ตอนที่ 8 : sᴇʀᴘᴇɴᴛ ⑦
KEEP SOMEONE IN ONE’s HEAD – SIDE
ขณะนี้ภายในห้องพักแห่งหนึ่งที่ตกแต่งไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามสถานที่ที่ใช้ชีวิตอยู่นั้นกำลังเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด
“จะเอายังไงต่อ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าจะทำอะไรก็ให้รีบๆ จัดการ”
“ใจเย็นๆ ก่อนน่า เขากำลังเครียด” ทว่าน้ำเสียงบางไม่หนาทุ้มคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นผู้หญิงกล่าวขึ้น
“ฉันก็เครียดและเป็นห่วงถึงได้ถามนี่ไง”
“ทุกคนก็เป็นห่วงกันหมด ไม่มีใครนิ่งนอนใจเลยสักคน นายจะโวยวายไปทำไม นั่งลงและสงบสติอารมณ์ก่อนเถอะ อีกอย่างเรายังมีเวลาเหลือไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ แต่ถ้าปล่อยให้เวลามันผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เขาจะยิ่งเจ็บรวมถึงนายด้วย” เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดกล่าวกับเจ้าของห้อง
“ไม่มีใครอยากให้มันเป็นอย่างนี้ นายก็ทราบดีว่าไม่มีหนังสือหรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องนั้นบอกเอาไว้เลย”
“ … ”
“ใครจะไปรู้ว่าเมื่อร่องรอยปรากฏขึ้นอีกจะสร้างความเจ็บปวดให้กับเจ้าสาวด้วย ปกติจะแค่ชัดออกมาเรื่อยๆ เท่านั้น อีกอย่างความเจ็บที่เหมือนโดนไฟเผานั่นมักจะเป็นฝ่ายเจ้าบ่าวที่ได้รับอยู่ข้างเดียว”
“ถึงไม่มีบันทึกเอาไว้ก็ใช่ว่าจะไม่มีการเกิดขึ้น”
“ก็นั่นแหละ แต่เพราะมันไม่มีบันทึกหรือคำบอกเล่า พวกเราจึงไม่ได้เตรียมตัวไง”
เสียงถอนหายใจจากผู้หญิงคนเดียวในวงสนทนาดังออกมาด้วยความหนักใจ
“แล้วนายจะเอายังไงต่อ”
คราวนี้คนที่เต็มไปด้วยอารมณ์หันมาถามเจ้าของห้องที่นั่งเงียบไม่มีปากมีเสียงตั้งแต่เริ่มบทสนทนาอีกครั้ง
“ … ”
ทว่าก็ไร้การตอบรับเช่นเดิมเพราะคนนั่งเงียบนั้นแน่นิ่งราวกับรูปปั้นไม่มีชีวิต
“นายจะรอเวลาหรือบอกว่ากำลังคิดไม่ได้แล้วนะเดรโก”
“บอกแล้วไงว่าให้ใจเย็นๆ ก่อน อย่าเพิ่งไปคาดคั้นเขาสิเบลส”
“ฉันใจเย็นมานานแล้วเธอก็รู้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้เรื่องราวมันยืดมาจนถึงขนาดนี้หรอก”
“แล้วนายจะทำยังไง จู่ๆ จะไปลักพาตัวเขาแล้วบังคับขืนใจให้มีอะไรกับเดรโกอย่างนั้นเหรอ?”
“ถ้าทำได้ฉันก็จะทำ มันเป็นงานของพวกเรา เป็นสิ่งที่พวกเราต้องคอยปกป้องเอาไว้ เธอลืมไปแล้วหรือไงแพนซี่”
“ฉันไม่มีวันลืม แต่นาย… นายจะทำแบบนั้นไม่ได้ นั่นมันเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนชัดๆ”
“เราทำเพื่อความอยู่รอด ไม่อย่างนั้นบัลลังก์เซอร์เพนท์จะไร้ผู้สืบทอดและสิ้นชื่อก็คราวนี้”
ปัง!
แต่แล้วไม่นานเสียงทุบโต๊ะก็ดังขึ้นพร้อมกับนัยน์ตาสีอ่อนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีโกเมนแดงก่ำออกมา
“หุบปากทั้งสองคน” เสียงประกาศิตเต็มไปด้วยอำนาจที่น่าเกรงขามกล่าวดัง
“อย่าให้ฉันได้ยินนายพูดเหมือนแฮร์รี่เป็นสิ่งของไร้ค่าแบบนั้นอีก”
“ … ”
“ไม่ว่ายังไงก็จะไม่มีการบังคับหรือขืนใจเขาเด็ดขาด แฮร์รี่จะต้องทำด้วยความเต็มใจเท่านั้น”
“ … ”
“เข้าใจไหมเบลส”
“อืม”
“เอาล่ะๆ ต่อไปนี้นายก็ระวังคำพูดให้มากกว่านี้แล้วกัน” ผู้หญิงเพียงคนเดียวกล่าวตามหลังออกมา
“ส่วนนาย... จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ ฉันสงสารเขา ร่างกายเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อรองรับการเจ็บที่สาหัสแบบนั้นเท่าไหร่นัก”
“ไม่ต้องห่วง ฉันเองก็ไม่ปล่อยให้เขาเจ็บนานนักหรอก เห็นแล้วใจฉันจะขาดตาม”
“ก็นะ ถ้านายทำอะไรให้มันง่ายตั้งแต่แรก เรื่องคงไม่ยุ่งขนาดนี้”
“ช่างฉันเถอะ ว่าแต่ฝั่งเธอเป็นยังไง จัดการเรื่องนั้นได้หรือยัง”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเอ่ยออกมาพร้อมกับสองมือกุมอยู่แถวหน้าจมูกตนเองราวกับคิดเรื่องบางอย่างไม่ตก
“ฝั่งฉันหาตัวเจ้านายของพวกมันไม่ได้ แต่รู้แหล่งกบดานของมันแล้ว”
“ที่ไหน”
“ที่ที่นายคาดไม่ถึง” ทว่าเสียงที่เอ่ยตอบกลับมานั้นคือคนที่ถูกคาดโทษเมื่อตอนก่อนหน้า
“ห้องแห่งความลับ?”
แต่แล้วเจ้าของห้องก็โพล่งขึ้นมาราวกับไม่ใช่เรื่องแปลกใจอีกทั้งยังเหมือนรู้อยู่แล้ว เล่นเอาเพื่อนทั้งสองหันมองหน้าแทบจะทันที
“นายรู้อยู่แล้วเหรอ” แพนซี่ถาม
“เดาเอา ไม่คิดว่าจะใช่”
“ที่นั่นแหละ ฉันให้บริวารของเราไปสืบมาแล้ว ไม่ผิดแน่นอน” หญิงสาวตอบ
“ก็ดี อย่าให้พลาดล่ะ”
“แน่นอน ไม่พลาดอยู่แล้ว เชื่อมือฉันได้เลย” ผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้องรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ
“แล้วฝั่งนายล่ะเบลส” คราวนี้หันกลับไปถามเพื่อนอีกคนบ้างที่ได้รับหน้าที่อีกอย่างให้จัดการ
“ที่บ้านนายเตรียมพร้อมหมดแล้ว เหลือเพียงแค่นายพาเขาไปเท่านั้น”
“พ่อได้ฝากอะไรมาไหม”
“นายท่านบอกแค่ว่าให้นายรีบลงมือ อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปมากกว่านี้”
“แม่ล่ะ”
“นายหญิงบอกให้นายพาลูกสะใภ้ไปหาเร็วๆ”
“บอกแม่ว่ารอก่อน เดี๋ยวจะพาไป อีกไม่นานเกินรอเตรียมของรับขวัญหลานได้เลย”
“ทำเป็นมั่นใจไปเถอะเดรโก”
แพนซี่ว่าด้วยน้ำเสียงประชด ทว่าคนถูกกล่าวหากลับทำเพียงแค่ยกยิ้มเท่านั้น
“ฉันไม่ปล่อยให้เขาห่างตัวอีกแล้วล่ะ หลายปีที่ผ่านมามันนานเกินพอแล้ว”
“เพราะนายทั้งนั้นที่ทำให้เขาไม่ชอบหน้าตั้งแต่วันแรกที่เจอ”
“ก็แค่อยากจะเป็นเพื่อนด้วย”
“แต่พูดจาไม่เข้าหูจนเขาปฏิเสธไมตรีซะหน้าหงาย”
เบลสว่าพลางหัวเราะชอบใจเมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อวันนั้นที่เขาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน
“สนุกดี เวลาเขาทำหน้าเหมือนคนโดนขัดใจ”
“เป็นโรคจิตสินะ ถึงได้ชอบแกล้งให้เขาโมโห” แพนซี่กล่าวขึ้นบ้าง
“เปล่า เวลาเขาทำหน้างอแล้วมันน่าเอ็นดูก็เท่านั้น”
“เอาเถอะ ฉันไม่ค่อยเข้าใจกระบวนการคิดของนายเท่าไหร่”
“ฉันก็เหมือนกัน ชอบเขาแต่ไปแกล้งเขาซะได้” เบลสพูดบ้าง
“ก็ชอบ... เวลาโมโหแล้วน่ารักดี”
เพื่อนทั้งสองได้แต่ส่ายหน้าไปมาเมื่อฟังจบพร้อมกับบทสนทนาเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยความตึงเครียด และใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าจะปรึกษาหารือกันเสร็จ
จนกระทั่งปิดหัวข้อได้ เจ้าของห้องจึงไม่รอช้าหุนหันออกมาทันทีเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลาใกล้ช่วงเคอร์ฟิวเต็มที เพราะเขาเองก็มีหน้าที่ต้องไปทำรวมถึงต้องไปหาใครบางคนหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอีกด้วย
ฮอกวอตส์ในยามค่ำคืนเงียบสงัดไร้วี่แววของผู้คนออกมาเดินเตร็ดเตร่ตามทางเดิน เพราะเหล่านักเรียนและคณะอาจารย์ต่างนอนหลับบนที่นอนนุ่มอยู่ในความฝันแสนหวาน
หากว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้หลับใหลไปกับค่ำคืนเงียบ เพราะตอนนี้เจ้าตัวกำลังบิดร่างกายไปมาขดราวกับสัตว์เลื้อยคลานเมื่อสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่อกข้างซ้ายอีกครั้งในกลางดึก
ฟันขาวซี่เล็กกัดริมฝีปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงของตนเองเล็ดลอดออกไปสร้างความรำคาญให้กับเพื่อนร่วมหอนอน แต่แล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวราวกับรับรู้ว่าเขากำลังเผชิญกับอะไร
‘อดทน ฉันกำลังไป’
แฮร์รี่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีกทั้งเปลือกตาบางยังลืมไม่ขึ้นเนื่องจากทนพิษของความร้อนผ่าวราวกับไฟสุมไม่ไหว แต่แล้วไม่นานกลับสัมผัสได้กับผิวนุ่มลื่นอยู่ภายใต้ร่มผ้าของตนโดยที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน
และเมื่อฝ่ายที่เพิ่งมาหาประชิดตัวเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับเลื้อยลำตัวไปมาที่อกฝั่งซ้ายจนแทบจะห่อหุ้มส่วนนั้น ความเจ็บปวดที่ได้รับก็เหมือนจะทุเลาลงไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายเป็นน้ำเย็นชั้นดีที่ช่วยดับให้ไฟมอดลง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หายสนิทอยู่ดี แฮร์รี่ยังมีความรู้สึกเจ็บปวดแต่ไม่มากเท่าก่อนหน้านี้อีกแล้ว รวมถึงเขาสามารถเปิดเปลือกตาลืมขึ้นได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
‘เจ็บมากไหม’
คนโดนถามพยักหน้าตอบอย่างไม่ปิดบัง พร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อคลอไหลมาจากดวงตาของตนเองเนื่องจากทนเจ็บเมื่อตะกี้ไม่ไหว
“ไปไหนมาเหรอ”
พออาการเริ่มดีขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาบ้าง เพราะวันนี้ทั้งวันไม่ได้พบหน้ากันเลย ตอนแรกเขาคิดว่าเจ้าแห่งอสรพิษจะไม่มาหาแล้วในค่ำคืนนี้
‘ทำธุระ’
“ทำไมฉันถึงเบาขึ้น” เสียงกระซิบถามเสียงเบาอย่างต้องการรู้คำตอบ
‘เพราะฉันรับมันมาไว้ที่ตัวเองแทน’
“ยังไง”
‘เราผูกพันธะกันแล้ว พอนายเจ็บปวดฉันจะรู้สึกได้ และมันมีวิธีเยียวยาก็คือการแบ่งมาให้กับฉันรับแทน แต่ไม่ทั้งหมด ได้แค่บางส่วนเท่านั้น’
แฮร์รี่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกขอบคุณไม่ใช่น้อยที่อีกฝ่ายยอมรับความเจ็บไปแทนเขา
“เจ็บมากไหม” เด็กชายผู้รอดชีวิตถามกลับด้วยความเป็นห่วง
‘ทนได้’
คำตอบที่ได้รับกลับมาไม่ได้ทำให้แฮร์รี่แปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะเท่าที่เขาเห็นก็เหมือนจะไม่มีอาการอะไรสักอย่าง ยังมีทีท่าปกติลากเลื้อยไปมาที่ลำตัวของเขาได้อยู่
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่นิ่งนอนใจ เพราะขนาดเขายังเจ็บจนน้ำตาไหลแทบไม่มีสติ แล้วอีกฝ่ายจะไม่เจ็บเลยมันคงเป็นไปไม่ได้หรอก น่าจะไม่แสดงออกมาซะมากกว่า
‘อย่ากังวล’
เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวของแฮร์รี่อีกครั้งเมื่อเห็นคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันคล้ายกับคนคิดไม่ตก
“แต่นายเจ็บ”
‘บอกแล้วว่าไม่เป็นไร เพื่อนายฉันทนได้’
ฝ่ายที่พูดในความคิดของเขาไม่รอช้าผละศีรษะออกจากส่วนอกเลื้อยมาที่ลำคอของเขาแทน พร้อมกับเลื่อนขึ้นมาจนถึงข้างแก้มและถูไถหัวเรียวเล็กไปมาราวกับต้องการให้เขาสบายใจขึ้น
“ขอบคุณ”
‘นอนเถอะ ดึกแล้ว’
“นายจะไปไหนอีกหรือเปล่า”
แฮร์รี่ถามพร้อมกับเปลือกตาเริ่มอ่อนล้าอีกครั้ง คล้ายกับสัตว์เลื้อยคลานที่โอบรัดรอบตัวของเขามีมนตร์วิเศษที่บอกเพียงแค่ให้นอนเขาก็จะหลับไปในทันที
‘ไม่ไป คืนนี้จะอยู่กับนาย’
“อือ ขอบคุณอีกครั้งนะ”
เด็กชายผู้รอดชีวิตพูดจบเปลือกตาบางก็เริ่มปิดลงจนกระทั่งสนิท แต่ก่อนที่สติของเขาจะตัดไป แฮร์รี่รู้สึกว่าร่างของตนเองถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
และเขาไม่ได้คิดไปเองสักนิด แต่เขารู้สึกได้ว่ามีท่อนแขนใหญ่รัดอยู่รอบเอวอยู่จริงๆ อีกทั้งยังกระชับอ้อมกอดแน่นราวกับเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เขาโดนทำร้ายอีกด้วย
ทว่าสุดท้ายแฮร์รี่ก็ไม่มีสติมากพอที่เปิดเปลือกตาขึ้นมอง มีเพียงแค่ความรู้สึกที่จับสัมผัสได้ก็เท่านั้น พร้อมกับห้วงนิทราแสนหวานเริ่มคืบคลานเข้ามามากขึ้น ในที่สุดก็ตัดประสาททุกการรับรู้ไป …
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เขินแทนรี่ สรุปมัลฟอยเป็นโรคจิตสินะ ขี้แกล้ง
เห้ยๆในห้องมีรูมเมทอยุด้วยนะคืนร่างแบบนี้ไม่กลัวคนตื่นกลางดึกมาเห็น
เอาจริงคือคุณชายแกโรคจิตแน่ๆ แกล้งก่อนแล้วค่อยทำทำให้รัก ย้ายห้องนอนไหมคุณชายมาอยู่กับลูกเราเลย
อะไรๆจะได้ง่ายๆ อิอิ
ปล.แห้งแห่งความลับ?
เดรโกเรื่องนี้ดูนุ่มๆดีเนอะ แบบดูอ่อนโยนน่ะ