ตอนที่ 7 : sᴇʀᴘᴇɴᴛ ⑥

หลังจากแฮร์รี่ได้รับรู้เรื่องที่น่าตกใจ เขาก็ไม่รอช้าแอบหยิบหนังสือกลับมาที่หอนอนด้วยทันที พร้อมกับในเวลาเช้าก็ไม่รีรอรวมตัวเพื่อนรักทั้งสองเพื่อมาปรึกษาหารือกัน และสถานที่พูดคุยก็เป็นที่ไหนไม่ได้นอกเสียจากอัฒจันทร์นั่งดูควิดดิช เนื่องจากเขาคิดว่ามันเป็นที่ที่ไกลผู้คนจะได้ยินมากที่สุดแล้ว
รวมถึงตอนนี้สามเกลอแห่งบ้านกริฟฟินดอร์และหนึ่งอสรพิษก็กำลังนั่งจับกลุ่มอยู่ตามขั้นของระดับชั้นอัฒจันทร์ โดยที่คนได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ ทั้งสองกลับแสดงสีหน้าอ่านไม่ออกเมื่อฟังจบ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่จู่ๆ ก็ตบเข่าดังฉาดก่อนจะโพล่งขึ้นมา
“ฉันว่าแล้วไง ความฝันของนายมันเป็นลางบอกเหตุชัดๆ” หญิงสาวเพียงคนเดียวเอ่ยดังขึ้น
“ฉัน… ส่วนฉันไม่รู้จะพูดยังไงเลยแฮร์รี่”
คราวนี้รอนเป็นฝ่ายกล่าวออกมาบ้างพร้อมกับเบนสายตาไปมองร่างของผู้ร่วมฟังที่ส่งสายตามาหาเขาราวกับไม่ค่อยชอบกันสักเท่าไหร่
“นายเปิดให้ฉันดูหน่อยได้ไหมแฮร์รี่ รอยบนตัวของนายน่ะ”
แฮร์รี่พยักหน้าตอบตกลงก่อนจะจับชายเสื้อของตนเองและเตรียมจะเปิดให้กับหญิงสาวได้ดู แต่แล้วฟันเขี้ยวคมก็พุ่งเข้ามากัดที่ชายเสื้อของเขาเอาไว้ก่อน อีกทั้งยังส่งสายตาเรียวเล็กที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจกลับมาให้ด้วย
‘อย่าเปิด’
เสียงที่ดังตามหลังมาในหัวของแฮร์รี่เต็มไปด้วยความไม่พอใจมากจนเขาจับสังเกตได้
“เขาไม่ให้นายเปิดใช่ไหม” เฮอร์ไมโอนี่ถามซ้ำเมื่อเห็นทีท่าของอสรพิษ
“อือ งั้นเดี๋ยวแหวกข้างบนก็ได้”
แฮร์รี่ว่าพร้อมกับไม่รอช้าแหวกคอเสื้อของตนเองลงเพื่อให้เพื่อนได้มองเห็นรอยบนหน้าอกข้างซ้าย แต่แล้วไม่นานลำตัวที่เต็มไปด้วยเกล็ดเงาวับก็เลื้อยเข้ามาพันรอบตัวของเขาเอาไว้ เท่านั้นไม่พอยังใช้ส่วนหัววางแหมะอยู่บนผิวหนังที่เขาเปิดเผยออกมาราวกับว่าหวงแหนมากอีกด้วย
“แค่นี้ก็พอแล้วแหละ”
สุดท้ายหญิงสาวก็เอ่ยออกมาอีกรอบเมื่อสบตาเข้ากับความไม่พอใจของดวงตาเรียวเล็กตรงหน้า
“ยังไม่ได้เป็นอะไรกันแต่หวงนายน่าดูเลยแฮะ” รอนพูดขึ้นบ้าง
“ไม่รู้สิ”
แฮร์รี่กล่าวอย่างไม่สนใจพร้อมกับพยายามยกลำตัวหนักยาวออกจากต้นคอของตนเอง
“ออกไปก่อน ฉันจะคุยกับเพื่อน”
แต่คำพูดของแฮร์รี่ไม่ได้ผลสักเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อเขาบอกเสร็จ ฝ่ายที่เลื้อยไปมาโอบเกี่ยวที่ลำตัวของเขากลับไม่ทำตาม เท่านั้นไม่พอยังมุดหัวหายเข้าไปภายใต้เสื้อของเขาอีกด้วย
“นายจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม” รอนถาม
“ไม่เป็นอะไร หมายความแบบไหน” แฮร์รี่ถามกลับ
“ก็… จะไม่โดนรัดจนตายอะไรแบบนั้น”
“ไม่หรอก ไม่เคยโดนรัดแรงๆ สักครั้งนะ”
“งั้นก็ดี”
‘บอกมันไปสิว่าฉันไม่ทำเจ้าสาวตัวเองตายหรอก’
เสียงที่เข้ามาทำเอาแฮร์รี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
“เรามาคุยเรื่องนี้กันต่อเถอะ” สุดท้ายเด็กนักเรียนหัวกะทิอย่างเฮอร์ไมโอนี่ก็พากลับเข้าเรื่องจนได้
“จะว่าไปเขาได้บอกไหมว่านานแค่ไหนกว่ารอยนั้นจะวนกลับมาบรรจบที่ส่วนหัวอีกครั้ง” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวขึ้นอีกรอบ
“ไม่ได้บอก ฉันเองยังไม่ได้คุยอะไรมากเท่าไหร่” เจ้าของเรื่องตอบออกไป
“งั้นนายลองถามสิ นายคุยกับเขาได้นี่” รอนเสริม
‘คืนจันทร์ดับ’
แต่แล้วไม่นานอีกเสียงก็ดังขึ้นในโสตประสาทของแฮร์รี่ พร้อมกับเขาไม่รอช้าบอกเพื่อนออกไปทันที
“เขาบอกว่าคืนจันทร์ดับ ว่าแต่มันคือวันอะไรเหรอ?”
คนไม่รู้เรื่องราวถามอย่างไม่เข้าใจ ทว่าคนได้คำตอบอย่างเด็กนักเรียนหัวกะทิของกริฟฟินดอร์กลับเบิกตาโพลงด้วยความตกใจออกมาแทน
“นี่มันอีกไม่กี่วันแล้วนี่แฮร์รี่!” เสียงร้องเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจดังขึ้น
“เธอช่วยพูดให้พวกเราเข้าใจหน่อยได้ไหมเฮิร์ม ตื่นตระหนกอยู่คนเดียวแบบนั้นแล้วใครจะไปรู้เรื่องด้วย” รอนว่า
“คืนจันทร์ดับก็คือวันที่ดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในทิศทางเดียวกับดวงอาทิตย์ และเมื่อมองจากโลกจะเห็นพระจันทร์หันด้านมืดเข้าหาโลก นั่นแหละเรียกว่าจันทร์ดับหรือเดือนดับ”
“ … ”
“และมันกำลังจะเกิดขึ้นอีกสิบสามวันข้างหน้านี้แล้วด้วย”
“จะ จริงเหรอ”
“ฉันจะโกหกนายทำไมล่ะแฮร์รี่ เพราะอย่างนี้ฉันถึงตกใจไง ชีวิตนายเหลืออีกแค่ไม่ถึงสองอาทิตย์แล้วนะ”
“ใจเย็นน่าเฮิร์ม อย่าเพิ่งพูดให้เขาตกใจ” รอนเอ่ยปราม
“ไม่เป็นไร ถึงเฮิร์มไม่พูด ฉันก็แพนิคไปแล้ว”
‘ไม่มีอะไรต้องกังวล’
แต่แล้วฝ่ายที่ฟังบทสนทนาของกลุ่มเพื่อนอยู่นานสองนานก็พูดกับคนที่เขาสื่อสารกันผ่านทางความคิดได้
“ไม่กังวลได้ยังไง นี่มันชีวิตฉันเลยนะ!”
แฮร์รี่ว่าอย่างกับคนสติแตก และเพื่อนสนิททั้งสองก็มองด้วยความเป็นห่วงกลับมาให้เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเสียงดังออกมา
“เอาเป็นว่าฉันจะลองไปหาหนังสือเล่มอื่นดูดีไหม เผื่อจะมีวิธีแก้ไขที่ไม่ใช่เรื่องนั้น”
เรื่องนั้นที่เฮอร์ไมโอนี่หมายถึงก็คือการร่วมรักกับอสรพิษนั่นเอง และเธอเลือกที่จะไม่พูดจาโฉ่งฉ่างออกไปเพื่อไม่ให้เพื่อนสนิทรู้สึกกังวลมากเพิ่มไปอีก
“ฉันไม่แน่ใจว่าเธอจะหาเจอหรือเปล่าน่ะสิ นี่ฉันก็รอหนังสือจากมัลฟอยอยู่เหมือนกัน”
“รอ? นายรอหนังสือจากหมอนั่นทำไม” รอนถามออกมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“เมื่อวานที่ฉันนั่งเล่นอยู่ริมทะเลสาบ เขาก็เข้ามาคุยด้วยและบอกว่าเคยเห็นหนังสือคัมภีร์เวทมนตร์โบราณที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็บอกว่าเดี๋ยวจะเอาหนังสือมาให้ ส่วนฉันไม่อยากรอจึงเลยแอบเข้าไปหาที่ห้องสมุดก่อน แต่ไม่รู้ว่าจะใช่เล่มเดียวกันหรือเปล่า เพราะตอนที่เข้าไปก็พบกับ ‘เจ้านี่’ อยู่ใกล้หนังสือและมันก็ร่วงลงมาตรงหน้าฉันพอดิบพอดี”
“ … ”
“ฉันก็เลยเปิดอ่านและพบว่ามันคือเรื่องที่ฉันกำลังหาคำตอบ แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่เพราะมันมีแต่เรื่องที่ฉันเสียหายทั้งนั้นเลย”
คนร่ายยาวพูดออกมาราวกับอัดอั้นใจ อีกทั้งยังไม่รอช้าฟาดมือที่เต็มไปด้วยแรงหนักลงบนลำตัวใหญ่ที่เลื้อยไปมาอยู่บนร่างกายของตนเองเมื่อรู้สึกได้ว่าถูกฟันเขี้ยวคมลากผ่านผิวเนื้อของเขาไปมา
“ฉันเองก็จนปัญญา ไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย” เฮอร์ไมโอนี่ว่าพร้อมกับถอนหายใจอย่างกับคนคิดไม่ตก
“เราไปปรึกษาคนอื่นดีไหม หลายๆ หัวน่าจะดีกว่าหัวเดียว” รอนพูด
“ไม่ได้สิ เดี๋ยวก็จะพากันแตกตื่นไปกันใหญ่ ขนาดพวกเราตอนแรกยังตกใจจนไม่อยากเชื่อเลย” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยห้ามพร้อมกับเจ้าของเรื่องพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วจะให้ทำยังไง เพื่อนฉันจะต้องไปมีอะไรกับงูจริงๆ น่ะเหรอ”
“นายก็อย่าพูดมากไปสิรอน เห็นไหมว่าแฮร์รี่หน้าเครียดไปหมดแล้ว”
นักเรียนดีเด่นของกลุ่มกล่าวห้ามออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทที่เจื่อนลงไปอีกมากโขเมื่อโดนตอกย้ำ
“โทษทีแฮร์รี่”
“อือ ไม่เป็นไร”
“เดี๋ยวฉันจะลองไปหาข้อมูลเพิ่มแล้วกันเผื่อจะช่วยอะไรได้ ตอนนี้นายก็ทำใจให้สบายก่อนนะแฮร์รี่อย่าเพิ่งคิดมาก”
“ก็อยากทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน” แฮร์รี่ตอบ
“น่าๆ มันต้องมีทางออกอื่นสิ” รอนช่วยพูด
“ขอบใจมากนะทั้งสองคน ตอนแรกคิดว่าจะเครียดอยู่คนเดียวซะแล้ว แต่นี่ได้เล่าให้คนอื่นฟังก็พอสบายใจไปได้บ้าง”
“ไม่ต้องเกรงใจนะ ยังไงเราก็เพื่อนกันอยู่แล้ว ฉันเองก็จะช่วยเต็มที่เท่าที่ทำได้” เฮอร์ไมโอนี่บอก
“ฉันด้วย” รอนเสริมอีกครั้ง
สุดท้ายแล้วการพูดคุยก็เป็นอันสิ้นสุดเมื่อใกล้ได้เวลาเข้าเรียนของแฮร์รี่กับรอน ส่วนหญิงสาวนั้นไม่มีเรียนก็ขอเอาหนังสือที่เขาแอบเอามาจากเขตหวงห้ามไปอ่านเผื่อจะเจอแนวทางแก้ไขอื่น
และแฮร์รี่ก็หวังว่าเพื่อนจะเจอหนทางใหม่ให้กับเขา อย่างน้อยๆ ก็ขอฝากความหวังเอาไว้สักนิดก็แล้วกันนะเฮอร์ไมโอนี่ …
ในช่วงเย็นหลังจากทานอาหารค่ำเสร็จเรียบร้อย แฮร์รี่ก็รีบไปอาบน้ำชำระร่างกายทันที ทว่าในระหว่างที่ผิวกายกำลังสัมผัสกับน้ำ รอยสลักบนหน้าอกฝั่งซ้ายของเขากลับร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งยังปวดร้าวราวกับโดนไฟเผา เล่นเอาเด็กชายผู้รอดชีวิตงอตัวทรุดลงไปนั่งกับพื้นในสภาพเปลือยเปล่า
“อึก”
เสียงกัดฟันพยายามข่มอารมณ์เจ็บปวดของตนเอง และแฮร์รี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าเขาควบคุมตัวเองไม่ได้เลย เพราะมันเจ็บปวดมากจนสติแทบเลือนราง
ทว่าเขากลับได้ยินเสียงหนึ่งเรียกชื่อของเขาแว่วเข้ามาหู แต่แฮร์รี่ไม่สามารถเปิดเปลือกตากว้างเพื่อลืมตามองคนเรียกได้ อีกทั้งหยาดน้ำตามากมายยังไหลลงอาบสองแก้มนวลขาวเมื่อความเจ็บที่เข้าปะทะนั้นสาหัสมากเสียเหลือเกิน
“พอตเตอร์!”
แฮร์รี่รู้แล้วว่าใครคือคนเรียกเพราะเขาจำเสียงนั้นได้ดี อีกทั้งยังเห็นเงาดำทาบทับย่อตัวลงมาตรงหน้าเขาอีกด้วย ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับร่างเปลือยเปล่า
แต่ที่เป็นเรื่องก็คือเมื่อฝ่ามือเย็นเฉียบแตะลงบนผิวกาย คนที่ได้รับความทุกข์ทรมานกลับรู้สึกวูบไหวในช่องท้องอย่างไม่ทราบสาเหตุ อีกทั้งอาการเจ็บปวดตรงบริเวณอกด้านซ้ายก่อนหน้านี้ยังเหมือนจะทุเลาลงไปอีกด้วย
“มะ มัลฟอย”
“นายเป็นอะไร ทำไมเหงื่อถึงได้ออกมากขนาดนี้”
“มะ ไม่รู้ ฉันไม่รู้ ฉันเจ็บตรงนี้มาก”
นิ้วมือสั่นพยายามชี้มาที่รอยสลักตรงอกของตนเองที่บัดนี้ขึ้นสีส้มแดงราวกับไฟหลอมตามรอยรูปนั้น
“ไหวหรือเปล่า ฉันจะพานายออกไปก่อน”
แฮร์รี่ส่ายหัวพรืดพร้อมกับไม่นานเขาก็สัมผัสได้ว่ามีผ้าคลุมผืนใหญ่มาพันรอบกายของเขาไว้ และไม่นานนักก็ถูกยกตัวอุ้มลอยหวือในท่าเจ้าสาว
แต่แล้วเขากลับได้ยินเสียงของอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดร้องเบาออกมา ทว่าเขากลับไม่มีแรงมากพอที่จะลืมตาทั้งหมดขึ้นดู และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่สติของเขาดับไป …
คนที่สลบไสลเริ่มรู้สึกตัวเมื่อสัมผัสได้ว่ากำลังโดนรบกวนเวลานอน อีกทั้งความเย็นที่ได้รับยังทำให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ตื่นอย่างเต็มตา และเมื่อลืมตาขึ้นจึงได้พบกับห้องแปลกประหลาดที่ไม่คุ้นตาสักนิดเดียว
ผ้าม่านคลุมรอบเตียงสีเขียวใหญ่คือสิ่งแรกที่ปรากฏอยู่ในการมองเห็น อีกทั้งเสาตั้งทั้งสี่ยังประดับไปด้วยลวดลายวิจิตรชวนหลงใหล แต่ถ้าดูดีๆ แล้วจะเห็นว่านั่นคือลายของเจ้าแห่งอสรพิษ
“ตื่นแล้วเหรอ”
บวกกับไม่นานเสียงหนึ่งก็พูดดังออกมา ทำเอาคนเพิ่งฟื้นจากห้วงนิทราหันมองตามต้นเสียงนั้นด้วยความรวดเร็ว จนกระทั่งได้สบตาก็ต้องย่นคิ้วขมวดแทบชนกัน
“นาย…”
“ … ”
“มัลฟอย?”
“อืม ฉันเอง นายจำอะไรได้บ้าง”
แฮร์รี่พยายามนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร จนกระทั่งคิดออกว่าก่อนที่สติจะดับ เขาถูกช่วยเหลือโดยใครบางคน
“อือ จำได้รางๆ”
เด็กชายผู้รอดชีวิตตอบก่อนจะพยายามดันตัวลุกขึ้นนั่งโดยที่ไม่ได้รู้ว่าตนเองไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าสักชิ้นเดียว โชคดีที่มีผ้าแพรสีมรกตปิดคลุมส่วนล่างเอาไว้ แต่ท่อนบนนั้นเปลือยเปล่าต่อสายตาของใครอีกคนอย่างไม่รู้ตัว
“ปิดหน่อยไหมพอตเตอร์”
แฮร์รี่ส่งสายตาไม่เข้าใจไปให้คนที่โยนเสื้อคลุมมาให้กับเขา จนกระทั่งตัวเองก้มมองร่างกายตามสายตาของอีกฝ่ายที่เลื่อนลงต่ำ เขาถึงได้รู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในสภาพไหน
“ฉันไม่ได้ใส่เสื้อผ้าให้เพราะตอนนั้นเหงื่อนายแตกพลั่กอย่างกับเปิดก๊อกน้ำ”
“อ๋อ... อือ”
เสียงแผ่วตอบกลับพร้อมกับหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาปิดบังร่างกาย และเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จก็ไม่รอช้าเตรียมจะพูดบางอย่าง ทว่ากลับอ้ำอึ้งจนเจ้าของห้องต้องเอ่ยถามเอง
“มีอะไร” เจ้าของห้องมองมาทางเขาราวกับรอให้แฮร์รี่พูดออกมา
“ขอบใจนะ”
“ … ”
“เรื่องที่ช่วยพาฉันออกมาจากห้องน้ำ รวมถึงให้นอนพักที่นี่ด้วย”
“ไม่ได้ลำบากอะไร”
เสียงทุ้มตอบกลับพร้อมกับหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมโซฟาเดี่ยวที่หันหน้าเข้าหาเตียงนอน
“นายเป็นอะไร ทำไมถึงได้ดูทุรนทุรายขนาดนั้นตอนที่ฉันไปพบ”
แฮร์รี่เองเมื่อได้ฟังคำถามก็ไม่รู้จะตอบว่ายังไง เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ที่รู้ๆ ในตอนนั้นเขาเจ็บหน้าอกตรงฝั่งที่มีรอยรูปศีรษะเจ้าอสรพิษ ราวกับโดนไฟเผาแบบนั้นเลย
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไม่รู้? ไม่รู้ได้ยังไง ตอนที่ฉันไปเจอนายเกือบตายเลยนะ”
แฮร์รี่ก้มหน้ามองต่ำพร้อมกับกุมมือเอาไว้บนหน้าตักคล้ายกับตนทำเรื่องผิดและกำลังโดนดุ
“ฉันไม่รู้นี่ นายจะให้ฉันตอบยังไงล่ะ” เสียงอ้อมแอ้มกล่าวขึ้น
“ร่างกายของนายแท้ๆ จะไม่รู้ได้ยังไง”
“แล้วนายจะมาคาดคั้นเอาอะไรจากฉัน”
“ … ”
“ฉันบอกไปแล้วว่าไม่รู้”
สีหน้าที่เต็มไปด้วยความอึดอัด อีกทั้งดวงตากลมที่เงยหน้ามองมาทางเจ้าของห้องนั้นก็กำลังเอ่อคลอเต็มไปด้วยน้ำตาราวกับว่าเจ้าตัวมีเรื่องอัดอั้นตันใจเอามากๆ
“อย่าร้อง”
ทว่ายิ่งพูดก็เหมือนยิ่งยุ เพราะเมื่อเสียงเอ่ยห้ามดังออกมา เขื่อนน้ำตาของเด็กชายแก้มกลมก็แตกทันที รวมถึงร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยนจนคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งถึงกับส่ายหน้าไปมาให้กับคนขี้แยที่ไม่ค่อยเห็นในโหมดนี้สักเท่าไหร่นัก
“บอกแล้วไงว่าอย่างร้อง”
“นะ… ฮึก นายก็พูดได้นี่ ฮืออออ”
“ … ”
“ฮึก… ฉันจะ ฮึก จะเป็นบ้าตายอยู่แล้วกับเรื่องบ้าๆ นี่”
ยิ่งพูดก็ยิ่งร้องไห้อย่างกับเปิดน้ำไหล ทั้งน้ำหูน้ำตาออกมาพร้อมให้เห็นหมดโดยที่เจ้าของไม่นึกอายสภาพตัวเองในตอนนี้สักนิด
“ทำไมจะไม่รู้”
แต่แล้วไม่นานเสียงของคนที่นั่งนิ่งๆ มองร่างที่ร้องไห้ตัวโยนบนที่นอนของตนเองก็กล่าวขึ้น ทว่านั้นไม่ได้ทำให้คนที่กำลังปล่อยโฮสนใจหรือได้ยินสักนิดเดียวเพราะตอนนี้หูอื้อสมองดับไปหมดแล้ว
“นายนี่มัน …”
สุดท้ายแล้วฝ่ายที่นั่งดูอยู่เฉยๆ นานสองนานก็ตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ของตนเองเดินไปหย่อยตัวนั่งลงบนที่นอนจนฟูกนุ่มยุบยวบไปตามแรงการถูกทับ
“มานี่มา จะให้ยืมไหล่สักวัน เอาไหม”
เมื่อกล่าวจบก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ ออกมา แต่กลายเป็นร่างเปลือยที่สวมเสื้อคลุมไม่มิดชิดพุ่งเข้าไปกอดเจ้าของห้องอย่างรวดเร็ว
รวมถึงยังร้องไห้เสียงดังราวกับเด็กน้อยไม่สนใจโลกอีกต่างหาก ทว่านั่นทำให้คนที่เป็นเหมือนที่พึ่งในยามนี้ยกยิ้มกับตัวเองไม่ใช่น้อย เพราะมันอดไม่ได้ที่จะเอ็นดู …
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ให้ยืมไหล่ แงง้เป็นเขินน
มัลฟอยชอบล่ะสิ
ชอบล่ะซิ แหม กอดเองด้วย ไม่ได้ไปลักลับ หรือไปพันตัวเขาก่อน