
“อากาศด้านนอกมันเย็น เธอยิ่งไม่สบายง่ายอยู่ด้วยนะ”
พูดจบก็เดินกลับเข้างานไปโดยไม่รู้ว่าได้ทิ้งไว้เพียงไออุ่นในน้ำเสียงที่แทรกผ่านใบหูของคนฟังเข้าไปในหัวใจอย่างยากจะต่อต้าน ดงแฮทำได้เพียงมองตามร่างสูงที่ค่อยๆหายเข้าไปในงานโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร มือบางเริ่มยกขึ้นดึงชายเสื้อตัวใหญ่เอาไว้ให้แนบกาย
.. เลิกทำแบบนี้เสียที จะบอกอะไรให้นะซีวอน ว่าฉันเกลียดนาย
ทั้งที่เกลียด .. แต่ทุกทีที่ดงแฮนึกคำนี้ทีไรหัวใจมันกลับรวดร้าวไม่ต่างกัน
หลังม่านด้านหลังของเวทีที่ทะลุออกไปเป็นห้องควบคุมในส่วนอิเล็ค
“ผมว่าพี่เอาสปอตตัวนี้เก็บไว้ตอนเปิดตัวที่ร้านดีกว่า ไงวันนี้ก่อนเลิกเอาตัวใหม่นี่ไปก่อนดีกว่าไหม คุณคิบอมเค้าอยากให้แทรกเรื่องของอัญมณีให้มากกว่าเดิมด้วยน่ะครับ” ใบหน้าน่ารักเจรจาเรื่องงานอย่างตั้งใจกับสตาฟสาวคนหนึ่งที่โต๊ะมุมผนังโดยที่ยังไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง ซองมินมองตามสายตาของหญิงสาวที่มองเลยเขาไปที่ด้านหลังก่อนที่เขาจะหันไปมองบ้าง
“คยูฮยอน”
“ทำไมต้องทำหน้าตกใจอย่างนั้น” ว่าแล้วก็ยกแก้วเครื่องดื่มในมือขึ้นดื่มอย่างอารมณ์ดี แต่คนที่มองอยู่กลับอารมณ์เสียมากกว่า ซองมินไม่ว่าอะไรก่อนจะหันกลับมาตามเดิมเพราะไม่อยากเสียเวลาในการทำหน้าที่ของตัวเองไปกับคนไร้สาระ
“พี่ครับ งั้นฝากซีดีแผ่นนี้ไว้เลยละกัน”
“ค่ะได้ค่ะ พี่จะเปิดแทนเลยนะคะคุณซองมิน” สตาฟสาวรับคำพร้อมกับรอยยิ้มแม้ว่าอีกนัยหนึ่งของรอยยิ้มนั้นจะหมายถึงทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้างกันก็ตามที
“ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ร่างเล็กกล่าวขอบคุณเสร็จก็หันตัวเดินผ่าน
“จะรีบไปไหนของนายกัน หรือว่ามีงานรออยู่อีก งานเลี้ยงทั้งทีน่าจะได้เฮฮานะ” เมื่อได้ฟังที่อีกฝ่ายพูดมาซองมินก็ต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปถาม
“งานเลี้ยงที่เป็นงานของเราเนี่ยนะ อย่าพูดเหมือนกับว่าเป็นงานปาร์ตี้ที่บ้านนายสิ”
“.........”
“แล้วอีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้ว่างมากแบบนายเสียด้วย” ซองมินไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรเลย คยูฮยอนส่ายหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องต่อว่าเขาขนาดนี้ ก็แค่อยากพูดด้วยเท่านั้นเอง หรืออันที่จริงจะเรียกว่าอยากแกล้งนิดๆหน่อยๆก็ได้น่ะนะเขาไม่เถียง
“ไม่เห็นต้องอารมณ์เสีย ดูเหมือนนายจะไม่ชอบฉันมากเลยนะซองมิน” คยูฮยอนถามอย่างจริงใจไม่ได้ล้อเล่น
“เปล่านี่”
“งั้นจะเดินหนีทำไม”
“ก็ฉันไม่ว่าง” ซองมินโกหก ใบหน้าน่ารักแสร้งทำเฉยอย่างที่บอกไป ที่จริงเขาก็แค่ไม่อยากจะอยู่คุยด้วยก็เท่านั้นเอง และในขณะที่ทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจกันนักเสียงหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามา
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าซองมิน”
“คุณซีวอน” ซองมินเป็นฝ่ายเงยหน้ามอง
“เผื่อมีอะไรที่ฉันช่วยได้” ซีวอนถามอย่างปกติแต่สายตาก็ชำเลืองอีกคนอย่างไม่ค่อยจะชอบใจเท่าไหร่นัก จริงอยู่ที่คยูฮยอนไม่ได้กลัวการเผชิญหน้ากับ
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณซีวอน เราคุยกันปกติ คุณคยูฮยอนเพิ่งมาอยู่ที่นี่ผมเลยแนะนำเรื่องร้านอาหารอร่อยๆให้” ท่าทีแสร้งไม่มีอะไรอย่างนั้นของซองมินทำให้คยูฮยอนไม่ค่อยจะอยากเออออไปด้วยเลยสักนิด เพราะนอกจากจะไม่เนียนแล้ว
นั้นยังไม่ได้ผลเสียสนิทเพราะว่าเขากับซีวอนรู้กันดีว่าต่างฝ่ายต่างไม่ชอบกันแค่ไหน
“งั้นเหรอ ร้านอาหาร” ซีวอนทวนคำก่อนจะยิ้มให้ ชายหนุ่มไม่ว่าอย่างไร ท่าทางหงอยๆไปของซีวอนทำให้ทั้งสองคนรู้สึกได้ และอย่างน้อยเมื่อมีโอกาสคยูฮยอนก็ใช้มันทันที
“ครับ ร้านอาหาร เผื่อว่าพรุ่งนี้วันอาทิตย์จะพาคุณดงแฮไปทานกันสองคน” จบประโยคที่คยูฮยอนพูดเท่านั้นแหละ เท่านั้นที่ซองมินรู้สึกอยากจะลากตัวปัญหานี้ออกไปไกลๆเสียเหลือเกิน เขาไม่กล้าจะมองหน้าซีวอนเลยแม้แต่น้อยเพราะรู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร
.. ให้ตายสิ ฉันเกลียดนายจริงๆไอ้ตัวปัญหา
“คือว่า อันที่จริงเราน่าจะหาอะไรดื่มกันนะครับ” คนตัวเล็กกว่าอีกสองคนเสนอด้วยใบหน้าที่พยายามยิ้มเต็มที่แต่หารู้ไม่ว่ามันช่างดูน่ารักเกินกว่าจะเชื่อได้ในสายตาของอีกสองคน คยูฮยอนได้แต่ยกยิ้มที่มุมปากในขณะที่ซีวอนยิ้มด้วยไม่ออก ในเวลานี้ถ้าจะมาหาเรื่องเขาก็คงจะไม่โกรธหรอก แต่เรื่องที่ว่ามันเป็นเรื่องของบางคนนี่สิ ผู้ชายอย่าง ชเว ซีวอน เรื่องแบบนี้ก็น่าจะรู้
“อย่ามาคิดว่าตัวเองดีมาจากไหน แล้วก็ขอบอกว่าห้ามมายุ่งกับเมียฉันเป็นอันขาด” น้ำเสียงเย็นยื่นคำขาดที่ดูแล้วน่ากลัวในสายตาของซองมินแต่สำหรับคนที่ซีวอนพูดด้วยกลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
“คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าครับคุณซีวอน ผมเนี่ยนะยุ่งกับภรรยาของคุณ” คยูฮยอนพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉยโดยที่นึกไม่ถึงว่าซีวอนจะโกรธมาก
“หมายความว่าไง จะบอกว่าดงแฮให้ท่างั้นสิ”
“ก็ไม่แน่นะครับ”
การสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวในงานเลี้ยงเป็นไปด้วยดีโดยที่ยังไม่จบลง คิบอมยิ้มให้มินยองอย่างอ่อนโยนจนดูท่าว่าเธอจะชอบเขาเข้าจริงๆเสียแล้ว แก้วไวน์ที่ถืออยู่ยกขึ้นชนกันเบาๆระหว่างที่เอ่ยเรื่องส่วนตัวบ้างเรื่องงานบ้าง มินยองน่ารักมากในสายตาของคิบอม แต่ว่าสายตาของเขาตอนนี้กำลังสนใจจดจ้องไปที่นาฬิกาข้อมือมากกว่า ท่าทางกระวนกระวายอย่างนั้นเป็นใครก็ดูออก
“มีอะไรรึเปล่าคะ นัดแขกคนไหนไว้หรือเปล่า” หญิงสาวเงยหน้าถามอย่างเกรงใจที่ต้องมายืนคุยกับเธอตั้งนานสองนาน
“อ่ะ เปล่าหรอกครับ”
“ไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะคะ มินยองเกรงใจ”
“พี่ต่างหากที่ควรเกรงใจ น้องมินยองตามสบายนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้ตามเดิมทั้งที่ในใจกำลังนึกถึงอีกคนว่าทำไมถึงได้หายไปนาน แค่ไปเข้าห้องน้ำ
ดงแฮกลับเข้ามาในงานอย่างเดิมพร้อมกับเสื้อของซีวอนที่ถอดออกมาถือเอาไว้เพราะกลัวคนอื่นจะมองแปลกๆ อาการประหม่าที่เกิดขึ้นยามที่อยู่คนเดียวทำให้เขาต้องพยายามยิ้มกลบเกลื่อนเมื่อมีคนมองมา
“มองอะไรล่ะเนี่ย” เสียงเบาๆเอ่ยขึ้นกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจนัก แต่สุดท้ายก็นึกได้ว่าหลายคนก็คงจะรู้จักเขา ร่างบางเดินไปยังอาหารว่างหน้าตาน่ารักสไตล์บุฟเฟ่ต์ที่จัดวางไว้เป็นไลน์สำหรับแขกในงาน สายตาทั้งคู่มองอาหารเพลินก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปหมายจะทานบ้างเนื่องจากว่าเขารู้สึกหิวขึ้นมาเสียแล้ว ดงแฮยังไม่ทันจะได้จับอะไรเลยจู่ๆก็มีมือของใครบางคนมาแตะตัวเขาเข้า
“ซองมิน” ดงแฮหันมามองคนตรงหน้าอย่างตกใจที่ดูสีหน้าตอนนี้จะไม่ดีเอาเสียเลย อีกฝ่ายอ้าปากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็พูดไม่ออก
“มีอะไรซองมิน ใจเย็นๆ” ดงแฮพยายามถามให้ได้คำตอบโดยที่ไม่ได้
“คืองี้ครับ ผมว่าคุณดงแฮรีบไปดูคุณซีวอนกับ เอ่อ .. คุณคยูฮยอนก่อนดีกว่า เค้ามีเรื่องกัน” เท่านั้นแหละที่ดงแฮต้องรีบเดินตามซองมินออกไปยังด้านนอกของงานเลี้ยงทั้งที่ไม่ได้อยากไปเลย ยิ่งมีปัญหาเขาก็ยิ่งอยากกลับ แต่ก็ทิ้งไปไม่ได้อยู่ดี
ออกจากห้องบอลรูมขนาดใหญ่มาได้ไม่เท่าไหร่ทั้งสองก็เจอเข้ากับสองคนที่มุมด้านนอกมุมหนึ่ง สองร่างที่เริ่มมีการปะทะกันมาสักพักไม่ได้สังเกตเลยว่าพวกเขาทั้งสองยืนอยู่
“ทำอะไรกันน่ะ” เสียงของดงแฮดังขึ้นเรียกให้ทั้งสองหันมามองโดยที่มือของซีวอนกำเอาคอเสื้อคยูฮยอนไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ดงแฮเห็นแล้วตกใจมากจึงรีบวิ่งเข้าไปหาโดยที่มีซองมินวิ่งตามเข้าไปอีกคน
“ปล่อยนะซีวอน นายจะรังแกคยูฮยอนแบบนี้ไม่ได้” ก็ภาพที่เห็นว่าใครเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบฝ่ายนั้นก็จะดูจะน่าสงสารกว่านั่นเอง ซีวอนหัวเราะให้กับตัวเองในใจ สุดท้ายคนที่ผิดก็เป็นเขาอยู่วันยังค่ำ ขณะที่คยูฮยอนไม่ได้แสดงการต่อสู้ใดๆออกมาเลย
“พอเถอะครับคุณซีวอน อย่าหาเรื่องผมอีกเลย” คยูฮยอนแสร้งเอ่ยทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เริ่มหาเรื่องเขาก่อนเลย
“นายนี่มัน..” ใบหน้าคมเจ็บแค้นจนอยากจะต่อยอีกฝ่ายเสียให้ได้ ถ้าไม่ถูกร้องห้ามไว้ก่อน
“พอแล้วซีวอน !!” ดงแฮร้องขึ้นพลางพยายามเข้าไปแกะเอามือของซีวอนที่กำเสื้อคยูฮยอนไว้ไม่ยอมปล่อยออก
“โธ่โว้ย” เป็นซีวอนเองที่ผลักคยูฮยอนออกจากมือจนล้มลงที่พื้นอย่างแรง
ดงแฮวิ่งเข้าไปหาคยูฮยอนอย่างรวดเร็วเพราะเป็นห่วง ท่ามกลางสายตาของซองมินที่ทำอะไรไม่ถูกและซีวอนที่ยิ่งเห็นว่าคนรักของตัวเองห่วงอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บมากเท่านั้น
“นายเป็นไงบ้างคยูฮยอน” ดงแฮร้องถามอย่างเป็นห่วงทั้งที่พยายามพยุงอีกฝ่ายเอาไว้ และแม้ว่าคนเจ็บจะไม่ได้ร้องออกมาแต่รอยช้ำที่มุมปากดูก็รู้ว่าคงเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว
“ไม่เห็นไรหรอกครับดงแฮ แต่ .. โอ๊ย” ชายหนุ่มร้องออกมาเมื่อขยับริมฝีปากแล้วเขารู้สึกเจ็บขึ้นมามากกว่าเก่า
“อย่าเพิ่งพูดเลย เดี๋ยวจะยิ่งเจ็บเปล่าๆ” ว่าแล้วก็หันไปเรียกร่างเล็กของอีกคนที่ยืนทื่ออยู่ให้มาช่วยกันพยุงคยูฮยอนออกไปทำแผล ท่าทางของดงแฮที่เป็นห่วงเป็นใยอีกฝ่ายอย่างนั้นทำให้ซีวอนแทบขาดสติ ร่างสูงนึกถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นว่าเขาไม่ได้เริ่ม แล้วที่มันควรจะโดนแบบนี้ก็สมควรแล้ว ซีวอนตรงปรี่เข้าหาคยูฮยอนอย่างโกรธแค้น หมายจะต่อว่าให้เจ็บกว่าเดิม แต่ท่าทางอย่างนั้นของเขามันคงไม่ได้ดูน่าไว้ใจเท่าไหร่ ขายาวก้าวเข้าไปแต่ถูกร่างบางของอีกคนดันออกอย่างแรง
“ออกไปนะ นายมันอันธพาล” ดงแฮลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองด้วยสายตาที่โกรธจัด
“แต่ฉันไม่ได้เริ่ม”
“แต่นายทำร้ายเค้า”
“แล้วทำไมเธอไม่ถาม..”
“ก็เพราะคนอย่างนายไม่มีวันเข้าใจหรอกว่าการถูกทำร้ายมันเป็นยังไง”
ซีวอนอึ้งไปที่ถูกว่าแบบนั้น เขารู้ตัวดีว่าความจริงเป็นอย่างไร และก็อยากจะขอร้องคนตรงหน้าว่าอย่าพูดอะไรทั้งที่จำไม่ได้เลย
.. แต่เธอรู้อะไรไหมดงแฮ สุดท้ายคนที่ทำร้ายก็ถูกทำร้ายเสียเอง
ใบหน้าคมไม่เอ่ยอะไรปล่อยให้มีแต่ความเงียบ แววตาน้อยใจสะท้อนออกมาโดยที่ดงแฮไม่อยากจะมอง แม้แต่คยูฮยอนและซองมินที่พยุงกันอยู่ที่พื้นก็อดจะรู้สึกไม่ได้
“หึ เธอน่าจะรู้ว่าคนอย่างมันสมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้”
“งั้นเหรอ แล้วคนอย่างนายสมควรจะโดนแบบไหน”
“พอเถอะดงแฮ เธอหยุดพูดแบบนี้ซะที” ซีวอนหมดความอดทนจนต้องตะโกนออกไป ทำให้ดงแฮต้องสะดุ้งและรู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหลไม่ต่างกัน ความหนักอึ้งในจิตใจของซีวอนและดงแฮถูกกดลงไปลึกกว่าเดิมเพราะไม่กล้าจะเอ่ยปาก ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างคนทั้งสอง ระหว่างที่อีกสองคนที่นั่งมองอยู่ก็ไม่กล้าจะไปยุ่งอะไรแม้แต่น้อย
ผ่านไปไม่นานซีวอนก็เป็นฝ่ายละสายตาจากดงแฮไป จู่ๆร่างสูงก็ตรงเข้าไปหาร่างคนเจ็บที่ยังลุกไม่ขึ้น ท่าทางน่ากลัวอย่างนั้นทำให้ซองมินรีบหลับตาลงเพราะไม่แน่ใจว่าซีวอนจะทำอะไรคยูฮยอน และไม่ทันที่จะได้เอ่ย ไม่ทันที่จะมีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าของซีวอนก็ต้องเจ็บจนชาเพราะมือของคนเดิมที่มีสิทธิ์จะตบหน้าเขาได้คนเดียว
“เลิกบ้าได้แล้ว!”
ดงแฮตบหน้าซีวอนท่ามกลางสายตาของซองมินที่ลืมขึ้นมาเห็นเข้าพอดี ขณะที่คยูฮยอนได้แต่มองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทั้งสองรู้สึกตึงเครียดไปด้วยไม่แพ้กัน ซีวอนไม่หันหน้ามามองดงแฮเลยแม้แต่น้อย ร่างสูงยืนกำมือแน่นไม่ใช่เพราะเจ็บที่หน้าแต่มันเจ็บที่หัวใจ .. ภาพซีวอนที่ไม่พูดไม่จาอะไรค่อยๆทำให้แววตาโกรธของดงแฮคลายลงแล้วแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด ซีวอนก้มหน้าแค่นยิ้มกับตัวเองก่อนจะรีบเดินออกไปตามทางเดินแล้วหายไปอีกทาง ขณะที่ดงแฮกำลังข่มความรู้สึกมากมายในใจให้หมดลงก่อนจะหันกลับมาดูคยูฮยอนที่เขาเป็นห่วง
“พาไปทำแผลเถอะซองมิน ขอโทษแทนซีวอนด้วยนะคยูฮยอน” ดวงตาที่ฉายแววเศร้าฝืนยิ้มให้ทั้งสองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซองมินไม่เข้าใจเลยว่าดงแฮทำแบบนั้นทำไม คยูฮยอนไม่พูดอะไรเพราะในใจกำลังครุ่นคิดกับเรื่องที่ได้เห็น บางทีเขาเองก็ไม่ได้คิดมาก่อนว่าอะไรๆมันจะแย่ขนาดนี้
“เอ่อ คุณดงแฮครับ”
“ว่าไงซองมิน”
“คุณจะไม่ตามไปดูคุณซีวอนหน่อยเหรอครับ”
“ทำไมล่ะ เค้าทำเรื่องไม่ดีแล้วทำไมฉันจะต้องสน” ว่าแล้วก็ช่วยพยุงร่างของคยูฮยอนอีกข้างให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับซองมินที่พยุงอยู่อีกข้าง
“แต่คุณซีวอนเลือดออกนะ คุณไม่เห็นเหรอครับ”
“เลือดออก” ดงแฮทวนคำของซองมินเบาๆ
“ครับ”
“งั้นหรอกเหรอ” เขารับคำซองมินอย่างไม่คิดอะไร แต่จากที่พยายามไม่สนใจมันก็ยิ่งจะห้ามไว้ไม่อยู่เสียแล้ว ดงแฮที่ดูเหมือนกำลังคิดมากทำให้คยูฮยอนอดจะเอ่ยออกไปไม่ได้
“ที่จริงเค้าก็ไม่ได้เริ่มก่อนหรอกครับดงแฮ ที่เค้าต่อยผมก็เพราะโกรธที่ผมว่าคุณ ...”
ความเจ็บบนใบหน้าไม่เท่าที่หัวใจสักนิด เทียบกันไม่ได้เลยกับความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ ร่างสูงลดความเร็วในการเดินลงเมื่อหนีออกมาจากที่ตรงนั้นได้ ขาทั้งคู่อยากจะหมดแรงแล้วหายไปจากเรื่องที่กำลังเป็นอยู่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ซีวอนอยากจะหนีและก็หนีออกมาจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามั่นใจตัวเองทุกครั้งว่าไม่มีทางล้มเลิกความพยายามทั้งหมด แต่ทำไมครั้งนี้มันถึงได้เหนื่อยเหลือเกิน
ที่ห้องน้ำชายด้านนอกที่ไกลออกมาจากงาเลี้ยง มีเพียงฮันคยองที่ถอนหายใจกับตัวเองในกระจกอีกครั้ง เขาคิดว่าได้เวลาแล้วที่ต้องเลิกเพ้อเจ้อแล้วกลับไปทำหน้าที่ตัวเองในงานเลี้ยงตามเดิม มือทั้งคู่เอื้อมไปปิดก๊อกน้ำสีเงินก่อนจะสะบัดมือเบาๆ และยังไม่ทันจะได้เป่าให้แห้งเขาก็ต้องชะงักเมื่อร่างของใครบางคนปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“ซีวอน..” ท่าทางที่ดูย่ำแย่กับเลือดที่มุมปากทำเอาฮันคยองเบิกตามองอย่างไม่อยากเชื่อพร้อมทั้งเกิดคำถามในใจขึ้นมาทันที ซีวอนยิ้มให้เขาก่อนจะทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวในมุมหนึ่งของห้องน้ำชายที่ล้อมไปด้วยต้นไม้เตี้ยซึ่งถูกแต่งไว้อย่างสะอาดและสวยงาม ส่วนอีกคนนั้นตั้งสติได้แล้วจึงตรงไปนั่งลงข้างๆ
“นายไปโดนอะไรมา เลือดออกน่ะรู้รึเปล่า” ฮันคยองมองหน้าอีกฝ่ายที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นเหมือนไม่ได้สนใจเลยว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่ สักพักเลยต้องดึงเอาผ้าเช็ดหน้าตัวเองออกมาซับเลือดที่มุมปากของซีวอนก่อนที่เจ้าตัวจะเอื้อมมือมาจับเอาไว้เสียก่อน ซีวอนหันมามองฮันคยองอย่างไม่เข้าใจกับการกระทำที่แสนดีแบบนี้
“ทำไมต้องดีกับฉันขนาดนี้” เสียงทุ้มเอ่ยถามแผ่วเบา ทว่าคนถูกถามกลับรีบดึงมือกลับและไม่มองสบตาตอบอย่างที่ควรจะเป็น
“ที่นายถามฉันต้องตอบรึเปล่า”
“ทำไม...”
“ก็รู้แล้วจะถามไปเพื่ออะไร” น้ำเสียงหนักๆที่เน้นย้ำคำพูดออกมาทำเอา
ซีวอนไม่กล้าจะถามอะไรออกไปอีก เขารู้ตัวดีว่าผิดต่อคนๆนี้มากแค่ไหน มันไม่ได้น้อยไปกว่าความผิดที่มีต่อดงแฮเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมล่ะ ทั้งที่คุยกันแล้วแท้ๆ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่คิดจะต่อว่า แล้วทำไมเขายังรู้สึกผิดไม่หาย ใบหน้าคมที่อมทุกข์กว่าเก่าทำให้ฮันคยองต้องเอื้อมมือมากุมมือของซีวอนเอาไว้
“อย่าคิดมากเลย ตอนนี้อะไรมันก็เปลี่ยนไป แต่นายอย่าลืมว่ายังมีฉัน”
“ฮันคยอง” ซีวอนสบตาคนตรงหน้าอย่างหมดหนทาง
“เข้าใจใช่มั้ย ที่ผ่านมานายก็รู้ว่าฉันจริงใจ” ใช่แล้ว ซีวอนรู้ดีมาตลอด ยิ่งรู้
หลังจากที่ตั้งสติได้ซีวอนก็เล่าทุกอย่างให้ฮันคยองฟัง และไม่จำเป็นที่
“ซีวอน .. ซีวอน ฮึก นายต้องอดทนนะ” ฮันคยองปลอบคนข้างกายอย่างเป็นห่วง ก่อนที่ร่างของตัวเองจะถูกรวบเข้าไปกอดไว้แน่นอย่างไม่ให้ตั้งตัว ฮันคยองตกใจที่ถูกทำแบบนี้แต่ก็ได้แต่อยู่นิ่งๆให้อีกฝ่ายกอดเอาไว้
“มันเจ็บนะ นายเข้าใจใช่มั้ย”
“อืม ฉันเข้าใจ” มือบางของฮันคยองวางลงพลางลูบเบาๆที่แผ่นหลังของคนที่กำลังอ่อนแอในเวลานี้ แรงสะอื้นที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ทำให้เขาต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะไม่อยากจะเสียใจไปด้วยกันมากกว่านี้
.. เมื่อไหร่ที่นายจะยกโทษให้พี่นะดงแฮ และเมื่อไหร่ที่นายจะเข้าใจนะคิบอม
.. หากที่ผ่านมาเขาทั้งสองมีความผิดที่ยากเกินจะให้อภัย แล้วเมื่อไหร่ที่การลงทัณฑ์จะจบลง ..
ดวงตาทั้งคู่จ้องมองภาพตรงหน้าอยู่นานหลังจากที่ยืนอยู่ตรงนี้มาตลอด แม้ไม่ใกล้จนได้ยินเสียงแต่ที่เห็นก็คงจะบอกอะไรได้หลายอย่าง ร่างบางยืนแอบอยู่ที่ทางเข้าขนาดกว้างของห้องน้ำชายที่แสนมีระดับโดยไม่ให้คนทั้งสองที่นั่งอยู่ห่างออกไปได้เห็น เสียงลมหายใจเข้าออกเตือนตัวเองให้มีสติเข้าไว้
.. ไม่เป็นไรหรอกดงแฮ
บอกตัวเองอย่างนั้นแต่หารู้ไม่ว่าน้ำตากำลังไหลลงมาอาบแก้มทีละหยด ความเสียใจที่แล่นเข้ามามันมากมายจนปฏิเสธไม่ได้ ดงแฮรู้สึกว่าหัวใจมันชามากกว่าเดิมหลายเท่า หรือที่แท้กำลังแอบหวังทั้งที่ความจริงก็รู้อยู่เต็มอก .. ดงแฮยืนมองซีวอนกับฮันคยองกอดกันอยู่อย่างนั้น ในใจก็นึกไปไกลว่าคนที่ซีวอนอยู่ด้วยแล้วมีความสุขก็คงจะเป็นพี่ชายตัวเองเป็นแน่ หลายอย่างทำให้เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่ผ่านมาคนที่เป็นตัวจริงของซีวอนมันจะเป็นเขาเองอย่างที่ชอบบอกหรือว่าเป็นอีกคนที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอด
.. วูบหนึ่งในความรู้สึก มันกำลังบอกว่าต้องการความรักคืนมา ..
.. เมื่อไหร่ที่ฉันจำได้ เวลานั้นใช่ไหมที่จะมีสิทธิ์เรียกร้อง
ดงแฮไม่เข้าใจตัวเอง ยิ่งต่อต้านกลับยิ่งอยากเข้าหา ทั้งที่เกลียดแต่เหมือน
“คิบอม..” ดงแฮเบิกตากว้างอย่างตกใจเพราะไม่นึกว่าจะมีใครมายืนอยู่ตรงนี้ น้ำตาที่อาบแก้มอยู่ทำให้คิบอมที่มองมารู้สึกเป็นห่วง
“ร้องไห้อีกแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆเมื่อนึกถึงเวลาที่เพื่อนรักต้องเจ็บปวดหรือแอบร้องไห้คนเดียวเพราะไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ
“เดี๋ยวก่อนสิ” คิบอมเรียกเอาไว้แต่ดงแฮกลับไม่หยุดเดิน เท้าทั้งคู่ก้าวไป
“ร้องไห้ทำไม” คิบอมถาม
“ฉันเหรอที่ร้อง”
“อย่ามาแสร้งตีหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยดงแฮ นายคิดยังไงทำไมฉันจะไม่รู้” คิบอมพูดไปเหมือนรู้ดี ทั้งที่ความจริงเขาเองก็ตระหนักอยู่ในใจว่าคนตรงหน้ากำลังความจำเสื่อม แต่ที่แน่ๆคือเขาดูออกว่าดงแฮกำลังไม่พอใจที่เห็นซีวอนกับ
“รู้งั้นเหรอ ..”
“.............”
“งั้นช่วยบอกที ทำไมฉันถึงความจำเสื่อม” ดงแฮถามกลับอย่างชัดเจนจน
“ทำไม ตอบไม่ได้เหรอ นั่นสินะ นายจะตอบได้ยังไงในเมื่อกลัวฉันจะรู้เสียขนาดนั้น”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะดงแฮ” คิบอมรีบค้านเอาไว้เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะคิดไปในทางไม่ดีมากกว่านี้
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะฉันถามป้ายุนฮีตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว” ดวงตาทั้งคู่ที่ไม่มีน้ำตาอย่างก่อนหน้านี้เศร้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด คิบอมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีนอกจากเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เขาภาวนาเสมอว่าขอให้ดงแฮกลับมาจำได้แล้วเรื่องทุกอย่างจะจบลงด้วยดี
คิบอมยืนอยู่กับดงแฮตามทางเดินโล่งของตัวตึก ร่างบางที่ยืนก้มหน้าอยู่นั้นเมื่อนึกถึงภาพของคนสองคนที่เขาเดินจากมาก็ทำให้รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่ต่างกับอีกคนที่คิดมากแต่กลับไม่แสดงอะไรออกมา
“นายคงจะเจ็บปวดมากสินะคิบอม” ดงแฮเอ่ยเบาๆขณะที่ยังยืนหันข้างให้คิบอมอยู่อย่างนั้น คนถูกถามยิ้มออกมาอย่างจนมุมเพราะไม่รู้ว่าจะปฏิเสธไปทำไม
“รู้ดีไม่เปลี่ยนเลยนะนาย”
“แต่ก่อนฉันเป็นพวกสู่รู้เหรอ”
“ไม่หรอก แค่เป็นคนเปิดเผย จริงใจ”
“...........”
“ไม่เหมือนกับตอนหลังๆ ที่ยิ้มทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้”
“เหมือนกันกับนายใช่มั้ยล่ะ” ดงแฮหันมาถามกลับ
“... คงงั้นมั้ง”
.
บทสนทนาจบลงแค่เพียงเท่านั้นพร้อมกับความเข้าใจระหว่างกันได้เกิดขึ้น คิบอมดึงเอาเพื่อนรักมากอดเอาไว้แนบอก และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ดงแฮร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายคนที่เขาคิดว่าไม่รู้จักกันเลยในตอนนี้ ..
.
Tbc. Chapter 15
ความคิดเห็น