ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    น้ำตาสีเลือด ภาค อวสานอยุธยา

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 1 (ปรับปรุงใหม่)

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 52


                   สายน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาส่องประกายวับวาว ภายใต้แสงจันทร์นวลสีทอง เรือนไทยหลังงามหลังหนึ่งตั้งเด่นเป็นสง่า อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเรือนหลังใหญ่ที่สุดในละแวกใกล้เคียง

     

                เจ้าพระยาพิชิตสงคราม นามเดิมว่า ไผ่ อดีตนักรบหาญกล้าปลายแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ผู้ที่มีอายุยืนยาวกว่านักรบรุ่นเดียวกันในสมัยนั้น เขาเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จแต่ยังหนุ่ม เขาออกศึกครั้งแรกด้วยอายุเพียงสิบห้าปี ติดตามบิดาออกรบตั้งแต่นั้นมา

     

            เมื่อครั้นเจ้าพระยาพิชิตสงครามลาออกจากราชการนั้น เป็นเพียงแม่ทัพกินตำแหน่งออกญา กระทำการค้าขายด้วยวามซื่อสัตย์สุจริตกับต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ชาวจีน มลายู โปรตุเกส อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมาก เมื่อสิ้นแผ่นดิน สมเด็จพระเพทราชา เขากลับคืนสู่พระนคร และยังคงกระทำการค้าขาย จนเจริญรุ่งเรือง และมีหน้ามีตาในสังคม

     

                สมเด็จพระเจ้าเสือ ทรงเล็งเห็นความดีความชอบ ที่อดีตแม่ทัพผู้นี้ ช่วยทางการเจรจาค้าขายกับต่างชาติ จนประสบผลสำเร็จ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อวยยศให้เป็นเจ้าพระยาพิชิตสงคราม แต่นั้นมา ทว่า เป็นเพียงแต่ในนามเท่านั้น เขามิได้เป็นขุนนางในราชสำนักอีกแล้ว

     

                แต่มาวันนี้ เจ้าพระยาพิชิตสงคราม อายุแปดสิบสองปีแล้ว เพื่อนทหารรุ่นเดียวกันและญาติพี่น้องทั้งหลาย ล้วนตายจากไปเสียสิ้น คงเหลือเพียง พระยาธรรมเดช เพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน เขาใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ชานพระนครเรื่อยมา

     

                เจ้าพระยาพิชิตสงคราม ถึงแม้จะลาออกจากราชการมาหลายสิบปีแล้ว และทำการค้าขายด้วยความซื่อสัตย์ และส่งลูกหลานข้ารับราชการเรื่อยมา จนมีผู้คนทั้งขุนนางระดับสูง ลงไปถึง ขุนนางระดับปลายแถว และชาวพระนคร ล้วนเคารพยำเกรงในตัวอดีตแม่ทัพผู้นี้เป็นอย่างมาก

     

                เจ้าพระยาพิชิตสงคราม มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งประสบการณ์ ผมสีขาวโพลนยาว เขามีรูปร่างกำยำแข็งแรง ท่วงท่าดั่งนักรบ ถึงแม้จะร่วงโรยไปตามสังขารกาลเวลาบ้างแล้วก็ตาม เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่ง ด้วยท่าทีที่น่าเกรงขาม

     

                บรรดาลูกหลานและบ่าวไพร่บริวาร นั่งอยู่บนพื้นโดยรอบ เพื่อรับฟังเรื่องเล่าของชายชรา ที่มักจะเล่าเรื่องราวในอดีตให้ลูกหลานและบ่าวไพร่ฟังอยู่ทุกคืนวัน

     

                แต่ก่อน สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ มีแม่ทัพนายหนึ่งที่เก่งกล้าสามารถ นามว่า แสง กินตำแหน่งขุน เขาเป็นทวดของปู่เอง เขาตายในสนามรบเยี่ยงวีรบุรุษ...แสง มีบุตรชายสี่คน หนึ่งในนั้น คือ ศร เป็นปู่ของปู่ กินตำแหน่งหวงยกกระบัตรเมืองจันทบุรีเขาเล่า ต่อมา ศรให้กำเนิดบุตรอีกเจ็ดคน โดยคนสุดท้อง นามว่า ยศ เป็นพ่อของปู่ เขารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

     

                ศรแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่หรือขอรับ...เหตุใด จึงห่างกันหลายแผ่นดินเด็กชายผมจุกคนหนึ่งกล่าวถามขึ้น

     

                เจ้าเข้าใจถามนะ หยก ปู่ของปู่หรือศร แต่งงานตอนอายุสิบเจ็ดปีกับแม่ดวงดาว ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม...พี่น้องของยศนั้น มีอายุห่างกันราวสี่ปี

     

                หลานเข้าใจแล้วขอรับ ท่านปู่เด็กผมจุกนามหยกเอ่ย

     

                หยก เด็กหนุ่มวัยเจ็ดปีผู้นี้ เป็นบุตรชายคนสุดท้องของหลวงพิชัยสนธยา ซึ่งเป็นบุตรคนที่แปดของเจ้าพระยาพิชิตสงคราม

     

                รู้หรือไม่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงมีสายพระโลหิตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถ...พระราชมารดา ทรงเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม แห่งราชวงศ์สุโขทัย ไผ่กล่าวบอก

     

                หลานอยากทราบว่า เหตุใด ท่านปู่ จึงลาออกจากราชการขอรับหยกถาม

     

                ผู้เป็นปู่มองไปรอบๆห้องด้วยสีหน้าอ่อนระโหย แววตาคิดคำนึงถึงบางสิ่งบางอย่าง ที่ว้าวุ่นในใจ เขามองไปยังหยก หลานชายคนสุดท้องวัยเจ็ดปี ด้วยสายตาที่โรยรา

     

                พูดเรื่องอื่นกันจักดีกว่านะ หยกเขาเอ่ยในที่สุด

     

                แต่หลานอยากทราบนี่ขอรับ...หลานเคยได้ยินมาว่า ขุนนางสูงศักดิ์นั้น จะหวงตำแหน่งตัวเองมาก และจักจมไม่ลงอีก และจักทำทุกวิถีทางให้ตัวเองอยู่รอดได้ในตำแหน่งนี้ จนชั่วชีวิต หยกว่า

     

                เจ้าคิดเช่นนั้นรึ หยก...ไม่ มันไม่ทุกคนดอก ปู่คนหนึ่ง ที่มิหวังในลาภยศ ปู่เคยเป็นถึงเจ้าพระยาแต่อายุยังน้อย เหตุเพราะว่า ปู่ออกรบแต่อายุสิบห้า สมัยนั้น ปู่ยังเป็นเพียงแค่แม่ทัพคุมพลธนู แค่อายุสิบหก ก็ได้บรรดาศักดิ์เป็นออกหลวงแล้วไผ่กล่าว ปู่ออกรบร่วมทัพกับท่านโกษาเหล็ก เพียงทำศึกแค่ไม่กี่ครั้ง ปู่ได้ขึ้นเป็นออกพระ พออายุยี่สิบ ปู่ก็ได้เป็นออกพระ และเป็นอยู่นานมาก จนกระทั่งสิ้นแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ ปู่จึงออกจากราชการ

     

                หลานขอถามบ้างขอรับเด็กผมแกละวัยสิบห้าปีคนหนึ่งโพล่งขึ้น สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สิ่งใดรุ่งเรืองที่สุดขอรับ

     

            สมัยนั้น ภาษา วรรณคดี ทางการทูต เจริญรุ่งเรืองที่สุด สมเด็จพระนารายณ์ ทรงเป็นนักปราชญ์ที่ปรีชาสามารถมากเขาตอบ สมัยนั้น หนังสือไทยเล่มแรก ได้ถือกำเนิดขึ้น มีชื่อว่า จินดามณี

     

            สยามกับพม่ารบกันด้วยเหตุผลใดฤาขอรับเด็กผมแกละยังคงถามต่อ

     

                สยามรบกับพม่า เริ่มในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช เพลานั้น พม่าโจมตีเมืองเชียงกรานของสยาม สยามจึงโจมตีกลับ ด้วยข้อหาบุกรุกของขัณฑสีมาเขาตอบ มันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว การบุกรุกแย่งดินแดน หรือขยายอำนาจอาณานิคม มีมาเป็นพันๆปีแล้วทั่วโลก

     

            ท่านปู่เคยบอกว่า อยุธยาใกล้ถึงกาลอวสาน ท่านปู่รู้ได้อย่างไรขอรับหยกถามด้วยท่าทีจริงจัง

     

                ไผ่มองดูหลานชายช่างถามของเขา ด้วยแววตาตำหนิครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า

     

                อย่าเที่ยวโพนทะนาเรื่องนี้ ให้ผู้ใดฟังเป็นอันขาด โทษประหารเลยเชียวนะ

     

                ท่านปู่รู้ได้อย่างไรเล่าขอรับหยกยังคงถามต่อ ด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น

     

                เรื่องพวกนี้...ปู่เห็นว่า เจ้ามิสมควรจะรู้ในเพลานี้เขาว่าด้วยเสียงทุ้มลึก พลางหันไปมองรอบๆอีกครา ความมืดเริ่มแผ่ปกคลุมรอบกายพวกเขา

     

            แต่หลานอยากรู้จริงๆนี่ขอรับหยกรบเร้า

     

                หยก!... หญิงสาววัยราวสี่สิบปีคนหนึ่งทำเสียงดุ

     

                แต่ท่านแม่ ข้าอยากรู้จริงๆนี่ขอรับหยกเอ่ย

     

                เจ้าอย่าสอดรู้สอดเห็นให้มากความ มันจะมิดีนางกล่าว

     

                แม่ทับทิม เจ้าอย่าดุลูกเลย...พ่อหยก มันก็เป็นเพียงเด็กที่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้นเองไผ่กล่าวตัดบท

     

                แต่ท่านพ่อ...

     

                ช่างเถิด...เขาว่า

     

                ทับทิม เป็นธิดาของออกญาพฤติราช แต่งงานกับเมือง หรือหลวงพิชัยสนธยา ด้วยวัยสิบเจ็ดปี มีบุตรด้วยกันสามคน คือ ศิลา ดวงเดือน และหยก

     

                เอาล่ะ เพลานี้ ก็ใกล้ยามสองแล้ว เข้านอนกันได้แล้วเขาสั่ง

     

                ขอรับ/เจ้าค่ะทุกคนรับคำสั่ง และแยกย้ายกันกับห้องนอนของตน

     

                แม่ทับทิม ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า เขาบอกกับทับทิม ที่กำลังจะลุกเดินออกไป

     

                มีอันใดหรือเจ้าคะทับทิมถาม พลางคลานเข้ามานั่งใกล้ๆ

     

                ปีนี้ เจ้าหยกมีอายุเจ็ดขวบแล้ว...ข้ามีสหายอยู่ผู้หนึ่ง มียศเป็นถึงพระยา เขามีหลานสาวผู้หนึ่ง วัยไล่เลี่ยกับเจ้าหยกมันไผ่เอ่ยตอบ ข้าเห็นควรแก่เวลาแล้ว...อยากให้ทั้งสองได้ทำความรู้จักกัน

     

            ท่านพ่อจักคลุมถุงชนหรือเจ้าคะทับทิมตกใจ

     

                มิใช่เช่นนั้นดอก ข้ามิได้มีความคิดเยี่ยงนั้น ข้าอยากให้ทั้งสอง ทำวามรู้จักกันก่อน ส่วนเรื่องแต่ง เอาไว้ก่อนเขาว่า แต่อย่างไรก็ตาม ข้าจักต้องหมั้นพวกเขาทั้งสอง ให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที หวังว่า เจ้าผู้เป็นแม่จักมิขัดข้องหรอกนะ

     

            สุดแล้วแต่ท่านพ่อ จักเห็นสมควรเถิดทับทิมตอบเสียงเรียบ

     

                ดีชายชราว่า

     

                ...หยกเดินออกมาได้เพลาหนึ่งแล้ว เขาดินไปตามทางที่มืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างนำทาง ครั้นแล้วเขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งเบื้องหน้า ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา

     

                แสงสีทองเรืองรองส่องลอดออกมาจากช่องบานประตูที่เปิดแง้มไว้ ปกติแล้ว ประตูบานนี้จะลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา แต่ด้วยเหตุใด ประตูจงเปิดออกในยามวิกาลเยี่ยงนี้

     

                เขาหันมองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง และค่อยๆย่องเข้าไปยังประตูบานนั้นทีละน้อย ลำตัวแนบชิดติดผนัง เมื่อไปถึงบานประตู มือซ้ายของเขายื่นไปดันประตูบานนั้น ให้เปิดออกกว้างขึ้น และโผล่ใบหน้าอันสงสัยใคร่รู้เข้าไปในห้อง และสิ่งที่ได้เห็นคือ...

     

                ดาบเล่มยาวส่องแสงสีทองสุกสว่างอยู่กลางห้อง ฝักดาบสีทองสลักลวดลายบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของดาบเล่มนี้ อย่างประณีตบรรจง เป็นดาบที่มีความวิจิตรงดงามมาก

     

                หยกเดินเข้าไปในห้อง แต่ก่อนจะถึงตัวดาบ เขาพลันพบเห็นหีบใบใหญ่เก่าคร่ำครึ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ จึงเปิดออกด้วยมือสั่นเทา อย่างตื่นเต้น พร้อมกับมองลงไปในหีบ สิ่งที่ได้พบทำให้ดวงตาเขาเบิกกว้าง จนแทบโปนถลน

     

    ชุดเกราะสีดำสนิท ร้อยด้วยแผ่นเหล็กเล็กๆเข้าไว้ด้วยกันเหมือนเกล็ดปลา ให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวใจ หมวกนักรบใบใหญ่ ยอดประดับพู่สีแดง ตรงกลางหมวกฝังมรกตเอาไว้ เขาหยิบหมวกนักรบขึ้นมาดูอย่างสนใจอยู่นาน ก่อนจะวางมันลงไปในหีบอย่างทะนุถนอม พลางปิดหีบลงด้วยเสียงเบาที่สุด  

     

    เขาลุกขึ้นช้าๆ และเดินตรงไปยังดาบสีทอง และหยิบมันขึ้นมา พลางชักดาบออกจากฝัก แสงสีเงินวาววับส่องประกายออกมาจากสันดาบเล่มยาว แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งดุดัน ความสง่างามน่ายำเกรง แผ่รัศมีออกมาให้ผู้พบเห็นครั่นคร้ามได้มากทีเดียว กลิ่นไอสงครามแผ่ออกมาไปทั่วบริเวณ

     

                เขามองไปยังแผ่นหิน ซึ่งวางอยู่ข้างใต้ดาบบนโต๊ะ สลักข้อความบางอย่างที่เขาอ่านไม่ออก มองดูคล้ายภาษาต่างประเทศ

     

                เจ้าหยก! เอาของบรรพบุรุษมาเล่นรึ!” เสียงหนึ่งดังขึ้น

     

                หยกหันไปทางต้นเสียงนอกห้อง และพบเด็กสาววัยราวสิบห้าปี ร่างสูงบอบบาง ใบหน้ากลมมนราวดวงจันทร์ยามคืนเพ็ญ ดวงตากลมโตฉายแววดุดันมองมาที่หยก มวยผมผูกเป็นจุกอยู่กลางศีรษะ พวงดอกมะลิครอบจุกไว้

     

                นี่หรือของบรรพบุรุษ...หยกครางพลางมองดูดาบเล่มยาวอย่างชื่นชม

     

                เด็กสาววัยสิบห้าปีเดินเข้ามา และดงดาบออกมาจากมือของหยก ก่อนจะเสียบใส่ฝัก และนำไปวางที่เดิม

     

                คราวหน้าคราวหลัง เจ้าอย่าเล่นของบรรพบุรุษอีกนะนางว่า

     

                พี่ดวงเดือน พี่เคยเห็นของเช่นนี้หรือหยกถามอย่างใคร่รู้

     

                ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วดวงเดือนตอบเสียงเรียบ

     

                พี่อ่านข้อวามบนแผ่นหินนั่นออกหรือไม่หยกถามพลางชี้มือไปยังแผ่นหิน

     

                ดวงเดือนมองไปยังแผ่นหินใต้ดาบสีทองอย่างคาดคะเน ก่อนจะยกดาบขึ้น และมองดูข้อความบนแผ่นหินนั้น   

     

            พี่จะอ่านออกหรือไม่ ยามนี้ มิใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญ ยามนี้ เจ้าสมควรเข้านอนได้แล้วดวงเดือนเอ่ยพลางวางดาบลงที่เดิม

     

                แต่ท่านพี่...หยกแย้ง

     

                เจ้าสมควรเข้านอนเสีย มิเช่นนั้น พี่จะฟ้องท่านปู่ดวงเดือนกล่าวเสียงดุ

     

                ดวงเดือน หยก พวกเจ้าทั้งสองทำอันใดกันเสียงผู้ทรงอำนาจสียงหนึ่งดังขึ้น

     

                ทั้งสองหันไปทางต้นเสียงอีกครา พบชายชรายืนส่งยิ้มมาให้อย่างเอ็นดู ดวงเดือนวิ่งเข้าไปหาปู่ของนางทันที

     

                ท่านปู่ เจ้าหยก มันเล่นของบรรพชนนางฟ้อง

     

    ชายชรามองดูหยกที่มีท่าทีไร้เดียงสา ก่อนจะหันกลับมายังดวงเดือน ผู้จ้องตอบกลับมาด้วยสายตารอคำตอบ

     

                พวกเจ้าทั้งสองตามปู่มา...หยก เจ้าหยิบดาบเล่มนั้นมาด้วยเขาสั่งก่อนจะเดินจากไป

     

                ดวงเดือนและหยกเดินตามมาพร้อมดาบในมือ และนั่งลงบนพื้นตรงหน้าปู่ของพวกเขา ในที่ที่ซึ่งเพิ่งนั่งฟังปู่ของพวกเขาเล่าเรื่องอดีตไปเมื่อสักครู่

     

                หยกยื่นดาบสีทองอร่ามให้ชายชรา ซึ่งเขารับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะลูบไล้มันเบาๆ อย่างทะนุถนอม

     

                ดาบเล่มนี้ มีคุณค่าต่อตระกูลเราอย่างมาก หากแม้นจะให้ตีราคา เห็นทีจะประเมินค่ามิได้ ด้วยเหตุว่า มันมีคุณค่าทางจิตใจ มากมายนับไม่ถ้วนเขาว่า ดาบเล่มนี้ออกสู่สมรภูมิมานานเหลือเกิน เข่นฆ่าผู้คนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เลือดศัตรูไหลรินทั่วพื้นแผ่นดิน มาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่...เป็นสมบัติประจำตระกูล ที่สืบทอดต่อกันมาหลายร้อยรุ่น รุ่นแล้วรุ่นเล่า

     

            เอ่อ...ท่านปู่ขอรับ...ภายในห้อง ยังมีชุดเกราะแปลกๆอยู่ด้วยนะขอรับหยกบอก

     

                ชายชราเงยหน้าขึ้นมองหยก ด้วยสายตาครุ่นคิด ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู พลางกล่าวว่า

     

                ชุดเกราะนั้น เคยเป็นชุดเกราะของทหารอาสาผู้หนึ่ง ในอดีตนานมาแล้ว เจ้ายังมิสมควรจะรู้ในเพลานี้ แต่ปู่ให้คำมั่นว่า อีกมิช้ามินาน เจ้าจักได้รู้คำตอบทั้งหมดเอง

     

            หลานเห็นภาษาแปลกๆบนแผ่นหินนั่นด้วยขอรับหยกบอก

     

                หากเจ้าอยากเรียนภาษา ดวงเดือน จักเป็นผู้สอนให้เจ้า...แลเจ้าจักได้เรียนภาษาอังกฤษ จากเอ็มม่า สหายของแม่เจ้า

     

            เรียนภาษาหรือขอรับหยกถามอย่างสงสัย

     

                ใช่ ปู่มิอาจตอบเจ้าได้ทุกคำถามหรอกนะ...ปู่อยากให้เจ้าได้เรียนรู้ด้วยตนเอง...หากเจ้าได้เรียนภาษาจนชำนาญแล้ว ข้อความบนแผ่นหินนั่น เจ้าจะอ่านได้เป็นแน่

     

                ท่านปู่ หลานอยากเรียนวิชาดาบ วิชาปืน และวิชาอื่นๆหยกกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง    

     

                ชายชราจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เปล่งประกายของผู้เป็นหลาน อย่างพิจารณา และยิ้มออกมา

     

                ได้...แต่เพลานี้ พวกเจ้าทั้งสอง สมควรแก่เพลาเข้านอนได้แล้วเขาตอบ

     

                ขอรับ/เจ้าค่ะ

     

    **************************

     

            แสงจันทร์ลาลับขอบฟ้า แสงอาทิตย์ยามเช้าวันใหม่ สาดแสงไปทั่วท้องน้ำเจ้าพระยา เห็นเด่นเป็นประกาย บ้านทรงยุโรปโบราณตั้งสง่าอยู่ริมตลิ่ง หญิงสาวชาวยุโรปวัยสี่สิบปี ยืนอยู่ริมน้ำ ร่างสูงโปร่ง ผมสีดำยาวประบ่า ดวงตาสีดำขลับมองไปยังเรือลำหนึ่ง ซึ่งลอยลำเข้ามาใกล้

     

                เฮ้! ทับทิม...เธอร้องเรียกหญิงสาววัยเดียวกัน ซึ่งอยู่บนเรือ ด้วยภาษาไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำ เพียงเพราะว่า เธออยู่ที่สยามประเทศ มาแต่อายุห้าขวบ และหัดเรียนภาษาไทยมาแต่เล็กแต่น้อย

     

                เรือแล่นเทียบท่า ทับทิมเดินลงจากเรือ พร้อมจูงมือหยกลงมาด้วย นางเดินตรงไปยังหญิงสาวชาวยุโรป ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

     

                สบายดีหรือไม่ เอ็มม่านางถามด้วยเสียงที่เป็นมิตร

     

                ข้ายังคงสบายดี ทับทิมหญิงสาวยุโรปนามเอ็มม่ากล่าวตอบ ก่อนจะหันไปทางหยก และยิ้มอย่างเอ็นดู เจ้าเป็นยี่ยงไรบ้าง หยก

     

            สบายดีขอรับหยกตอบ

     

                เอ็มม่า ข้าอยากให้เจ้าช่วยสอนภาษาอังกฤษให้หยก จะได้หรือไม่ทับทิมถาม

     

                สอนภาษารึ!” เอ็มม่าทวนคำอย่างครุ่นคิด ได้สิ ข้าจะสอนให้

     

            เจ้าเป็นสหายที่ดียิ่งนักทับทิมว่า เอ็มม่ายิ้มให้ แคทเทอรีนเล่า เพลานี้ เป็นเยี่ยงไรบ้าง

     

            นางหลับอยู่ในบ้านเอ็มม่าตอบพลางบุ้ยใบ้ไปทางบ้านเบื้องหลัง เฮ้อ...นางเพิ่งอายุได้เดือนเศษ ต้องมากลายเป็นเด็กกำพร้า...ช่างน่าสงสารนัก

     

            เจ้าอย่าเศร้าใจไปเลย เอ็มม่าทับทิมพูดอย่างเห็นใจ พลางกุมมือทั้งสองข้างของเอ็มม่า เจ้าเลี้ยงหลานแต่เพียงผู้เดียว คงลำบากนัก...สามีเจ้า ก็ไปค้าขายยังต่างแดนบ่อยครั้ง ไม่ค่อยมีเพลากลับมาบ้าน เจ้าคงจะเปล่าเปลี่ยวหัวใจอยู่มิใช่น้อย

     

            เอ็มม่าไม่ตอบ น้ำตาไหลรินอาบแก้มสองข้างของนาง ทับทิมดึงร่างนางเข้ามากอด อย่างเห็นใจ ภายใต้ลมฤดูร้อนที่พัดผ่านแผ่นดินสยามประทศ เสียงหมู่สกุณาขับขานให้ได้ยินไปทั่วทั้งพระนคร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×