คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : WHEN ? .. Chapter.[11]
โอพีวีที่ใช้โปรโมทเว็นในงานไก่(KFC#4)ที่ผ่านมา เผื่อใครอยากดู โหะๆ^^
มาลงช้าอีกแว้ววว -..-
ไงก็ขอโทษนะคะ จะพยามไม่ดองจริงๆนะ อิอิ (ได้ข่าวว่าพูดแบบนี้มาทุกพาร์ท 55+)
ไงฝากพาร์ทนี้ไว้อีกนะคะ ต่อไปมันส์แน่ค่ะ (???)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Chapter 11
หลังจากที่ซีวอนออกจากบ้านมาที่บริษัทในยามสายของเช้านี้ ชายหนุ่มก็เอาแต่ทำงานทั้งวันจนเกือบเย็น ก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าจะมีหัวหน้าฝ่ายการตลาดย้ายเข้ามาใหม่ ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ลูกพี่ลูกน้องไอ้คังอินนี่หว่า” เสียงทุ้มเอ่ยกับตัวเองเบาๆอย่างไม่ใส่ใจนัก
เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นก่อนที่เสียงของเลขาสาวหน้าห้องจะบอกมาตามสายว่าใครโทรมา
“ว่าไงซองมิน”
“ครับคุณซีวอน คือว่าอีกสองวันจะมีประชุมใหญ่ของบริษัท แต่ผมยังติดต่อคุณคิบอมไม่ได้เลย”
“แล้วเค้าไปไหนล่ะ”
“เอ่อ ไปไซปันครับ .. ไปกับคุณฮันคยอง” ว่าแล้วเชียว ซีวอนเงียบไปก่อนจะถามขึ้นต่อ
“แล้วเค้ารู้รึเปล่าว่าจะมีประชุมใหญ่”
“คิดว่ายังไม่ทราบครับ เพราะว่าตอนนั้นมีการเลื่อนออกไป แต่กำหนดใหม่ก็เร็วเกินไปเลยยังไม่ทันทราบครับ .. เอ่อ แต่ถ้ายังไงผมก็จะติดต่อเรื่อยๆแล้วกันนะครับ รบกวนคุณซีวอนพอแล้ว”
“อืม ไม่เป็นไร ขอบใจมากล่ะที่รายงาน”
“ครับ..” แล้วซองมินก็วางสายไป ซีวอนถอนหายใจเฮือกใหญ่เป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ เรื่องที่บ้านยังไม่พอนี่ยังมาเจอปัญหาในบริษัทอีก เป็นถึงผู้บริหารแต่ทำไมเป็นอย่างนี้กัน แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับงานไม่ออกหรืออย่างไร
แต่ถึงไม่พอใจเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อไม่เคยลืมว่าทั้งหมดมาจากตัวเองทั้งนั้น ถึงจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าทำตัวดีขึ้น แต่ทุกวันนี้เขาก็อารมณ์เย็นลงจริงๆ และถึงจะโกรธแค่ไหนกับสองคนนั้นเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายหรือแค้นใจอะไรเลย กลับมีแต่จะรู้สึกผิดมากกว่า
.. ฉันจะว่าอะไรพวกนายได้ ในเมื่อตัวเองแย่กว่าเป็นร้อยเท่า
***************
เลขาหนุ่มนั่งเคลียร์งานบนโต๊ะไปพลางกดโทรศัพท์ไปด้วยจนเวลาล่วงเข้า สองทุ่มแล้ว ทั้งตึกแทบเงียบสนิทเพราะเหลือเพียงพนักงานไม่กี่คน คนตัวเล็กไม่รู้ตัวเลยว่าทำงานล่วงเวลามาโดยไม่ตั้งใจ
“รับซักทีเซ่ .. ” เสียงเล็กเผลอตะโกนออกมาโดยหารู้ไม่ว่าปลายสายกดรับเรียบร้อยแล้ว
“ว่าไงนะ” เสียงเย็นๆที่ได้ยินทำเอาคนฟังสะดุ้ง
“บอส..”
“เออ ฉันเอง ว่าแต่หลังๆมานี่นายเรียกฉันแบบนี้ตลอดเลยนะ ทีต่อหน้าคนอื่นคุณคิบอมแบบนั้นคุณคิบอมแบบนี้”
“ผม..” ซองมินอยากจะบ้าเหลือเกินที่อีกฝ่ายมาไร้สาระอะไรตอนนี้
“เอาน่า ล้อเล่น จะเรียกอะไรก็เอาเลย .. ฉันไม่ว่า” โดนล้อเล่นเข้าแบบนี้ซองมินก็ถึงกับอยากจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกที
“โถ่ .. ทราบแล้วครับ แล้วนี่หายไปไหนมา ผมโทรหาตังหลายครั้ง จะบอกว่า..”
“รู้แล้ว เจอกันวันประชุมใหญ่ แค่นี้ทำตกอกตกใจไปได้”
“อ้าว .. ก็เห็นว่าไม่ทราบนี่ครับ”
“ใครบอก ระดับนี้แล้วทำไมจะไม่รู้ ฉันเป็นคนจัดการเรื่องนี้เองนั่นแหละ”
ซองมินรู้สึกได้ถึงอะไรที่เหนือความคาดหมายจากเจ้านายตัวเองอีกแล้ว ชอบทำอะไรที่นึกไม่ถึงอยู่เรื่อย ก็เข้าใจว่าไม่ทราบเพราะเขาเป็นคนคอยรายงานตามที่บริษัทกำหนด แต่นี่เจ้านายตัวเองดันไปจัดการอะไรเอาตอนไหน ไม่เห็นว่าเลขาคนสำคัญคนนี้จะรู้เรื่องเลยสักนิด
“เฮ้ ! ซองมิน ..เงียบทำไม”
“หึหึ งั้นเหรอครับ คุณจัดการเองเหรอ .. งั้นผมก็ไหว้ล่ะครับคุณคิมคิบอม ทีหลังก็ติดต่อมาบ้างเถอะนะครับ ไม่ก็บอกอะไรให้ผมรู้เสียหน่อย นี่เล่นเอาผมจะแย่ เมื่อกลางวันก็ยังต้องโทรไปรายงานให้คุณซีวอนทราบอีก เดี๋ยวเค้าก็ไม่พอใจคุณหรอกครับ” ซองมินเอ่ยเสียยาวอย่างขอร้อง คิบอมฟังแล้วก็ชักเอะใจ
“แล้วนายไปรายงานมันทำไม”
“คุณสองคนเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอครับ ผมกลัวนี่นาว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้”
“ช่างเหอะ .. ดีแล้ว มันคิดว่ามันมาจากไหนกัน ลองไม่มีเหมืองของบ้านฉันเซ็นสัญญาด้วยมันก็คงไม่รุ่งขนาดนี่หรอก..”
“บอสครับ”
“เออๆ ฉันก็พูดไปงั้นแหละ ว่าแต่บอกรึเปล่าว่าฉันมากับใคร”
“ครับ”
“ขอบใจนายมากนะซองมิน”
“ครับ ไม่เป็นไร ผมช่วยได้ก็ช่วย”
“โอเค .. งั้นแค่นี้ก่อนนะ เตรียมเอกสารไว้ล่ะ เจอกันวันประชุม”
“เดี๋ยวครับ ผมยัง ..... เฮ้อ” และยังไม่ทันได้ถามอะไรออกไปคิบอมก็ตัดสายไปแล้ว เขายังไม่ได้ถามเลยว่าหัวหน้าฝ่ายการตลาดที่จะย้ายมาใหม่คือใครเพราะว่ามันเกี่ยวกับโครงการใหม่ที่ตัวเองต้องร่วมประสานด้วยนี่สิ แต่จะว่าไปทั้งที่ตัวเองเป็นผู้บันทึกการประชุมครั้งนี้แท้ๆแต่กลับยังไม่ทราบรายนามของที่ประชุม .. ให้ตายสิ นี่ลืมงานอีกอย่างของตัวเองไปได้ยังไง สงสัยจะมัวแต่สาละวนอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆเลยเชียว
.. รู้สึกว่าตัวเองเป็นเลขาที่งี่เง่าที่สุด แถมมีเจ้านายที่บ้าดีเดือดผิดกับหน้าตาอีก คิดแล้วก็เหนื่อยใจไม่น้อย ..
เวลาล่วงมาจนมืดค่ำ ซองมินก็ได้เวลากลับบ้านอย่างแท้จริงเสียที
มินิคูเปอร์สีเหลืองถอยออกมาจากซองอย่างไม่ทันระวัง เนื่องจากลานจอดรถทั้งตึกตอนนี้เหลือรถเพียงไม่กี่คันเท่านั้น และด้วยความไม่ได้ดูอะไรเท่าไหร่ของคนขับและไม่คิดว่าจะมีใครมาเดินใกล้ๆก็ทำเอาท้ายรถชนเข้ากับร่างสูงของใครบางคนเข้า
“เฮ้ย.. ใครวะนั่น” ร่างเล็กไม่รอช้า รีบเอาตัวเองออกจากรถลงมาดูผลงานที่แทบไม่อยากจะรับรู้นัก แต่ภาพที่เห็นทำเอาโล่งใจไปได้เยอะ
“ค่อยยังชั่ว คิดว่าตายซะแล้ว”
ชายหนุ่มรูปหล่อในชุดสูทนั่งโอดครวญเบาๆกับตัวเองท่ามกลางกองเอกสารที่หล่นกระจัดกระจายอยู่ข้างๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองตัวการที่ทำท่าโล่งใจอย่างไม่พอใจนัก
“นายอีกแล้วเหรอเนี่ย .. ขับรถไม่รู้จักดูเลยนะ”
“ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักดู ที่ออกกว้างแต่เดินไม่ดูรถเอง นี่ดีนะที่ไม่ถึงกับเลือดตกอย่างออกน่ะ ต้องขอบคุณฉันนะเนี่ย” ดูเหมือนกับว่าเจ้าตัวจะไม่รู้เลยว่าตัวเองผิด ร่างสูงนึกหมั่นไส้ในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลานิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะนึกอะไรดีๆออก
“เห็นไม่มีเลือดแบบนี้ แต่กระดูกฉันหักนะ” ซองมินได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
“ว่าไงนะ”
“นายได้ยินไม่ผิดหรอก ฉันลุกไม่ได้ เข้าใจรึเปล่า”
“เฮ้ยแต่...”
“มัวยืนดูอยู่นั่นแหละ พาฉันไปหาหมอสิ .. เร็ว”
“เออ รู้แล้ว นี่มันวันซวยอะไรกันวะเนี่ย” ร่างเล็กก้มลงพยุงอีกคนขึ้นอย่างทุลักทุเล ส่วนคนแกล้งเจ็บก็ได้แต่แอบลอบยิ้ม ชายหนุ่มก้มมองเสี้ยวหน้าของคนที่เอาแต่คิ้วขมวดผิดกับใบหน้าน่ารักนั้นเสียจริง
.. ว่าง่ายชะมัด
เวลาพลบค่ำแล้ว ร่างโปร่งบางยืนมองคนที่กำลังเดินคุยโทรศัพท์อยู่ที่ริมทะเลจากทางหน้าต่างในห้องของบ้านพัก ฮันคยองไม่ได้ตั้งใจมองคิบอมตั้งแต่แรก เพียงแต่เห็นเข้าขณะที่กำลังจัดข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมกลับ ไม่บอกก็รู้ว่าคิบอมคุยเรื่องงาน เขาไม่น่าทำให้อีกฝ่ายลำบากเลยจริงๆ แค่เพียงเพราะเรื่องส่วนตัวเท่านั้นกลับทำเหมือนเด็กๆไปได้ กลับไปคราวนี้ จะเข้มแข็งขึ้นรึเปล่านะ จะสู้หน้าน้องตัวเองและคนๆนั้นได้ยังไง .. มันยากนะ ที่จะตัดความรู้สึกออกไป จะกลับมามองหน้ากันแบบปกติเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงอยากจะให้เป็นอย่างนั้นแต่มันจะทำได้แน่หรือ
ฮันคยองยืนคิดไปก็เห็นว่าคนที่เขายืนมองอยู่นั้นหายไปไหนแล้วไม่รู้ เสียง
“ว่าไงครับ พี่ทำอะไรอยู่น่ะ”
“เก็บของน่ะ ทำไมเหรอ”
“จะรีบไปไหนกัน พรุ่งนี้เย็นค่อยเก็บก็ได้นี่ครับ” ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะไม่มีปัญหา แต่ด้วยเหตุผลที่เป็นไปตามความรู้สึกของฮันคยองนั้นทำให้เขาแทบจะคิดเหมือนกับคิบอมไม่ได้
“เรา .. ไม่ได้มาเที่ยวนะคิบอม” อาการซึมๆของคนพูดทำเอาคนฟังไม่รู้จะพูดอะไรดี
“ครับ ผมขอโทษแล้วกัน”
“ไม่ๆ ขอโทษเรื่องอะไร ใครกันแน่ที่ควรพูดคำนี้” ดวงตากลมจดจ้องที่ใบหน้าของคนอายุน้อยกว่า มือบางสองข้างวางเบาๆที่แก้มอีกฝ่าย อยากจะอ้อน อยากจะบอกว่ากำลังว้าวุ่น แต่กลัวคนตรงหน้าต้องคอยกังวลไปด้วย
“พี่ฮัน พี่เป็นอะไรรึเปล่า”
“แหม .. ห่วงพี่เหลือเกินนะคิบอม” เสียงหวานเปล่งขึ้นเล่นเอาคิบอมตกใจ จากที่ซึมๆแล้วทำไมยังพูดเล่นแบบนี้
“อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ความจริงแล้ว ไม่ว่าพี่จะทำอะไรหรือคิดอะไร อย่าคำนึงนักเลยว่ามันจะถูกหรือผิด ผมเพิ่งมาคิดได้ ว่าพี่ควรทำตามใจตัวเองบ้าง”
“คิบอม..”
“อย่างเช่นอยากทำอะไร อยากพูดะไร หรือ.. จะรักใคร”
“คิบอม..”
ต่างคนต่างเงียบ ความอึดอัดที่หายไปกลับมาอีกครั้ง แต่คิบอมต้องเป็นฝ่ายยุติมันเอง ก็เหมือนเดิมเช่นทุกครั้ง .. แค่ยิ้ม
“ก็เหมือนผมไง รักพี่จะตายอยู่แล้วเนี่ย” ว่าแล้วก็ยิ้มเสียตาปิด นั่นสินะ ฮันคยองไม่ได้คิดตามเรื่องที่คิบอมพูด แค่อยากให้คนตรงหน้ายิ้มแบบนี้ตลอดไป อย่ามาคิดกังวลอย่างที่แล้วๆมาเลย ให้เป็นเขาเองที่จะเก็บเรื่องไม่ดีเอาไว้
“โอเคมั้ยครับ”
“อื้ม โอเคอยู่แล้ว” ตกปากรับคำไปแบบนั้น แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ฟังเลยว่าอีกฝ่ายจะหมายความว่าไง ตอนนี้มีอีกคนข้างกายก็พอแล้ว มีคนที่คอยเคียงข้าง .. คอยเข้าข้างเวลาที่เขาเหมือนอยู่ฝ่ายเดียว วงแขนกว้างโอบเข้าเบาๆที่เอวบางก่อนจะดึงเข้ามากอดเสียแน่น ฮันคยองซุกหน้าเข้ากับไหล่กว้าง
“พี่น่ะ เข้มแข็งจะตายไป ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
“
.........”
“อย่าร้องสิ เอาไว้ร้องตอนที่บริษัทเรามีโบนัสเจ็ดเดือนละกันนะครับ”
“ฮึก ... บ้า”
“โอ๊ย...” คิบอมร้องขึ้นเบาๆเมื่อกำปั้นเล็กทุบเข้าที่แขนข้างหนึ่ง ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะโยกร่างของคนในอ้อมแขนไปมาอย่างเบามือ
น่าแปลก ตอนนี้คิบอมรู้สึกเหมือนเดิมอีกแล้ว เหมือนหัวใจตกไปที่ตาตุ่ม เหมือนเจ็บเบาๆที่อกด้านซ้าย พรุ่งนี้จะกลับไปเป็นอย่างเดิม ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะบอกคำว่ารักให้เขาได้ฟังแล้วก็ตาม แต่เวลาที่ไม่ได้อยู่กันสองคนฮันคยองยังจะเลือกเขาอยู่รึเปล่า แล้วที่บอกไปจะรู้ไหมว่าเขาหมายถึงอะไร
หรือ .. จะรักใคร
บางทีแท้จริงแล้วนั้น เวลาที่อยู่ที่นี่ .. อาจเป็นเพียงสวรรค์ไม่กี่คืนสำหรับเขาเท่านั้นเอง
************
ทางด้านของคนในบ้านหลังใหญ่ หลังจากอาหารมื้อเย็นจบลงก็กำลังเกิดความวุ่นวายระหว่างคนสองคน เสียงร้องตะโกนดังขึ้น ณ ห้องรับแขกของบ้าน
“ไม่ไปจะทำไม นายเลิกยุ่งกับฉันเสียที” ประโยคสุดท้ายจบลงด้วยการที่ร่างบางถูกอุ้มเดินออกไปโดยไม่ทันตั้งตัว หลังจากที่ยื้อยุดกันอยู่นาน เสียงกรีดร้องยังคงดังไปทั่วบ้าน มีเพียงพี่เลี้ยงซูยองที่ห้องหนึ่งในชั้นบนของบ้านเท่านั้นที่คอยเล่นอยู่กับลูกสาวตัวน้อยของคนทั้งสองที่ดูท่าจะเข้ากันไม่ได้เสียที ส่วนป้ายุนฮีก็ได้แต่มองตามอย่างทำอะไรไม่ได้
“หยุดดิ้นได้แล้วดงแฮ”
“ปล่อย .. บอกแล้วไงว่าไม่ไป ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
“อยากเจอดีมากกว่านี้ไหม ถ้าไม่อยากให้ทำตรงนี้ก็เลิกร้องแล้วอยู่นิ่งๆซะ”
ใบหน้าหล่อเหลาหันมาบอกเสียงแข็งกับคนในอ้อมกอดเป็นครั้งสุดท้าย และมันก็ได้ผลจริงๆอย่างที่คิด ซีวอนรีบเปิดประตูรถออกแล้วยัดร่างที่อุ้มมาเข้าไปในรถอย่างไม่รอช้า
“ก็แค่นี้แหละ แค่ไปหาหมอตามที่นัดก็อย่าดื้อนักเลย” ชายหนุ่มว่าแล้วก็ปิดประตูรถและเดินไปประจำที่นั่งฝั่งคนขับก่อนจะออกรถไปยังโรงพยาบาล
ตลอดทางที่มาดงแฮนั่งนิ่งอย่างไม่ยอมหันหน้ามามองซีวอนเลยแม้แต่นิด นี่ขนาดคิดว่าจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายบังคับแล้วแท้ๆ แต่ก็สู้แรงไม่ได้ ครั้งนี้ถือว่ายอมไปก่อนเพราะแค่มาตรวจ แต่ไม่มีทางที่จะมาบังคับไปได้มากกว่านี้แน่ ซีวอนเองก็ใช่ว่าจะหันหน้ามามองเท่าใดนัก อยากจะอ่อนโยนด้วยแต่คงไม่มีประโยชน์ อยากให้คนข้างๆรู้เหลือเกินว่าที่เขาทำไม่ดีลงไปทั้งที่ตัวเองรู้สึกผิดอยู่เต็มอกนั้นมันทรมานแค่ไหน
สองร่างนั่งอยู่ข้างกันในห้องของคุณหมอคนเดิมที่ตอนนี้กำลังตรวจคนไข้รายสำคัญอยู่ที่ห้องผู้ป่วย ดงแฮมีสีหน้าลำบากใจกับสภาพที่เป็นอยู่โดยที่ซีวอนนั้นสังเกตได้ ร่างสูงลอบมองคนข้างกายอย่างเห็นใจ ในความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างกันไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของซีวอนน้อยลงไปเลย
.. เพราะฉันคนเดียวทำให้เธอเป็นแบบนี้ รีบกลับมาได้ไหมคนดีของฉัน
มือหนาเอื้อมไปกุมมือของคนที่นั่งอยู่ข้างกายเอาไว้
“อย่ากลัวไปเลย ไม่มีอะไรหรอก” ซีวอนพูดปลอบใจพลางบีบเบาๆที่มือของดงแฮเป็นเชิงย้ำให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้
“อืม” ใบหน้าที่เงยขึ้นมองนั้นตอบรับเบาๆ แม้ว่าดงแฮจะไม่ได้ต่อว่าอะไรกลับมาแต่ยิ่งเห็นหน้า ซีวอนก็ยิ่งคิดถึง ใกล้กันแค่นี้แต่เขากำลังคิดถึงคนตรงหน้าใจจะขาด
ไม่นานนักในระหว่างที่คนทั้งสองนั่งรออยู่ คุณหมอคนเดิมก็กลับออกมาจากคนไข้รายสุดท้ายเพื่อมารับคนไข้พิเศษที่ได้สิทธิ์มารอถึงในห้องเขาโดยไม่ต้องขออนุญาต
“ว่าไงซีวอน พามาตามกำหนดเลยนี่” เสียงทุ้มเอ่ยกับเพื่อนก่อนที่คนที่ถูกพูดถึงจะเงยหน้าขึ้นมองช้าๆ คุณหมอหนุ่มยิ้มให้แต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรเหมือนแต่ก่อนเพราะรู้ว่าเพื่อนตัวเองยังจำอะไรไม่ได้ คังอินจึงเปลี่ยนมามองที่อีกคนแทน ซึ่งแน่นอนที่ใบหน้าของเพื่อนรักมันกำลังบอกว่าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
“เอาน่าซีวอน ใจเย็นๆ”
“เออ .. ไม่เป็นไรคังอิน” ได้ยินอย่างนั้นดงแฮก็ชักอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนใครไม่รู้มาพูดถึงตัวเองทั้งที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้
“เอ่อ คุณหมอ ได้เวลาตรวจรึยังครับ” ร่างบางลุกขึ้นพูดก่อนที่คุณหมอหนุ่มจะเดินนำไปแทบไม่ทัน ดงแฮหันหน้ามามองซีวอนขณะที่กำลังจะเดินออกไปยังห้องตรวจอีกห้อง แต่คนที่นั่งอยู่กลับหันหน้าหนีไปเสียก่อน
.. แวบเดียวเท่านั้นที่ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นกับดงแฮ ก็ไหนว่าจะอยู่ข้างๆ
เมื่อเข้าไปในห้องตรวจ ถึงแม้จะไม่ได้น่ากลัวอะไรนักแต่ดงแฮก็อดคิดไม่ได้ว่าไม่อยากจะอยู่ในนั้นแม้แต่นิด
“อ้าว จะไปไหนล่ะครับ เชิญนั่งก่อน” คังอินพูดอย่างมีมารยาทพร้อมผายมือให้นั่งลงที่เก้าอี้ ร่างบางที่มัวชะเง้อออกไปนอกห้องหันกลับมาอย่างไม่มีทางเลือก
“หาซีวอนเหรอ มันรออยู่ข้างนอกน่ะครับ”
“เปล่า .. ผมไม่ได้หา” ดงแฮรีบปฎิเสธออกมาเมื่อเจอถามแบบนั้น พูดจบก็พาตัวเองนั่งลงกับเก้าอี้ทันทีเพราะไม่อยากให้ใครเข้าใจนักหรอกว่ามองหาคนๆนั้น แค่คิดก็เกลียดจะแย่
.. เรื่องที่ผ่านมา ไม่อยากจำรึเปล่า ถึงได้ลืมไปหมด ..
มือบางเริ่มกำเข้าที่ชายเสื้อตัวเองเมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆเพื่อดูอาการ ร่างกายที่เริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่นั้นกำลังสั่นน้อยๆ
“ดงแฮ..” เสียงทุ้มของคุณหมอหนุ่มเรียกขึ้นให้เขาเงยหน้าออกจากความคิด ความปวดหัวจึงเริ่มคลายลงช้าๆ
“เป็นไรรึเปล่าครับ”
“เอ่อ .. เปล่าครับ ไม่มีอะไร” หลังจากที่ดงแฮบอกไป ขั้นตอนการตรวจก็ดำเนินต่อไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกผลของร่างกายและอาการต่างๆทั้งหมด
คนที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็ยังคงรอต่อไป ซีวอนลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาอย่างไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่ยอมนั่งลง แค่พามาตรวจแต่เขากลับทำราวกับว่ากำลังรออีกฝ่ายเข้าห้องผ่าตัดไปเสียอย่างนั้น
“ทำไมมันนานแบบนี้เนี่ย” คิดแล้วก็อดนึกถึงเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ไม่ได้ กับการที่อีกฝ่ายกันมาหาแต่ตัวเองกลับกำลังคิดอะไรในใจจนไม่สังเกต หันมาอีกทีก็หายไปจากห้องแล้ว .. ทำไมมันรู้สึกไม่ดีเลยนะ
คังอินซักถามเรื่องทั่วไปช้าๆก่อนจะเริ่มเข้าสู่คำถามที่คิดว่าอยากทราบความก้าวหน้าของความทรงจำ คนถูกถามตอบไปตามความจริงอย่างไม่ปิดบัง
“ก็นึกไม่ออก มันลืมช่วงหนึ่งไป เลยจำไม่ได้ ตอนนี้ยังจำเรื่องที่ลืมไม่ได้”
“แล้วพอจะนึกออกบ้างไหมครับ อย่างเหมือนนึกขึ้นได้”
“ก็มีบ้าง เหมือนจะจำได้ แต่มันปวดหัวมาก เหมือนเข้ามาแล้วมันรีบออกไปจนจับไม่ทัน อีกอย่าง..” ว่าแล้วก็เงียบไป คังอินถามจึงขึ้นอีก
“อีกอย่าง อะไรครับ”
“อีกอย่าง ไม่อยากนึกได้เลย .. ไม่อยากนึกเพราะมันเป็นเรื่องไม่ดี ตอนนี้คิดว่าไม่อยากจำได้แล้วด้วย”
“เอ่อ .. จำได้ นี่แสดงว่าจำได้บ้างแล้ว”
“ไม่ จำไม่ได้ .. อย่าถามเลยนะ มันจำไม่ได้จริงๆ” แม้จะบอกออกไปตรงๆ แต่สิ่งที่ดงแฮบอกไม่ได้เพียงอย่างเดียวคือเรื่องที่เพิ่งรับรู้มาเมื่อไม่นาน เรื่องที่คิดว่าไม่ดี เรื่องที่คิดว่าตัวเองคงไม่อาจให้อภัย ไม่อาจทำตามที่ใครบางคนต้องการได้
เพราะอย่างนี้ถึงไม่อยากจำได้อีกต่อไป .. เพราะความขี้ขลาดของตัวเองที่กำลังกลัวอย่างไม่รู้ตัว กลัวความเจ็บปวดอะไรสักอย่าง
ท่าทางเครียดของคนไข้ทำให้คุณหมอหนุ่มไม่อยากจะถมต่ออีกเพราะปัญหาที่สำคัญคือเจ้าตัวเองไม่อยากจะจดจำหรือนึกถึง แต่ด้วยความเป็นแพทย์แล้วเขาเองย่อมรู้ว่าถึงจะปิดกั้นอย่างไร ถ้าเกิดนึกขึ้นได้เมื่อไหร่ ความทรงจำก็จะค่อยๆกลับมา แต่คังอินเข้าใจผิดไปอย่างหนึ่ง เพราะเรื่องไม่ดีที่ดงแฮบอกนั้นมันไม่ใช่เพราะนึกได้ แต่เพราะรับรู้มากับตัวเองต่างหาก .. แล้วตอนนี้คนที่คังอินอยากพูดด้วยเห็นท่าจะเป็นคนที่รออยู่ข้างนอกมากกว่า
“ว่าไงนะ ดงแฮบอกว่าไม่อยากจำงั้นเหรอ” ซีวอนถามออกมาเมื่อได้ยินจากปากเพื่อนตัวเอง ตอนนี้เขาอยู่ในห้องทำงานของคังอินที่มานั่งรออยู่กับดงแฮในตอนแรก คังอินต้องการจะคุยเรื่องนี้โดยเฉพาะในขณะที่ทิ้งให้ดงแฮนั่งอยู่กับพยาบาลที่ห้องเดิม ตอนนี้ก็เข้าสู่เวลาเย็น
“ใช่ .. บอกว่าไม่อยากจำเพราะมันเป็นเรื่องไม่ดี”
“ทำไม”
“นั่นสิ กูก็อยากจะถามว่าทำไมเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าถ้าจำไม่ค่อยได้เลย แล้วทำไมรู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดี มึงทำอะไรให้ดงแฮรู้รึเปล่าวะซีวอน”
“เปล่านะเว้ย กูดูแลอย่างดี ตอนแรกเหมือนจะไปได้ดีแต่ทำไมไม่รู้คืนแรกที่ออกจากโรงพยาบาล กลับจากกินข้าววันนั้นจู่ๆก็เป็นแบบนี้ขึ้นมาเลย .. แล้วก็บอกอยู่นั่นแหละว่าไม่รัก” ซีวอนพูดไปก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที คังอินมองเพื่อนรักที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังสมน้ำหน้าอีกฝ่าย
“เหอะ สิ้นท่าเลยทีเดียวนะมึง”
“มึงไม่เข้าใจหรอกคังอิน กูแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ กูทรมานมากเหมือนกับว่าเค้าไม่ได้อยู่กับกูแล้ว ทำไมวะ .. ทำไมกูเจ็บแบบนี้” ใบหน้าคมพร่ำบอกถึงความเจ็บปวดที่กำลังได้รับ ซึ่งคนฟังก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร
“แล้วที่บ้านเป็นไง” คังอินถาม
“เป็นไงล่ะ ฮีชอลจะเข้าหาก็ไม่ได้ กูสงสารลูกว่ะคังอิน ร้องไห้แทบทั้งวัน”
“เฮ้อ .. เอาว่ะ ใจเย็นๆนะ เรื่องนี้เดี๋ยวมันจะดีเอง”
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ เมื่อไหร่กัน ทำไมวะคังอิน .. กูไม่เข้าใจว่ะว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ บอกมาทีสิ”
“ทำไมน่ะเหรอ ก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่รึไง .. อย่าลืมนะซีวอน ที่ดงแฮความจำเสื่อมเพราะตกบันได แล้วทำไมดงแฮถึงตกบันได มึงไม่ลืมใช่มั้ย” เจอเข้าแบบนี้คนฟังก็พูดแทบไม่ออก ก้อนสะอึกเข้ามารวมกันอยู่ที่ลำคอของชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาที่ตอนนี้แทบไม่เหลือรอยยิ้มเลยได้แต่ก้มหน้ากับตัวเอง
“ใช่ กูไม่ลืมหรอก .. เพราะเราทะเลาะกัน และที่เป็นแบบนั้นก็เพราะกูเองคนเดียว เพราะกูนอกใจดงแฮ”
“ถ้ารู้ว่าตัวเองผิด ก็อย่าไปโทษอย่างอื่นเลย” คังอินบอกก่อนที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป
“อย่างที่มึงเล่าให้กูฟังนั่นแหละซีวอน .. ดงแฮเจ็บมากนะเว้ย คิดดูสิว่าคนที่รักมึงขนาดนั้น จู่ๆจะมาบอกว่าจะยกมึงให้กับพี่ชายตัวเอง แสดงว่าที่ผ่านมาไอ้การที่มึงไปแอบมีอะไรต่อมิอะไรกับพี่ฮัน ดงแฮก็รู้มาตลอด”
“..............”
“แล้วคนที่มึงทำร้ายก็ไม่ใช่แค่ดงแฮ พี่ฮันเองกูก็สงสารเค้าว่ะ แล้วไหนจะ
คิบอมอีก มึงรู้รึเปล่าว่ามันโกรธมึงแค่ไหน คิบอมมันต้องทนดูคนที่มันรักทั้งสองเจ็บเพราะมึงคนเดียว”
“กูรู้ .. แต่เรื่องนี้กูไม่คิดว่าดงแฮจะรู้นี่หว่า”
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไป แต่กับคนที่ได้ยิน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รู้ว่าทุกอย่างไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากที่เข้าใจเลยแม้แต่นิด .. ร่างบางที่ยืนเอาหูแนบกับบานประตูค่อยๆดันตัวเองออกมาจากตรงนั้น เรียวขาที่แทบไม่มีแรงฝืนพาตัวเองเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
.. คิดถูกแล้วที่มาแอบฟังแบบนี้ อย่างน้อยๆก็รู้อะไรเพิ่มขึ้น
แต่น่าเสียดายที่ดงแฮรู้อยู่เพียงแค่นั้น เพราะไม่ได้ฟังประโยคต่อไปให้ทุกอย่างกระจ่างถึงความจริง
เพียงแค่ความจริงที่ว่า .. ผู้ชายคนนั้นไม่ได้เอ่ยคำว่ารักเฉพาะแค่ต่อหน้าเพื่อที่จะ
“ถามจริงๆเหอะซีวอน ถ้าดงแฮจำได้มึงจะทำยังไง จะยอมรับผิดแล้วเลิกกันง่ายๆแบบนั้นรึเปล่า”
“ไม่รู้ ขอแค่กลับมาจำได้ยังไงเค้าก็รักกู ถึงแม้ว่าจะต้องเลิกกันเพราะกูมันเลวก็ตาม”
“ดีแล้วล่ะ กูก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้มากกว่านี้หรอกนะ”
“อืม .. แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ” บทสนทนาจบลงตามมาด้วยความเงียบระหว่างคนทั้งสองที่ไม่รู้เลยว่าคนที่กำลังพูดถึงจะได้ยินอะไรไปบ้าง
พยาบาลสาววิ่งหน้าตั้งเข้ามาที่ดงแฮยืนอยู่หลังจากที่เขาออกไปจากที่ตรงนั้นก่อนแล้ว เพียงแค่หล่อนไปซื้อของที่อีกฝ่ายไหว้วาน พอกลับมาก็พบว่าอีกคนได้หายไปจากห้องแล้ว ไม่รู้จะทำยังไงเลยเคาะประตูห้องคุณหมอตรงที่ยืนอยู่ เป็นจังหวะเดียวกับที่ซีวอนเปิดประตูออกมาพอดี และเมื่อชายหนุ่มพบว่าอีกคนกลับไปแล้วจากที่พยาบาลบอกก็ตกใจอย่างมากจะปล่อยไปก็ไม่กล้า ร่างสูงออกวิ่งไปตามทางที่ดงแฮเดินออกไปโดยที่คังอินได้แต่มองตาม ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้เท่าไหร่นักกับปัญหาของเพื่อนทั้งสอง
แล้วซองมินก็พาคนเจ็บมาถึงโรงพยาบาลเสียที มินิคูเปอร์คันเดิมจอดลงที่ทางเข้าโรงพยาบาลในยามค่ำคืนโดยที่คนขับอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก บ้านก็ไกลรถก็ติด แถมยังเจอคนซุ่มซ่ามแบบนี้อีก
“ถึงแล้ว ลงไปสิ ฉันหิวข้าวจะตายแล้วเนี่ย”
“แต่ฉันเดินไม่ได้นะ”
“นู่นไง เดี๋ยวพยาบาลเค้าก็มารับ”
“โอ้โห .. นี่ขับรถชนคนอื่นแล้วยังจะใจดำอีกนะพ่อคุณ” ซองมินได้ยินก็ชักจะเหลืออด เอาวะ อย่ามาว่าเขาใจดำอีกแล้วกัน
“โอเค ฉันจะพานายไปหาหมอ นั่งรอว่านายเป็นอะไรรึเปล่า จากนั้นก็จะจ่ายค่ารักษาให้ด้วย พอใจรึยัง”
“อื้ม ต้องแบบนี้สิ” ว่าแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ ต่างจากคนรับปากที่แทบอยากจะเอาหัวโขกพวงมาลัยรถเสียตอนนี้เลย ซองมินพยุงร่างสูงให้เดินเข้าไปด้วยกัน ใจหนึ่งก็หงุดหงิดแต่อีกใจก็คิดว่าจะทำยังไงถ้าเกิดคนๆนี้กระดูกขาเกิดหักขึ้นมาจริงๆแล้วต้องพักรักษา เขาคงรู้สึกผิดไปมากเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันไรสองร่างที่ยืนเกาะกันอยู่อย่างยากลำบากก็ต้องเซล้มลงไปเมื่อมีใครคนหนึ่งวิ่งมาชนเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย! .. อะไรอีกเนี่ย” ซองมินว่าพลางเงยหน้าขึ้นก็พบคนที่ตัวเองพยุงอยู่นั้นกำลังถูกคร่อมด้วยร่างที่วิ่งมาชน ใบหน้าทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบก่อนที่ร่างบางจะดันตัวเองออกมาแล้วหันมาทางเขา ทำให้ซองมินเห็นใบหน้านั้นชัดเจน
“คุณดงแฮ” เสียงเล็กเอ่ยกับตัวเองเบาๆ แต่ยังไม่ทันได้ทักอะไรดงแฮก็วิ่งจากไปเสียแล้ว
“ร้องไห้ด้วย”
“ใช่ น่ารักชะมัด” ได้ยินแบบนั้นซองมินก็ต้องหันไปมองอีกคนที่ยังคงนอนแผ่อยู่กับพื้น
“นาย .. เจ็บแล้วมัวมาชมคนอื่นอีกนะ”
“ก็จริงนี่ ใครไม่รู้อย่างกับนางฟ้า น่ารักเป็นบ้า”
“หึหึ งั้นก็ให้นางฟ้ามาโปรดนายเองแล้วกันนะ ฉันไปล่ะ”
“เดี๋ยวสิ จะบ้ารึไง พูดแล้วอย่าคืนคำ มาพาฉันไปหาหมอก่อนเลย” ซองมินจำใจต้องก้มลงไปพยุงอีกคนอย่างเคย ใบหน้าหวานมองซ้ายทีขวาทีก็เจอเข้ากับพยาบาลที่มาพร้อมรถเข็นเพื่อมารับตัวคนไข้ และก่อนที่ร่างสูงจะปล่อยมือจากแขนนิ่มๆแล้วทิ้งตัวลงนั่งนั้น ก็ยังมิวายกระซิบเข้าข้างแก้มเนียนเบาๆ
“ขอบใจนะ” ซองมินหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรจนพยาบาลกับอีกฝ่ายได้จากไปแล้ว ร่างเล็กเดินวนไปหาที่นั่งรอแต่แล้วก็ดันเจอเข้าอีกซ้ำสอง
ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนวิ่งมาชนเข้าอย่างจังกับเขาอีกครั้งแต่ถูกดึงเอาไว้ก่อนเลยไม่ล้มลงไป
“คุณซีวอน ..”
“ซองมิน โทษทีนะ ฉันรีบน่ะ” ว่าแล้วซีวอนก็ทำท่าจะไปต่อ
“เดี๋ยวครับ คุณดงแฮวิ่งไปทางนู้นน่ะครับ รู้สึกจะร้องไห้ด้วย”
“อืม .. ขอบใจนะ” ร่างสูงวิ่งไปตามทางที่ซองมินบอก แต่สิ่งที่ได้ยินมันชวนให้เป็นห่วงเหลือเกิน
.. ร้องไห้อีกแล้ว เพราะฉันอีกแล้วใช่ไหม
ซองมินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้มุมหนึ่งข้างๆกับคนอื่นที่นั่งรอญาติตัวเอง ไม่รู้วันนี้มันวันอะไรทำไมเขาถึงได้เจอแต่เรื่องวุ่นวายแบบนี้ก็ไม่รู้ และโดยที่ไม่ต้องดูนาฬิกาเลยก็รู้แล้วว่ามันกี่ทุ่ม เสียงท้องร้องบวกกับอาการเหนื่อยล้าทำเอาร่างเล็กผล็อยหลับไปได้ไม่ยาก
ส่วนคนที่แกล้งโกหกว่าตัวเองกระดูกหักนั้น พอลับตาร่างเล็กที่จากมาแล้วก็รีบขอโทษขอโพยพยาบาลเป็นการใหญ่ ก่อนจะตรงไปหาลูกพี่ลูกน้องตัวเอง
คุณหมอหนุ่มนั่งจ้องน้องชายสุดหล่อตรงหน้า ก่อนที่จะต้องอยู่เวรที่โรงพยาบาลอีกทั้งคืน
“พี่คังอิน นี่พี่จะจ้องผมนานรึเปล่า”
“เหอะ แค่ไม่เจอนานหล่อขึ้นนะเรา แต่ดูท่าว่าการไปเรียนที่อังกฤษเนี่ยไม่ได้ช่วยให้การพูดจาของนายดีขึ้นเท่าไหร่เลยนะ”
“โอเคครับ .. ต้องขอบคุณพี่มากเลยนะที่ช่วยฝากฝังตำแหน่งที่บริษัทนั้นให้น่ะ”
“ไม่หรอก พี่ก็แค่แนะนำนายเท่านั้นเอง อีกอย่างเพื่อนพี่มันก็ไม่โง่พอจะมาคิดเรื่องที่นายเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่หรอกนะ ที่เข้าไปได้มันเป็นเพราะความสามารถของนายเองต่างหาก” ว่าแล้วคังอินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้มาตบเข้าเบาๆที่บ่าน้องชายตัวดี
“ครับ ไม่อยากทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังน่ะ”
“แล้วนี่กลับมาพ่อแม่นายว่าไงบ้างล่ะ”
“ก็จะให้ว่าไงล่ะครับ พวกท่านก็ดีใจมาก”
“นั่นสินะ”
สองคนคุยกันเพียงไม่นาน คนเป็นน้องก็ขอตัวกลับก่อน
“อ้อ เดี๋ยว อย่าไปทำตัวแย่อย่างที่ผ่านมาล่ะ ไปทำงานเป็นถึงระดับหัวหน้าก็อย่าให้ใครเค้ามาว่าเป็นแค่เด็กนอกไร้สมองนะเข้าใจไหม”
“ครับ พี่คังอิน”
“อืม .. ไว้เจอกัน คยูฮยอน”
ซองมินเกือบจะไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านแล้วถ้าหากว่าพยาบาลสาวจะไม่เข้ามาปลุกเสียก่อน
“เอ่อ คุณคะ พอดีว่ามีคนเค้าฝากมาปลุกน่ะค่ะ แล้วนี่ .. ฝากมาให้ด้วยค่ะ”
ดวงตากลมที่เปิดแทบไม่ไหวก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือ หลังจากที่รับมาจากพยาบาลสาว
เสียงเล็กเอ่ยขอบคุณอย่างงัวเงีย ก่อนที่หล่อนจะเดินจากไป แซนด์วิชทูน่าชิ้นใหญ่กับโน๊ตแผ่นเล็กที่แปะอยู่อีกด้าน จากที่กำลังง่วงก็เบิกตาขึ้นอ่านสิ่งที่เขียนไว้
- รองท้องไปก่อนนะ อย่ากลับดึกล่ะ อ้อ .. ไม่ต้องรอ เพราะกระดูกไม่ได้หัก^^ -
ตอนนี้ใครหน้าไหนก็อย่ามาถาม ว่าทำไมซองมินนั่งนิ่งขนาดนี้
พระเจ้า! นี่เขาถูกหลอกงั้นเหรอ อยากจะรู้นักว่าผู้ชายคนนี้มันเป็นใคร อย่าให้เขาได้เจออีกแล้วกัน ไม่งั้นล่ะก็ ..
ว่าแล้วด้วยความโกรธ มือเล็กก็ยกเตรียมจะขว้างแซนด์วิชชิ้นใหญ่ลงไปถังขยะข้างๆ แต่เสียงท้องที่ร้องขึ้นคัดค้านนั้นทำให้เขาต้องค่อยๆถือมันเอาไว้อย่างเดิม ก่อนจะแกะออกทานอย่างเงียบๆ .. เจ็บใจเป็นที่สุด
“มานั่งทำอะไรตรงนี้ รู้รึเปล่าว่าฉันตามหานานแค่ไหน” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆในความมืดกับร่างของคนที่เดินตามหาจนทั่วก็ไม่พบ แต่ดันมาเจออยู่ตรงนี้เข้า
“ไม่รู้หรอก เพราะไม่คิดว่านายจะมาตามหา”
“
...” คนฟังได้ยินก็ชักเหนื่อยใจ
“กลับบ้านกันเถอะ” ซีวอนบอก แต่ดงแฮก็ยังไม่ตอบและไม่ยอมลุก พลางทำท่าจะลุกขึ้นหนีไปเพราะไม่อยากจะมองหน้าด้วยซ้ำ ไม่อยากให้รู้ว่ากำลังร้องไห้
เหมือนกับคนบ้าที่เศร้าเสียใจอยู่คนเดียว
.. ทำไมกันนะ ในเมื่อจำไม่ได้ก็เลิกยุ่งเกี่ยวไปเสียตอนนี้เลยสิ ฉันก็เกลียดคนที่ไม่รู้จัก เกลียดคนหลอกลวงอย่างนายที่เคยทำร้ายกันมาก่อน
“ร้องไห้ทำไม”
“ไม่ได้ร้อง”
“ฉันมองอยู่ตลอดแหละ เธอทำอะไรทำไมฉันจะดูไม่ออก”
“ก็บอกว่าไม่ไง ฉันเนี่ยนะจะร้องไห้ ร้องทำไมกัน”
“ดงแฮ” ซีวอนเอื้อมมือออกไปดึงอีกฝ่ายเข้ามาชิดตัวแต่อีกคนก็ได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่อยากจะมองให้รู้สึกแย่ไปมากกว่านี้
“ปล่อยมือเดี๋ยวนี้” ดงแฮพูดเสียงแข็งแต่ไม่ได้ทำให้ซีวอนรู้สึกแปลกใจเลย มือหนาไม่คลายออกแม้แต่น้อย แต่กลับโอบกอดเอวบางของคนที่หันหลังให้แนบกาย อกอุ่นๆกอดเอาทั้งร่างไว้จากข้างหลังไม่ยอมปล่อย ซีวอนเกยคางอยู่กับไหล่มนพลางหลับตาลง อ้อมแขนแกร่งเปรียบดั่งคีมเหล็กที่ดงแฮเองรู้ตัวว่าไม่สามารถหลุดออกไปได้ เลยได้ยืนนิ่งให้อีกฝ่ายกอดอยู่แบบนั้น
เหมือนกับว่าเวลาจะหยุดอยู่อย่างนั้น และแน่นอน ซีวอนเองก็ไม่อยากให้มันเดินต่ออีกแล้ว .. ถ้าการที่เขาได้กอดคนๆนี้เอาไว้อย่างนี้ตลอดไป ให้หยุดหายใจไปตอนนี้เลยเขาเองก็ย่อมทำได้
“ขอร้องเถอะ กลับมาเหมือนเดิมได้ไหม”
“.............”
“ฉันคิดถึงเธอจนจะบ้าแล้วรู้รึเปล่า .. ดงแฮ”
.. นายนี่มันโง่รึเปล่าซีวอน ฉันจำไม่ได้แล้วน่าจะดีใจสิ อยากทำอะไรก็เชิญ อย่ามาทำตัวเป็นคนดีอยากไถ่โทษหน่อยเลย
มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเงียบๆก่อนจะเลื่อนลงไปแกะมือที่โอบกอดตัวเองไว้ออกไป ดงแฮพยายามทำหน้าให้ดูเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่างบางหันกลับมาสบตากับอีกคนที่ที่ยืนอยู่
“แน่ใจเหรอ .. ว่าอยากให้ฉันจำได้”
.
.
TBC. Chapter 12
ความคิดเห็น