คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : One heart One love :: 15
One Heart One Love
-Fifteen-
บางทีผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน...ว่าเขารักผมจริงๆหรือเปล่า
คยองซูลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ให้เขายืมแขนหนุนนอนด้วยแววตาที่สับสนไปหมด
จงอินรักผมจริงๆอย่างที่บอก...หรือแค่รู้สึกผิดที่ทำร้ายผมลงไป
ดวงตาใสซื่อหม่นแสงลง ริมฝีปากได้รูปที่มักปรากฏรอยยิ้มสดใสกลายเป็นบึ้งตึง ความรู้สึกเชื่อใจมลายหายไปหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ
‘นายเชื่อใจจงอินถึงขนาดนี้เลยหรอ? นายไม่รู้อดีตของหมอนั่น...แล้วทำไมถึงเชื่อหมอนั่นหมดใจเลยล่ะ?’
คำพูดของคริสเมื่อเช้าดังก้องในสมอง... ลอยวนไปมาจนคยองซูเริ่มคล้อยตามคำพูดนั่นโดยไม่รู้ตัว
คยองซูขยับใบหน้าเข้าไปใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจสม่ำเสมอ โครงหน้าหล่อเหลาที่เขาหลงรัก... แต่ทำไมตอนนี้...
ถึงรู้สึกไม่ต้องการมันแล้ว...
ไม่เข้าใจตัวเอง...
แค่จงอินบอกรัก... แค่จงอินทำดีด้วย.. มันก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมเชื่อใจจงอิน แต่ทำไม... ทำไมหัวใจถึงปฏิเสธ?
คยองซูพรูลมหายใจยาว ล้มตัวลงนอนเคียงข้างจงอินอีกครั้ง มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่ามันยังมืดอยู่ จริงๆคยองซูเป็นคนที่เวลาไม่สบายหรืออยู่แปลกที่แปลกทางจะนอนหลับอย่างเต็มที่ ต่อให้มีเสียงดังแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้คยองซูตื่นขึ้นมาได้ ซึ่งมันแตกต่างจากคนอื่นโดยสิ้นเชิงแต่ครั้งนี้...ไอ้ความคิดบ้าๆนั่นกำลังขัดขวางการนอนของเขา
คนตัวเล็กสะบัดศีรษะไล่ความคิดทั้งหมดออกไป หากแต่ยิ่งทำแบบนั้น... มันกลับยิ่งคิดมากกว่าเก่าเสียอีก
คยองซูสะดุ้งสุดตัวเมื่อท่อนแขนของคนข้างกายก็ตวัดมาโอบรอบเอวเขา จงอินลืมตามองคยองซูอย่างสงสัย คยองซูตื่นมาทำอะไร?
“อ...เอ่อ... ฉันทำจงอินตื่นหรอ... ขอโทษที” คยองซูเอ่ยขอโทษเสียงอ่อน
“ก็ส่วนหนึ่งนะ จริงๆฉันนอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
จงอินพูดเพียงแค่นั้น แล้วต่างคนก็ต่างเงียบไป
ความเงียบอันน่าอึดอัด...
“จงอิน...” คยองซูเอ่ยขัดความเงียบขึ้นมา พยายามมองหน้าจงอินชัดๆแม้ว่ามันจะพร่าเลือนเหลือเกินเพราะหยาดน้ำใสที่บดบังการมองเห็นของเขา “ที่นายบอกว่ารักฉัน...”
“…”
“นายพูดมันออกมาจากใจจริงๆ...หรือแค่ต้องการชดใช้ความผิดที่นายทำลงไปกันหรอ?”
เขาถามมันออกไปแล้ว...
รู้สึกผิดอย่างแรงที่ถามแบบนั้นออกไป ทั้งที่คำถามนั้นมันไม่จำเป็นต้องมีคำตอบก็ได้ เพราะการกระทำของจงอินก็สื่อออกมาชัดเจนแล้วว่าเขารักคยองซูเพราะรักจริงๆ... แต่ก็นั่นล่ะ... ภาพของจงอินกับแทมินยังคงลอยวนเวียนอยู่ในสมองจนทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจ
ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่จงอินแสดงออกกับสิ่งที่รู้สึกมันตรงกันหรือเปล่า...
“ทำไมถามแบบนั้น”
ราวกับพึ่งหาเสียงที่หายไปของตัวเองเจอ จงอินถามพร้อมรอยยิ้มขำๆ แต่คยองซูรู้ดีว่ามันเป็นการเลี่ยงที่จะตอบคำถามของเขาต่างหาก
“ฉัน...แค่ไม่แน่ใจ...” คยองซูเสตามองไปทางอื่นเมื่อเห็นว่าจงอินกำลังจ้องตัวเองอยู่
“นายรู้หรือเปล่าว่าที่ถามอออกมาแบบนั้น”
“…”
“แปลว่านายไม่เชื่อใจฉันเลย”
เสียงเข้มแฝงแววตัดพ้ออยู่ในที แววตาผิดหวังที่น้อยครั้งนักจะได้เห็นในดวงตาของจงอินทำให้คยองซูรู้สึกใจไม่ดี... ลมหายใจเริ่มติดขัดสวนทางกับหัวใจที่เต้นถี่รัวและบีบรัดแน่นจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
เขาไม่ชอบบบรยากาศแบบนี้เลย...ให้ตายสิ...
จงอินรู้สึกอยากจะหนีออกไปจากบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี้เต็มทีจริงๆเขาชอบเวลาได้อยู่กับคยองซุสองต่อสองนะ แต่ถ้าให้ติดอยู่ในบรรยากาศที่มาคุขนาดนี้... เขาขอหนีไปที่อื่นจะดีกว่า
“ความเชื่อใจ... เป็นพื้นฐานของความรักนะ”
หลังจากปล่อยให้ความเงียบเป็นใหญ่ในห้องมานาน ในที่สุดจงอินก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาโดยมีคยองซูที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้มองมาที่เขาอย่างตั้งใจ
“ที่นายไม่แน่ใจที่ฉันบอกรักนายไป... เพราะในหัวใจนายไม่มีความเชื่อใจต่อฉันเลย”
“…”
“ทำไมนายถึงไม่เชื่อฉัน... ว่าที่ฉันบอกรักนายมันออกมาจากใจของฉันจริงๆ”
“…”
“ถ้านายไม่เชื่อใจฉันแบบนี้ แล้วเกิดในอนาคต... มีคนมาเป่าหูนายว่าฉันมีคนอื่นนอกจากนาย ทั้งที่ฉันก็ยืนยันแล้วว่าฉันมีแค่นายคนเดียว นายก็จะเชื่อใจเขามากกว่าฉันใช่ไหมล่ะ”
“…”
“…”
“…”
“ฉันจะถือว่าที่นายไม่ตอบคำถามคือนายตอบรับสิ่งที่ฉันพูดไปเมื่อกี้”
คยองซูยังคงนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น สมองค่อยๆประมวลผลสิ่งที่จงอินพูดช้าๆ... นั่นสินะ... ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงจะเลือกเชื่อคนอื่นมากกว่าจงอินแน่ๆ
ใบหน้าที่แสดงออกถึงความเครียดชัดเจนทำให้จงอินถอนหายใจยาว เสยผมที่ลงมาปรกหน้าขึ้น กลอกตาไปมาระหว่างรอให้คยองซูแย้งหรือตอบคำถามของเขา
“ฉัน...”
ในที่สุดคยองซูก็เอ่ยขึ้น จงอินเลิกคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะรอฟังประโยคถัดไปของคยองซูอย่างตั้งใจ
“ฉันขอเวลาสองวันได้ไหม...พรุ่งนี้กับมะรืนนี้... แล้วฉันจะให้คำตอบนาย”
คำขอร้องนั้นทำให้จงอินหน้าชา ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น มองคยองซูด้วยแววตาเรียบนิ่งกว่าปกติ
นี่คยองซูไม่เชื่อใจผมถึงขนาดต้องขอเวลาตั้งสองวันเชียวหรอ
“ตามใจนายแล้วกัน”
จงอินตอบได้แค่นั้น ขยับแขนข้างที่คยองซูใช้หนุนนอนออก ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว จัดเสื้อยืดธรรมดาที่ค่อนข้างยับให้เข้าที่ หันมองคยองซูเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยไร้คำพูดใดๆทิ้งคยองซูไว้กับความอึดอัดและความทรมานในหัวใจต่อไปเพียงคนเดียว
“คยองซู... นายลังเลอะไรอยู่” คยองซูพึมพำก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลลงมาบนฝ่ามือ ทีละหยดๆ
หยาดน้ำไร้สียังคงทำหน้าที่ของมันอย่างดี...ไหลลงมาเรื่อยๆและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด... คล้ายต้องการอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบโยนคนตัวเล็กที่กำลังอ่อนแอในเวลาที่แสนเดียวดายแบบนี้
คยองซูพยายามจะปาดน้ำตาออกแต่ทว่าจู่ๆร่างเล็กกลับรู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอกข้างซ้ายขึ้นมาอย่างกะทันหัน
มือเล็กกุมหน้าอกตัวเองแน่น กัดฟันสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่แสดงออกมาผ่านทางร่างกายและสีหน้าอย่างเต็มที่ ขดตัวเพื่อให้คลายความเจ็บลงแต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย... เพราะคยองซูกลับรู้สึกเจ็บหนักกว่าเก่าเสียอีก
อย่าบอกนะว่าอาการมันกำเริบ...
คยองซูเอื้อมมืออีกข้างควานหาปุ่มกดเรียกพยาบาล แต่เพราะความมืดทำให้เขามองไม่เห็นว่าปุ่มกดนั้นมันอยู่ตรงไหน ร่างเล็กขยับไปตรงโต๊ะหัวเตียงแล้วก็พบกับปุ่มกดในที่สุด คยองซูกดมันประมาณสองสามครั้งก่อนที่ร่างจะตกจากเตียงไปเพราะไม่ทันระวัง คยองซูขดตัวยิ่งกว่าเก่า ความเจ็บแล่นปราดไปทั่วร่าง ทั้งจากหัวใจและแขนขา...
ครู่ต่อมาพยาบาลก็เดินเข้ามาในห้องแล้วเปิดไฟให้สว่างขึ้น ก่อนจะต้องเบิกตากว้างพอเห็นร่างของคยองซูร่วงไปนอนอยู่ที่พื้น ร่างที่ขดตัวแน่นทำให้พยาบาลสาวทำอะไรไม่ถูก เธอพยายามตั้งสติแล้วตะโกนเรียกพยาบาลอีกคนที่เฝ้าเวรอยู่ข้างนอกให้เข้ามาช่วย ศีรษะของคยองซูถูกยกขึ้นวางบนตักของพยาบาลคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ส่วยพยาบาลที่เข้ามาคนแรกก็รีบวิ่งออกไปเรียกให้บุรุษพยาบาลอีกสองคนเข้ามาช่วย คยองซูปรือตามองคนที่ให้ตัวเองนอนตัก ก่อนจะหมดสติไปในที่สุด...
จงอินยืนพิงต้นไม้ต้นใหญ่อย่างหมดแรง พรูลมหายใจเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ เขามองบรรยากาศรอบตัวแล้วก็ค่อยๆนั่งลงบนพื้นหญ้าที่ค่อนข้างชื้น
มือหนาลูบหน้าตัวเองเบาๆเป็นการเตือนสติ
สวนสาธารณะข้างโรงพยาบาลเป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับสภาพจิตใจของจงอินในเวลานี้ ดวงจันทร์เต็มดวงสะท้อนกับผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับต่างจากหัวใจของจงอินที่ขณะนี้มืดมนเต็มที
จงอินมองเงาสะท้อนของดวงจันทร์ในน้ำอย่างเลื่อนลอย คำขอร้องของคยองซูยังคงดังก้องอยู่ในสมอง แม้จงอินจะปิดกั้นไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องนั้น... แต่ทว่ามันกลับเป็นไปอย่างยากเย็นเหลือเกิน... ภาพใบหน้าที่มีน้ำตาคลอเบ้าของคยองซู... ดวงตาที่แฝงไปด้วยความไม่แน่ใจล้นปรี่... ริมฝีปากที่ขยับเอื้อนเอ่ยถึงความสงสัยของตัวเอง... ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันยังกรอกลับไปกลับมา... แทรกเข้าไปจนถึงหัวใจ... ย้ำซ้ำๆให้หัวใจทรมานเล่นแต่มันกลับเจ็บจริง...
ทำไมคยองซูถึงไม่เชื่อใจเขา
คำถามนี้หลอกหลอนจงอินซ้ำไปซ้ำมา... คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ... แต่ต้องการคนรับรู้และเข้าใจถึงจุดประสงค์ของมัน
จงอินหลับตาลง ฟังเสียงท้องฟ้าที่กำลังร้องไห้แข่งกับเขา
ฝนเม็ดเล็กที่เพิ่มขนาดขึ้นเรื่อยๆตกลงมาโดยไม่มีสัญญาณอะไรทั้งสิ้น... หยาดน้ำใสที่ไหลออกจากดวงตาคู่คมกลืนไปกับเม็ดฝน... ไม่มีใครรู้ว่าจงอินกำลังร้องไห้... เว้นเสียแต่สายฝนกับหัวใจของเขาเองเท่านั้น
เลือดสีสดที่ไหลมาจากบาดแผลที่ปริแตกในหัวใจแปรเปลี่ยนเป็นหยดน้ำตา... เลือดเพียงหนึ่งหยดเท่ากับหยดน้ำตาร้อยล้านหยด
เขาไม่ชอบเลยสักนิดกับการต้องร้องไห้...
มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ... แต่จะทำไงได้... ในเมื่อน้ำตาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาเวลานี้
จงอินเงยหน้ารับหยาดน้ำฝนที่ตกหนักขึ้นและแรงขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ... เปิดเปลือกตาให้น้ำตาได้ไหลออกมาเต็มที่... ให้หัวใจได้ระบายความเจ็บปวดออกมาได้มากเท่าที่จะทำได้
หยาดน้ำฝนเหล่านี้... ตกลงมาเพื่อบดบังความอ่อนแอของเขาไม่ให้คนอื่นเห็นใช่ไหม...ตกลงมาเพื่อให้เขาใช้ซ่อนความเจ็บในหัวใจใช่ไหม
“ขอโทษที่ใช้พวกนายปกป้องความอ่อนแอในใจของฉัน”
----------------------------------------
แทมินกำพวงมาลัยแน่นขณะที่รถกำลังติดสัญญาณไฟแดง บรรยากาศตอนค่ำคืนในโซลสวยงามมาก แต่แทมินก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจมันซักเท่าไร... มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสนใจได้ก็คือคำพูดของคิมแทยอน... นักสืบและนักจิตเวชผลงานเยี่ยมที่เขาจ้างให้ช่วยสืบหาตัวลู่หานให้ และตอนนี้แทยอนก็กำลังช่วยเขาสืบเรื่องของชองยุนโฮด้วยเพราะมันเกี่ยวข้องกับครอบครัวของแทมินโดยตรง... แทยอนบอกเขามาอย่างนั้น
ดวงตากลมราวลูกแก้วมองไปยังถนนที่ยังคงมีรถผ่านไปผ่านมาไม่ได้หยุดอย่างเหนื่อยใจ
บทสนทนาเมื่อเย็นดังขึ้นไม่หยุดไม่หย่อน...
‘เท่าที่ฉันไปสืบมา คุณคิมฮันวอล พ่อของคุณ... ค่อยข้างเข้าผับบ่อยนะคะ และทุกครั้งก็จะได้ผู้หญิงไม่ก็ผู้ชายหน้าสวยหน่อยกลับบ้านมาด้วย แถมยังเคยมีข่าวจากพวกที่ทำงานในผับว่าคุณฮันวอลเคยจับผู้ชายคนหนึ่งไปขังไว้ในบ้านด้วย’
‘…’
‘แต่ฉันสืบมาไม่ได้จริงๆว่าผู้ชายคนนั้นชื่ออะไร... ต้องขอโทษตรงส่วนนี้ด้วยนะคะ’
‘ไม่เป็นไรครับ’
‘ส่วนคุณแม่ของคุณ... เอ่อ แม่ของน้องชายคุณ... ตอนแรกท่านก็ไม่ได้เป็นโรคทางจิตอะไรหรอกนะคะ แต่เท่าที่ฉันได้ลองคุยกับท่านเหมือนว่าท่านกำลังกลัวอะไรสักอย่างอยู่น่ะค่ะ ท่านค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากพอสมควร และที่คุณบอกว่าท่านชอบไปนั่งร้องไห้อยู่ตรงเปียโนหลังนั้นบ่อยๆ อาจเป็นเพราะมันเป็นที่พึ่งทางใจของท่านนะคะ’
‘…’
‘ที่ดิฉันเคยเจอมาก็มีเคสแบบนี้อยู่มากเหมือนกัน... เปียโนหลังนั้นอาจเป็นความทรงจำอันล้ำค่าที่ท่านพยายามใช้มันปกปิดความทรงจำเลวร้ายที่มันทำให้ท่านดูหวาดกลัวสิ่งรอบข้างก็เป็นได้’
‘…’
‘ส่วนชองยุนโฮ... หมอนั่นเคยมีปัญหาอะไรสักอย่างกับครอบครัวของตัวเอง ทำให้หมอนั่นกลายเป็นคนเก็บตัวไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็กลับเข้ามาในวงการมาเฟียเหมือนเดิมพร้อมกับความแค้น และเป้าหมายที่มันต้องการจะกำจัดและทำลายทิ้งเสีย... ก็คือครอบครัวของคุณ’
‘ทำไมถึงเป็นครอบครัวของผมล่ะครับ?!’
‘อันนี้ดิฉันยังไม่ทราบจริงๆค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะคุณแทมิน’
‘ม... ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะครับ พรุ่งนี้ก็รบกวนไปที่บ้านผมเป็นครั้งสุดท้ายด้วยนะครับ’
‘ได้ค่ะ ^^ พรุ่งนี้เจอกันนะคะคุณแทมิน’
‘ครับ...’
ชองยุนโฮต้องการทำลายครอบครัวของเขา...
แต่จะทำไปทำไมในเมื่อครอบครัวของเขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับหมอนั่นเลยสักนิด
แทมินขมวดคิ้วแน่นอย่างคิดไม่ตก ไม่มีสาเหตุให้ชองยุนโฮต้องการแก้แค้นของครอบครัวเขาเลย
แต่ทำไม... หมอนั่นจะทำแบบนั้นทำไม...
มือเล็กทุบพวงมาลัยอย่างแรง ตอนนี้แทมินต้องการระบายความเครียดที่สุมอกนี้ออกไปให้หมด... เขาต้องการไปถามชองยุนโฮกับพ่อของตัวเองเต็มทนกับเรื่องที่แทยอนเล่าให้เขาฟัง
แต่เขาทำไม่ได้สักอย่าง...
“บ้าเอ๊ย”
แทมินสบถเสียงดังก่อนที่เสียงบีบแตรของรถคันหลังจะดังขึ้นขัดความคิดของเขา แทมินตั้งตัวตรงแล้วเริ่มขับรถไปเรื่อยๆ นี่เขาคิดเรื่องอื่นเพลินจนลืมมองสัญญาณไฟจราจรเลยหรอเนี่ย
ถนนตรงหน้าดูเหมือนว่าจะไม่ได้อยู่ในสมองของแทมินเลยแม้แต่นิด... แทมินปล่อยความคิดทั้งหมดให้ลอยไปลอยมาในสมองพร้อมกับจอดรถเข้าข้างทางอย่างรวดเร็ว
แทมินปรับเบาะให้เอนราบลงไป ล้มตัวนอนอย่างหนักใจ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ พร้อมกับปิดกั้นความคิดทั้งหมดให้ออกไปจากหัวใจ ก่อนจะเข้าสู่นิทราอันแสนยาวนานไปในที่สุด...
----------------------------------------
“แบคฮยอน... แบคฮยอน...”
เสียงกระซิบเบาๆข้างหูทำให้แบคฮยอนต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ดวงตากลมโตมองฝ่าความมืดไปจนพบกับร่างที่สูงกว่าตัวเองนิดหน่อย แล้วก็ถึงกับพรูลมหายใจยาวอย่างโมโห
“คุณมาปลุกผมทำไมครับคุณจงแด” เสียงหวานเอ่ยถาม
“ผมมีเรื่องมาเตือนคุณ”
จงแดเอ่ยราวกระซิบ ขยับตัวเข้ามาใกล้แบคฮยอนมากกว่าเดิม มองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง และเมื่อพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็เริ่มเปิดบทสนทนาทันที
“พรุ่งนี้ตอนเย็นคุณแม่ของเทาจะมาที่บ้านหลังนี้”
“…”
“ท่านจะมาคุยกับคุณเรื่องอะไรบางอย่าง แล้วท่านจะยื่นตัวเลือกของเรื่องนั้นให้กับคุณ”
“…”
“ผมขอให้คุณคิดดีๆก่อนที่จะตัดสินใจเลือกตัวเลือกพวกนั้น”
“…”
“มันจะเป็นการเลือกที่กำหนดชีวิตของคุณไปตลอดกาล”
“แล้วคุณมาบอกผมทำไม?” แบคฮยอนเลิกคิ้วพร้อมกับถามออกไป “ไม่มีความจำเป็นที่คุณจะต้องบอกผมเลยสักนิด”
“ผมไม่อยากให้คุณเลือกทางเดินชีวิตผิดแบบผม”
“…”
“ผมเคยทำผิดพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วมันก็ทำให้ชีวิตผมกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีก”
“…”
“ตัวเลือกบ้าๆนั่นพรากความรักกับหัวใจของผมไป”
“…”
“มันพรากทุกสิ่งทุกอย่างที่สำคัญสำหรับผมไปจนหมด”
“…”
“ผมไม่อยากเห็นคุณต้องเป็นแบบผม มันทรมานราวกับตายทั้งเป็นเลยนะครับ”
จงแดฝืนยิ้มแล้วเสมองไปทางอื่น ชั่วแวบหนึ่งที่แบคฮยอนเห็นน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของจงแด แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
หายไปราวกับไม่ต้องการให้ใครได้เห็น...
“ช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ผมฟังได้ไหม?” แบคฮยอนลองถาม แม้ว่าจะไม่แน่ใจเลยว่าจงแดจะยอมรับหรือปฏิเสธคำถามนั้น
“ถ้าคุณอยากฟัง ผมก็พร้อมจะเล่า” จงแดเอ่ยเสียงนุ่ม มองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังเปิดประตูความทรงจำของตัวเอง
ความทรงจำที่ไม่มีวันลืม...และไม่มีทางลืมไปจนวันตาย
“ผมเคยมีคนรักอยู่คนหนึ่ง”
“…”
“ตอนแรกผมตั้งใจคบเขาเล่นๆเพราะเห็นว่าเขาเข้ามาหาผมอย่างเล่นๆด้วยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ของเราตอนนั้นเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้” จงแดหัวเราะ...แต่มันเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่น่าฟังเลยสักนิด
เสียงหัวเราะที่กำลังกลบเสียงสะอื้นไห้
“เราคบกันอยู่เกือบปี เขาดูเหมือนจะเริ่มชอบผมมากขึ้น... แต่ผมกลับไม่รู้ใจตัวเอง”
“…”
“พ่อของผมยื่นข้อเสนอให้ผมไปทำงานที่จีนหรือว่าจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อเลือกให้... ตอนนั้นผมปฏิเสธมันทั้งสองอย่างทำให้พ่อโกรธมาก เราทะเลาะกันใหญ่โตถึงขนาดไม่ยอมมองหน้ากัน ผมตัดสินใจออกไปที่ผับแล้วนัดคนคนนั้นให้ออกมาเจอกัน... ผม...”
“…”
“ผมขืนใจเขา แล้ววันต่อมาผมก็กลับไปหาพ่อ บอกท่านว่าผมต้องการจะไปทำงานที่จีนเพราะความผิดที่ผมทำลงไปมันไม่น่าให้อภัยเลยสักนิด ผมอยากจะหนีหน้าเขา เพราะผมบอกกับเขาไปว่าความสัมพันธ์ทางกายที่ผมทำลงไปเมื่อคืน เพราะผมขาดสติยั้งคิด ไม่มีแม้แต่ความรักหรือความต้องการอะไรทั้งนั้น... เขาร้องไห้และบอกว่าเขาเกลียดผม”
“…”
“เขาเกลียดผม... ตั้งแต่วันนั้นมาผมก็ได้แต่คิดถึงเขาอยู่อย่างนั้น”
“…”
“ผมไม่กล้าโทรหาเขา... ไม่กล้าเอ่ยคำขอโทษให้เขาได้รับรู้.. ไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกไปว่าผมรักเขามากแค่ไหน...”
“…”
“ผมมันทั้งโง่ทั้งขี้ขลาดเลยว่ะ...ผมกรีดหัวใจตัวเองด้วยการกระทำของผม... ผมเลือกทางผิด... ผมน่าจะบอกรักเขาแล้วอธิบายให้พ่อฟัง... ผมไม่น่าเลือกไปทำงานที่จีนเลย”
“….”
“การเลือกครั้งนั้นครั้งเดียว... พลิกชีวิตของผมไปตลอดกาล”
จงแดปล่อยน้ำตาลงมาเงียบๆ ซุกหน้ากับเข่าตัวเองนิ่ง ประตูความทรงจำครั้งนั้นถูกปิดลงพร้อมกับบาดแผลบนอกข้างซ้ายที่ปริออกมา บาดแผลลึกกว้างซึ่งยังมีเลือดไหลซึม... หัวใจบีบรัดแน่นราวกับโดนมีดนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงลงจนมันแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
แบคฮยอนมองจงแดอย่างสงสาร เอื้อมมือไปลูบไหล่ของอีกคนเบาๆอย่างให้กำลังใจ
ในสถานการณ์แบบนี้แบคฮยอนควรจะทำอย่างไรดี...
ควรจะเงียบต่อไป...หรือควรจะปลอบจงแด
แบคฮยอนปล่อยความคิดให้ลอยไปไกล... เขาเลือกอย่างแรก... เขาควรจะเงียบต่อไปเพราะขืนพูดอะไรออกไปตอนนี้คงจะไม่มีอะไรดีขึ้นมาแน่ๆ... ให้จงแดอยู่กับตัวเองเงียบๆแบบนี้ล่ะดีแล้ว
ความเงียบเป็นเพื่อนชั้นดีที่ทั้งแบคฮยอนและจงแดต้องการ
“ผม... ขอตัวกลับก่อนนะครับ”
อยู่ๆจงแดก็เงยหน้าขึ้นบอกจุดประสงค์ของตัวเอง แบคฮยอนสะดุ้งตัวขึ้น มองคนที่ลุกขึ้นยืนค้ำหัวก่อนจะยิ้มบางๆให้กับจงแด
คราบน้ำตาที่ยังคงหลงเหลือบนใบหน้าของจงแดทำให้แบคฮยอนรู้สึกเศร้าตามไปด้วยแต่ก็ยังคงฝืนยิ้มออกมา
“อือ กลับดีๆนะ”
จงแดยิ้มกว้างพลางปาดน้ำตาออกจากแก้มอย่างแรง แล้วก้าวเท้าออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
แบคฮยอนมองตามไปอย่างเลื่อนลอย ก่อนจะมาหยุดอยู่กำแพงยาวที่ขวางเขากับชานยอลอยู่
ร่างเล็กขยับตัวเข้าไปชิดกำแพงนั้น แนบมือลงไปราวกับว่าได้สัมผัสกับมือของชานยอล ยิ้มออกมาน้อยๆกับการกระทำของตัวเอง
ป่านนี้ชานยอลคงหลับไปแล้ว... นายมาทำบ้าอะไรเนี่ย...
แบคฮยอนทิ้งตัวลงนอนช้าๆ แม้จะหนาวแค่ไหนแต่แบคฮยอนก็ยังพยายามข่มตาลงแล้วหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อกี้มือของนายหรือเปล่านะแบคฮยอน...
ชานยอลคิดกับตัวเอง รู้สึกอุ่นขึ้นมานิดหน่อยเมื่อนึกถึงใบหน้าของแบคฮยอน... นึกถึงตัวอุ่นๆของแบคฮยอนที่เขาชอบเผลอไปกอดเวลาหนาวอยู่บ่อยๆ
“แบคฮยอน...”
...
“นายนอนหนาวไหม”
…
“นายจะนอนหลับสบายหรือเปล่า”
…
“นายจะคิดถึงฉันเหมือนที่ฉันคิดถึงนายบ้างไหม”
ชานยอลพึมพำแล้วชักมือที่แนบกำแพงมานานขึ้นถูเข้าหากันสร้างความอบอุ่นให้ตัวเอง...แล้วล้มตัวลงนอนบนพื้นแสนเย็นเฉียบนั้น เอ่ยขึ้นคล้ายกระซิบ... เสียงกระซิบที่อยากให้แบคฮยอนได้ยิน
“ฝันดีนะแบคฮยอน”
----------------------------------------
ความคิดเห็น