ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Weapon Encyclopedia สารานุกรมอาวุธในตำนาน

    ลำดับตอนที่ #2 : หอกแห่งโชคชะตา (Spear of Destiny)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.21K
      3
      23 เม.ย. 53

    Spear of Destinyหอกแห่งโชคชะตา

    หอกลองจินุส(Lance of Longinus)/หอกศักดิ์สิทธิ์( Holy lance )หรือที่รู้จักกันดีในนามของหอกแห่งโชคชะตา ( Spear of Destiny ) ล่าสุดที่คุ้นๆคงมาจากหนังเรื่อง คอนสแตนติน Constantine  แต่ผมขอเล่าในแง่มุมประวัติศาสตร์นะครับ
    หอกลองจินุสนี้ได้ถูกส่งผ่าน ผู้ครอบครองมาหลายชั่วอายุคน  ส่งต่อผ่านผู้ครอบครองมาหลายชั่วอายุคน  ผ่านจากราชวงศ์หนึ่งไปสู่ราชวงศ์หนึ่งเป็นทอดๆ  เชื่อกันว่าหอกอันนี้มีอำนาจวิเศษ  เป็นสัญลักษณ์ของการได้สิทธิอำนาจครอบครองและความยิ่งใหญ่ผ่านทางพระหัตถ์ พระเจ้า    การทรมานและตรึงกางเขนของพระเยซูก่อให้เกิด  หอกแห่งโชคชะตา   นายทหารโรมันชื่อ กาลิอัส คาสเซียส  ลองจินุส ( Gaius Cassius Longinus )  ซึ่งมีอาการตาใกล้บอด  ได้รับหน้าที่ตรึงกางเขนพระเยซู  ได้ใช้หอกแทงสีข้างพระเยซู   ทำให้เลือดไหลพุ่งมาที่หน้าและตาของเขา ปฏิหารย์เกิดขึ้นทำให้ตาหายบอดเกิดศรัทธาจนออกจากกองทัพและบวชเป็นนักบวชใน ศาสนาคริสต์  หลังจากนั้นถูกทรมานโดยโรมันจนเสียชีวิตและกลายเป็นนักบุญในที่สุด เชื่อว่าผู้ที่ครอบครองหอกลองจินุสมี  กษัตริย์เฮรอด ( Herod the Great , King of Judea 73 BC-4BC )กษัตริย์จากอิยิปต์ มอริส ( Maurice the Manichean ) ครอบครองจากจักรพรรดิ์แมกซิเมียน( Emperor Maximian) ครอบครองตั้งแต่ปี 306 จนเสียชีวิต   คอนสแตนติน กษัตริย์โรมัน (Constantine the Great 275 -337) นำมันไปสู่ชัยชนะในการต่อสู้ที่สะพานมิลเวียน ( Milvian Bridge ) และตอนก่อตั้งกรุงคอนสแตนติโนเปิล )  ทีโอโดเซีย (Theodosius ) , Alaric ,  ทีโอดอริก (Theodoric ) ซึ่งเป็นผู้ต่อสู้เดียวกับ อัลติลา( Attila the Hun) , จัสติเนียน ( Justinian )  ,  ชารส์ มาเทล Charles Martel ,  ชาลเลอมาน(Charlemagne the Great  771-814 ) ถือครองหอกนี้สู้ศึก  47 ครั้ง  แต่สุดท้ายเสียชีวิตเพราะทำตกโดยอุบัติเหตุ

    มีการบันทึกเริ่มแรกในปี 570 ว่า นักแสวงบุญบรรยายว่าพบหอกลองจินุสในโบสถ์บาสิลิกาที่ภูเขาไซออน
    ( the basilica of Mount Sion ) ในกรุงเยรูซาเล็ม   ในปี 615 นายทหารของกษัตริย์เปอร์เซีย Chosroes เข้า
    ยึดครองกรุงเยรูซาเล็มและส่ง ต่อให้ Nicetas ชาวอิยิปต์นำไปไว้ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ณ โบสถ์นักบุญ
    โซเฟีย  ในปี 1214 จักรพรรดิ์กรุงคอนสแตนติโนเปิล บอลด์วินที่ 2 ( Baldwin II )  นำส่วนหัวของหอกไป
    จำนองแลกกับเงินจำนวนมากที่เวนิช   แต่ญาติของบอลด์วินที่ 2    พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 นำเงินไปไถ่และนำไป
    ไว้ ที่กรุงปารีส  ณ โบสถ์แซนต์ชาเพล (  Sainte Chapelle ) อยู่เรื่อยมาจนศตวรรษที่ 18   ในช่วงปฏิวัติฝรั่ง
    เศสได้ย้ายไปยังหอสมุด แห่งชาติพร้อมกับสิ่งสำคัญอื่นๆและสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย  ปี 670 ส่วนล่างของ
    หอกยังคงพบในโบสถ์ที่กรุงเยรูซาเร็ม  และถูกนำไปให้ผู้แสวงบุญที่คอนสแตนติโนเปิลบ้าง  แต่เมื่อชาวเติรก์
    ยึด ครองเมือง  หอกแห่งโชคชะตานี้ได้ตกเป็นสมบัติของชาวเติรก์   ในปี 1492  สุลต่านบาจาเซทที่2  
    (  Bajazet II ) ได้ส่งเป็นเครื่องอภินันนาการให้  สังฆราชอินโนเซนต์ที่ 8 ( Pope Innocent VIII ) ได้นำไป
    ไว้ที่เสาต้น หนึ่งในวิหารนักบุญปีเตอร์ที่กรุงโรม จนถึงปัจจุปันนี้  แต่ไม่มีการยืนยันว่าเป็นของแท้หรือไม่

    Spear of Destiny  ที่มีความน่าเชื่อถือและมีการอ้างถึงว่าเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์อีกอัน คืออันที่อยู่ใน  Hofburg  Museum ในกรุงเวียนนา ออสเตรียสามารถสืบได้ไปถึงพระเจ้าคอนสแตนตินมหาราช  ( Constantine The Great )จักรพรรดิโรมันที่หันมานับถือศาสนาศริสต์เป็นพระองค์แรกและเชื่อว่าเป็นของ กาลิอัส คาสเซีย จริงๆ มีตำนานเล่าว่าใครก็ตามที่ครอบครองหอกศักดิ์สิทธิ์นี้ก็สามารถพิชิตโลกได้ เช่นเดียวกัน   นโปเลียนพยายามที่จะได้มันมาหลังจากการต่อสู้ทื่  Auterlitz  แต่ไม่สำเร็จ  และมีเรื่องเล่าอีกเช่นกันว่า ชาร์ลเลอมาญ  นำหอกแห่งโชคชะตานี้ออกรบ 47 ครั้งโดยประสบความสำเร็จทุกครั้ง   แต่เสียชีวิตเมื่อทำหอกหลุดจากมือ เฟรดเดอริก บาร์บารอสซา( Frederick  Barbarossa )  ได้พบชะตาเดียวกันเมื่อทำมันหลุดจากมือขณะข้ามแม่น้ำ  มีการบันทืกในประวัติของ  Luitprand of Cremoma บิชช๊อบชาวอิตาลี  ว่า  กษัตริย์เฮนรี่ที่ 1 (876 -936) , King Henry I / Heinrich I the Fowlerหรือที่รู้จักกันในนามของ  ดยุคแซกซันนี  ( Duke of Saxony,Saxon King of Germany) ได้รับหอกศักดิ์สิทธิ์จากการชนะศึกกับ
    ชาวแมกยาร์ ( Magyards) โดยกษัตริย์  Rudolpl of burgundy  เป็นผู้มอบให้จักรพรรดิออตโตมหาราช      (Otto I The Great ,Saxon King of   Germany,Holy Roman Emperor )   ซึ่งปกครองช่วง 936 - 973   โป็ปจอห์นที่ 7 (Pope John XII ) ได้ใช้หอกนี้แต่งตั้งให้เป๊น   จักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์    ออตโตได้นำหอกศักดิ์สิทธิ์ไปได้ชัยชนะเหนือพวกมองโกลในศึกที่เมือง Leck  ( Battle of Leck )หลังจากออตโตมหาราชสิ้นพระชนม์   กล่าวว่ามีเรื่องราวที่ขัดแย้งเกี่ยวกับหอกแห่งโชคชะตานี้

    เรื่องแรกคือ มันได้ถูกส่งต่อเป็นทอดๆจากลูกชาย ออตโตที่ 2 , ออตโตที่ 3  ไปยัง เฮนรี่ที่  2 (  Henry II the saint ) ตามลำดับ อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า              
    เหล่าอัศวินเคลื่อนย้ายมันไปยัง เมือง อันติออก( Antioch ) ซีเรีย หลังจากการตายของออตโตที่ 1ไม่นาน แล้วมาพบอีกทีในปี 1098 ช่วงเวลาสงครามครูเสด ครั้งที่ 1 ขณะที่มีศึกติดพันอยู่นั้นและใกล้จะเสียทีเต็มแก มีนักบวชคนหนึ่งชื่อ ปีเตอร์ บาร์โทโลมิว เกิดเห็นภาพนิมิตรว่านักบุญแอนดริวมาบอกว่าหอกแห่งโชคชะตาฝ้งอยู่ใต้โบสถ์ นักบุญปีเตอร์ จึงมีการขุดค้นหาและพบในที่สุด  ทำให้ชนะศึกกับพวกเตอร์ก ถึงเรื่องราวจะเป็นเช่นไรก็ตาม  
    หอกนี้ก็ได้ตกมาเป็นของราชวงศ์โฮเฮนสตา เฟน  ( Hohenstaufen )  ซึ่งสืบทอดสายเลือดโดยตรงจากแซกซอนเช่นเดียวกัน พระเจัาเฟรอเดอริก เฟรดเดอริก บาร์บารอสซา  แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งพิชิตอิตาลีในศตวรรษที่ 12  ถือครองหอกศักดิ์สิทธิ์ส่งต่อถึง  เฮนรี่ที่ 6 , ออตโตที่ 4 , เฟรดเดอริกที่ 2  ตามลำดับ

    Spear Of Destiny  ที่ตั้งแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์แฮมสเบริก์  กรุงเวียนนา ที่เห็นเป็นแผ่นทองคำหุ้มอยู่ ทำขึ้นทีหลังในสมัย จักรพรรดิชารล์ที่ 9 ประมาณปี 1354




    หอกเล่มนี้เคยผ่านมือของ ฮิลเลอร์มาแล้ว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×