คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่1 สู่บ้านหลังที่สอง (Rw.)
บทที่1 สู่บ้านหลังที่สอง (Rw.)
ล็อคเกต...
สิ่งแรกที่เธอหยิบขึ้นมาหลังจากเปิดหีบที่ผู้เป็นแม่กำชับไว้นักหนาก็คือจี้หอยคอที่สามารถเก็บภาพไว้ได้ และภาพในนั้น คือรูปถ่ายสมัยที่ครอบครัวยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ แม่ ลูก....
เหมือนน้ำตาเจ้ากรรมจะเริ่มปริ่มที่ขอบตาอีกระลอกเสียแล้ว นกน้อยที่เพิ่งออกจากรังพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วจึงควานหาสมบัติชิ้นต่อไป
“หนังยางรัดผม? โถ่...แม่ล่ะก็...” เธอแอบอมยิ้มเล็กน้อยกับความละเอียดลออของมารดา แล้วจึงหยิบหนังยางสีสวยทั้งสองวงขึ้นมัดเป็นทรงผมแกละ ทรงประจำที่เธอชื่นชอบมากที่สุด หากวันไหนไม่ได้ทำทรงนี้ก็อาจจะไม่กล้าออกไปเจอคนข้างนอกเลยก็ว่าได้
อีกหนึ่งอย่างก็คือจดหมายที่แม่ของเธอเขียนทิ้งไว้ แต่เธอเลือกที่จะเก็บไว้ก่อน เพราะถ้าหากอ่านต่อนี้ น้ำตาที่เพิ่งจะแห้งอาจหลั่งไหลออกมาอีกก็เป็นได้
สิ่งสุดท้ายที่อยู่ในหีบสมบัติแทนใจ กลับเป็นแผ่นกระดาษเอกสารเพียงแผ่นเดียว...
“โรงเรียน เอ่อ.. อะไรเนี่ย อดา... อดามันไทบ์?” คามีร่าค่อยๆบรรจงฝีปากอ่านชื่อโรงเรียนที่ตนกำลังจะไปถึง ด้วยตัวอักษรภาษาเมืองหลวงที่จะมีการสะกดคำยุ่งยากกว่าภาษาพื้นบ้านตามชนบท
นี่คือหนึ่งในสมบัติในกล่องหีบนั่น... เอกสารการสมัครเข้าเรียน ‘โรงเรียนอดามันไทบ์’
“เคยได้ยินอยู่หรอกนะว่าเป็นโรงเรียนต่อสู้ แต่มันจะหนักไปรึเปล่าเนี่ย...” สาวผมแกละพึมพำ แล้วจึงบรรจงอ่านรายละเอียดในเอกสารอย่างยากเย็นแสนเข็ญ
แต่คิดในแง่ดี การจับพลัดจับผลูเข้าเมืองมาครั้งนี้ อาจทำให้เธอสามารถเดินตาม ‘ความฝัน’ ได้อย่างสะดวกขึ้นก็เป็นได้!
“เฮ้อ...” หลังจากตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารในมือเสร็จคามีร่าก็พลันถอนหายใจออกมา “จะหาเพื่อนได้มั้ยนะ... เห็นบอกว่าโรงเรียนนี้มีแต่พวกเก่งๆก็มากอยู่ แล้วเราล่ะ..?” เธอตั้งคำถามให้กับตัวเองด้วยความกังวลใจ สิ่งที่เป็นจุดอ่อนของเธอรองลงมาจากความขี้ขลาด คือความขี้อาย ทำให้เธอไม่กล้าเข้าสังคม ตอนเด็กๆเพื่อนเล่นก็มีนับหัวคนได้ เนื่องด้วยคิดว่า ยัยนี่มันจืดชืด คุยยาก นิดหน่อยก็หลบหน้าหนี กันแทบทุกคนที่ได้พบเจอ
รถไฟขบวนนี้จากที่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนอัดแน่นด้วยผู้อพยพหนีตาย บัดนี้กลับเบาบางลงไปถนัดตาเมื่อคนที่เอาชีวิตรอดได้ค่อยๆ ทยอยลงไปตามภูมิลำเนาต่างๆ ที่มีญาติพี่น้องอาศัยอยู่ ถึงจะมีผู้โดยสารจากที่อื่นขึ้นมาใหม่บ้าง แต่จำนวนก็ยังน้อยไปถนัดตาเมื่อเทียบกับจังหวะที่เธอหนีออกมา
สงครามในรูปแบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น หากคราวก่อนส่วนใหญ่จะเป็นแค่การปล้นสะดมหรือยึดที่ทำกินของชาวบ้านผู้เคราะห์ร้าย แต่ทว่าในหนนี้ มันกลับรุนแรงขึ้นถึงระดับขั้นที่จะทำลายล้างกันทั้งประเทศ
สาวผมแกละนึกอยู่หลายตลบ... ก็คงเพราะ ‘พลัง’ นั่น ทำให้ศักยภาพการเข่นฆ่ากันพัฒนาขึ้นถึงเพียงนี้ได้อย่างน่าประหลาดใจ
ความจริงแล้ว ก่อนหน้านั้นสาวน้อยคามีร่าที่เหมือนนกน้อยหัดบิน ห่างไกลอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ก็แทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ร่ำไห้ออกมาเอาเป็นเอาตาย หากเด็กน้อยที่เธอได้ตัดสินใจอุ้มขึ้นมาด้วย หลังจากที่เขาก็ได้พบกับพ่อแม่พลัดกันเป็นที่เรียบร้อยทำเอาเธอได้รับคำขอบคุณถวายหัวยกใหญ่ ทำเอาเธอลืมที่จะร่ำไห้ไปพักใหญ่
‘ขอบคุณมากเลยนะที่ช่วยลูกพวกเราไว้ ตอนนั้นสถานการณ์มันยุ่งมาก...ลูกของเราก็พลัดออกไม่ได้ขึ้นรถไฟมาด้วย ครั้นเราจะออกไปอีกก็ไม่ได้ โชคดีจริงๆ ที่ได้คนใจประเสริฐอย่างเธอช่วยไว้ เป็นคนอื่นคงแค่วิ่งเอาตัวเองรอดแน่ๆ เลย...’
จึงเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังคงโดยสารต่อไปจนเกือบสุดสายเช่นนี้
ตอนนี้แม่เราจะไปอยู่ที่ไหนนะ... ภวังค์ความคิดเริ่มก่อตัวขึ้นโดยที่เจ้าตัวเองยังไม่รู้ตัว
“ต่อให้ไม่มีสงครามเกิดขึ้น เราก็ต้องมาอยู่ดี” เธอนึกปลอบใจตัวเอง
ใช่แล้ว ตั้งแต่เมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่เธอเห็นผู้เป็นแม่กำลังง่วนกับเอกสารหลายๆ อย่าง รวมถึงบางทีก็มาเกริ่นนำว่า ‘อยากให้ลูกเข้าโรงเรียนต่อสู้’ โดยมีกำหนดจะไปในเช้าตรู่วันนี้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญแบบนี้พร้อมกันพอดี
โรงเรียนที่เธอกำลังจะเข้าไปฝากชีวิตไว้อีกนานเกือบ 10 ปี เป็นโรงเรียนมหาศาสตร์การต่อสู้ ที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการต่อสู้ตามแขนงสายที่ถนัด และจุดสำคัญ เพื่อพัฒนา ‘พลังที่อยู่ในตัว’ ให้แก่กล้าขึ้น
พัฒนา ‘เจ้านั่น’ เหรอ... ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่ในตัวจริงรึเปล่าน่ะ...
“เรียนผู้โดยสารทุกท่าน ขณะนี้ขบวนรถไฟได้ถึงสถานีเอมเบอร์เรสที่เป็นสุดสายแล้ว ใครที่มีจุดหมายปลายทางสถานีนี้ โปรดเก็บสัมภาระเตรียมตัวลงถึงที่หมายได้แล้วค่ะ” สาวใหญ่ผู้มีหน้าที่บริการผู้โดยสารประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงเพื่อเตือนผู้โดยสารไม่ให้คลาดป้าย
สุดสาย...!?
คามีร่าถึงกับสะดุ้งจากภวังค์ตัวเองทันที แล้วลุกลี้ลุกลนรีบคว้ากระเป๋าตัวเอง โชคไม่เข้าข้างเท่าไหร่ที่เธอลื่นคะมำลง พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ของเธอที่มีส่วนหนึ่งเปิดออก ทำให้ข้าวของในนั้นกระจุยกระจายแทบพื้น
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ...!” คามีร่าก้มเงยหัวผงกขอโทษขอโพยด้วยน้ำเสียงในระดับที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินถ้าไม่ตั้งใจฟัง พลางมือก็คว้าข้าวของที่หล่นเกลื่อนกลาดกลับมายัดใส่กระเป๋าของตน เรียกได้ว่า นี่คือคุณสมบัติข้อถัดมาของคามีร่า เธอซุ่มซ่ามเป็นที่สุด พร้อมด้วยทำอะไรไม่ว่องไวฉับพลัน ถ้ามองเผินๆอาจนึกว่าเธอหัวทึบและทึ่มมากคนหนึ่งก็เป็นได้
ในขณะที่สาวน้อยผมชมพูผงกหัวเก็บสิ่งของของตน สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นมือเรียวขาวซีดมือหนึ่งเอื้อมมาทางเธอ ร่างก็พลันหงายหลังกระเถิบถอยไปอย่างตื่นกลัว “ว้าย...! ฉันขอโทษ! อย่าทำอะไรฉันเลยนะ นะ นะ...!” นั่นเป็นการทำให้คามีร่าตกใจมากหัวใจของเธอแทบจะหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เหมือนสัญชาตญาณของกระต่ายตื่นตูมที่คิดว่าจะมีคนมาทำร้ายเสียหมด
“เป็นอะไรไป ฉันแค่จะช่วย...” น้ำเสียงยะเยือกเย็นเรียบเชียบดังออกมาจากปากของผู้หวังดีที่คามีร่าคิดว่าเป็นคนปองร้ายกำลังปรามให้กระต่ายตื่นตูมข้างหน้าสงบลง
คามีร่าที่หลับตาปี๋ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อหายตื่นกลัว สายตาเธอก็ปรากฏให้เห็นหญิงสาวร่างเล็กเรือนผมสีม่วงอ่อนถักเปียไว้อย่างดี หน้าตานิ่งเหมือนเป็นคนเอาจริงเอาจังตลอดเวลา ซึ่งคาดว่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ กำลังย่อเข่าทำท่าจะเก็บของค้างไว้อย่างนั้น พร้อมนัยน์ตาสีม่วงเข้มกำลังจ้องเธอเขม็ง
“เอ่อ ขอบคุณนะ...คะ...” คามีร่าพูดตะกุกตะกักด้วยความอายและความกลัวที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน
หญิงสาวตรงหน้าเพียงพยักหน้ารับ แล้วกวาดสิ่งของตรงหน้าช่วยเก็บใส่กระเป๋าคามีร่าด้วยท่าทีสงบไม่ลุกลี้ลุกล้นแต่อย่างใด ก่อนจะผันร่างคว้ากระเป๋าสะพายของตนจะเดินออกไปที่ประตูรถไฟที่เปิดรอไว้
ขณะนั้นเอง คามีร่าก็เหลือบไปเห็นใบปลิวของโรงเรียนเดียวกับที่เธอพับเก็บไว้ในกระเป๋ากระโปรงจึงฉุกคิดบางอย่างขึ้น
“เดี๋ยว..!” คามีร่าฉุดมือรั้งสาวผมม่วงไว้ พร้อมยิ้มแก้ขัดพร้อมเอ่ยปากถาม “เอ่อ ลงสถานีนี้เหมือนกัน...เหรอ?”
“อืม มีอะไร?” ผู้ถูกเหนี่ยวรั้งตอบเสียงเรียบ
“ฉัน... ฉันก็ลงที่นี่เหมือนกัน แล้วก็จะไปทางเดียวกับเธอด้วย ไป...ไปด้วยกันนะ นะ” คามีร่ากล่าวพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน เผยจุดประสงค์ว่าอยากให้มีคนไปด้วยเพราะกลัวจะหลงทาง
“ก็ได้ เชิญ...” หญิงสาวตรงหน้ายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะก้าวลงจากรถไฟ ให้ยัยเบ๊อะข้างหลังอึ้งด้วยความอับอายไปชั่วระยะหนึ่งแล้วค่อยตามมาต้อยๆ
“คือว่า...มาที่เข้าเรียนที่นี่เหมือนกันเหรอ?”
มันเป็นคำถามแรก และครั้งแรกที่คามีร่าเป็นคนเปิดประเด็นถามเพื่อนร่วมทางด้วยคำถามพื้นๆ
เกิดมาเพิ่งเคยเป็นฝ่ายเข้าหาคนอื่นก่อนก็คราวนี้นี่แหละ!
“อืม เห็นบอกว่ามีคุณภาพปานกลาง ไม่ผู้ดีเกินไป ก็เลยมา” หญิงสาวผมม่วงเหมือนจะเน้นคำพูดเน้นวรรคที่สอง ทำให้คามีร่าแอบฉุกคิดว่าเธอผู้นี้อาจเกลียดพวกลุกคุณหนูผู้ดีตีนแดงก็เป็นได้
“แล้ว... เธอชื่ออะไร...เหรอ?” ทันทีที่คามีร่าเปิดคำถามทำความรู้จักนี้ออกไป คู่สนทนาก็หันมาจ้องเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาเหมือนกำลังถามกลับว่า อยากรู้ไปทำไม
คามีร่าที่นึกได้เช่นนั้นก็รีบแจ้งเหตุผลประกอบการถามทันที “ก็ใช้เรียกไง ก็... ฉันไม่อยากพูดเธอ เธอไปเรื่อยหรอกนะ”
อีกฝ่ายยังคงนิ่งสงบประกอบด้วยสายตาอันเยือกเย็น ดูท่ายังไงก็จะไม่ยอมตอบคำถามง่ายๆ เรื่องอะไรคนที่เพิ่งจะรู้จัก แค่ร่วมเดินทางจะต้องบอกชื่อแซ่กันให้สนิทใจด้วยเล่า?
“คุณหนูนี่นา…!?” เสียงปริศนาลอยตามลมข้างหลังมาไม่ไกลนัก
“คุณหนูอะไรล่ะเนี่ย?” คามีร่าพึมพำออกมา ครั้นมองไปที่เพื่อนร่วมเดินทางก็เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งค้าง แววตาเยือกเย็นเมื่อกี้เหมือนจะมีแววตระหนกขึ้นมาทันทีทันใด
“ชิ ตามมาอีกเหรอเนี่ย?”
“หรือว่าเธอเป็นคุณหนูที่ว่าน่ะ...?” สาวผมแกละเอียงคอสำรวจภูมิฐานของอีกฝ่าย แต่เมื่อหันกลับไปอีกครั้งก็เห็นเหล่าบุรุษในชุดดำสนิทปิดหน้าปิดตาด้วยผ้าคลุมสีดำเช่นเดียวกันปราดตัวเข้ามาทางนี้
ปลายผมเปียของสาวเกศม่วงสะบัดขึ้นตามแรงลมที่อยู่ดีๆ ก็พัดวูบขึ้นจากใต้ตัว ทว่า...
“หนีสิ…!!”
สาวผมแกละนั่นเองที่เป็นคนคว้ามือฉุดตัวของสาวเกศม่วงซอยฝีเท้าวิ่งออกไปจากจุดนั้น ทั้งๆ ที่เจ้าตัวยังไม่ได้ปริปากขอเลยเสียด้วยซ้ำ
“วิ่งแบบนี้คิดว่าจะรอดรึไง...” เหมือน ‘คุณหนู’ ที่กำลังถูก ‘ตามล่า’ ทำท่าจะยอมแพ้เสียอย่างนั้น แต่คนนำวิ่งก็ไม่ได้และเหมือนจะไม่ได้ยินอะไรเลยด้วยซ้ำ
และทั้งสองก็วิ่งกระหืดกระหอบมากระทั่ง เลี้ยวเข้าหนึ่งทางแยกพอจะกำบังสายตาได้ชั่วเวลาหนึ่ง
“ได้การล่ะ…! เอ้อ โทษทีนะ” มือเรียวฉวยไปที่โบว์ที่เป็นตัวมัดผมเปียสีม่วงพลัมข้างหนึ่งเอาไว้ออกเผยเรือนผมสยายยาวขึ้น จังหวะที่เจอทางแยกอีกครั้งนั้นเธอจึงตวัดมือโปรยโบว์สีแดงนั้นไปอีกทางที่ไม่ใช่ทางที่เธอกำลังจะวิ่งไป
สองสาวหยุดหลบตัวที่ข้างกระถางต้นไม้ใหญ่รอดูเหตุการณ์ด้วยความระทึกใจ...
“นั่นโบว์มัดเปียของคุณหนูนี่นา” หนึ่งพวกตามล่าเอ่ยขึ้น
“งั้นไปทางนี้!” อีกคนจึงสนับสนุนให้พรรคพวกที่เหลือเลือกทางนี้ไป โดยหารู้ไม่ว่านั่นคือ กับดัก...
ครั้นเหล่าพรรคพวกจอมตามล่าหลงเข้าอีกเส้นทางไปไกลโข สองสาวจึงลุกผุดตัวขึ้นมาถอนหายใจยาวแทบจะพร้อมๆ กัน
“ไม่เคยคิดมาก่อนเลยนะ...ว่าวิธีตื้นๆ ง่ายๆ แบบนี้ก็ทำให้หนีรอดได้เหมือนกัน”
อีกฝ่ายพึมพำพร้อมแอบมีรอยยิ้มที่มุมปาก พอจะทำให้เจ้าของ ‘วิธีตื้นๆ’ โล่งใจไปหลายเปราะ
ใครจะคิดว่าการทำตามในวิธีการใช้ ‘หลักฐาน’ ให้เป็นประโยชน์ในขั้นผิวเผินที่คามีร่าเลือกมาใช้จะทำให้ทั้งสองรอดพ้นจากการตามล่าได้โดยง่ายดายเช่นนี้
“ฉันชื่อ... วาเนซซี่”
“ห...หา?” ครั้นจะให้สนทนากับผู้อื่นอีกที สำนวนตะกุกตะกักด้วยความประหม่าจึงถามหาอีกครั้ง
“วาเนซซี่ ไอซ์วาน” เป็นคำตอบที่ทำให้คามีร่าโล่งใจอีกเปราะ ว่าสามารถทำให้คู่สนทนาไม่เบือนหน้าหนีทุกทีเหมือนแต่ก่อนได้แล้ว เมื่อรู้ชื่อคนอื่นแล้ว ตัวเธอเองจึงขนานชื่อกลับไปตามมารยาทวิธี
“ฉัน คามีร่า ครีเมเทียร์ เอ่อ...ยินดีที่ได้รู้จัก นะ...” คามีร่าค่อยๆ ยื่นมือไปหาผู้ที่กำลังจะเป็นเพื่อนคนแรกในโลกกว้าง โดยหมายมองจะเป็นสัญญาณการทำความรู้จักอย่างที่เคยเห็นคนอื่นทำกันบ่อยๆ
วาเนซซี่ชำเลืองตาเล็กน้อย แอบยิ้มมุมปากนิดหนึ่งแล้วยื่นมือจับตอบกลับ แทนการยอมรับที่ให้เป็นผู้รู้จักในตอนนี้ นับเป็นครั้งแรกที่คามีร่าสามารถเป็นฝ่ายเข้าหาผู้อื่นได้อย่างราบรื่น อาจเป็นเพราะเพื่อนใหม่คนนี้นิ่งเงียบกว่าเธอก็เป็นได้ ก่อนที่สองสาวเดินไปตามทางเดินภายในเมืองที่มีแสงแดดสว่างให้ความอบอุ่นไปทั่วบริเวณ
เมืองเอมเบอร์เรสนี้ ถูกเรียกว่าเป็นเมืองหลวงในบรรดาชนบท เพราะเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตภูมิภาคนี้ ทั้งมีแหล่งการค้าทรัพยากร และมีโรงเรียนหลากสถาบันตั้งอยู่ แสดงถึงความเจริญในระดับหนึ่งของที่แห่งนี้ได้ดี สภาพภูมิอากาศแม้จะมีแสงแดดสาดแสงตลอดเวลา แต่ก็มีอากาศเย็นตัดกับความร้อนที่ถูกถ่ายเท ทำให้อากาศนั้นเย็นสบายอยู่ในระดับพอดี พืชพรรณทั้งหลายก็ปลูกได้เขียวขจีไร้ซึ่งจุดใดที่จะแห้งแล้ง ล้วนแต่อุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้น ถือว่าแม่ของเธอยังเลือกที่ทำเลเหมาะแก่การอยู่ค้างแรมเดือนปีได้ดีเลยทีเดียว
“ใกล้ถึงแล้ว” วาเนซซี่เอ่ยปากพูดบ้าง เมื่อร่างของทั้งสองกำลังย่างใกล้เข้าไปที่ที่เป็นจุดหมายที่กำหนดไว้
“โรงเรียน..อดามันไทบ์” คามีร่าทวนชื่อช้าๆให้เป็นการยืนยันแก่คนข้างตัวว่ามาถึงที่ใด
สองสายตาทอดผ่านไปมองตึกใหญ่ที่ประดับด้วยกระเบื้องที่เรียงซ้อนกันซับซ้อนดุจน้ำเนื้อเพชรกะรัต ต้นไม้กระถางที่จัดเรียงแขวนไว้อย่างดี ตัดกับสีกระเบื้องทีเป็นพื้นหลังก็ยิ่งทำให้ดูโดนเด่น หน้าปัดนาฬิกาขนาดใหญ่ยักษ์ที่แนบไว้กับจุดที่สูงที่สุดของตึกทรงเหลี่ยมฉายเวลาให้ผู้ผ่านไปมาสะดุดตาเห็นเสมอ รอบข้างนั้นมีสวนหย่อมพรรณไม้เลื้อยตามโคมไฟที่ใช้จุดให้แสงสว่างยามค่ำคืน พร้อมหลากสถานอาคารที่ใช้การต่างๆได้ไม่ขาดมือ แม้จะไม่สวยหรูฟูฟ่องเหมือนโรงเรียนชื่อดังในภูมิภาคอื่น แต่หากใครที่มาพบเจอบรรยากาศที่นี้ก็คงได้อารมณ์คลาสสิคไปอีกแบบ ซึ่งในวันก่อนจะเปิดภาคการเรียนเช่นนี้ พวกเธอก็เห็นนักเรียนที่เป็นรุ่นพี่ต่างวุ่นวายชุลมุนจัดเตรียมทำความสะอาดโรงเรียนต้อนรับรุ่นน้องที่เห็นว่าจะมีพิธีต้อนรับภายในเย็นนี้ คามีร่าชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือตัวเองก็เห็นว่าอีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงเวลาเริ่มพิธีตามระเบียบการที่ระบุไว้ในใบปลิวแล้ว
เมื่อยื่นเอกสารยืนยันการเข้าโรงเรียนเป็นที่เรียบร้อย รุ่นพี่ต่างก็รีบดึงยื้อดึงตัวเหล่ารุ่นน้องให้จัดระเบียบแถวตามชั้นเรียน ทำให้ทั้งสองพลัดหลงกัน
‘เอ๋.. ไปไหนซะแล้วล่ะ?’ เธอพยายามมองหาเพื่อนสาว แต่ทว่าด้วยฝูงชนจำนวนนักเรียนที่อัดแน่นอยู่ในแถวก็ยากต่อสภาวะที่จะมองหาคนที่ต้องการได้
‘ช่างเถอะ เดี๋ยวอีกไม่นานคงได้เจอกันมั้ง’ แม้เพียงนั้นก็ยังพยายามปลอบใจตัวเองอยู่ ก่อนเบนความสนใจไปที่ผู้ที่กำลังเดินขึ้นมากลางเวทีที่ประจำอยู่ตรงหน้า
“สวัสดีนักเรียนคนใหม่ทุกคน” เสียงถ่วงดุลอำนาจของผู้ที่เหมือนจะเป็นครูดังกังวานขึ้น พร้อมปรากฏร่างของต้นเสียงเป็นสาวใหญ่หน้าตาดูไม่น่าเป็นมิตรเสียเท่าไหร่ ตามที่นักเรียนหลายคนคาด คนคนนี้อาจเป็นครูใหญ่แห่งโรงเรียนนี้แน่ๆ
“ทั้งหมดทำความเคารพ” รุ่นพี่คนหนึ่งออกปากสั่งการตามระเบียบมารยาท เมื่อนักเรียนรุ่นใหม่เห็นรุ่นพี่ก้มหัวคำนับจึงก้มหัวคำนับตาม
ไม่ทันที่จะได้ฟังคำปราศรัยที่จะยืดยาว คามีร่ากลับเห็นอะไรบางสิ่งผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว หางแกละสะบัดไปตามทางที่ศีรษะหมุนเพื่อจะมองหาสิ่งที่มองไม่ทันเมื่อกี้ แต่เมื่อไม่พบอะไรเธอก็เกรงว่าตาอาจจะฝาดไป ทว่าสิ่งนั้นก็เคลื่อนผ่านหน้าไปอีกรอบ แต่จะหันมองตามอีกรอบก็ไม่ทันอยู่ดี
“อะไรน่ะ?” เธอรำพึงเบาๆ ก่อนตัดสินใจแทรกตัวออกไปจากฝูงชนนักเรียนอื่น เพื่อตามหาสิ่งที่รบกวนใจเธออยู่ในตอนนี้
ครั้นที่เธอจะเดินตามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น กลับถูกนักเรียนหนุ่มคนหนึ่งที่สวมปลอกแขนเพิ่มขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ และจิกสายตาลอดแว่นมาจ้องเธอไม่ละวาง
“ปฐมนิเทศยังไม่จบ ห้ามหนีไปไหนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะหาว่าไม่เตือนนะครับ”
เพียงประโยคเดียว ความอยากรู้อยากเห็นทั้งหมดก็มลายหายไปกับสายลมไปโดยดุษณี...
“นักเรียนชั้น1Aทั้งหลาย เข้าแถวให้เรียบร้อย เราจะเริ่มการปฐมนิเทศในอีกไม่ช้า...”
นั่นคือเสียงประกาศบอกประเด็นจากเหล่ารุ่นพี่ดูจากสภาพสีหน้าเหล่านักเรียนใหม่หลายคนก็ทำท่าเบื่อโลกมิใช่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ต้องทำถูๆไถๆไปก่อน
เมื่อมีอาจารย์คนหนึ่งมากล่าวเปิดการปฐมนิเทศสั้นๆ แล้ว เหล่ารุ่นพี่ที่สวมปลอกแขนเป็นเครื่องหมายประจำทีม ที่เห็นได้ยินเรียกตัวเองกันว่า ‘สภานักเรียน’ ได้เข้ามารับช่วงต่ออาสาเป็นคนแนะนำอะไรหลายๆ อย่างให้เหล่ารุ่นน้องหน้าใหม่ได้ทราบกัน
ทันทีที่จำนวนนักเรียนของชั้น1Aครบแล้ว ผู้ดูแลทั้งหมดในงานนี้จึงกล่าวแนะนำตัวทีละคน แต่ด้วยจำนวนที่มากเกินกว่า 10 คน ทำให้ไม่น่าจะมีใครจำชื่อรุ่นพี่กิตติมศักดิ์เหล่านี้ได้แม่นเท่าไรนัก
“หวัดดีจ้า! รุ่นน้องผู้น่ารักทุกคน วันนี้พี่ๆ จากสภานักเรียน จะทำการปฐมนิเทศ ตั้งแต่อธิบายรายละเอียดการเรียน ดำรงชีวิต และจิปาถะมากมาย แต่ก่อนหน้านั้น เราจะพานำทัศนาจรรอบโรงเรียนเอง และเราได้ทำการวางกับดักไว้แล้วตามจุดต่างๆ รับรองว่างานนี้คงไม่มีเบื่อ แน่นอน!!”
คำกล่าวที่ออกมาทำให้นักเรียนหน้าใหม่หลายคนฮือฮาไปตามๆกันบ้างก็บอกว่ากลัวจะโดนเล่นหนักบ้างก็บอกว่าบันเทิงดีไม่มีเบื่อ ทว่าไม่ทันที่จะเซ็งแซ่อะไรมาก ก็ถูกเหล่ารุ่นพี่สภานักเรียนที่ว่าต้อนให้เดินตามไป
เมื่อถึงตามสถานที่ที่แรกคือ โรงยิมสำหรับออกกำลังกายและกีฬาทุกประเภท รุ่นพี่แต่ละคนผลัดกันเล่าประวัติความเป็นมา วิธีการใช้ ข้อควรระวังอย่างละเอียดลออ แต่ในจังหวะนั้นนั่นเอง...
“Trap On!! หลบบบบบ~~~” สิ้นเสียงที่มีคนตะโกนขึ้นมา ลูกบอลที่เป็นอุปกรณ์ในโรงยิมจำนวนมากถูกปล่อยออกมาจากช่องว่างที่เหมือนรูระบายอากาศ นักเรียนหลายคนที่ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกลูกบอลเสยหน้าหงายไปตามๆ กัน ซึ่งในขั้นตอนนี้คามีร่าและวาเนซซี่ที่โชคดีนั่งอยู่ริมแถว จึงถลาตัวออกมาจากจุดเสี่ยงได้ก่อนใครเพื่อน
“ใครที่สลบก่อน กรุณามาทัศนาจรเอาเองในภายหลังนะจ๊ะ อีก 2 ชั่วโมง เราจะมาปลุก~”
หลังจากที่นับผู้เหลือรอดเรียบร้อย คณะทัศนาจรยังเดินทางชมนั่นชมนี่ต่อไปโดยผ่านจุดสถานที่ต่างๆ อาทิ โกดังเก็บของสภาพคร่ำครึ ร้านขายของชำ ที่ที่มีความอาถรรพ์ มุมลับ และอื่นๆ อีกมากมาย แม้จะอยู่ในบรรยากาศท่ามกลางความหวาดกลัวที่จะโดนกับดักของพวกนักเรียนหน้าใหม่ก็ตามที แต่เมื่อไปหลายที่จวบจนสวนพฤกษศาสตร์ตรงที่กำลังยืนอยู่ก็ยังไม่มีใครโดนอะไรอีกหลายคนจึงเริ่มวางใจแต่โดยดี
“จุดสุดท้ายแล้วนะครับ ตรงนี้คือสวนพฤกษศาสตร์ ใครที่จะเข้าชมรมเกษตรจะได้คลุกคลีที่นี่เยอะหน่อย รองลงมาก็ชมรมเภสัชฯ ที่ว่างๆ ก็ต้องมาช่วยเก็บเกี่ยวเอาสมุนไพรไปแปรรูปด้วยเช่นกัน...”
แต่ในเวลานั้น สาวผมแกละเริ่มชำเลืองมองเห็นบุคคลแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังยืนกอดอกพิงเสาไฟอยู่ ดูแล้วน่าสงสัยเป็นที่สุด
เป๊าะ!
เสียงดีดนิ้วปริศนาดังขึ้น ทำให้นักเรียนหลายคนหันซ้ายแลขวาหันมองหาต้นเสียง โดยไม่รู้ตัวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น...
“กรี๊ดด....!!” นักเรียนหญิงคนหนึ่งตะเบ็งเสียงกรีดร้องเมื่อขาข้างหนึ่งของเธอถูกอะไรบางอย่างฉุดลงดิน เพื่อนร่วมรุ่นหลายคนเห็นดังนั้นจึงต่างวิ่งหนีออกจากจุดที่เป็นดินอย่างชุลมุน ทว่าพวกวิ่งช้าก็ถูกมือปริศนาลากลงดินไปอีก เท่าที่วาเนซซี่และคามีร่ามองเห็นจากด้านนอกมือที่เป็นตัวฉุดลงไปนั้นลักษณะเหมือนเป็นโครงกระดูกอะไรเสียมากกว่า
“เคี้ยกๆๆๆ...!” เสียงหัวเราะชวนหลอนจากต้นเสียงดังขึ้น สองสาวได้หันขวับไปทางนั้นก็เห็นบุคคลแปลกหน้ากำลังเดินเข้ามา
“โอ๊ะ มีนักเรียนเห็นซะแล้ว” เส้นผมกระเซิงสีเทาหม่นของเขาสะบัดไปตามแรงลมปรากฏขึ้นพร้อมร่างกายของชายหนุ่มที่ดูซูบผอมภายใต้ชุดเสื้อเชิ้ตผูกเน็กไทท์สีน้ำเงิน และกางเกงขายาวสีดำมองแล้วน่าจะถูกปลิวไปตามแรงลม เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาแววตาคล้ำดำก็เผยให้เห็น แต่ก็เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว พลังเวทย์สีดำทมิฬได้ผุดขึ้นจากพื้นดินห่อหุ้มตัวของเขา ก่อนจะสลายไปเสียแล้ว...
“อาจารย์แอบอยู่ตรงนั้นนี่เอง คราวนี้ทำได้แสบเหมือนเคย” รุ่นพี่คนหนึ่งที่เดินผ่านพลางบ่นพึมพำจนคามีร่าแอบได้ยินก็แทบจะอุทานออกมาไม่ได้ว่า
“หา? นั่นอาจารย์เหรอ...?”
หากไม่ทันที่จะได้แอบครหาพาดพิงอะไรต่อ คำประกาศรวมพลอีกรอบก็กระหึ่มขึ้น
“รีบๆ เรียงแถวไปกลับไปที่ตึกเรียนใหญ่อีกครั้ง ช่วงต่อไปจะเป็นการแนะนำเกี่ยวกับระบบการเรียนคร่าวๆ และแจกชุดยูนิฟอร์ม....”
“สาย...นักรบ....งั้นเหรอ?”
เธอจ้องมองเครื่องแบบนักเรียนหญิงที่เพิ่งได้รับมาสดๆ ร้อนๆ ชุดยูนิฟอร์มนี้ เป็นเสื้อผ้าฝ้ายสีดำสนิท คลุมด้วยผ้าขาวที่ติดคลุมปลายไหล่คาดลงมาบรรจบถึงกลางอกโดยชายผ้าสยายไปด้านหลัง ตรงกลางมีริบบิ้นทำจากผ้าสีแดงผืนใหญ่ที่คาดว่าจะใช้มัดเป็นโบว์สำหรับนักเรียนหญิง กลางอกซ้ายของเสื้อนั้นมีตราโรงเรียนขอบทรงหกเหลี่ยม ด้านในเป็นตัวอักษร A และ T ที่โอบเลื้อยด้วยเถาวัลย์ห้อยผลเป็นเหมือนเม็ดพลอยอัญมณีเล็กๆ ด้านหลังอักษรเป็นรูปศาสตรานานาชนิดประกบรายเรียงกัน ขอบผ้าที่เป็นบริเวณกระดุมต่างๆจะถูกตัดด้วยโทนสีขาว เช่นเดียวกับกระโปรงตัดกลีบที่มีสีขาวสะอาดเหมือนกัน
ส่วนมุมหนึ่งของกล่องที่เหมือนจะเป็นเครื่องประดับทั่วไป ประกอบด้วยเข็มขัดหนังสีน้ำตาล และมีช่องรอยบุ๋มลงไปสำหรับเก็บถุงเท้ารองเท้าผ้าใบที่ให้นักเรียนเตรียมมาเองตามแต่สะดวก และอีกช่องหนึ่งเป็นช่องขนาดเล็กๆ ได้มีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นที่สุดเก็บไว้อยู่... มันคือ ‘เกราะไหล่’
ดูๆ ไปแล้ว... ก็เริ่มจะแยกแยะนักเรียนคนอื่นที่ยังอยู่ในชุดไปรเวทเหมือนกันได้แล้วว่าใครเรียนอยู่สายไหน ตามสัญลักษณ์ต่างๆ นอกเหนือจากเกราะไหล่ อย่างเช่น ผ้าคลุมไหล่ เสื้อกั๊กพร้อมถุงมือหนังสัตว์ ปลอกขาพร้อมผ้าคาดเข็มขัด หูฟัง กระดานบ่า...
และตามที่แจ้งในปฐมนิเทศว่า เกราะไหล่นี่คือ... ‘สัญลักษณ์ของนักเรียน สายนักรบ’
“เกิดมาเราเคยตีรันฟันแทงกับใครที่ไหนกันล่ะ!”
คนรอบข้างที่เหมือนจะเป็นเด็กหน้าใหม่เหมือนกันหันขวับมาจ้องเขม็งใส่คนที่กำลังโวยวายอยู่คนเดียวเป็นตาเดียวกัน ทำเอาเจ้าตัวต้องรีบหุบปากฉับไปในบัดดล
“ตรวจสัญลักษณ์ประจำสายอีกทีดีกว่า...” คามีร่าหลบสายตาไปดูเกราะไหล่แก้ขัดแทน
‘โรงเรียนนี้มีสายเรียน 6 สายเรียน ช่วงชั้น 3 ขั้น ชั้นเรียนรวม 9 ปี ง่ายๆ คือช่วงชั้นละ3ปี 1A 1B 1C ก็คือช่วงชั้นที่1 แล้ว 2A 2B 2C ก็คือช่วงชั้นที่2 สุดท้ายก็ 3A 3B 3C คือช่วงชั้นที่3 ไล่ตามลำดับที่กล่าวไว้ ส่วนการสังเกตว่าชั้น A B หรือ C จะใช้จากจำนวนดาวที่สลักไว้บนเครื่องหมายประจำสายซึ่งน่าจะรู้ว่าไล่เอาเองยังไง’
คำพูดที่รุ่นพี่เคยอธิบายไว้ถูกทวนขึ้นในหัวอีกครั้ง
ต้องมี 1 ดาว... ว่าแต่...
ทำไมตรงปลายเกาะไหล่เธอมีถึง 3 ล่ะ!?
“อะไรกันเนี่ย…!!”
สายตานับร้อยหันขวับมาที่คนเผลออุทานอีกระลอก จนคราวนี้แทบจะแทรกแผ่นดินได้เลยทีเดียว
เหล่านักเรียนหน้าใหม่ในสถานะที่ถือว่าเป็นรุ่นน้องสุดที่รักของเหล่ารุ่นพี่ในโรงเรียนอดามันไทบ์เป็นที่เรียบร้อย การปฐมนิเทศที่กินเวลาเนิ่นนานไปบ้างกระทั่งตกเย็นแล้ว ทั้งหมดจึงถูกนำพามาบริเวณที่เป็นโรงอาหาร
สภาพแวดล้อมในที่ที่เรียกว่า โรงอาหาร ไม่ต่างจากที่คิดไว้มากเท่าไหร่ โต๊ะเก้าอี้แบบยาวนับครึ่งร้อยวางเรียงต่อกันเป็นระเบียบ ตรงจุดที่มีกำแพงกั้นประดับด้วยดอกไม้เพิ่มสีสันแก่สถานที่ ส่วนที่รอบข้างจะเป็นจุดแลกอาหารต่างๆ แล้วแต่จะเลือกรับประทาน
“สัญลักษณ์ประจำสายที่พี่ให้น้องๆ ไปนั่นเป็นเสมือนบัตรนักเรียนนะคะ เพราะเราได้ทำการฝังระบบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เวลาจะมาแลกอาหารเครื่องดื่มขนมทานก็แค่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบรอบแค่นั้นก็เรียบร้อย ไม่ต้องพกพาเงินมากๆ~ ให้ล่อโจรเลยด้วยซ้ำ” หญิงสาวตัวเล็กคราวรุ่นน้องถือเครื่องขยายเสียงประกาศชี้แจงปาวๆ
“อ้าว แล้วจะซักเสื้อผ้ายังไงเหรอคะ”
"ชุดนักเรียนนี่ ได้ลงอาคมคาถา และกลไกจักรกลไว้แล้ว" รุ่นพี่อีกคนแทรกเข้าอธิบาย
"ออพชั่นกลไกของชุดนักเรียน จะทำความสะอาดตัวเองอัตโนมัติในเวลาเที่ยงคืนของทุกวัน ที่เรายอมลงทุนใช้แบบนี้ เพราะว่าถ้าหากจะแยกเครื่องประดับสารพัดเดี่ยวๆ เพื่อจะเอาไปทำความสะอาด แบบโรงเรียนอื่น แน่นอน ปัญหาทำหาย ขี้เกียจเอามาใส่ใหม่ หรืออื่นๆสารพัดย่อมเกิดขึ้น ส่วนถ้าเป็นชุดใส่ส่วนตัว ทางติดกับรั้วโรงเรียนฝั่งตะวันออกเราก็มีร้านซักผ้า วันหยุดก็นำไปใช้บริการที่นั่นได้ตามสะดวกครับ"
เมื่อจบการแนะนำเกี่ยวกับการดำรงชีวิตกระทั่งสุขอนามัยเป็นที่เสร็จสิ้น จึงถึงเวลาที่ผู้เข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ใหม่ที่นี่จะได้ลิ้มลองอาหารประจำโรงเรียนที่จัดมาให้เป็นมื้อแรกแล้ว ซึ่งมื้อต้อนรับนี้เห็นจะเป็นขนมปังทาแยมรสผลไม้ต่างๆ กับเนื้อสัตว์อบเสียไม้ ตั้งไว้ตรงกลาง เคียงกับซุป-สตูว์เนื้อสัตว์กลิ่นหอมกรุ่น โดยที่แต่ละคนก็ได้รับภาชนะเฉพาะที่เรียบร้อย
“หืม?”
เสียงแสดงความเอะใจดังขึ้นจากข้างหลังตัวสาวผมแกละชวนเสียวสันหลังยิ่งนัก
คนที่นั่งอยู่วางช้อนลง แล้วค่อยๆ หันหลังไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ จังหวะนั้นก็ได้ยินคำพูดว่า
“น้ำพร่องไปเยอะแล้วนี่ มา เดี๋ยวพี่ช่วยเติมให้” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลไม้ฉายใบหน้ายิ้มแย้มเพื่อบริการใต้แว่นหนาเตอะ พร้อมมือข้างหนึ่งที่ถือเหยือกน้ำใบใหญ่ไว้ กับอีกมือยื่นขอภาชนะของเธอค้างไว้ แต่คามีร่าก็ยังคงทำท่าทางไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
ก็เพราะนี่มันคนเดียวกับที่สาวน้อยเคยเจอตอนที่จะวิ่งออกจากแถวนี่นา... ตายละ... คงดุมากแน่ๆ...
มือเรียวหยิบแก้วที่น้ำเต็มกลับคืนสู่ที่เดิม “ขอบคุณค่ะ” และผู้หวาดเกรงได้กล่าวคำขอบคุณเสียงค่อย ขณะที่อีกฝ่ายก็ผงกหัวให้อย่างมีไมตรี
“เฮ้อ... แต่ดูท่าก็ไม่โหดอะไรเท่าไหร่เนอะ...” คามีร่าถอนหายใจยาว ก่อนที่จะจัดการกับอาหารแสนอร่อยตรงหน้าต่อ
ครั้นชายหนุ่มที่เพิ่งจะรินน้ำให้ด้วยไมตรีเดินออกมาไกลจากสายตารุ่นน้องคนเมื่อกี้ เขาก็หมุนนาฬิกาข้อมือฉายขึ้นเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารโดยที่ไม่มีใครเห็น
“ติดต่อประสานงานเลขานุการมือซ้าย...”
“อ้าว มีอะไรเหรอ? ฉันกำลังไปดูอาหารในครัวพอดี” คู่สนทนากรอกเสียงมาตามสาย
“3ดาวในหมู่นักเรียนใหม่ แปลว่าแทรกชั้นใช่มั้ย?”
“หา? มีด้วยเหรอ ไม่สิ~ ต้องพูดว่า ‘กล้า’ ด้วยเหรอ แต่แบบนั้นก็ถือว่าแทรกอ่ะนะ”
“....อืม ถ้างั้นคงปล่อยคาไว้อย่างนี้ไม่ได้สินะ..!”
ความคิดเห็น