คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่1 การพบกัน 100%
เงาใจไฟพิศวาส
โดย อัจฉราวลี
ตอนที่1 การพบกัน 100%
อลัน ทศวัตร มิลเลอร์ออกเดินทางด้วยสายการบินยูไนเต็ตแอร์ไลน์จากลอสแอนเจลิสมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเช้าวันหนึ่งก่อนเทศกาลเข้าพรรษา กว่าจะจัดการสัมภาระที่มีเพียงกระเป๋าเป้เดินทางใบเดียวขึ้นนั่งบนรถส่วนตัวโดยมีนิศากร วิริยะชัยอาสาขับรถไปรับเขาจากสนามบินไปส่งยังจุดหมายปลายทางในอำเภอหนึ่งห่างจากตัวจังหวัดชลบุรีหลายสิบกิโลเมตร ก็เล่นเอาเขาล้าไปทั้งตัว
อลันบอกขอบใจเพื่อนสาวแล้วก้าวเท้าลงจากรถยนต์ยุโรปคันหรู มองหญิงสาวกลับรถแล้วย้อนออกไปตามถนนถมด้วยดินลูกรังขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อรถไม่สามารถวิ่งสวนทางได้เพราะเป็นถนนเลนเดียว
พอรถพ้นจากระยะสายตา บุรุษหนุ่มร่างสูงสง่าจึงหมุนตัวกลับมามองบ้านไม้หลังใหญ่ บ้านที่เขาจะพักอาศัยอยู่แรมเดือน ร่างสูงอมยิ้มด้วยความพอใจกับสภาพแวดล้อมร่มรื่นเย็นตา หมู่แมกไม้โดยรอบแผ่กิ่งก้านสาขา ราวกับเขาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติสีเขียวไปโดยปริยาย
แม้ว่าอากาศจะร้อนและเหนื่อยสักเพียงไหนก็ตาม ในยามนี้ถูกบังตาด้วยความเย็นสบายเบื้องหน้าที่ได้เห็น อลันยืนทอดสายตาคมมองผ่านเปลวแดดอย่างสบายอารมณ์ เดินชมทัศนียภาพรอบตัวบ้านอยู่นาน ก่อนจะมาหยุดเท้าลงตรงตีนบันไดบ้านเพื่อนั่งพัก ก็ให้นึกถึงเรื่องของเจ้าของบ้าน...นิศากรช่วยหาที่พักให้เขาในแบบที่เขาต้องการ และไม่นานนักก่อนเดินทางมา สรุปก็ได้เช่าบ้านหลังนี้ด้วยเงินจำนวนเงินสามแสนบาท เงินจำนวนนี้มิใช่น้อยเลยหากจะคิดราคาค่าเช่าเปรียบเทียบกับความสะดวกสบายที่สามารถหาซื้อได้ง่ายจากโรงแรมในตัวเมืองชั้นดี แต่ทว่าสิ่งที่บ้านหลังนี้มีคือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด 'ธรรมชาติสีเขียวขจี'
ตามคำบอกเล่าของนิศากรที่บอกกับเขาภายในรถก่อนเดินทางมาถึงที่ ‘เรือนกล้วยไม้’ ว่าทำไมเจ้าของบ้านถึงให้เช่าบ้านในราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากความจำเป็นที่จะต้องนำเงินไปใช้หนี้อย่างเร่งด่วน ซึ่งนิศากรเองก็ไม่ได้เล่าให้เขาฟังในรายละเอียดจนหมดเปลือก และตัวเขาเองไม่ใช่คนช่างซักช่างถาม จึงปล่อยให้บทสนทนานั้นผ่านเลยไป
รอยยิ้มเข้าใจมากกว่าเหยาะหยันในความอัตคัดของเจ้าของบ้านเกิดขึ้นที่มุมปากกระจับแดงระเรื่อ อาการที่กำลังเกิดขึ้นบนเรียวปากของอลัน ทศวัตร มิลเลอร์ ในยามนี้ เหตุเพราะหยั่งซึ้งถึงหัวอกของคนซึ่งตกที่นั่งลำบาก...บางที ถ้าเป็นเขาร้อนเงินอย่างเช่นคนในบ้านหลังนี้ เขาก็คงยินยอมที่จะสละที่อยู่ที่อาศัยสักระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ได้เงินก้อนใหญ่มาจุนเจือครอบครัวถึงแม้ว่าชั่วระยะเวลาหนึ่งนั้นจะต้องปล่อยให้คนที่ไม่รู้จักมาอาศัยอยู่ที่บ้านและตัวเขาต้องระหกระเหินไปอยู่ที่อื่น เขาก็ยอม
อลันนั่งทอดสายตาจ้องไปยังความใสของน้ำใต้ถุนบ้าน เสาไม้ขนาดหนึ่งคนโอบยื่นลงไปในน้ำมีฝูงลูกครอกว่ายวนเสาจนเกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ซ้อนไปมา ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในโสตประสาทอีก...มันน่าจะกระโดดลงไปว่ายให้คลายร้อนเสียจริง...อลันคิดเพลินๆ
ร่างสูงลุกขึ้นยืน ก่อนจะหมุนตัวเดินขึ้นบนบันไดบ้านในขณะเดียวกันนั่นเอง ก็มีเสียงตะโกนจากใครคนหนึ่งโหวกเวกมาจากอีกฝากของทะเลสาบ อลันหยุดการเคลื่อนไหว แล้วหันไปมองตามที่มาของเสียง เมื่อมองไปจึงได้เห็นสาวน้อย ผมยาวแค่ติ่งหู เธอกำลังยืนป้องปากส่งเสียงร้องเอ็ดอึงมาทางเขา
“วู้...นายฝรั่ง! อาหารเที่ยงอยู่ในตู้กับข้าวแล้วน้า...อาหารเย็นจะยกมาให้ตอนหกโมง...เข้าใจภาษาไทยรึเปล่า”
อลันกำลังจะตะโกนตอบกลับไปว่า ‘เข้าใจ’ แต่หญิงสาวร่างผอมสูงก็หมุนตัวเดินเร็ว ก้าวสวบสาบจากไปอย่างไม่รอฟังคำตอบจากเขาเสียแล้ว อลันถอนฉิวน้อยๆ กับการไร้มารยาทของเธอ...
หากความรู้สึกที่ได้เห็นความงดงามทางฉากหลังของพื้นหญ้าสีเขียวที่หญิงสาวย้ำเท้าออกไปตรงบริเวณด้านหน้าไกลลิบออกไปอีกนั้น เขาเพิ่งทันสังเกตเห็นว่ามีแปลงดอกไม้บางชนิดทอดตัวยาวออกไปเป็นบริเวณกว้าง ที่ซึ่งหญิงสาวเริ่มตัวเล็กจิดลงไปเมื่อเดินไกลออกไปทางด้านนั้น อลันรีบวิ่งขึ้นบ้านเพื่อหาจุดโฟกัสในการชมวิวที่จะสามารถมองเห็นภาพได้ถนัดตา
ดวงตาสีน้ำทะเลหรี่ตาลงเมื่อผลักบานประตูบ้านให้เปิดกว้างออก ภายในบ้านมืดสนิท ตาพร่าขึ้นทันที เขาจึงต้องยืนปรับสายตาอยู่ตรงประตูบ้านครู่ใหญ่ สักครู่พอสายตาที่พร่ามัวเริ่มกลับมามองได้แจ่มชัดขึ้น เท้าก็เริ่มขยับก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปภายในห้อง ถอดรองเท้าผ้าใบออกวางไว้ข้างประตูทางเข้า วางกระเป๋าเป้เดินทางใบเขื่องลงบนพื้นแล้วอลันก็เดินไปเปิดหน้าต่างทุกบานออกกว้างเพื่อให้ความสว่างส่องผ่านเข้ามาภายใน เขาเดินกลับมายืนตรงจุดที่ทิ้งกระเป๋าลง จากนั้นมือใหญ่ก็จับชายเสื้อยืดคอวีถอดผ่านศีรษะออกอย่างรวดเร็ว โยนเสื้อไปกองไว้ข้างกระเป๋า เดินเปลือยท่อนบนไปสำรวจดูภายในบ้านเพื่อหาจุดโฟกัสที่ยังคาใจอยู่ มีห้องอีกหลายห้องแยกออกไปเป็นสัดส่วน บ้านกว้างพอๆ กับห้องโถงบวกกับห้องนั่งเล่นในคฤหาสน์ของมารดาเลยก็ว่าได้...อลันคิด
เดินสำรวจตรวจตราไปถ้วนทั่ว จนมาหยุดอยู่ที่ห้องนอนห้องเล็กห้องหนึ่งโซนตะวันตก เขาเปิดหน้าต่างออก จักษุภาพมองเห็นแปลงดอกกล้วยไม้ได้อย่างชัดเจนจากมุมสูงด้านนี้ เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกเสียงดังในขณะที่เท้าก้าวเดินออกไปผลักบานประตูที่เชื่อมห้องนอนกับพื้นเรือนนอกชายคาไว้
เขาเห็นเก้าอี้โยกตั้งอยู่ชิดผนัง จึงลากเก้าอี้ไปตั้งไว้ริมลูกกรงระเบียง หย่อนสะโพกสอบลงนั่งอย่างสบายใจ เท้าแขนกับที่พักแขนมองภาพดอกไม้สีสันสดใสอยู่นานจนเริ่มเคลิ้มจึงหลับตาลงพักสายตา โยกเก้าอี้ให้เอนหน้าเอนหลังเป็นจังหวะ และต่อจากนั้น...ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ที่เขาเผลอหลับไปนับตั้งแต่เขาเอนหลังนั่งสัปหงก
มาตื่นเอาอีกทีท้องฟ้าก็ฉาบไล้ไปด้วยแสงของพระจันทร์นวลเต็มดวง ที่กำลังทอแสงสุกสกาวทำมุมสี่สิบห้าองศาอยู่บนท้องฟ้าสีดำสนิทขณะนี้ เขานั่งหลับเป็นตายบนเก้าอี้โยกตั้งแต่ตอนเที่ยง!
สงสัยจะเป็นเพราะอาการเจ็ทแล็ค (Jet lag) หรืออาการเมาเวลา เพราะเขาต้องเดินทางข้ามเขตแบ่งเวลาหลายๆ เขต ในการเดินทางจากทวีปอเมริกามาประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้ร่างกายของเขาที่ยังคงคุ้นชินกับเวลาเดิมอยู่ ปรับตัวไม่ทัน
‘เออ แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วนะ’อลันคิดทบทวนพร้อมกับลุกขึ้นยืนมองเข้าไปในความสลัว เท้ามือลงบนลูกกรงระเบียงแล้วยกแขนข้างที่สวมนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา พรายน้ำบอกเวลาทุ่มครึ่ง อลันยืดแขนออกบิดลำตัวไปมาจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นเพื่อไล่ความเมื่อยขบอยู่สักพักใหญ่ ก่อนจะเดินฝ่าความมืดกลับเข้าบ้าน คลำทางไปเปิดสวิตซ์ตรงมุมเสาในห้องโถงใหญ่ ชายหนุ่มเลือกเปิดเฉพาะในจุดที่เขาใช้ไฟเท่านั้น
พอแสงไฟสว่างพรึบ ท้องก็ร้องจ้อกฟ้องว่าหิวจัด จึงเร่งเท้าเดินเร็วเป็นสองเท่าเข้าไปในครัว เปิดตู้กับข้าวออกดู มีอาหารวางอยู่บนถาดอาหารสแตนเลส เขาสังเกตว่าเป็นคนละถาดกับอันเดิมของมื้อเที่ยงที่ยังไม่ได้แตะต้อง และคนที่เอามาเปลี่ยนเตรียมอาหารชุดใหม่ไว้ให้เขาก็คงจะเก็บเอาอาหารถาดเก่ากลับไปด้วย
แล้วนี่อะไรกัน! เอาอาหารมื้อเย็นมาเปลี่ยนให้ใหม่ตามเวลา แต่ทำไมไม่มาปลุกให้เขาตื่นด้วย
อลันโมโหหิว อาการฉุนเฉียวจนใบหน้านิ่วคิ้วขมวดกับข้อตกลงที่เจ้าของบ้านดูจะไม่เทคแคร์ดูแลแขกอย่างเต็มที่ ไม่สมกับราคาค่าเช่าที่เสียไปเสียเลย เขามีข้อแม้เพียงแค่อาหารสามมื้อและความเป็นส่วนตัว เพียงแค่นี้ก็ทำให้ไม่ได้ มันน่าจะลดราคาค่าเช่าลงสักกึ่งหนึ่ง แต่ทว่าท้องที่หิวจัดทำให้เลิกตีรวนกับคนที่ไม่รู้ว่าใครที่ได้นำเอาอาหารมาเสิร์ฟแบบเงียบกริบราวกับนักย่องเบา เร่งรีบจัดการยกทั้งสำรับออกมาจัดการกินอย่างง่ายๆ บนพื้นตรงหน้าตู้กับข้าวแบบไม่มีพิธีรีตรอง เมื่ออิ่มหนำสำราญกับอาหารตรงหน้า ความโกรธเกรี้ยวทั้งหลายแหล่ก็หายไปพลัน
อลันเก็บภาชนะไปล้างบนซิงค์ล้างจาน คว่ำจานไว้บนตะแกรงพักจาน แล้วเดินออกจากครัวมาผลัดผ้าเหลือแต่กางเกงบ๊อกเซอร์ คว้าผ้าขนหนูในเป้หลังออกมาได้ก็เดินลงบันไดไปด้านล่าง ตั้งใจจะลงไปว่ายน้ำในคลองส่งน้ำที่ไหลผ่านใต้ถุนบ้าน ในคราแรกนั้นเขาคิดว่าคือทะเลสาบ แต่ที่ไหนได้มันคือทางน้ำสำหรับนำน้ำจากแหล่งน้ำซึ่งเป็นต้นน้ำของโครงการชลประทานไปยังพื้นที่เพาะปลูกของแปลงดอกกล้วยไม้
ความเงียบที่เขาเองก็ไม่ได้สนใจจะสดับตรับฟังอะไรมากนักยามที่ก้าวลงบันไดหลายสิบขั้น ไม่แม้แต่จะคิดสักนิดว่ามันเงียบสักเพียงใด เพราะในสมองตอนนี้ มีแต่คำว่า ‘ร้อน’
ก่อนจะถึงตีนบันไดบ้าน เขาเองถึงกับต้องสะดุ้งจนสุดตัวด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงดังสนั่นพร้อมทั้งเสียงกรีดร้อง ดังมาจากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เสียงหล่นลงจากที่สูงกระทบกับผิวน้ำอย่างแรง แทรกผ่านเข้ามาในความเงียบ ความรู้สึกบางอย่างบอกให้อลันรู้ว่า มันดังมาไม่ไกลจากตัวบ้านมากนัก
ตู้ม! กรี้ด!
“ช่วยด้วย!...ช่วยด้วย!”
“เฮ้! คนนี่หว่า” อลันอุทานลั่น รีบพรวดไปที่ต้นเสียง
เขานั้นเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีสางมาแต่ไหนแต่ไร จึงเข้าใจได้เองว่าเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่ได้ยินเป็นเสียงของมนุษย์ และที่แน่นอนว่า มนุษย์คนนี้ต้องมีเลศนัยแอบแฝงอยู่อย่างตั้งใจในมาเยือนในยามวิกาล แต่ท่าไม่ดี ‘โจร’ ดันมาตกน้ำ แล้วดันว่ายน้ำไม่เป็น มันน่าจะปล่อยให้มันจมน้ำตายไปซะ!
แต่มโนธรรมและจิตสำนึกที่ดี มีนิสัยชอบช่วยเหลือคนอยู่เป็นนิจ ทำให้เขาไม่อาจนิ่งดูดายอยู่ได้ สองเท้าวิ่งมาหยุดยืนอยู่ริมตะลิ่ง มองหาต้นตอที่มาของเสียงเหนือระดับผิวน้ำแล้วตะโกนเรียก
“คุณ! คุณ!” สิ้นเสียง ร่างสูงก็มิอาจรอช้าได้อีก สปริงข้อเท้าถีบให้ร่างพุ่งหลาวลงไปในน้ำโดยไว
ถ้ายังรีรอ กว่าจะหาร่างนั้นพบ อาจจะใช้เวลาอีกเท่าใดก็มิทราบได้ บางทีอาจจะไม่ทันการ โจรที่หวังจะเข้ามาปล้นทรัพย์สินของเขาอาจจมน้ำตาย
อลันดำผุดดำว่ายอยู่ไม่นานเกินสามนาที ก็ดึงร่างของคนหมดสติขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เขาพยุงร่างผอมบางของคนจมน้ำขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เพราะตลิ่งที่ค่อนข้างชันและลื่นเป็นดินเหนียว เมื่อวางร่างแบบบางลงบนพื้นหญ้า พิศดูใบหน้าก็เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาของสาวแรกรุ่นนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติง
‘อืม...โจรสาว’
“คุณ! คุณ!” อลันใช้ฝ่ามือตบที่ผิวแก้มของเธอเบามือเพื่อเรียกสติพร้อมทั้งส่งเสียงกระตุ้นเรียกเธอไปด้วย แต่ร่างนั้นก็ยังไม่รู้สึกตัว อลันเอานิ้วอังจมูก เธอหยุดหายใจ! รีบผายปอดด้วยวิธีเป่าปาก อึดใจใหญ่เธอก็สำลักน้ำออกมา ร่างแน่นิ่งรู้สึกตัว ปรือตาที่มีขนตางอนยาวขึ้นกระพริบตาปริบๆ เสียงไอและสำลักน้ำดังลอดออกมาจากริมฝีปากบางซีดอยู่ตลอดเวลา
“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามเป็นภาษาไทยแปร่งๆ ลอบสังเกตใบหน้าหมดจดอย่างไม่ให้คลาดสายตา ใบหน้าชะแล่มของเด็กสาว ประติดประต่อเข้ากับเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่...กางเกงสามส่วนสีกรมท่า เสื้อยืดคอกลมสีชมพูอ่อน...อ๋อ เธอนั่นเอง คนที่ป้องปากตะโกนบอกความกับเขาเมื่อตอนกลางวัน
ความคิดเปลี่ยน เธอไม่ใช่หัวขโมยอย่างที่เขาคิดไว้
“เธอหมดสติไปนานหลายนาที น่าจะไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลนะ อาจจะมีโรคแทรกซ้อนก็ได้ ฉันไม่ใช่หมอ ช่วยเธอได้เท่านี้เอง” เขาบอก พยายามสื่อสารด้วยภาษาไทยให้ชัดเจนที่สุด
“แค่นี้ก็เป็นพระคุณอย่างสูงแล้วจ้ะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณที่ช่วย” หญิงสาวเค้นเสียงตอบอย่างยากลำบาก ร่างสั่นระริกขยับตัวจะลุกขึ้นยืน อลันยืดแขนออกคว้าที่ต้นแขนเล็กช่วยโอบประคองไว้
“ไหวไหม ฉันว่าขึ้นบ้านก่อนเถอะ” อลันเป็นห่วงจากใจจริง แต่ดูท่า เธอจะเข้าใจเจตนาดีของเขาไปอีกอย่าง
“ไม่ได้!...ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่กันสองต่อสองบนเรือนมันไม่เหมาะไม่ควร ปล่อย เดินไหว” หญิงสาวโผเผพยายามยืนทรงตัว ปัดมือใหญ่ออกจากการประคองอย่างคนหวงตัว ชายหนุ่มใช้กำลังที่เหนือกว่า รั้นคำสั่งด้วยเสียงแหบพร่าของเธอด้วยการกระชับมือใหญ่ให้แน่นเข้า การกระทำของคนต่างเพศสัมผัสไปถึงใจสาวให้หวิวไหวจากการใกล้ชิด เธอเกือบลืมหายใจ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นส่งสายตากร้าวเพื่อให้เขาปล่อยมือออก ต่อเมื่อสายตากลมโตของเธอจับจ้องไปที่ดวงตาคู่คมของเขา หญิงสาวก็รีบงุ้มใบหน้าลงต่ำเปลี่ยนเจตนาเพราะสายตาของชายหนุ่มคล้ายมีประกายไฟแลบเข้าตา แต่การกระทำดังกล่าวกลับทำให้เธอต้องจดจ้องอวัยวะต่ำกว่าสะดือที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มผ้าของเขาตาค้าง
‘พุทโธ ธรรมโม สังโฆ’
หญิงสาวหลับตานึกภาวนาในใจกลบความประหม่า เบือนหน้าหนีไปอีกทางแล้วผลักตัวออกห่าง ขนาดยังไม่เคยเห็นของจริงเธอยังเป็นได้ถึงเพียงนี้ นึกแล้วอยากจะเป็นลม...ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งทันทีที่คิดได้ดังนั้น จากนั้นหญิงสาวก็ทิ้งตัวลงอ่อนปวกเปียก
“ระวังล้ม!” อลันโผเข้าไปหิ้วปีกหญิงสาวอย่างอิหลักอิเหลื่อ คงเป็นเพราะร่างกายที่อ่อนแรงจากการจมน้ำ ทำให้เธอหมดสติไปอีก
หญิงสาวมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เธอสัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นกำลังบรรจงจับต้องอยู่บนผิวกายของเธอ
“แม่เอื้องจ๊ะ หรือว่าพี่ดา มาทำอะไรกับเสื้อผ้ารส...” หญิงสาวบ่นอู้อี่ ปัดป้องมือนั้นออกด้วยความรำคาญ ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองอย่างยากลำบาก ใบหน้าของหนุ่มชาวตะวันตกอยู่ใกล้จนเกิดภาพเบลอ อีกทั้งมือของเขากำลังสาละวนอยู่กับการติดกระดุมเสื้อของเธออยู่ หญิงสาวได้แต่จ้องหน้าเขานิ่ง ตัวเกร็ง ตกใจกับการกระทำของเขาจนตั้งสติไม่อยู่
อลันเห็นท่าทางไม่ดีจึงรีบอธิบาย “โรสตัวเปียก ผมคิดว่าโรสควรจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่เช่นนั้นอาจจะ...อกบวม”
“อกบวม!” หญิงสาวทำหน้าเหรอหราก้มลงมองเสื้อผ้าที่เธอสวมอยู่แล้วรีบตะครุบคอเสื้อเข้ากัน รีบลุกจากพื้นกระดาน กระถดถอยหลังจนไปชิดกับฝาผนัง
อุบัติเหตุจากการที่เธอแอบปีนต้นไม้ลอบดูพฤติกรรมของคนที่มาเช่าบ้านของเธอเมื่อหลายชั่วโมงก่อน แล้วดันตกต้นไม้ลงไปในน้ำ ดันมาเจอผีซ้ำด้ามพลอยเพราะเป็นตะคริวเกือบเอาชีวิตไม่รอดจนเขามาช่วยเธอไว้จากการจมน้ำ จริงอยู่ที่เธอทำตัวเป็นนักถ้ำมอง ชะเง้อชะแง้แอบดูเขามันไม่ถูกไม่ควร แต่ไม่รู้มีสิ่งใดดลใจให้เธอปีนต้นไม้แอบจ้องมองเขานอนหลับบนเก้าอี้โยกอย่างนั้นอยู่นานสองนาน ราวกับว่าเธอโดนมนตร์สะกด
อลันจ้องร่างบางที่กุมคอเสื้อไว้แน่น ดวงตาของอลันมีแววล้อ ริมฝีปากยิ้มพรายอย่างคนรู้ทันความคิดของเธอ ฉับพลัน ใบหน้าน่ารักไม่หยอกนั้นคงรู้ว่าเขานั้นคิดสิ่งใดอยู่ เธอก็รีบเบือนหน้าหลบ เขาไม่อยากให้เธอคิดมากเลยรีบบอก
“ชั้นในของโรส ฉันไม่ได้ถอดมันออกหรอกนะ เปลี่ยนให้แค่เสื้อกับกางเกง ทางที่ดีควรรีบถอดมันออก”
“ถอดเหรอ!”
“ถอด แต่คงไม่ใช่ตอนนี้” เขารีบท้วง ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของเธอก็อดอมยิ้มไม่ได้ แล้วจึงพูดขึ้นเสียงเรียบ “ที่วางอยู่ตรงนั้นคือยาแก้ไข้ คิดว่าคืนนี้โรสอาจจะป่วยเพราะโรสจมน้ำ สำลักน้ำจนหมดสติ ทางที่ดีกลับไป โรสน่าจะให้คนที่บ้านพาไปพบแพทย์”
เขาชี้นิ้วไปบริเวณที่เธอเคยนอนทอดตัวอยู่ก่อนหน้านี้ มีห่อยาในถุงซิบพลาสติกที่เขาวางไว้ให้เธอ
หญิงสาวมองตามมือ เธอฟังภาษาอังกฤษเร็วปรือแล้วก็...แปลไม่ทัน...
“อ้อ...” อลันคราง เมื่อเริ่มคิดได้ว่าเขากลับมาใช้ภาษาที่ถนัดอีกแล้ว จึงเริ่มพูดใหม่อีกครั้งในภาษาไทย
“ผมหมายถึง ที่พื้น วางยาลดไข้ไว้ เอาไปกิน แล้วก็ไปหาหมอด้วย ผมคิดว่า คุณอาจจะอกบวมก็ได้” เขาหมายถึง ‘ปอดบวม’ แต่ใช้ภาษาไทยวิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หญิงสาวตกใจกับคำว่า ‘อกบวม’ เสียมิได้ เขาย้ำแล้วย้ำอีกอยู่นั่นแหละ ความอับอายตีแสกหน้าเข้าให้ทันควัน ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อยากไปให้พ้นๆ จากความอดสูนี้ จึงรีบก้มลงหยิบยาในซองพลาสติกใสที่เขาวางไว้ให้บนพื้นขึ้นมาและบอกเขาว่า
“ขอบคุณนะจ๊ะ ฉันจะเอากลับไปกินยาที่บ้านก่อนนอน”
“ไหวไหม จะกลับแล้วเหรอ” อลันร้องทักเมื่อเห็นหญิงสาวก้าวอาดๆ ก้มตัวจะเดินผ่านสีข้างทางด้านขวาของเขาออกไป
“แม่รออยู่ ท่านคงเป็นห่วง เพราะรสมานานมากแล้วด้วย” หญิงสาวก้มหน้าก้มตาตอบ
“ให้ฉันไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ รสเดินไหว”
“ผมคิดว่าตัวเองสะกดคำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ เป็นนะ”
“แต่รสเกรงใจ มันดึกมากแล้วด้วย”
“ดึกนี่แหละที่จะต้องไปส่ง ให้ผมไปส่งเถอะ เผื่อว่าโรสจะหมดสติกลางทาง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผมคงรู้สึกแย่ที่ปล่อยให้โรสเดินกลับลำพัง”
ใจที่แข็งเป็นหินของมธุรสถูกกัดเซาะลงในพริบตา เธอไม่เคยรู้สึกดีกับคำพูดห่วงใยของเพศตรงข้ามอย่างนี้มาก่อน ใจอ่อนยวบคล้ายกับมีไฟฟ้าสถิตแล่นผ่านจนภายในอกรู้สึกร้อนวูบแปลกๆ
“ก็ได้จ้ะ” ริมฝีปากที่จะเอ่ยปฏิเสธก็ให้พลอยตอบรับเอาดื้อๆ หญิงสาวหน้าแดงด้วยความขวยเขินอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว รีบหลบตาก่อนที่อลันจะทันสังเกตเห็น แล้วปล่อยให้เขาจูงเดิน
สาวน้อยไม่ประสากับความรู้สึก ราวกับหัวใจศิโรราบให้กับชายหนุ่มที่เพิ่งจะพบกันไม่กี่ชั่วโมง แต่ความละเอียดอ่อนอันอ่อนไหว ถูกบดบังอำพรางด้วยความไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง ได้แต่มองผ่านความสลัวของความมืดที่พอจะคลำทางจากลำแสงของดวงจันทร์เดินไปเท่านั้น
“ส่งแค่นี้ก็พอจ้ะ แม่จะว่าเอาได้ถ้าเห็นนายฝรั่งมาส่ง” สิ้นคำมธุรส ร่างสูงที่เดินนำหน้าก็หยุดฝีเท้าลงปล่อยมือน้อยให้เป็นอิสระ
“ตามใจ” อลันพูดเสียงเบาไม่เชิงตัดรอน ก่อนที่หญิงสาวจะเดินลับสายตาตัดเข้าถนนเส้นเล็กผ่านแปลงดอกกล้วยไม้แปลงใหญ่ที่ปลูกอยู่บนนั่งร้านไปถึงบ้านหลังเล็กซึ่งอยู่ท้ายสวนนั้น อลันก็ป้องปากส่งเสียงถามเธอออกไป เสียงไม่ดังและไม่เบาเกินไปนัก “เดี๋ยวก่อน เธอชื่อโรสใช่ไหม ฉันชื่ออลันนะ”
อย่างไม่คาดคิด เขากลับแนะนำตัวกับเธอ คล้ายกับว่าเขาอยากให้เธอจดจำชื่อของเขาไว้ให้ขึ้นใจ
“ฉันชื่อรส ไม่ใช่โรสจ้ะ ชื่อจริงของฉัน...มธุรส” เธอป้องปากตอบ เปล่งเสียงดังพอๆ กัน จากนั้นก็วิ่งเร็วปรือหายลับไปจากสายตา
อลันมองตามร่างบางจนพ้นจากระยะสายตามองเห็น คิดทบทวนกับความรู้สึกในใจที่เต้นผิดแผกไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกแปลบที่สีข้างเยื้องขึ้นมาเกือบถึงใต้รักแร้ทางราวนมด้านซ้าย มันรู้สึกจักจี้ไม่หยอก บางทีอาจเกิดขึ้นตอนที่เขาโยนตัวกระโจนลงน้ำเพื่อช่วยชีวิตเธอ หน้าอกด้านซ้ายอาจจะไปกระแทกผิวน้ำอย่างแรง ทำให้มีอาการเคล็ดก็เป็นไปได้ เขาคิดเพื่อกลบความรู้สึกหวิวไหวบางอย่าง แล้วจากนั้นก็เดินกลับบ้านพัก...
บ้านพักที่อลันจะอยู่พักคลายความตึงเครียดจากปัญหาชีวิตครอบครัว ‘ทศวัตร’ หนึ่งเดือนเต็ม โดยไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยว่า กำลังจะมีห่วงผูกพันบางอย่างเข้ามาเล่นตลกกับชีวิตของชายหนุ่มในอนาคตอันใกล้นี้
คุยกันก่อนนะคะ
สวัสดีชาวไลต์ออฟเลิฟทุกคนนะคะ ยินดีที่ได้รู้จัก และขอบคุณที่เข้ามาทักทายกับนิยายที่ทำการรีไรท์ทั้งเล่มเรื่องนี้เพื่อส่งไลต์ออฟเลิฟพิจารณาวันที่8/11/2013 ถ้ามีข่าวดีจะมาแจ้งอีกครั้งค่ะ แต่ ณ เวลานี้ ขอให้มีความสุขกับพระนางรักสามเศร้าเคล้าทุกอรรถรสได้ใน เงาใจไฟพิศวาส ค่ะ
และนิยายเรื่องนี้จะอัพให้อ่านแค่70% นะคะ
เรื่องนี้จะอยู่ภายใต้นามปากกา อัจฉราวลี ค่ะ
ความคิดเห็น