ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เทศกาลความรัก
      เสียงเคาะประตูดังก็อกๆอยู่หน้าห้องสองที ก่อนหนุ่มน้อยหน้าใสจะยื่นหน้ายิ้ม โชว์เหล็กดัดฟันอยู่ตรงประตู
“พี่เรย์อยู่ห้องนี้ไหมครับ”
เพื่อนร่วมห้องทำหน้าฉงนหันมาสบตาผม ก่อนว่า “ห้องนี้แหละน้อง”
“มีคนฝากดอกไม้มาให้พี่ครับ”
เพื่อนผมตาโต คว้าหมับเข้าที่ดอกไม้หนึ่งช่อสวย กับที่แยกเป็นดอกๆอีกกำใหญ่ พลิกดูไปมาจึงได้รู้ว่า นี่คือบริการของคณะกรรมการหอพัก ที่เป็นตัวกลางในการส่งดอกไม้ให้กับเหล่านักศึกษาตามตึกต่างๆของหอพัก
“โอ้โห...แฟนคลับแกทั้งนั้นเลยไอ้เรย์”
รูมเมทของผมคนนี้เขาชื่อนัท  เรียนนิติเหมือนกัน ถูกจับคู่ให้อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่ง คุยกันถูกคอดี พอขึ้นปีสองก็กอดคอกันอยู่ห้องเดิม ผิดกับคนอื่น ที่พอขึ้นปีสองต้องแยกห้องกับเพื่อนคนเก่า ด้วยเพราะนิสัยใจคอไม่ถูกกัน
“นังป๊อบ พี่เอก พี่กานต์ ไอ้นิว น้องหนึ่ง” นัทสาละวนอยู่กับการอ่านรายชื่อบนการ์ดใบเล็กๆที่ผูกติดมากับกุหลาบแต่ละดอก “ตุ๊ดทั้งน้าน...ไม่ตุ๊ดก็สาวแตก” ได้เจ้านัทบ่นอุบอย่างผิดหวัง ยังกับเป็นดอกไม้ของมันเอง
“ก็ยังดีกว่าพวกที่ไม่ได้เลยล่ะว้า” ผมยั่วขณะยื่นมือไปรับดอกไม้ แต่ไม่ทันที่มันจะได้โกรธ น้องปีหนึ่งคนเดิมก็ยื่นหน้ายิ้มเข้ามาอีกครั้ง พร้อมถามหาพี่ที่ชื่อนัท
     
“โธ่ ได้เหมือนกันแหละวะ” นัทยักไหล่ ก่อนกระโดทิ้งตัวลงบนที่นอนดังตุ้บ
                ทั้งคืนผมนอนยิ้มให้กับดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอยู่บนหัวเตียง นึกถึงวันวาเลนไทน์ปีที่ผ่านๆมายังขำตัวเองไม่หาย อย่าว่าแต่กุหลาบแห้งๆสักดอกเลย แค่ลูกอมหรือช็อคโกแล็ตสักชิ้นก็ยังไม่เคยได้รับจากใคร ก็ไม่เคยอีกเหมือนกันแหละที่ผมจะมอบดอกไม้ให้ใคร
เกือบตีสอง นอนไม่หลับจึงลุกขึ้นเปิดไฟที่หัวเตียง หยิบการ์ดที่แนบมากับดอกไม้นั้นขึ้นมาอ่านอีกซ้ำอีกรอบ อ่านแล้วยิ้มให้กับถ้อยคำดีๆเหล่านั้น โดยไม่ลืมที่จะยิ้มผ่านการ์ดไปยังเจ้าของของมันที่ตั้งใจส่งมาอีกด้วย เป็นความรู้สึกที่ยากอธิบาย จะว่าดีใจก็คงใช่ เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้จับดอกไม้เป็นๆกะเขา แต่หลายคนอาจจะแปลกใจ ที่ดอกไม้เหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นของผู้ชายด้วยกันเอง (แม้หลายคนความเป็นชายในตัวจะมีน้อยก็ตามที) มีหญิงสองรายเท่านั้นที่หาญกล้าส่งมา คือจากน้อง “ออม” น้องรหัสคนสวย และ “น้อยหน่า” เพื่อนผู้คอยให้กำลังใจเสมอมา
ตื่นเช้า เจอเจ้าของดอกไม้หลายคนที่โรงอาหาร วิ่งเข้ามาถามกันใหญ่ว่าถูกใจหรือเปล่า ผมก็ได้แต่พยักหน้าขอบคุณ อยากบอกพวกเขาเหลือเกิน ว่าพวกเขาทำให้ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองก็คราวนี้แหละ
“บอกให้เปิดตัวนานแล้วก็ไม่เชื่อ”
ไอ้นัทกระซิบกระซาบ ปากก็เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
“อ้าว...แล้วนี่เราเปิดแล้วเหรอ” ผมว่ายิ้มๆ
“ถึงไม่เปิด แต่มีเพื่อนเป็นเกย์ ก็เหมือนเอ็งเปิดไปครึ่งตัวแล้วละวะ”
มันสรุปง่ายๆในที่สุด
                  ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยดารดาษไปด้วยดอกกุหลาบสีสันสดใส บ้างอยู่รวมกันเป็นช่อใหญ่ที่บรรดาเจ้าของบรรจงถือกันอย่างทะนุถนอม หรือแยกเป็นดอกๆก็มองดูน่ารักดี
                ผมยิ้มให้กับภาพที่อยู่ตรงหน้า มองผ่านสายตาของคนที่ยังไม่เคยมีความรัก(ในแบบแฟน) ก็ยังเห็นว่าความรักนั้นช่วยทำให้โลกเล็กๆใบนี้ดูสดใสขึ้นเป็นกอง บรรยากาศอึมครึมภายในห้องเรียนอันแสนอึดอัด วันนี้กลับสวางไสวมีชีวิตชีวา แม้แต่อาจารย์อาวุโสวัยใกล้เกษียณก็ยังยิ้มแย้มอ่อนโยนกว่าที่เคย เมื่อยามยื่นมือรับดอกไม้สีชมพูจากศิษย์
“อานุภาพแห่งรัก” ผมนึกถึงวลีอันแสนเฉิ่มนี้ขึ้นมาทันใด
                  เรียนเสร็จไอ้นัทชวนไปเดินสยามกับเพื่อนๆ ผมขี้เกียจ จึงขอแยกตัวเดินตรงไปยังศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัย กะว่าจะหาหนังสือแนวรักๆไปอ่านสักเล่ม ให้เข้ากับบรรยากาศวันแห่งความรักเสียหน่อย
                 
                  หนังสือใหม่ในห้วงสัปดาห์นี้ล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ที่บรรดาสำนักพิมพ์ต่างๆ ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ขนออกมาประชันโฉมกันเต็มแผง สำหรับเทศกาลนี้โดยเฉพาะ ผมกวาดตาไปรอบๆก่อนตัดสินใจก่อนตัดสินใจหยิบหนังสือของนักเขียนหน้าใหม่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง พลิกไปที่หน้าคำนำอย่างเคย จึงได้รู้ว่า เพราะ “รัก” นั่นเอง ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ก่อกำเนิดเป็นตัวตนขึ้นมา ผู้เขียนบอกว่าความหนาสองร้อยกว่าหน้าของหนังสือเล่มนี้ ใช้เวลาเขียนเพียงไม่นาน ทุกตัวอักษรที่เรียงร้อยออกมาเป็นเรื่องราวนั้น ล้วนออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกภายในอย่างแท้จริง เมื่อบวกกับความสามารถในการใช้ภาษาของผู้แต่งแล้ว ยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้น่าอ่านขึ้นไปอีก มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับคำสั้นๆที่ออกเสียงง่ายๆว่า “รัก” คำเล็กๆคำนี้นะหรือที่สามารถทำให้คนหนึ่งคนเขียนหนังสือออกมาได้เป็นเล่มๆ
              \"หวัดดีจ้ะน้องเรย์” ผมเงยหน้าสบตาเจ้าของเสียงหวานที่กำลังยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างๆชายหนุ่มอีกหนึ่งคน
              “หวัดดีครับพี่ตาล มาซื้อหนังสือเหรอครับ”
                เธอพยักหน้า “อุ๊ย อ่านหนังสือแนวนี้ด้วย โรแมนติกจัง”
                พี่ตาลหันไปยิ้มสบตากับคนที่มาด้วยกัน ผมวางหนังสือเล่มนั้นลง
                “อ่านให้เข้ากับบรรยากาศหน่อยน่ะครับ คนไม่มีแฟนก็คงต้องพึ่งหนังสืออย่างงี้แหละ”
                ยินเสียงหัวเราะของตัวเองฟังดูแหบแห้งยังไงพิกล
              “แล้วนี่จะกลับหอรึยัง กลับพร้อมกันมั้ย”
                “ครับ”
                  ผมทอดสายตาไปยังหนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง นึกเสียดายอยู่ลึกๆ อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องราวข้างในนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องตัดใจ เมื่อเห็นพี่สองคนยืนรออยู่ข้างนอก
                 
                  บ่ายนี้จึงมีเพื่อนกลับหอสองคน คือพี่ “ตาล” กับ พี่ “ต๊อด” เพื่อนชายของเขา ทั้งสองเรียนคณะทันตแพทย์ ปีสี่ ดูคงรักกันน่าดู เห็นหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ตลอด ทำให้ผมนึกถึงหน้าเพื่อนคนหนึ่งที่มันเคยพูดว่า “พวกสายแพทย์จับคู่กันเองในคณะทั้งนั้นแหละแก ไม่มีเวลาออกไปมองหน้าคณะอื่นเขาหรอก”
                ผมยิ้มคนเดียวจนพี่เขาต้องหันมาถาม
                เลยตอบพี่ตาลไปตามตรงในเรื่องที่กำลังคิด พี่เขาหัวเราะตามผม แต่ก็ไม่พูดว่าอะไร ระหว่างที่เดินขึ้นไปตีคู่พี่ทั้งสองนั้น จึงได้เห็นสายตาแปลกๆของพี่ “ต๊อด” ที่เขามองมา แววตาคู่ที่ว่ามันมีประกายอะไรแปลกๆที่ยากจะเข้าใจ คงคิดว่าผมจะแย่งแฟนตัวเองละสิ คิดมาถึงตรงนี้ผมจึงหัวเราะออกมาดังๆ
              “เป็นอะไรอีกล่ะ” พี่ตาลว่า
              “เปล่าครับ”
ทั้งที่จริงอยากจะตะโกนบอกแฟนของพี่เขาเหลือเกิน ว่าสิ่งที่เขากำลังกังวลอยู่นั้นมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้หรอกครับ ให้ตายสิ  !!!     
................................... 
“พี่เรย์อยู่ห้องนี้ไหมครับ”
เพื่อนร่วมห้องทำหน้าฉงนหันมาสบตาผม ก่อนว่า “ห้องนี้แหละน้อง”
“มีคนฝากดอกไม้มาให้พี่ครับ”
เพื่อนผมตาโต คว้าหมับเข้าที่ดอกไม้หนึ่งช่อสวย กับที่แยกเป็นดอกๆอีกกำใหญ่ พลิกดูไปมาจึงได้รู้ว่า นี่คือบริการของคณะกรรมการหอพัก ที่เป็นตัวกลางในการส่งดอกไม้ให้กับเหล่านักศึกษาตามตึกต่างๆของหอพัก
“โอ้โห...แฟนคลับแกทั้งนั้นเลยไอ้เรย์”
รูมเมทของผมคนนี้เขาชื่อนัท  เรียนนิติเหมือนกัน ถูกจับคู่ให้อยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่ตอนปีหนึ่ง คุยกันถูกคอดี พอขึ้นปีสองก็กอดคอกันอยู่ห้องเดิม ผิดกับคนอื่น ที่พอขึ้นปีสองต้องแยกห้องกับเพื่อนคนเก่า ด้วยเพราะนิสัยใจคอไม่ถูกกัน
“นังป๊อบ พี่เอก พี่กานต์ ไอ้นิว น้องหนึ่ง” นัทสาละวนอยู่กับการอ่านรายชื่อบนการ์ดใบเล็กๆที่ผูกติดมากับกุหลาบแต่ละดอก “ตุ๊ดทั้งน้าน...ไม่ตุ๊ดก็สาวแตก” ได้เจ้านัทบ่นอุบอย่างผิดหวัง ยังกับเป็นดอกไม้ของมันเอง
“ก็ยังดีกว่าพวกที่ไม่ได้เลยล่ะว้า” ผมยั่วขณะยื่นมือไปรับดอกไม้ แต่ไม่ทันที่มันจะได้โกรธ น้องปีหนึ่งคนเดิมก็ยื่นหน้ายิ้มเข้ามาอีกครั้ง พร้อมถามหาพี่ที่ชื่อนัท
     
“โธ่ ได้เหมือนกันแหละวะ” นัทยักไหล่ ก่อนกระโดทิ้งตัวลงบนที่นอนดังตุ้บ
                ทั้งคืนผมนอนยิ้มให้กับดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมอยู่บนหัวเตียง นึกถึงวันวาเลนไทน์ปีที่ผ่านๆมายังขำตัวเองไม่หาย อย่าว่าแต่กุหลาบแห้งๆสักดอกเลย แค่ลูกอมหรือช็อคโกแล็ตสักชิ้นก็ยังไม่เคยได้รับจากใคร ก็ไม่เคยอีกเหมือนกันแหละที่ผมจะมอบดอกไม้ให้ใคร
เกือบตีสอง นอนไม่หลับจึงลุกขึ้นเปิดไฟที่หัวเตียง หยิบการ์ดที่แนบมากับดอกไม้นั้นขึ้นมาอ่านอีกซ้ำอีกรอบ อ่านแล้วยิ้มให้กับถ้อยคำดีๆเหล่านั้น โดยไม่ลืมที่จะยิ้มผ่านการ์ดไปยังเจ้าของของมันที่ตั้งใจส่งมาอีกด้วย เป็นความรู้สึกที่ยากอธิบาย จะว่าดีใจก็คงใช่ เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้จับดอกไม้เป็นๆกะเขา แต่หลายคนอาจจะแปลกใจ ที่ดอกไม้เหล่านั้น ส่วนใหญ่เป็นของผู้ชายด้วยกันเอง (แม้หลายคนความเป็นชายในตัวจะมีน้อยก็ตามที) มีหญิงสองรายเท่านั้นที่หาญกล้าส่งมา คือจากน้อง “ออม” น้องรหัสคนสวย และ “น้อยหน่า” เพื่อนผู้คอยให้กำลังใจเสมอมา
ตื่นเช้า เจอเจ้าของดอกไม้หลายคนที่โรงอาหาร วิ่งเข้ามาถามกันใหญ่ว่าถูกใจหรือเปล่า ผมก็ได้แต่พยักหน้าขอบคุณ อยากบอกพวกเขาเหลือเกิน ว่าพวกเขาทำให้ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองก็คราวนี้แหละ
“บอกให้เปิดตัวนานแล้วก็ไม่เชื่อ”
ไอ้นัทกระซิบกระซาบ ปากก็เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
“อ้าว...แล้วนี่เราเปิดแล้วเหรอ” ผมว่ายิ้มๆ
“ถึงไม่เปิด แต่มีเพื่อนเป็นเกย์ ก็เหมือนเอ็งเปิดไปครึ่งตัวแล้วละวะ”
มันสรุปง่ายๆในที่สุด
                  ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยดารดาษไปด้วยดอกกุหลาบสีสันสดใส บ้างอยู่รวมกันเป็นช่อใหญ่ที่บรรดาเจ้าของบรรจงถือกันอย่างทะนุถนอม หรือแยกเป็นดอกๆก็มองดูน่ารักดี
                ผมยิ้มให้กับภาพที่อยู่ตรงหน้า มองผ่านสายตาของคนที่ยังไม่เคยมีความรัก(ในแบบแฟน) ก็ยังเห็นว่าความรักนั้นช่วยทำให้โลกเล็กๆใบนี้ดูสดใสขึ้นเป็นกอง บรรยากาศอึมครึมภายในห้องเรียนอันแสนอึดอัด วันนี้กลับสวางไสวมีชีวิตชีวา แม้แต่อาจารย์อาวุโสวัยใกล้เกษียณก็ยังยิ้มแย้มอ่อนโยนกว่าที่เคย เมื่อยามยื่นมือรับดอกไม้สีชมพูจากศิษย์
“อานุภาพแห่งรัก” ผมนึกถึงวลีอันแสนเฉิ่มนี้ขึ้นมาทันใด
                  เรียนเสร็จไอ้นัทชวนไปเดินสยามกับเพื่อนๆ ผมขี้เกียจ จึงขอแยกตัวเดินตรงไปยังศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัย กะว่าจะหาหนังสือแนวรักๆไปอ่านสักเล่ม ให้เข้ากับบรรยากาศวันแห่งความรักเสียหน่อย
                 
                  หนังสือใหม่ในห้วงสัปดาห์นี้ล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก ที่บรรดาสำนักพิมพ์ต่างๆ ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ขนออกมาประชันโฉมกันเต็มแผง สำหรับเทศกาลนี้โดยเฉพาะ ผมกวาดตาไปรอบๆก่อนตัดสินใจก่อนตัดสินใจหยิบหนังสือของนักเขียนหน้าใหม่ขึ้นมาเล่มหนึ่ง พลิกไปที่หน้าคำนำอย่างเคย จึงได้รู้ว่า เพราะ “รัก” นั่นเอง ที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ก่อกำเนิดเป็นตัวตนขึ้นมา ผู้เขียนบอกว่าความหนาสองร้อยกว่าหน้าของหนังสือเล่มนี้ ใช้เวลาเขียนเพียงไม่นาน ทุกตัวอักษรที่เรียงร้อยออกมาเป็นเรื่องราวนั้น ล้วนออกมาจากอารมณ์ความรู้สึกภายในอย่างแท้จริง เมื่อบวกกับความสามารถในการใช้ภาษาของผู้แต่งแล้ว ยิ่งทำให้หนังสือเล่มนี้น่าอ่านขึ้นไปอีก มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งกับคำสั้นๆที่ออกเสียงง่ายๆว่า “รัก” คำเล็กๆคำนี้นะหรือที่สามารถทำให้คนหนึ่งคนเขียนหนังสือออกมาได้เป็นเล่มๆ
              \"หวัดดีจ้ะน้องเรย์” ผมเงยหน้าสบตาเจ้าของเสียงหวานที่กำลังยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างๆชายหนุ่มอีกหนึ่งคน
              “หวัดดีครับพี่ตาล มาซื้อหนังสือเหรอครับ”
                เธอพยักหน้า “อุ๊ย อ่านหนังสือแนวนี้ด้วย โรแมนติกจัง”
                พี่ตาลหันไปยิ้มสบตากับคนที่มาด้วยกัน ผมวางหนังสือเล่มนั้นลง
                “อ่านให้เข้ากับบรรยากาศหน่อยน่ะครับ คนไม่มีแฟนก็คงต้องพึ่งหนังสืออย่างงี้แหละ”
                ยินเสียงหัวเราะของตัวเองฟังดูแหบแห้งยังไงพิกล
              “แล้วนี่จะกลับหอรึยัง กลับพร้อมกันมั้ย”
                “ครับ”
                  ผมทอดสายตาไปยังหนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง นึกเสียดายอยู่ลึกๆ อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องราวข้างในนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องตัดใจ เมื่อเห็นพี่สองคนยืนรออยู่ข้างนอก
                 
                  บ่ายนี้จึงมีเพื่อนกลับหอสองคน คือพี่ “ตาล” กับ พี่ “ต๊อด” เพื่อนชายของเขา ทั้งสองเรียนคณะทันตแพทย์ ปีสี่ ดูคงรักกันน่าดู เห็นหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ตลอด ทำให้ผมนึกถึงหน้าเพื่อนคนหนึ่งที่มันเคยพูดว่า “พวกสายแพทย์จับคู่กันเองในคณะทั้งนั้นแหละแก ไม่มีเวลาออกไปมองหน้าคณะอื่นเขาหรอก”
                ผมยิ้มคนเดียวจนพี่เขาต้องหันมาถาม
                เลยตอบพี่ตาลไปตามตรงในเรื่องที่กำลังคิด พี่เขาหัวเราะตามผม แต่ก็ไม่พูดว่าอะไร ระหว่างที่เดินขึ้นไปตีคู่พี่ทั้งสองนั้น จึงได้เห็นสายตาแปลกๆของพี่ “ต๊อด” ที่เขามองมา แววตาคู่ที่ว่ามันมีประกายอะไรแปลกๆที่ยากจะเข้าใจ คงคิดว่าผมจะแย่งแฟนตัวเองละสิ คิดมาถึงตรงนี้ผมจึงหัวเราะออกมาดังๆ
              “เป็นอะไรอีกล่ะ” พี่ตาลว่า
              “เปล่าครับ”
ทั้งที่จริงอยากจะตะโกนบอกแฟนของพี่เขาเหลือเกิน ว่าสิ่งที่เขากำลังกังวลอยู่นั้นมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้หรอกครับ ให้ตายสิ  !!!     
................................... 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น