คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : WHEN ? .. Chapter.[10]
--->>http://www.youtube.com/watch?v=iM6VldwNyrI
โอพีวีที่ใช้โปรโมทเว็นในงานไก่(KFC#4)ที่ผ่านมา เผื่อใครอยากดู โหะๆ^^
มาลงต่อแล้วค่ะ แต่ขอไว้อย่างคือ กอนลงช้าจริงๆนะ นี่ดีสุดแล้ว
(น่าเตะเนอะ อิอิ) เอาเป็นว่ามันแก้ไม่ได้ค่ะ ขอโทษจริงๆน้า^^!
ปล. พาร์ท 5และ9 ใครอยากได้ฉากที่กอนเซ็นเซอร์ไว้ทิ้งเมล์ไว้นะคะ (ไม่มีไรมากหรอกค่ะ อยากอ่านก็เด๋วส่งให้)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Chapter 10
ไม่จำเป็นจะต้องแคร์อะไรอีก .. เพราะคนที่ควรจะแคร์ก็อยู่ตรงนี้แล้ว
แสงแดดยามสายส่องกระทบข้างลำเรือที่ลอยเอื่อยๆอยู่กลางทะเลโดยที่เจ้าของมันได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาหลับตานิ่งโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าคนข้างกายกำลังจ้องมองตัวเองอยู่ ฮันคยองยันตัวขึ้นภายใต้ผ้าห่มผืนนุ่ม
ความเงียบที่รับรู้ได้ทำให้สติเริ่มกลับมา เขานั่งนึกเรื่องเมื่อคืนไปพลางมองคิบอมไป เรียวนิ้วลูบเข้าเบาๆที่ข้างแก้มของคนหลับ รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อน
ฮันคยองก้มหน้าลงหอมแก้มคิบอมเบาๆเพราะไม่อยากจะรบกวนเวลานอนให้ต้องตื่นมาตอนนี้
. . ครั้งนี้ไม่ผิดใช่ไหม
ต่างจากทุกครั้งที่ทำไป ความสุขเพียงชั่วครั้งคราวได้กลับมาแต่ความเจ็บปวดที่ยาวนาน
“ขอบใจนะคิบอมที่ไม่รังเกียจ” เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้นช้าๆ ร่างโปร่งบางเตรียมจะลุกออกไปก่อนที่อีกฝ่ายจะตื่นขึ้นมาแต่คิบอมก็ลืมตาขึ้นมาก่อนที่จะจับข้อมือนั่นเอาไว้แล้วดึงลงมากอดไว้แนบกาย
“อย่าร้องอีกเลยนะ ถ้าสงสารกันก็อย่าทำอีกเลย” เสียงทุ้มเอ่ยกับคนในอ้อมกอดที่ตั้งตัวไม่ทันเมื่อถูกเขากอด ฮันคยองไม่นึกว่าคิบอมจะรู้ว่าตัวเขาเองกำลังมีน้ำตา
“ไม่ได้ร้องนะ” ฮันคยองบอกเสียงอู้อี้ทั้งที่คิบอมก็เห็นอยู่ตำตาว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้
“ปากแข็ง”
“นายอย่าเอาใจกันนักได้ไหม ฮึก.. คนอ่อนแอหวั่นไหวรู้รึเปล่า”
“ผมขอโทษนะ ก็แค่ไม่ชอบเวลาที่พี่ร้องไห้น่ะ”
“เพราะรำคาญ”
“ทำไมชอบคิดแบบนี้นักนะ..อันที่จริงแล้ว พี่ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมแอบรักพี่มานานแล้ว” ว่าแล้วก็เชยคางคนฟังให้สบตากัน ฮันคยองไม่ตอบว่าอะไร เพียงแต่ที่
“ยิ้มอะไรครับ..พอใจมากใช่มั้ยที่มีคนเค้ารักตัวเองข้างเดียวมาตลอด” เสียงทุ้มเอ่ยแกมหยอก ก่อนจะกระชับวงแขนดึงร่างที่กอดไว้ให้แน่นเข้าไปอีก
“.. นายนี่ก็ตลกดีเหมือนกันเนอะ”
“ผมควรจะคิดว่าพี่ชมใช่มั้ยเนี่ย”
“ก็คงจะนะ..” ฮันคยองยิ้มกว้าง ใบหน้าซุกอยู่ที่หน้าอกของอีกคนนั้นไม่ต้องบอกคิบอมก็รู้ว่าคนในอ้อมกอดเขาตอนนี้คงยิ้มได้แล้วล่ะมั้ง มือหนาค่อยๆดันไหล่บางออกห่างพลางเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าที่เขาแสนรักให้แห้งหายไป หลังจากนั้นคิบอมก็บรรจงใส่สร้อยเงินเส้นที่มีจี้รูปดอกทานตะวันเล็กๆลงไปที่คอของฮันคยองดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างเมื่อเห็น
“คิบอม..ให้เหรอ”
“ครับ..”
“นายไปเอามาจากไหนล่ะเนี่ย”
“พกไว้ตลอดน่ะ” ร่างสูงตอบไปตรงๆแต่คนฟังกลับได้แต่อึ้ง คิบอมเองก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรอีก
“ดอกทานตะวันมันเหมือนพี่นะ .. เวลาที่แสงแดดสาดส่องหรือแม้กระทั่งฝนตกมันก็ยังยิ้มรับได้อย่างเต็มที่..” แค่นี้คนฟังก็ขมวดคิ้วทันที
“แล้วมันต่างจากดอกไม้อื่นตรงไหน”
“ก็ไม่ต่างหรอก .. ตัวผมเองมันก็พูดไม่เก่งเท่าไหร่ ไม่เหมือนคนอื่นที่พี่อาจจะปลื้มมาก แต่ทานตะวันก็เหมือนดั่งดวงตะวัน แค่ผมอยากจะสื่อให้รู้ว่าผมขาดพี่ไม่ได้.. เหมือนที่โลกนี้ขาดดวงตะวันไม่ได้ยังไงล่ะ...”
“....แหวะ” ฮันคยองทำหน้าประหนึ่งว่าที่คิบอมพูดมานั้นมันเชยเสียเหลือเกิน ทั้งที่ความจริงตัวเองก็ตื้นตันอยู่ไม่น้อยแต่พยายามหาทางกลบเกลื่อนมากกว่า
“จะว่าน้ำเน่าก็ไม่เป็นไร ผมแค่พูดจากใจจริง ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมรอมาตลอด เฝ้าคิดว่าเมื่อไหร่ที่พี่จะหันมามองกันบ้าง ยิ่งเห็นพี่เจ็บผมก็เจ็บมากกว่า ยิ่งได้ใกล้ชิดก็ยิ่งยากจะถอนตัว ทั้งที่เคยคิดจะออกมาแล้วแต่มันก็แค่นั้น มันถลำลึกไปโดยไม่รู้ตัว” เสียงทุ้มค่อยๆพูดไปในขณะที่คนฟังนั้นเงียบสนิท
“..........”
“ที่พูดมันก็แค่นั้น ไม่จำเป็นต้องจำหรอกนะ”
“..........”
“รู้ไว้อย่างเดียว....ผมรักพี่” มือของคิบอมกำมือบางไว้แน่น
“อืม..รู้แล้ว พี่ก็รักนายนะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่รู้ตัวดีว่าผิดที่ไปรักคนอื่นที่เค้ามีเจ้าของแต่กับคนที่รักพี่ พี่กลับไม่สนใจ ..”
“ไม่หรอก ความรักมันไม่ผิดหรอกนะ .. ก็เหมือนอย่างที่ผมรักพี่ไง
แม้พี่จะไม่รักตอบ แต่ผมก็ไม่ผิดไม่ใช่เหรอที่รักอยู่ข้างเดียวแบบนี้”
“แต่พี่รักคนที่เค้ามีเจ้าของ”
“หึหึ.. ก็นั่นแหละ ความรักมันเลือกไม่ได้หรอก ผมเลือกที่จะไม่รักพี่แต่แล้วมันก็ทำไม่ได้ เพราะงั้นอย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ดวงตาทั้งคู่สบกันอยู่อย่างนั้น ฮันคยองพยักหน้าเบาๆรับคำ
“อยากอยู่อย่างนี้ไปนานๆจังเลย”
“ครับ..”
ก็คงจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่หัวใจต้องการ ไม่ว่าต่อจากนี้ไปจะต้องพรากจากตอนไหน เวลานี้ .. แค่เวลานี้เท่านั้น
************
“นี่ผมปลูกเหรอครับ” เสียงใสร้องถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆในยามเช้าตรงแปลงดอกไม้เล็กๆที่แทบจะพังไปทั้งหมดเพราะแรงลมฝนเมื่อไม่กี่วันก่อน
“ค่ะ คุณหนูชอบมันมากเลยนะคะ แต่ป้าว่าเราต้องหาอะไรมากันฝนซะแล้วล่ะ เวลาที่ลมมาแรงๆมันคงทนไม่ไหวแน่ๆ” ป้ายุนฮีบอกพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ลืมสังเกตร่างบางที่ลดตัวย่อลงนั่งมองดอกไม้ในแปลงที่ยับเยินไปเสียเยอะ
ดวงตาทั้งคู่จดจ้องมองพวกมันอยู่อย่างนั้น หลายครั้งที่พยามนึกแล้วจะปวดหัวจนกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ เสียงแผ่วเบาเอ่ยถามขึ้นอีก
“ผมปลูกมันคนเดียวเหรอ”
“.. ค่ะ พักหลังๆมาคุณซีวอนเค้างานยุ่งเลยไม่ค่อยมีเวลา” แม้ว่าป้ายุนฮีไม่อยากจะตอบนักก็ตามแต่ก็พูดออกไปได้แค่นั้น แล้วก็ใช่ว่าคนฟังจะใส่ใจกับเรื่องที่ได้ยินนัก
“งั้นเหรอ.. เกี่ยวอะไรกับเค้าอีกล่ะ”
“ก็...ตั้งแต่แรกเลยคุณซีวอนกับคุณหนูช่วยกันปลูกมา”
“.........”
“แล้วไม่กี่วันมานี่ก่อนที่คุณหนูจะความจำเสื่อม ฝนตกหนักแล้วก็นานมากแปลงดอกไม้เลยเป็นแบบนี้”
“แล้วผมก็ไม่ได้ออกมาดูเลยเหรอ”
“เปล่าค่ะ.. คุณหนูจะออกมาดูแต่ป้าห้ามเอาไว้เองเพราะกลัวว่าจะไม่สบาย แล้วคุณหนูเองก็มัวยุ่งเรื่องคุณซีวอนอยู่ด้วยเลยไม่ได้มาดูมันเลย ...” ได้ยินแบบนั้นคนฟังก็อยากรู้ขึ้นมาอีก
“แล้ว .. เรื่องอะไรเหรอครับที่บอกว่ายุ่ง”
“ช่างมันเถอะค่ะคุณหนู ไม่มีอะไรมากหรอก ป้าว่าเดี๋ยวจะปวดหัวเปล่าๆ”
“บอกมาเถอะครับ” .. ผมเองก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แค่อยากรู้เรื่องให้ตัวเองวางตัวถูกก็เท่านั้น
“ก็ตอนแรกคุณหนูฮันหายไปแล้วคุณคิบอมก็พากลับมา..เอ่อ คุณคิบอมที่เป็นเพื่อนของคุณหนูกับคุณซีวอนน่ะค่ะ แล้วคุณซีวอนก็หายไปไหนไม่รู้ คุณหนูเลยออกไปตามหาทั้งคืนเลย กว่าจะกลับก็ค่ำมาก แล้วเช้าวันต่อมา .. คุณหนูก็ความจำเสื่อม”
“ทำไมเหรอครับ”
“คุณหนูตกบันไดค่ะ”
“ตกเอง..”
“ป้าก็ไม่รู้นะคะ มาเห็นเข้าก็ตอนที่คุณซีวอนประคองร่างคุณหนูเอาไว้ที่ปลายบันไดน่ะค่ะ.. ป้าไม่รู้ว่าทะเลาะอะไรกันรึเปล่า” พูดจบป้ายุนฮีก็แทบอยากจะตีตัวเองให้เจ็บเสียบ้างที่พูดอะไรกำกวมแบบนั้นออกไปในเมื่อคนฟังยังจำอะไรไม่ได้เลย
“เหรอครับ.” ดงแฮได้ฟังก็นิ่งไป เอาอีกแล้ว เหมือนจะร้องไห้ แต่ตอนนี้เขาเองก็ไม่อยากคิดอะไรต่อไปอีกแล้ว ริมฝีปากบางเอ่ยอะไรขึ้นเบาๆพลางหยิบดอกไม้ที่บี้แบนอยู่บนดินดอกหนึ่งขึ้นมา
“น่าสงสารนะ .. ดูแลไม่ดีเลยผมเนี่ย”
“คุณหนู...”
“ดูสิ จะตายหมดแล้ว”
“เอ่อ .. ช่างมันเถอะนะคะ ไว้เราปลูกกันใหม่ดีกว่า”
“ครับ ..ไว้เราปลูกกันใหม่” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเสียอย่างนั้น ดงแฮเดินผ่านร่างของป้ายุนฮีไปแต่แค่เพียงเสี้ยวหน้าที่เธอได้เห็น แค่นั้นก็รู้แล้วว่าอีกคนเจ็บปวดเพียงใด ป้ายุนฮีกกำลังสงสัยว่านี่มันใช่อาการของคนความจำเสื่อมแน่หรือ ทำไมคุณหนูของเธอถึงได้ทำเหมือนมีอะไรในใจแต่ไม่พูดออกมา มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูของเธอรึเปล่า
ดงแฮเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงนั่งที่โซฟาตัวนุ่มภายในห้องรับแขก ร่างบางเอนหลังลงพลางหลับตาให้พ้นจากรูปภาพขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ข้างผนัง ภาพของเขากับคนๆนั้น ในหัวนึกอะไรเกี่ยวกับที่นี่แทบไม่ออกเลย .. ในสมองว่างเปล่าแต่ในความรู้สึกนั้นแสนอึดอัด นั่งอยู่แบบนี้ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาแน่ อย่างน้อยเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าก็ยังชวนให้ปวดหัวได้ตลอด ดวงตากลมลืมขึ้นจ้องภาพๆเดิมอีกครั้ง
.. ซีวอนงั้นเหรอ เชว ซีวอน ตลกน่า คนอย่างนั้นจะไปรักลงได้ยังไง
ดงแฮเดินขึ้นบันไดที่ทอดไปยังชั้นบนของบ้านแล้วตรงไปยังห้องนอนทันที ร่างสูงของคนที่ชักจะเกลียดเข้าจริงๆยังคงนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาในเช้าวันนี้ เขามองภาพนั้นก่อนจะรีบละสายตาไป ดงแฮมองรอบๆห้องอย่างใช้ความคิด มือบางหยิบกรอบรูปที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้นมาดูใกล้ๆ แล้วก็เหมือนเดิม กลิ่นหอมหวนของความรักระหว่างคนในรูปนั้นลอยออกมานอกกรอบซึ่งมันดูน่ารังเกียจสิ้นดีในสายตาของเขาในตอนนี้
“ตลกจริงๆ นี่ฉันถูกหลอกมาตั้งแต่ตอนนั้นเลยรึเปล่านะ..” พูดกับตัวเองเบาๆพลางหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียง ยิ่งมองก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งเห็นก็ยิ่งเกลียด
ร่างบางค่อยๆนั่งลงที่ขอบเตียงอีกด้านซึ่งห่างจากซีวอนออกมา ต่อไปนี้จะทำยังไงดี จะมีใครรู้บ้างไหมว่าความเจ็บปวดทั้งที่ยังจำไม่ได้มันทรมานแค่ไหน บอกได้คำเดียวว่ารับไม่ได้ จะให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็คงสายไปแล้ว
“อ๊ะ..” อ้อมแขนแกร่งดึงร่างที่อยู่ข้างๆให้ล้มลงมานอนแนบกาย ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามาแนบอยู่ที่แก้มเนียนพร้อมกระซิบอะไรบางอย่าง
“ว่าไงจ๊ะที่รัก เมื่อวานเป็นไรไป” ดงแฮเบิกตากว้างก่อนจะดึงตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็วจนซีวอนผละออก ชายหนุ่มเงยหน้ามองคนรักตัวเองที่ดูท่าจะไม่พอใจเขาจริงๆ
“อย่ามาพูดแบบนี้”
“ดงแฮ..”
“ทำไม”
“ฉันรักเธอจริงๆนะ จะให้บอกกี่ครั้งว่าเรารักกัน แล้วเธอก็ความจำเสื่อม”
“งั้นเหรอ..”
“ใช่” ซีวอนว่าพร้อมกับจ้องดวงตากลมนั้นอย่างแน่วแน่ เขามั่นใจว่ายังไงสิ่งที่เขาพูดนั้นมันก็คือความจริง แต่คนฟังกลับไม่รู้เลยนี่สิ
.. รักงั้นเหรอ ฝืนใจมากนักไม่ต้องพูดก็ได้นะ
แล้วดงแฮเองก็ไม่ว่าอะไรก่อนที่จะค่อยๆนั่งลงข้างเตียงที่เดิมอย่างใจเย็น เขาคิดว่าจะลองรับฟังคำโกหกอีกหน่อยก็แล้วกัน
“เรารักกันมากมั้ย” คำถามที่ซีวอนไม่นึกว่าจะได้ยินหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้าทำเอาเขาแทบจะดีใจออกมาดังๆ นี่ดงแฮสนใจที่จะฟังเรื่องพวกนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ
“มากสิ .. คบกันมานาน เธอน่ารักมากเลยนะ ใครๆก็ชอบมาจีบแต่ว่าก็มีฉันคนเดียวที่เธอยุ่งด้วย” ซีวอนพูดไปก็ยิ้มไป อยากจะให้รู้เหลือเกินว่าแต่ก่อนเป็นยังไง อยากให้รู้ทั้งหมด อยากให้จำได้ทุกอย่าง
“แล้วแค่นั้นเหรอ”
“ก็ .. อยากรู้อะไรอีกล่ะ ถามมาได้นะ”
“เปล่าหรอก ทุกอย่างก็ปกติดีงั้นสินะ”
“อื้ม ..”
“แล้วทำไม .. ฉันถึงความจำเสื่อม” ได้ยินแบบนั้นรอยยิ้มที่ใบหน้าหล่อเหลาก็ค่อยๆจางหายไปทันที ร่างสูงขยับกายลุกขึ้นนั่งตรงๆเพื่อที่จะใช้ความคิด แล้วนี่จะให้เขาตอบว่าอย่างไรดี
“ตกบันไดน่ะ..” พูดไปก็ใช่ว่าไม่รู้สึกอะไร ซีวอนมองดงแฮด้วยความสงสารอย่างจับใจ ท่าทางที่จำอะไรไม่ได้เลยรวมทั้งเรื่องก่อนหน้านั้นอีกมันทำให้เขารู้สึกว่าคนที่ทรมานตลอดเวลามีเพียงดงแฮเท่านั้น
.. คนรักกันงั้นเหรอ แล้วทำไมฉันถึงปล่อยให้เธอร้องไห้ให้กับความเลวของฉันแทบทุกคืน
“ตกเอง..” ดงแฮถามขึ้นอีกทำให้ซีวอนที่กำลังคิดอะไรในใจต้องกลับเข้าเรื่องที่กำลังคุยกัน
“อ่ะ อืม ตกเอง แล้วฉันก็เข้าไปหาได้ทันเวลา เลยพาส่งโรงพยาบาล” คนฟังยิ่งฟังก็ยิ่งแค่นหัวเราะในใจกับตัวเอง นี่คิดว่ามันจะเชื่อได้แค่ไหนกัน ส่วนซีวอนเองยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บ เจ็บที่เป็นคนผิด เพราะไม่เคยลืมว่าเรื่องที่เกิดเพราะเขาทั้งนั้น นึกแล้วก็ใจหายกับทุกอย่างที่ .. เกลียดตัวเองเป็นที่สุดที่ทำให้คนที่เป็นดั่งดวงใจต้องบอบช้ำ ทั้งที่อยากจะเทคแคร์แต่อีกฝ่าย
กลับลืมกันไปเสียอย่างนั้น
ร่างสูงเริ่มจะเข้ามาโอบเอวบางที่นั่งหันข้างให้เขาเอาไว้แนบกายอย่างช้าๆโดยที่อีกฝ่ายก็นั่งเฉยไม่ได้ขัดขืนอะไร นี่คงจะหายงอนอะไรเขาสักอย่างแล้วล่ะมั้ง แล้วเมื่อวานก็เห็นว่ายังอารมณ์ดีอยู่เลย คิดแล้วก็เริ่มจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยอมคุยด้วยแล้ว สันจมูกโด่งก้มลงคลอเคลียเบาๆอยู่ที่แก้มเนียน ก่อนที่จะกระซิบให้คนในอ้อมกอดได้ยิน
“ขอโทษนะถ้าเมื่อวานฉันทำอะไรให้งอนหรือไม่พอใจ..”
“..........”
“ฉันรักเธอนะ..”
ยิ่งได้ฟัง ก็ยิ่งได้แต่หัวเราะในใจ .. ดงแฮเอาแต่เงียบ ทำให้ซีวอนคิดว่าคงจะงอนเขาเฉยๆ ชายหนุ่มอมยิ้มกับตัวเองอยู่อย่างนั้นก่อนที่เสียงเล็กๆของคนในอ้อมแขนจะดังขึ้น
“ฉันเองก็ต้องขอโทษเหมือนกัน”
“ทำไมล่ะ ..”
“ก็เพราะว่า .. ฉันจำไม่ได้”
“ไม่เป็นไร” ซีวอนเอ่ยรับอย่างเข้าใจพร้อมกับความรู้สึกดีขึ้นกว่าเก่าที่
“แล้วอีกอย่างนะ ..” ดงแฮเอ่ยขึ้นอีกโดยที่ซีวอนก็ตั้งใจฟังว่าจะบอกอะไรเขา ดวงตาคู่โตเงยสบกับคนที่รอฟังอยู่
“ขอโทษ .. ที่ฉันก็ไม่ได้รักนายเลยสักนิด”
จบประโยคก็แทบจะไม่ต้องพูดอะไรอีก คนฟังมีเพียงรอยยิ้มที่ค้างอยู่บนใบหน้าเท่านั้น ราวกับว่าหัวใจกำลังจะหยุดเต้น กับคนที่ไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากของคนที่รัก เอาเข้าจริงเขาก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะทำให้เจ็บลงไปที่หัวใจได้มากขนาดนี้ .. นี่สินะ ความรัก
“ดงแฮ..” คนถูกเรียกไม่คิดจะฟังอะไรอีก มือบางแกะอ้อมแขนทั้งสองออกอย่างไม่ไยดี ใบหน้าที่เฉยเมยหันมายิ้มให้อย่างไร้ความรู้สึก ไม่ต่างจากก้อนหินใหญ่ๆที่ทับแน่นลงมาที่อกของคนที่ได้เห็น
“แค่นี้ใช่มั้ย.. ขอตัวนะ” ว่าแล้วก็เดินออกจากห้องนอนไป ทิ้งให้ร่างสูงได้แต่นั่งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สองมือของชายหนุ่มยกขึ้นกุมเข้าที่ศีรษะ ความคิดที่คอยทำร้าย กับคำพูดที่ไม่อยากได้ยินมันคอยตอกย้ำกันเหลือเกิน
แม้จะผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่ความท้อก็เริ่มเข้ามาเยือนเสียแล้ว
.. ภายใต้ใบหน้าที่ก้มลง น้ำใสๆเพียงหนึ่งหยดที่ซึมลงกับผ้าห่มผืนนุ่มนั้นเทียบไม่ได้เลยกับหลายหยดน้ำตาที่อีกคนได้เสียไปในยามที่เขาเองนั้นไม่เคยรู้ ..
ดงแฮเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อยต่างจากที่นั่งอยู่ในห้องเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นเหตุให้เกือบจะชนเข้ากับร่างเด็กหญิงตัวน้อยที่วิ่งเข้ามาหา
“คุณแม่ ตื่นแล้วเหรอ” สองมือเล็กยกขึ้นเพื่อจะให้คนเป็นแม่อุ้มตัวเอง แต่ ณ เวลานี้อย่าถามเลยว่าจะเป็นยังไง จากที่รู้สึกดีๆด้วยเมื่อวันก่อน ตอนนี้กลับไม่เหลือแล้ว ร่างบางไม่ตอบว่าอะไรก่อนจะรีบเดินลงบันได
“คุณแม่คะ.. จะไปไหนน่ะ รอฮีชอลก่อนสิ” มือเล็กกำเข้าที่ขากางเกงของดงแฮเพื่อจะไม่ให้ไป แต่คนถูกดึงไว้กลับรู้สึกรำคาญและไม่อยากจะยุ่งด้วย เขาไม่อยากจะเสียเวลาที่ตรงนี้ มือบางแกะมือเล็กออกจากกางเกงตัวเองจนเด็กน้อยร้องไห้ออกมาพร้อมกับที่พี่เลี้ยงสาวซูยองวิ่งออกมาจากห้องนอนพอดี เมื่อเห็นแบบนั้นดงแฮก็เดินลงไปโดยไม่หันมามองอีก
“โอ๋ๆ ไม่เอานะคะคุณหนูฮีชอล อย่าร้องนะคะ”
“ฮืออออ คุณแม่ไม่รักฮีชอลแล้ว ฮืออออ ..ฮึก” เสียงสะอื้นที่เป็นเหมือนดั่งดวงใจอีกดวงเรียกให้ซีวอนที่อยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นจากความคิดแล้วออกมาหาทันที ร่างสูงตรงเข้ามากอดลูกสาวที่พี่เลี้ยงกำลังนั่งลงปลอบไม่ให้ร้องไห้
“ซูยอง นี่ฮีชอลร้องให้ทำไม”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะคุณซีวอน .. พอออกมาจากห้องก็เห็นคุณหนูร้องไห้อยู่กับคุณดงแฮ ก่อนที่คุณดงแฮจะลงไปข้างล่างน่ะค่ะ” เสียงพี่เลี้ยงสาวตอบอย่างสั่นเครือ เธอเองก็กลัวเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซีวอนได้ฟังก็เงียบไปก่อนจะหันไปหาลูกสาวตัวเองต่อ
“โอ๋ๆ ไม่เอานะ อย่าร้องนะคนเก่ง เดี๋ยวคุณพ่อไม่พาไปเที่ยวนะ”
“ฮือออออ คุณแม่ไม่รักฮีชอลแล้ว ฮือออ.. ฮีชอลไม่อยากไปเที่ยวกับคุณพ่อสองคน ฮือออ ฮีชอลคิดถึงคุณแม่.. ฮึก”
“ไม่เอาๆ ฮีชอลไม่งอแงนะลูกนะ ..พ่อรักลูกนะ”
“แต่คุณแม่ ฮึก ฮืออออออ ” ฮีชอลยังคงร้องไห้ไม่หยุด จนซีวอนไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่อยู่ข้างๆอย่างนั้น ทั้งที่เป็นแบบนี้แต่ซีวอนก็ไม่เคยโทษดงแฮเลย เพราะทุกอย่างล้วนเป็นเพราะเขาคนเดียว .. ร่างสูงโอบกอดลูกสาวตัวน้อยเอาไว้
ดงแฮเดินลงมายังชั้นล่างโดยมีป้ายุนฮีเดินผ่านขึ้นไปตามเสียงร้องของฮีชอลที่ชั้นบน แต่เขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาเองกำลังหงุดหงิดแต่ก็อดสงสารไม่ได้ ภาพเด็กน้อยที่เข้ามาเรียกตัวเขาว่าแม่ แต่เขากลับไม่สนใจไยดี ทั้งที่ .. เด็กคนนั้น
.. ลูกงั้นเหรอ เป็นไปได้ไง
“ไม่ อย่าคิดนะ .. โอ๊ย” แล้วความปวดร้าวที่ศีรษะก็แล่นเข้ามีอีก ร่างบาง
รับแขกอันกว้างขวางมีเขาแค่เพียงคนเดียว ไม่รู้อะไรดลใจทั้งที่ปวดหัวจะแย่แต่ก็ดันยกหูโทรศัพท์ขึ้นมารับ เสียงที่พยายามเปล่งออกมากรอกลงไปตามสายแต่กลับไร้เสียงตอบกลับจากปลายสาย
“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ก็ยังเงียบเหมือนเดิม
“จะพูดกับใครน่ะ.. ฮัลโหล” แล้วเสียงสัณญาณเตือนว่าอีกฝั่งวางสายก็ดังขึ้น ดงแฮหันหน้ามองหูโทรศัพท์ก่อนจะวางมันลง
“โรคจิตรึไงกันนะ” ว่าแล้วก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้โซฟาอย่างเดิม ในใจก็แอบนึกถึงข้างบนไม่ได้ เด็กตัวน้อยที่ร้องไห้เพราะตัวเอง เหมือนไม่ใส่ใจแต่ก็รู้สึกแย่
ไม่น้อย คิดถึงหน้าเด็กน้อยก็พลอยคิดถึงหน้าอีกคน ป่านนี้คงเกลียดเขาไปแล้วล่ะมั้ง
..ใช่สิ ฉันมันใจร้าย ทำลูกของนายร้องไห้ เกลียดกันไปเลยก็ดีจะได้ไม่ต้องฝืนใจบอกคำว่ารักอันหลอกลวงของนายอีกต่อไป
ความรู้สึกตอนนี้เหมือนไร้ทางจะไปแล้ว ทำไมกันนะต้องมาจำได้ครึ่งๆกลางๆ ทำไมไม่ความจำเสื่อมไปหมดเลยล่ะ จำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้อะไรเสียเลย อยู่ไป
.. คุณพ่อคุณแม่ ผมจำอะไรแทบไม่ได้เลย แล้วทั้งหมดนี่มันอะไรกัน พี่ฮันเค้าอยู่ไหนผมไม่รู้ คุณพ่อกับคุณแม่กลับมาซักทีสิ อย่าจากผมไปแบบนี้เลยนะ .. ผมกลัว
************
“โทรหาใครอยู่เหรอครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามพลางเดินเข้ามาข้างๆร่างโปร่งบางที่นั่งมองโทรศัพท์ตั้งโต๊ะอยู่อย่างนั้น ตอนนี้คิบอมพาฮันคยองลงจากเรือมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศหลังเดิมของเขาแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก..”
“แต่ผมเห็นนะ เมื่อกี้ยกหูไปก็ไม่พูดอะไร” แล้วคนที่ถูกรู้ทันก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“ก็ .. ว่าจะโทรไปถามป้ายุนฮีน่ะว่าดงแฮเป็นยังไง กลับมาที่บ้านรึยัง
แต่คนที่รับก็เป็นเสียงดงแฮเอง เลย .. ไม่กล้าพูดน่ะ”
“ถ้าพี่ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวไว้ผมโทรไปถามซีวอนทีหลังก็ได้ นี่ก็ห่วงๆอยู่เหมือนกันว่าดงแฮเป็นไงบ้าง ก็ตั้งแต่ไปหาตอนนั้นก็ไม่ได้ไปหาอีกเลย” ชายหนุ่มว่าก่อนจะเปิดขวดน้ำที่ถือมาด้วยยกขึ้นดื่ม
“งั้นก็กลับกันเถอะ ถ้าการที่พี่หนีมาแบบนี้มันไร้เหตุผล พี่ว่าเรากลับไปดีกว่า .. นายว่าดีมั้ย”
“เรื่องนั้นแล้วแต่พี่ดีกว่ามั้ยครับ จริงอยู่ที่เรากำลังเดินหนีปัญหา แต่ใช่ว่าจะไม่กลับไป ตอนนี้ตามที่รู้คือดงแฮกลับมาบ้านแล้ว ด้านร่างกายก็คงดีขึ้นแล้ว ที่เหลือก็คงเป็นหน้าที่ของบางคนที่ต้องรับผิดชอบมากกว่าใคร”
“นั่นสินะ พี่เองก็ต้องรับผิดชอบ” เอาอีกแล้วบรรยากาศแบบนี้ คิบอมไม่ชอบเลย ไม่ใช่เพราะตัวเองแต่เพราะคนตรงหน้าที่เขาอยากจะให้ยิ้มมากกว่าต่างหากล่ะ เรื่องนี้คิบอมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่ที่เขารู้ยังไงถ้ากลับมาจำได้ดงแฮก็คงตัดพี่ชายคนนี้ไปไม่ได้หรอก .. ส่วนกับซีวอน เขาเองไม่อยากจะคาดเดา รู้แค่เพียงว่าสิ่งที่จริงแท้แน่นอนคือความรักของทั้งสองที่มีให้กันนั้นไม่ใช่เรื่องหลอกลวง
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งข้างหลังอีกคนแล้วสอดมือเข้าไปกอดไว้หลวมๆ
“ผมน่ะ ไม่อยากเห็นคนที่ตัวเองรักต้องเศร้าไปมากกว่านี้เลยนะ”
“..........”
“ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่รู้ว่าผมทำให้พี่ยิ้มได้เสมอ แต่รู้บ้างไหมว่าหลายครั้งที่พี่ยิ้มผมกลับเจ็บอยู่ในอก ทั้งที่ผมเองที่ผิดที่คิดอยากให้พี่รักผมมากกว่าน้องชาย”
“คิบอม”
“เพราะงั้นอย่าเสียใจหรือคิดว่าตัวเองผิดอยู่คนเดียวเลยนะ”
“อืม ..รู้แล้ว”
จุมพิตอันอบอุ่นถูกมอบให้แก่กันและกันในยามที่มีแต่เรื่องเลวร้าย
อากาศยามสายชายทะเลสดชื่นเสียจนคิบอมอดพาฮันคยองออกไปเที่ยวข้างนอกไม่ได้ สองร่างเดินเคียงกันไปตามชายหาด พูดคุยเรื่องอื่นๆกันไปจนแทบลืมความเป็นจริงมากมายในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ จากนั้นคิบอมก็พาฮันคยองเดินเลียบขึ้นมาตามร้านค้าต่างๆที่เรียงรายขายทั้งขนมทั้งของฝากและเครื่องประดับ
“ลองนี่ดูนะคิบอม” ว่าแล้วมือบางก็จับหมวกปีกกว้างลายดอกสีชมพูสดขึ้นสวมให้อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“โหย ถ้าผมใส่เนี่ยพี่คงไม่เดินด้วยแน่” ฮันคยองหัวเราะตามเสียงดังลั่น
ชี้มือไปที่คนตรงหน้าอย่างขำไม่หยุด คิบอมเองก็หัวเราะตามก่อนจะถือเอาตอนอีกฝ่ายเผลอแล้วยัดหมวกสานที่มีดอกไม้สีแดงบานใหญ่ติดอยู่ลงบนหัวของฮันคยอง จนคนหัวเราะเกือบจะคว่ำหน้า
“ฮ่าๆๆๆ พี่นี่ขำกว่าผมอีก”
“หนอย นายนี่.. เอานี่ไปเลย” และก่อนจะได้แกล้งกันต่อคิบอมก็เริ่มจะวิ่งออกจากร้านนั้นเสียแล้ว
“พี่ฮันชิมนี่” คิบอมหยิบเอาขนมที่วางอยู่ให้คนข้างๆชิม
“อืม .. ก็ดีนะ แต่เค็มไปหน่อย”
“อ่า พี่ว่ามือผมเค็มเหรอ”
“เปล๊า.. อยากรู้ก็ชิมดูสิ”
“เออนะ.. ชอบแกล้งเนอะคนเรา”
“ทีนายล่ะ”
“โอเคๆ ผมผิดก็ได้ ว่าแต่พี่ช่วยถือถุงนี้ไว้ก่อนนะ เดี๋ยวผมเอาขนมถุงนี้ไปจ่ายตังค์ก่อน”
“อืม” ว่าแล้วคิบอมก็หายเข้าไปในร้านเพื่อจ่ายเงินค่าขนมโดยที่ฮันคยองเป็นฝ่ายถือสารพัดถุงรออยู่ข้างนอก ทั้งขนมทั้งของอื่นๆมากมาย
“มาแล้วๆ มาๆ ผมช่วยถือ”
“คิบอม จะมีใครสักคนมั้ยที่รู้ว่านายเป็นคนอารมณ์ดีแบบนี้”
“ถ้าบอกว่าพี่เป็นคนเดียวที่รู้ จะว่ายังไง”
“เชื่อก็โง่ พูดยังกะนายไม่มีเพื่อน อย่างน้อยน้องชายฉันก็เพื่อนนายล่ะน่า”
ว่าแล้วก็เดินออกร้านมาด้วยกัน นี่ก็จะเที่ยงแล้วด้วย เหนื่อยจริงๆ
ทั้งสองเดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ร้านสุดท้าย เป็นร้านเครื่องประดับเล็กๆ คิบอมเดินนำเข้าไปจับนู่นดูนี่จนป้าเจ้าของร้านถามว่าแล้วคนที่อยู่ข้างนอกนั่นใครไม่เข้ามาด้วย
“แฟนฮะ” คิบอมตอบ ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกฮันคยองให้เดินเข้ามาหา
“อ้าว พ่อหนุ่มคนน่ารักนี่เอง นี่มาด้วยกันเหรอ”
“ครับ” ฮันคยองตอบพลางมองหน้าคิบอมด้วย
“นี่เป็นแฟนกันเหรอ” ป้าคนขายถามเพราะอยากรู้ แต่ฮันคยองก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร คิบอมเองก็ไม่อยากพูดไป แค่อยากจะรู้เหลือเกินว่าอีกคนจะตอบว่าแบบไหน จะเหมือนกับที่เขาบอกป้าคนนี้ตอนแรกรึเปล่า แต่ฮันคยองก็ไม่ได้ตอบ คนที่คอยฟังอยู่ก็แอบหวังนิดๆว่าอีกฝ่ายจะกล้าบอกใครได้เต็มปากว่าเป็นอะไรกัน แม้ว่าเขาจะคิดไปเองก็ตาม
.. ถ้าพี่ไม่กล้า ผมก็ไม่น่าบอกเค้าเลย
ป้าคนขายเห็นว่าทั้งสองไม่ตอบก็ถามขึ้นอีก
“แต่ป้าถามพ่อหนุ่มคนนี้แล้วเค้าบอก...”
“เปล่าหรอกครับป้า นี่พี่ชายผมเองแหละ” เสียงทุ้มเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่ป้าคนขายจะพูดจบ
“คิบอม..”
ป้าคนขายชักงงๆแต่ก็ไม่ได้เอะใจ ก่อนจะหันไปหาฮันคยองต่อ
“มิน่าล่ะ ป้าก็ว่าป้าจำได้นะ ก็ที่เคยมาเมื่อปีก่อนกับพ่อหนุ่มสูงๆหล่อๆน่ะ
คนนั้นใช่ไหมที่เป็นแฟน” คิบอมที่ได้ยินอยู่ก็นิ่งไปอีก ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ไม่ชอบ
“เอ่อ คือ..” ฮันคยองก้มหน้าไม่กล้ามองหน้าคิบอมเลย ทำไมกันนะต้องมาร้านนี้ด้วย แล้วบรรยากาศอึดอัดก็ทำเอาชายหนุ่มทนไม่ไหว
“ขอตัวนะครับ ไว้เดี๋ยวแวะมาดูใหม่” ร่างสูงหอบถุงข้าวของที่ซื้อออกจากร้านไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงเรียกเอาไว้ของฮันคยองเลย และก่อนที่ฮันคยองจะได้วิ่งตามออกไปก็รีบหันมาหาอีกคนที่ยืนงงอยู่
“ป้าครับ ผิดคนแล้วแหละ นี่แฟนผม .. ส่วนคนที่ป้าพูดถึงนั่นน่ะ สามีของน้องผมเอง” ไม่รอช้าร่างโปร่งบางก็ออกวิ่งกระหืดกระหอบตามอีกคนที่ออกมาก่อนแล้ว และเมื่อเห็นแผ่นหลังกว้างที่เดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้าก็รีบตรงไปหาทันที
“คิบอม..แฮ่กๆ นาย..รอก่อนสิ เหนื่อยนะ”
“แล้ววิ่งทำไม” เสียงทุ้มถามโดยไม่หันมามอง ทั้งที่ยังเดินอยู่อย่างนั้น
“ก็นายไม่รอ ..”
“อยากช้าเอง”
“ก็หยุดสิ”
“ผมรีบ..” คิบอมเดินไปเรื่อยๆไม่หยุดแม้สักนิดจนฮันคยองเริ่มจะหมดความอดทน
“นี่ฟังนะ ที่มาช้าเพราะบอกอะไรบางอย่างกับป้าเจ้าของร้านอยู่”
“..............”
“บอกว่าเรา เป็นแฟนกัน”
“
.......” คิบอมได้ยินก็ยังไม่หยุดเดิน แต่ไม่ทันเสียแล้วที่อีกคนแอบเห็นรอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของเขา
“หึหึ อย่ามาฟอร์มหน่อยเลยน่า นายจะยิ้มก็ยิ้มออกมาเหอะ” แค่นั้นแหละ
“พี่บอกแบบนั้นงั้นเหรอ”
“ใช่ ทำไมล่ะ นายไม่พอใจเหรอ”
“อืม ผมไม่พอใจ”
“อ้าว ทำไมล่ะ พี่คิดว่านายน้อยใจที่พี่ไม่ได้บอกเค้าไปซะอีกนะ”
“เปล่า ผมไม่พอใจที่เค้ามาบอกว่าหมอนั่นมันเป็นแฟนพี่” ได้ยินแล้ว
ฮันคยองก็อยากจะขำเสียเหลือเกิน
“จะบ้าเหรอ .. นาย
“งั้น...”
“งั้นอะไร.. นี่ มีอะไรก็ถามมาเลยนะ อย่ามาอ้ำอึ้ง ขี้เกียจเดา” ฮันคยองว่าแล้วก็วางข้าวของที่ถืออยู่ลงกับพื้นเพราะถือนานๆมันชักจะหนัก
“ถ้าเค้าไม่มีเจ้าของ เราจะได้รักกันรึเปล่า ไม่สิ .. พี่จะรักผมไหม” แล้วคำถามที่ดูจริงจังก็หลุดออกมาจากปากของคิบอมเสียทีหลังจากที่เก็บไว้มานาน ทั้งสองเงียบกันไปพักใหญ่โดยที่คนรอคำตอบนั้นได้แต่ยืนถือถุงข้าวของเอาไว้
“นั่นสินะ พี่จะรักนายรึเปล่า”
“ผมจริงจังนะ” คิบอมแทรกขึ้นมาหลังจากที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนว่าเป็นเรื่องตลก
“อืม จะบอกอะไรอย่างนะ บางครั้งคนเรามันก็ตอบอะไรไม่ได้หมดหรอก นายถามพี่ว่าพี่จะรักนายมั้ยถ้าพี่กับเค้าเราไปกันได้ งั้นถามหน่อยละกันว่านายจะรักพี่รึเปล่าถ้าเกิดว่าแต่ก่อนดงแฮก็ชอบนาย แล้วก็ไปกันได้ดี .. มันก็ง่ายๆล่ะนะ
คิบอม ก็แล้วถ้าเราไม่เจอกันล่ะ นายยังจะถามรึเปล่าว่าทำไมเราถึงไม่ได้รักกัน .. แน่นอน ตอนนั้นนายอาจจะคบอยู่กับใครซักคนบนโลกใบนี้ ส่วนพี่ก็อาจจะเป็นใครซักคนที่นายไม่เคยรู้จัก” ฮันคยองตอบเสียยืดยาว แต่ที่พูดมาทั้งหมดนั้นคนฟังก็ไม่ได้เถียงว่ามันไม่จริง
“ทฤษฎีพี่ได้ แต่ปฏิบัติพี่แย่มากรู้รึเปล่า” คนฟังได้ยินก็อ้าปากค้าง นี่เขาอายุมากกว่านะ
“อ๋อ นี่นายจะบอกว่าทฤษฎีนายไม่เวิร์ค แต่ปฏิบัตินายเจ๋งว่างั้นเหอะ”
“คงงั้นมั้ง” คิบอมยักไหล่ราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ตัวเองจะได้เรื่องกว่าคนตรงหน้าอยู่แล้ว ฮันคยองได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมา นี่ราวกับว่าเขามานั่งเถียงกับเด็กงั้นแหละ ทั้งที่ก็โตๆกันแล้ว
“งั้นกลับเถอะ หิวแล้ว” ฮันคยองว่าเมื่อเห็นอีกคนเอาแต่จ้องเขาไม่วางตาและไม่พูดอะไรเลย ท่าทางจงใจแกล้งกันแบบนี้มีหรือที่ฮันคยองจะไม่รู้
“นี่คิบอม นายไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อนนะ เป็นถึงผู้บริหารระดับสูงใครเค้ามายืนเอ๋อแบบนี้กันเล่า” ว่าแล้วก็ส่ายหัวกับภาพตรงหน้า
“ครับ ผมมันไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อน แต่ก็ไม่ได้เจนจัดในเรื่องความรักซักเท่าไหร่ .. เพราะถ้าผมจัดการกับความรู้สึกได้คงไม่ต้องมาบ้าบอหัวปักหัวปำกับใครบางคนขนาดนี้หรอก”
ฮันคยองไม่รู้หรอกนะว่าที่พูดมาแบบนี้มันยิ่งกว่าการบอกรักอีกหรือเปล่า
“โอ๊ย นี่หนักนะ ทั้งคนทั้งของ”
“แล้วใครใช้ให้นายมาบ้าบอล่ะฮะ ฉันไม่ได้ใช้ให้มารักซักหน่อย”
“อืม .. ก็ผมเองอีกแหละ”
“รู้ตัวก็ดี ฮึฮึ” แล้วคิบอมก็ปล่อยถุงข้าวของที่ซื้อมาลงกับพื้นบ้างก่อนที่แขนทั้งสองข้างจะอ้ารับคนตรงหน้าที่กอดเขาอยู่อย่างนั้น
.. อยากจะกอดเอาไว้แน่นๆ เพราะกลัวว่ามันจะหลุดไปเหลือเกิน ..
ความสุข .. บางครั้งมากเกินไปก็กลัวว่าจะอยู่ได้ไม่นาน
***********
ร่างเล็กที่แทบจะจมปลักอยู่กับบริษัทได้แต่นั่งบ่นไปทำงานไป มือก็กดเบอร์เจ้านายของตัวเองก็ไม่เห็นจะติดเสียที
“ปิดเครื่องทำไมเนี่ย.. ทำอะไรของเค้ากันนะ สงสัยจะกุ๊กกิ๊กกันจนลืมงาน”
เลขาหนุ่มหน้าใสของคิบอมเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นทุกวันๆ เหนื่อยใจจริงๆที่ต้องมีเจ้านายนิสัยแปรปรวนแบบนี้ นี่จะโทรไปบอกเสียหน่อยว่าบริษัทนี้จะมีหัวหน้าฝ่ายการตลาดย้ายมาใหม่ อีกทั้งประชุมครั้งที่จะถึงนี่อีกแต่ก็ยังติดต่อไม่ได้เลย
จนเลยเที่ยงมาจะบ่ายโมงแล้วซองมินถึงได้ออกจากกองเอกสารงานมาหาอะไรกิน ร่างเล็กเดินก้าวออกไปอย่างเร่งรีบตรงไปที่โรงอาหารของบริษัท เขามีเวลาแค่เพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีในการหาอะไรมาใส่ท้องในเวลาที่ไม่มีของกินอยู่ใกล้ตัว ก่อนที่จะต้องโทรศัพท์ไปแจ้งกำหนดการซื้อขายกับลูกค้ารายใหญ่อีกเยอะ แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งไม่ทันดู ซองมินชนเข้ากับชายหนุ่มที่เดินสวนมาอีกทางอย่างจังจนล้มก้นกระแทกพื้นอย่างจัง
“โอ๊ย ! .. อะไรเนี่ย ไม่ดูทางเลยรึไงกัน อูย..” เสียงเล็กโอดครวญกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นพลางเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงเพียงแค่ก้มลงมามองเท่านั้น
“ใครกันแน่ที่ไม่ดู ไม่รู้ว่าจะรีบจ้ำอ้าวไปไหนกัน” ซองมินได้ยินก็สติขาดผึงขึ้นมาทันที
“นี่นายไม่คิดจะช่วยให้ลุก แถมขอโทษซักคำก็ไม่มี แล้วยังจะมาว่าคนอื่นผิดอีก ไม่อายรึไงกัน”
“หึ .. ไม่ดูตัวเองเลยนะ” ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปให้อีกคนพยุงตัวเองขึ้นมา
ซองมินได้ทีก็รีบลุกขึ้นก่อนจะเก็บกระเป๋าที่หล่นแล้วรีบเดินหนีไปทันที ในใจอยากจะด่าแทบตายแต่อันที่จริงเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองต่างหากที่รีบไปเอง ส่วนคนที่ยืนอยู่ที่เดิมก็ได้แต่มองตามหลังแล้วส่ายหน้าเบาๆ
“เฮอะ.. เดินไม่ดูเองแล้วยังมาโทษคนอื่น”
ซีวอนแต่งตัวเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อนเท่าใดนัก เพราะวันนี้เขาเข้าบริษัทสายได้ แล้วเห็นทีเรื่องลูกก็คงจะต้องทำอะไรบางอย่างเสียแล้ว ส่วนเรื่องอีกคนก็อย่างที่บอกว่าไม่เคยโทษเลยแม้สักนิด ร่างสูงเดินลงมาผ่านห้องนั่งเล่นก่อนจะหยุดลงเมื่อเห็นร่างที่นั่งหลับอยู่บนโซฟาตัวนุ่ม ไม่ต้องบอกก็รู้ เหมือนเคย .. เป็นห่วงแม้ไม่มีเหตุผล ซีวอนตรงเข้าไปหาดงแฮที่หลับอยู่ก่อนจะถอดเสื้อสูทของตัวเองออกแล้วคลุมลงที่ร่างบาง เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆอย่างไม่ได้หวังให้คนฟังได้ยิน
“อากาศเย็นนะดงแฮ..” แล้วซีวอนก็ออกมาจากบ้านก่อนจะขึ้นรถออกไปยังบริษัท ระหว่างทางในหัวก็คิดเรื่องของคนที่เขาเพิ่งจากมาไปต่างๆนานา คิดย้อนไปเขาเองก็งงเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆดงแฮถึงได้เป็นแบบนี้ อย่างน้อยจำไม่ได้แต่วันก่อนก็ดูท่าว่าจะเข้ากับเขาได้แล้วเชียว .. แต่ก็นั่นแหละ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะจำได้หรือไม่ ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน เขาเองก็ทำให้เจ็บปวดมาตลอด
ภาพวันที่ทะเลาะกันก่อนที่ดงแฮจะตกบันไดแล้วความจำเสื่อมยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของซีวอนไม่หายไปไหน จากแต่ก่อนที่เคยทำตัวแย่ๆเที่ยวกลางคืนบ่อยๆไปกับใครต่อใคร และซีวอนแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เหลือเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่รอคอยคนรักกลับมาจำได้ ผู้ชายคนเดิมที่เปลี่ยนไปเพราะโทษทัณฑ์ความผิดที่ก่อเอาไว้
.. ไม่เคยคิดจะขอให้ยกโทษให้ เพราะฉันนอกใจ แต่ตอนนี้ฉันเสียใจ ฉันขอโทษ
.
.
TBC. Chapter 11
ความคิดเห็น