ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลังเก็บตัวละคร

    ลำดับตอนที่ #5 : ลำดับตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 57


    マリアナ

     

     

     

     

     

    ชื่อมาสค็อท  :  Mariana ( มาริอาน่า ,  มาเรียน่า ) 

    เจ้าของ  : ELVHA
    เผ่าพันธุ์  :  มนุษย์ใต้สมุทร ,  โยวไค ( 妖怪  -  ในที่นี้หมายถึงสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ภูตพราย ปีศาจ อสูรกาย สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติโดยตรง )
    สถานะ  :  อดีตผู้ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากภาวะสงคราม ,  อดีตมนุษย์ใต้สมุทรแห่งอาณาจักรมู ,  โยวไคเตาปฏิกรณ์พลังปรมาณูแตกตัว    

    อายุ  :  130 ปี โดยประมาณ (อายุนับแต่กำเนิดจนถึงตอนที่กลายเป็นโยวไค หากเทียบกับอายุมนุษย์ปัจจุบันจะประมาณ 11 – 12 ปี) ,  14,530 ปี โดยประมาณ (อายุนับจากแรกเกิดผ่านเหตุการณ์ที่อาณาจักรถึงแก่กาลล่มสลายมาจนถึงเวลาปัจจุบัน )    

    เพศ  :  หญิง

    กรุ๊ปเลือด  :  A

        

    ------------------------------


    ความสามารถ  :  ปลดปล่อยพลังปรมาณูแบบแตกตัว

     

                    เดิมเธอนั้นเป็นเพียงเด็กหญิงธรรมดาคนหนึ่งของอาณาจักรใต้สมุทร ที่เดิมร่างกายก็เป็นเพียงร่างเนื้อทางชีวภาพธรรมดา แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็นโยวไค ร่างกายของเธอนั้นกลับอัดแน่นไปด้วยปรมาณูแบบแตกตัว

     

                    ตัวเธอนั้นมีปฏิกิริยาของปรมาณูเกิดขึ้นตลอดทั่วร่าง ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม และไม่ว่าเธอจะกำลังทำอะไรอยู่ แต่ปฏิกิริยาปรมาณูแตกตัวนี้จะเกิดขึ้นตลอดเวลาโดยที่เธอไม่อาจหยุดยั้งกระบวนการทั้งหมดนั้นได้ และปรมาณูแบบแตกตัวนี้ยังเปรียบเสมือนเป็นพลังชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้ เพราะตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ มันก็จะเกิดขึ้นและดำเนินกระบวนการของมันต่อไปไม่มีหยุด

     

    ปรมาณูแบบแตกตัวนี้เมื่อมันมาถึงจุดสิ้นสุดด้วยการแตกตัวแล้วคายพลังงานออกมา จะเกิดการแผ่กัมมันตภาพรังสีความเข้มข้นสูงออกมาด้วย และเพราะปฏิกิริยาปรมาณูแตกตัวนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอด ดังนั้นแล้ว ร่างของเธอจึงมีการแผ่รังสีออกมาอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน ภายในพื้นที่หลายร้อยเมตรในบริเวณรอบ ๆ จุดที่เธออยู่นั้นจะไม่มีสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพใด ๆ สามารถดำรงชีพได้ หากมีสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพใด ๆ อยู่ภายในรัศมีของการแผ่รังสีนี้ จะได้รับผลกระทบร้ายแรงจากผลของรังสีที่แผ่ออกมาอย่างหนาแน่น

     

    ปฏิกิริยาปรมาณูแบบแตกตัวนี้ นอกจากจะเกิดขึ้นในร่างเธอโดยตัวของมันเองแล้ว เธอสามารถควบคุมการใช้งานมันได้หลากหลาย เช่น บีบอัดจนแน่นและระเบิดมันออกมาเป็นลำแสงพลังปรมาณู หรือบีบอัดอย่างรุนแรงและระเบิดเป็นคลื่นกระแทกปรมาณูที่ซัดอย่างรุนแรงออกไปรอบด้าน

     

    นอกจากเรื่องของพลังทำลายที่รุนแรงแล้ว การโจมตีด้วยการควบคุมปรมาณูแบบแตกตัวในร่างของเธอนั้นยังมีสิ่งที่น่ากลัวอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือการที่ทุกการโจมตีของเธอนั้น ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีไปยังสิ่งใดหรือตำแหน่งใด มันจะเกิดการแพร่กระจายของกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้างออกไปโดยรอบ ซึ่งจะส่งผลให้บริเวณหรือตำแหน่งนั้น ๆ เกิดสภาวะที่ไม่เหมาะต่อการดำรงชีพของสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพไปในทันที

     

    ร่างกายของเธอนั้นนอกจากจะแผ่รังสีความเข้มข้นสูงออกไปโดยรอบจากปฏิกิริยาของปรมาณูแบบแตกตัวแล้ว มันยังสามารถดูดซับหรือดึงเอากัมมันตภาพรังสี หรือรังสีและคลื่นใด ๆ จากภายนอกเข้าไปในร่างของเธอเพื่อเพิ่มพูนพลังงานที่อัดแน่นในร่างของเธอได้

     

    ปฏิกิริยาปรมาณูแบบแตกตัวในร่างของเธอนั้น นอกจากจะเป็นเหมือนแหล่งพลังงานในการขับเคลื่อนของเธอแล้ว ยังช่วยทำให้ร่างกายของเธอนั้นมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูบาดแผลหรือความเสียหายต่าง ๆ สูงมาก  ไม่ได้ถึงกับเป็นอมตะ แต่จะทำให้มีการฟื้นฟูด้วยความเร็วในระดับที่น่ากลัว การฟื้นฟูนี้จะรักษาบาดแผลภายนอก ภายใน ความเหนื่อยล้าและโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เกิดจากผลกระทบทั้งจากภายนอกและภายใน รวมถึงการผลิตและสร้างเซลล์ใหม่ ๆ ด้วยความเร็วสูงมาก หากเป็นบาดแผลเล็กจะหายในชั่วครู่ หากเป็นบาดแผลใหญ่จะหายในไม่กี่อึดใจ

     

    ประสิทธิภาพการฟื้นฟูความเสียหายและสภาพร่างกายนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่เธอดูดซับมาและปฏิกิริยาปรมาณูในร่างของเธอ ว่ากันว่า หากเธอไปยืนอยู่ในจุดที่ระเบิดนิวเคลียร์ลง ในแรงระเบิดทำลายล้างความร้อนมหาศาลนั้น เธอจะอยู่ในนั้นได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ทั้งนี้มิใช่ว่าในตอนนั้นเธอไมสะทกสะท้านอะไร เธอยังได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่องจากแรงระเบิดและความร้อนสูง แต่เพราะแม้ว่าอุณหภูมิของแรงระเบิดจะพุ่งขึ้นสูงถึงหลายล้านองศาในชั่วอึดใจ แต่เพราะปริมาณรังสีที่ทะลักแผ่พุ่งออกมาอย่างหนาแน่นด้วยความถี่สูงมากนั้น ทำให้ร่างกายของเธอดูดซับรังสีที่เข้มข้นเหล่านั้นเข้าไปและทำให้ประสิทธิภาพการฟื้นฟูความเสียหายของเธอพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ทำให้มีสภาพแทบจะเรียกได้ว่ากึ่งอมตะเลยทีเดียว เพราะทันทีที่เกิดบาดแผลหรือความเสียหายขึ้น ร่างกายของเธอจะซ่อมแซมจนหายสนิททันที เร็วจนเหมือนกับไม่เคยเกิดบาดแผลหรือความเสียหายขึ้นเลยด้วยซ้ำ เร็วจนกระทั่งไม่อาจมองตามได้ทัน ต้องใช้กล้องตรวจจับความละเอียดสูงชนิดที่บันทึกภาพในสเกลละเอียดกว่าวินาทีตั้งแต่ขั้นเซนติวินาทีลงไปถึงจะมองเห็นกระบวนการเหล่านี้ได้ทัน

     

    ประสิทธิภาพการฟื้นฟูนี้ยังส่งผลต่อการซ่อมแซมและรักษาความเสียหายขนาดใหญ่ เช่น อวัยวะฉีกขาด หรือแตก หรือถูกทำลายเป็นชิ้นหรือส่วนใหญ่ ๆ เช่น หากแขนหรือขาถูกตัดขาด เพียงไม่กี่นาทีมันจะงอกออกมาใหม่ทันที นอกจากนั้นแล้ว เธอยังสามารถปลดปล่อยรังสีความเข้มข้นสูงกว่าปกติออกไปเพื่อดูดซับกลับเข้ามาอีกครั้งและเร่งประสิทธิภาพให้กับการรักษาโดยตรงได้ ซึ่งอาจจะทำให้ใช้เวลาในการงอกอวัยวะส่วนนั้นใหม่เร็วขึ้นอีกหลายเท่า มิหนำซ้ำ อวัยวะส่วนที่ขาดไปนั้น ทันทีที่มันหลุดออกไปจากร่าง เนื่องจากขาดการควบคุมจากร่างกายที่เป็นตัวหลักในการดำเนินกระบวนการปฏิกิริยาปรมาณูในร่างกายและส่วนสมองแล้ว ทำให้อวัยวะส่วนนั้นไม่อาจคงสภาพเป็นอวัยวะทางชีวภาพได้อีกต่อไป มันจะกลายสภาพเป็นระเบิดปรมาณูขนาดเล็ก ที่จะระเบิดแตกตัวออกสร้างความเสียหายในบริเวณเป็นร้อย ๆ เมตรโดยรอบ อีกทั้งยังเกิดการแพร่กระจายอย่างรุนแรงของรังสีอย่างหนักหน่วงตามมาด้วย

     

    แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าเธอจะมีสภาพเหมือนกับเตาปฏิกรณ์ปรมาณูที่มีชีวิตก็ตาม แต่ใช่ว่าเธอจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับมัน เหตุเพราะร่างกายจริง ๆ ของเธอนั้นก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพอยู่ จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากผลของรังสีได้เช่นกัน  สภาพร่างกายของเธอถูกทำลายด้วยผลของรังสีอยู่ตลอดเวลา อีกทั้ง การฟื้นฟูความเสียหายที่เร็วกว่ามนุษย์ปกติทั่วไปมากนั้น ไม่รวมถึงความเสียหายทางกายภาพของอวัยวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากผลของรังสีในตัวเธอ ที่จะมีการซ่อมแซมและรักษาส่วนที่เสียหายตามอัตราปกติจริง ๆ ของร่างกายสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพ ดังนั้น เธอจึงมีอาการเหมือนคนป่วยทรุดโทรมอย่างหนักอยู่ตลอดเวลา ต้องทนทุกข์ทรมานจากผลชองรังสีอยู่แบบนั้นไปตลอด

     

    ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อร่างกายนั้นเกิดขึ้นกับทั้งส่วนของระบบทางเดินอาหาร ระบบเลือด และไขกระดูก โดยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเธอตลอดเวลานั้น แสดงออกมาให้เห็นทางอาการป่วยของเธอในแบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

     

    -          มักจะคลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืดหมดสติอยู่บ่อย ๆ

    -          หายใจขัดมีอาการเหมือนคนเป็นโรคหอบ

    -          ชีพจรเต้นเร็วจนไม่สามารถสงบใจให้อยู่นิ่งได้ แสดงอาการกระสับกระส่ายกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลาจนบางครั้งเหมือนคนคลุ้มคลั่ง

    -          เจ็บที่หน้าอกหรือเกิดอาการปวดร้าวไปทั้งตัว จนบางครั้งได้แต่นอนนิ่ง ๆ ไม่อาจลุกหรือเดินเหินไปไหนมาไหนได้

    -          บางครั้งเส้นเลือดในร่างกายปริแตกจนเกิดอาการตกเลือดและโลหิตจาง เลือดทะลักออกมาจากทวารต่าง ๆ ทั่วร่าง

    -          ภาวะสมองถูกทำลายจนไม่อาจดำรงสภาพปกติได้ ต้องนอนอยู่กับที่อย่างไร้ซึ่งสติสัมปะชัญญะราวกับเจ้าหญิงนิทราหรือคนใกล้ตาย ได้แต่นอนรอให้ร่างกายฟื้นฟูความเสียหายจากผลของรังสีนี้เองตามธรรมชาติ

    -          และอาการอื่น ๆ ที่เกิดจากผลของรังสี เช่น มะเร็งในบางอวัยวะ

     

    อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าร่างกายของเธอจะได้รับผลกระทบจากรังสีร้ายแรงสักแค่ไหน แต่มาจนถึงปัจจุบันนี้ มันก็ไม่เคยทำให้เธอถึงแก่ความตายได้สักที มีแต่จะต้องทนทรมานไปกับอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงอยู่ตลอดไปจนกว่ามันจะทุเลาลงไปเอง ซึ่งก็แทบจะหาเวลาที่ว่านั้นไม่พบ เพราะร่างกายของเธอนั้นมีปฏิกิริยาปรมาณูเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

     

    ใน OCFF นั้น ความสามารถนี้ของเธอจะส่งผลให้ค่าสเตตัสของสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพใด ๆ ที่เข้ามาในระยะ 1 กิโลเมตรรอบตัวเธอ จะถูกลดค่าสเตตัสทุกด้านลงอย่างละ 2 หน่วยเสมอ นอกจากนั้นแล้ว ยังได้รับความเสียหายทางอ้อมต่อสภาพร่างกายอยู่ตลอดเวลา และยิ่งอยู่ภายในระยะ 1 กิโลเมตรนี้นานเท่าใด สภาพร่างกายก็จะยิ่งเสียหายและทรุดโทรมหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามไปด้วย

     

    นอกจากนั้นแล้ว เธอยังสามารถลอยตัวและบินกลางอากาศได้ด้วยปีกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับแผงกระโดงหลังของสัตว์บางชนิดหรือปะการังรูปร่างแบนที่ขึ้นบนแผ่นหลัง และปีกที่ว่านี้ยังช่วยในการปรับสภาพร่างกายของเธอให้ทนทานและดำรงชีพอยู่ได้ในหลากหลายสภาวะ แม้แต่ในธารหินหลอมเหลว มันก็ช่วยให้เธอแหวกว่ายอยู่ในนั้นได้มาแล้ว หรือแม้แต่ในทะเลลึกนับ 10 กิโลเมตรที่มีแรงดันมากกว่า 1,000 เท่าของแรงดันบรรยากาศระดับผิวน้ำทะเล เธอก็ทนอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร

     

     

    ------------------------------


    ค่าสถานะต่าง ๆ

    พลังโจมตี  :  D

                   

                    เดิมก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กธรรมดา ๆ  แม้กลายเป็นโยวไคก็ใช่ว่าพละกำลังของเธอจะเพิ่มขึ้นมามากมายอะไรนัก


    พลังป้องกัน  :  B

                    เมื่อกลายเป็นโยวไคเตาปฏิกรณ์ปรมาณูแล้ว แม้พละกำลังจะไม่เพิ่มมากนัก แต่ด้านความทนทานหรือการป้องกันแล้วกลับเพิ่มขึ้นสูงมาก ร่างกายของเธอนั้นแม้เล็กและดูบอบบางแต่กลับอึดถึกทนยิ่งกว่าเหล่าสัตว์ประหลาดร่างกายใหญ่โตใด ๆ เสียอีก แม้ถูกรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งมาด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงพุ่งเข้าชนอย่างจังก็ไม่เกิดความเสียหายมากเท่าใดนัก


    ความเร็วในการโจมตี  :  D

     

    เช่นเดียวกับด้านพลังโจมตี แม้จะกลายเป็นโยวไคแล้ว แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่และเคลื่อนไหวของเธอนั้นเพิ่มขึ้นมาน้อยมาก อย่างดีก็เท่ากับผู้ใหญ่ปกติเท่านั้น

    พลังเวท  :   A

     

    ปรมาณูแตกตัวในร่างกายของเธอนั้นให้พลังงานสูงมาก เมื่อบีบอัดออกมาเป็นการจู่โจมในรูปแบบต่าง ๆ ก็ล้วนแต่สร้างความเสียหายได้อย่างรุนแรงกับเป้าหมายใด ๆ ที่เธอโจมตีออกไปด้วยผลของปรมาณูแตกตัว

    พลังต้านทานเวท  :   D

     

    แม้จะกลายเป็นโยวไค และปฏิกิริยาปรมาณูในร่างนั้นให้พลังงานสูง แต่มันก็ไม่มีผลต่อการลดทอนหรือป้องกันความเสียหายจากเวทมนตร์เท่าใดนัก

    ความเร็วในการร่ายเวท  :  B

     

     

                    ปลดปล่อยพลังปรมาณูออกมาได้เร็วและต่อเนื่อง มากพอที่จะรับมือการจู่โจมจากข้าศึกรอบด้านได้อย่างสบาย

     

    ------------------------------


    อุปกรณ์ติดตั้ง

     

    1.         ตุ๊กตาหมีธรรมดาขนาดกลาง 1 ตัว

     

    ตุ๊กตาหมีธรรมดาตัวหนึ่งที่เธออุ้มกอดไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ๆ  ตั้งแต่ครั้งเมื่อเธอยังใช้ชีวิตเยี่ยงชาวอาณาจักรใต้สมุทรธรรมดาทั่วไป ตุ๊กตาหมีตัวนี้มีความสูง 40 – 50 เซนติเมตร มีขนสีขาวสว่างทั่วทั้งตัว มีเพียงบริเวณจมูกของมันเท่านั้นที่เป็นสีดำเหมือนรอยแต้มบนผืนผ้าขาว 

     

                    ตุ๊กตาหมีตัวนี้เป็นของที่พ่อกับแม่ซื้อให้เธอในวันเกิดครบรอบ 50 ปี นับแต่นั้นมาเธอก็อุ้มหรือกอดตุ๊กตาหมีตัวนี้อยู่ตลอด ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม เพราะทุกครั้งที่ได้กอดตุ๊กตาตัวนี้ มันช่วยทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและคลายความเหงาความกังวลในยามที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว เหตุเพราะคราใดที่ได้สวมกอดมัน เธอจะนึกถึงพ่อและแม่ของเธอเสมอ แม้ในเวลาปัจจุบันที่ท่านทั้งสองจะหาไม่แล้วก็ตาม

     

    ------------------------------


    รูปลักษณ์ภายนอก :


    รูปร่าง  :  รูปร่างเล็ก บอบบาง เพราะยังอ่อนเยาว์อยู่จึงยังไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้าให้เห็นเด่นชัดมากนัก ผิวสีหิมะ ( Snow )


    ส่วนสูง  :  132 เซ็นติเมตร    

     

    น้ำหนัก  :  27 กิโลกรัม        


    ทรงผม  :  สีเงิน ( Silver ) หยักศกยาวสยายในระดับเอว ปล่อยลงไปตามธรรมชาติโดยไม่ผูกหรือมัดเป็นทรงใด ๆ   ผมด้านหน้าที่ยาวลงมาปรกคิ้วนั้นปัดไปทางขวาเผยให้เห็นหน้าผากซีกซ้าย


    เครื่องประดับส่วนหัว  : กิ๊บติดผมรูปสัญลักษณ์ปรมาณูที่มีแถบผ้าสีแดงลายตารางตีเส้นขาวขอบแดงผูกเป็นริบบิ้นปล่อยชายห้อยคร่อมใบหูยาวลงมาเลยระดับกรามประมาณ 2 – 3 เซ็นติเมตร ติดกิ๊บติดผมแบบนี้ไว้ที่ด้านข้างศีรษะทั้งสองข้าง  ผมด้านหน้าที่ปัดไปทางขวาเหน็บไว้ด้วยกิ๊บติดผมสีเงินยาวประมาณ 5 – 6 เซ็นติเมตร ที่กิ๊บประดับด้วยอัญมณี Blue Sapphire เม็ดใหญ่ กลาง เล็ก ไล่จากส่วนหัวไปท้ายด้วยกันถึง 3 เม็ด


    ตา  :  ดวงตาสีแดงอมส้ม ( Orangered )  ที่บางครั้งก็ต้องประกายแสงเหมือนมนุษย์ปกติ แต่บางครั้งก็เป็นสีแดงอมส้มหม่นที่ไม่สะท้อนประกายใด ๆ หางตาตกในลักษณะของคนที่อ่อนแอหรือขลาดกลัว                    


    ใบหน้า  :  อ่อนเยาว์แบบเด็กชั้นประถมปลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคปัจจุบัน


    ส่วนบน  :  สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำสนิท ที่ชายเสื้อบริเวณข้อมือนั้นมีผ้าระบายสีดำโปร่งปักลายลูกไม้ยาวประมาณ 7 – 10 เซ็นติเมตร เย็บติดโดยรอบข้อมือทั้งสองข้าง ที่บริเวณปกคอเสื้อผูกโบว์ขนาดใหญ่สีดำติดเข็มกลัดประดับอัญมณี Blue Sapphire ( ไพลิน ) สีน้ำเงินไว้ที่กลางโบว์ ชายเสื้อเองก็มีผ้าระบายลูกไม้ยื่นออกไปประมาณ 5 – 7 เซนติเมตรเย็บติดรอบตัวด้วยเช่นกัน

    ส่วนล่าง  :  สวมกระโปรงผ้าเนื้อโปร่งสีดำที่มีลักษณะเหมือนผ้าซ้อนกัน 5 ชั้นแบบเทียร์สเกิร์ต ( Tiered Skirt ) แต่ใช้ร่วมกับการจับจีบรอบตัวที่แต่ละจีบห่างกันประมาณ 5 เซนติเมตรแบบกระโปรงผ้าพลีท ( Pleats Skirt )  และเนื้อผ้าเป็นผ้าซีฟองแบบบางเบาโปร่งบานออกแบบชุดเดรสเบบี้ดอล ( Babydoll ) โดยรวมแล้วคล้ายคลึงกับกระโปรงแบบบิสเจสเกิร์ต ( ビスチェスカート  หรือ  Bustier Skirt ) มาก ความยาวกระโปรงนั้นยาวเหนือเข่าประมาณ 10 – 15 เซ็นติเมตร บริเวณชายกระโปรงมีผ้าระบายลายลุกไม้สีเทาทึม ( Dim Gray ) ยื่นออกไปประมาณ 2 เซนติเมตรเย็บติดที่ชายกระโปรงโดยรอบ ภายในตัวกระโปรงนั้นมีผ้าซับในบางเบาสีดำโปร่งเย็บติดอยู่โดยรอบอีกชั้นหนึ่ง

    ถุงเท้า  :  สวมถุงน่องแบบกางเกงสีดำด้านเนื้อผ้าทึบ   


    รองเท้า  :  สวมใส่รองเท้าคัทชูสีดำด้าน ส้นรองเท้าสูงประมาณ 2 เซ็นติเมตร    


    อื่น ๆ  :  ที่แผ่นหลังนั้นมีสิ่งที่ดูคล้ายปีกแต่ลักษณะทางกายภาพของมันมีรูปร่างที่ชวนให้นึกถึงแผงกระโดงหลังของสัตว์บางชนิดหรือปะการังรูปร่างแบนงอกออกมาจากแผ่นหลังทั้งสองข้าง ปีกหรือแผงปะการังที่ว่านี้ขึ้นบนแผ่นหลังด้วยกันหลายชุด โดยทั้งหมดนั้นเรียงแถวเป็นแนวดิ่งไล่ลงไปขนาบข้างแนวกระดูกสันหลัง

     

    แนวแผงปะการังหรือแผงกระโดงนี้ไล่ระดับการยื่นออกมาจากเล็กลงมาใหญ่และไล่กลับลงไปเล็กอีกครั้งที่จุดสิ้นสุดแนวแผงปีกข้างหลังบริเวณบั้นเอว ปีกหรือแผงกระโดงนี้แต่ละข้างมีทั้งหมดด้วยกัน 3 แผง แผงเล็กด้านบนและด้านล่าง มีขนาดความยาวประมาณ 30 – 40 เซนติเมตร  แผงตรงกลางนั้นมีขนาดความยาวประมาณ 70 – 80 เซนติเมตร แต่ละแผงนั้นบริเวณขอบนอกเป็นสีขาวปลอด ( White ) แต่ถัดเข้ามาจากขอบของแผงกระโดงประมาณ 10 – 20 เซนติเมตร ผิวของแผงกระโดงนั้นจะเป็นสีเทานวลเข้ม ( Dark Slate Gray ) ซึ่งในครั้งใดที่เธอจะปลดปล่อยพลังปรมาณูออกมาจากร่าง ปีกหรือแผงกระโดงที่ด้านหลังนั้นจะเปล่งแสงสว่างวาบสีฟ้าประกายขาวเจิดจ้ากระพริบแปลบปลาบ 2 – 3 ครั้ง ซึ่งนั่นเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการที่ปรมาณูแบบแตกตัวในร่างเร่งพลังให้เพิ่มสูงขึ้นในชั่วขณะเพื่อเตรียมจะบีบอัดหรือปลดปล่อยออกมา

     

                    นอกจากนั้นแล้ว ที่มือทั้งสองข้างยังสวมถุงมือเนื้อผ้าโปร่งคล้ายคลึงกับถุงน่องสีดำ บริเวณชายถุงมือตรงข้อมือนั้นมีพู่สีดำทำจากกลุ่มเส้นด้ายเล็ก ๆ ที่มัดผูกติดกันเป็นทรงปล้องกลม ๆ เย็บติดโดยรอบชายถุงมือ

     

     

    ------------------------------

     


    ลักษณะนิสัย  :  นิ่ง เงียบ พูดน้อย  ซึมเศร้า ขลาดกลัว

     

                    เดิมทีแล้วในตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ในฐานะของมนุษย์ใต้สมุทร หนึ่งในประชากรของอาณาจักรมูแห่งทวีปมูนั้น เธอเป็นสาวน้อยที่มีนิสัยอ่อนโยน ใสซื่อบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา  เป็นเด็กสาวที่อ่อนต่อโลกมาก เหตุเพราะแม้ว่าเธอจะอายุถึง 120 กว่าปีก็ตาม แต่หากเทียบกับอายุของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคปัจจุบันแล้ว เธอก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยวัยประถม จึงค่อนข้างเชื่อฟังใครต่อใครได้ง่ายดายมาก

     

                    เธอนั้นเป็นเด็กหญิงตัวน้อยที่รักพ่อรักแม่มาก ในตอนที่ยังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากับพวกท่านนั้น เธอมักจะคอยออดอ้อนพวกท่านเสมอ และเพราะว่าทั้งสองคนนั้นมักไม่ค่อยได้กลับบ้าน นาน ๆ ครั้งถึงจะได้พบหน้ากันสักครั้ง เธอจึงค่อนข้างขาดความอบอุ่น และมันพลอยทำให้ต่อมาในภายหลังเธอกลายเป็นเด็กที่ขี้เหงา มักต้องการหรืออยู่ใกล้ชิดใครสักคนเสมอ ๆ  หากเกิดชอบพอ หรือรู้สึกดี และไว้วางใจใครสักคนขึ้นมา เธอจะยึดติดกับคน ๆ นั้นมากจนหลายครั้งก็มากเกินไป บางครั้งก็ติดหนึบกับคน ๆ นั้นชนิดไปไหนไปกันเธอตามติดไปด้วยตลอด แม้กระทั่งเวลาเข้าห้องน้ำก็ตามที จนทำให้คนที่ว่านั้นต้องลำบากใจบ่อย ๆ  แต่เพราะเธอยังเด็กอยู่มากนี่เอง ที่ทำให้สุดท้ายก็ไม่มีใครเกลียดเธอลง

     

                    นอกจากนั้นแล้ว เธอยังเป็นคนที่พูดน้อย ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา จะมีเพียงก็แต่สีหน้าที่ดูเศร้าซึม หม่นหมองเท่านั้นที่แสดงออกมาแทบจะตลอดเวลา เหตุเพราะนอกจากจะไม่ค่อยได้พบกับพ่อแม่แล้ว เธอยังเป็นคนที่ไม่มีเพื่อน ในกลุ่มเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั้นไม่มีใครคบกับเธอเลย เธอเลยยิ่งเหงาและอ้างว้างมากยิ่งขึ้นไปอีก

     

    ซ้ำร้าย นอกจากจะไม่มีเพื่อนแล้ว แม้แต่ประชาชนคนธรรมดาชนชั้นล่าง ยังพากันหลีกเลี่ยงเธอ ไม่เข้าใกล้ ไม่พูดคุยด้วย แม้เธอจะเกิดเรื่องวุ่นวายหรือพบกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาให้ความช่วยเหลือเธอเลย มีแต่จะมองดูอยู่ห่าง ๆ พลางกระซิบกระซาบกันพร้อมกับมองมาที่เธอด้วยแววตาเคลือบแคลงสงสัยปนหวาดระแวง ราวกับเด็กน้อยอย่างเธอนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ น่าขยะแขยงจนต้องพากันหนีออกห่าง และเพราะแบบนี้นี่เอง ที่ยิ่งตอกย้ำให้เธอเป็นเด็กน้อยที่ขี้เหงาและอ้างว้างมาก นาน ๆ เข้าเลยพลอยทำให้ใจเธอนั้นเต็มไปด้วยความหม่นหมองและขมขื่นจนยากที่จะทำใจให้กลับมาสดใสได้อีก เธอเลยแสดงสีหน้าอะไรออกมาไม่ได้อีก นอกจากสีหน้าเศร้าหมองและดูเหมือนคนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา

     

                    ต่อมาเธอได้รู้จักกับเด็กสาวชาวมนุษย์ใต้สมุทรจากอีกอาณาจักรหนึ่งบนอีกทวีปเข้าโดยบังเอิญ ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยมีเพื่อนมาก่อนเลย แต่เพราะเด็กสาวคนนั้นยอมรับเธอให้เป็นเพื่อนอย่างง่ายดาย จากนั้นมาเธอเลยติดเด็กสาวคนนั้นมาก มักจะตามเธอไปเที่ยว ไปเล่นที่ไหนต่อไหนเสมอ ๆ และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็กลายเป็นเหมือนที่ยึดเหนี่ยวทางใจของเธอไปเลย มันช่วยทำให้เธอพอจะรู้สึกทดแทนกับความเหงาและอ้างว้างที่ขาดความรักความเอาใจใส่จากพ่อกับแม่ได้บ้าง

     

                    แม้เดิมทีเธอจะเป็นเด็กสาวที่อ่อนโยน ใสซื่อ ไร้เดียงสามากสักขนาดไหนก็ตาม หากแต่ ในเวลาต่อมา หลังจากที่เธอได้กลายเป็นโยวไคที่มีปฏิกิริยาปรมาณูแบบแตกตัวเกิดขึ้นภายในร่างอยู่ตลอดเวลานั้น เดิมเธอที่มีนิสัยนิ่งเงียบ พูดน้อย และมักทำสีหน้าหมองเศร้าอยู่ตลอดเวลานั้น ก็ได้มีนิสัยอีกอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา และนั่นก็คือ ขลาดกลัว

     

                    ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใด ในสถานการณ์ไหนก็ตาม หากเธอได้เห็นใครสักคนที่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคยเข้ามาใกล้ เธอจะแสดงออกด้วยสีหน้าและท่าทางตื่นกลัว หวาดระแวงและตื่นตระหนกอย่างรุนแรงเหมือนหนูติดจั่น เหตุเพราะเกิดเรื่องราวเลวร้ายบางอย่างในอดีตขึ้นกับเธอ มันกลายเป็นบาดแผลทางใจที่ยากจะลบเลือนให้หายไปได้ และเพราะแบบนั้น หลังจากนั้นมา เธอเลยมีอาการกลัวการพบปะกับคนแปลกหน้า กลัวแม้กระทั่งเข้ามาในระยะห่างออกไปหลายสิบเมตร เธอจะทนไม่ได้และต้องรีบเผ่นหนีออกไปหาที่หลบซ่อนหรือกำบังตัวเอง และคราใดที่เธอรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาแล้วละก็  เมื่อนั้น... เธอจะปลดปล่อยรังสีความเข้มข้นสูงกว่าปกติออกมาจากร่าง ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายอย่างมากหากคิดจะเข้าหาเธอโดยไม่เตรียมใจที่จะกล่อมให้เธอยอมสงบใจและเชื่อว่าไม่มีอันตรายใด ๆ

     

                    อันที่จริงแล้ว นอกจากจะกลัวการถูกใครสักคนเข้าหาแล้ว หากเป็นกรณีที่มองเห็นว่ามีคนแปลกหน้าหลายคนมาก ๆ เข้ามาหาเธอ ไม่ว่าจะมาดีหรือมาร้ายก็ตาม หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ดูไม่น่าไว้ใจ สถานการณ์ที่ดูจะมีอันตราย สถานการณ์ที่น่าหวาดกลัว ความตื่นตระหนกของเธอจะยิ่งทวีความรุนแรง และเมื่อมันถึงขีดสุดเมื่อใดแล้ว เธอก็จะ... หมดสติไปในทันที

     

                    ..และทุกครั้งที่เธอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากหมดสติไป เธอมักจะพบว่าตัวเองตกอยู่กลางร่องรอยของความเสียหายอย่างรุนแรง สภาพโดยรอบถ้าไม่มีซากศพของมนุษย์ ของสิ่งมีชิวิต ของเหล่าปีศาจหรืออสุรกายกองกันเกลื่อนกลาด ก็มักจะเต็มไปด้วยเศษซากปรักหักพังของตึก อาคาร สถานที่ต่าง ๆ ที่มีร่องรอยของการทำลายล้างอย่างรุนแรงอยู่ เต็มไปด้วยควันดำทะมึนพวยพุ่งและเปลวเพลิงร้อนแรงลุกโหมกระหน่ำ บรรยากาศโดยรอบอัดแน่นไปด้วยกัมมันตภาพรังสีเข้มข้นสูง และไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใด ๆ มีชีวิตรอดอยู่รอบตัวเธอเลยแม้แต่ครั้งเดียว  ภาพที่ดูเหมือนกับอยู่ในท่ามกลางสมรภูมิในศึกสงครามใด ๆ ในทุก ๆ ครั้งนั้นต่างก็ติดตรึงอยู่ในความทรงจำและในใจเธอมาตลอด เหมือนเป็นความฝันอันเลวร้ายที่ตามมาหลอกหลอนอย่างไม่รู้ว่าวันที่เธอสามารถลบมันออกไปจากใจได้นั้นจะมาถึงเมื่อใด

     

                    นอกจากจะมีนิสัยอ่อนแอ กลัวคนแปลกหน้าแล้ว เธอยังไม่สู้คนอีกด้วย หากต้องเผชิญหน้ากับการโต้เถียงหรือวิวาทใด ๆ แล้ว เธอมักจะเป็นฝ่ายตื่นกลัวและยอมถอยหรือทำตามอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย และเพราะแบบนี้เองเธอเลยไม่เคยมีปากมีเสียงกับใครได้เลย เพราะเธอมักจะกลัวและหงอไปเองตั้งแต่แรก จึงมักจะถูกคนอื่นหาประโยชน์หรือกดขี่เธอเสมอ

     

                    อย่างไรก็ดี แม้ว่าเธอจะมีนิสัยและบุคลิคที่ดูแล้วไม่น่าจะสู้ใครเขาได้ก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เธอต้องต่อสู้ เธอจะมีกิริยาท่าทางการแสดงออกเหมือนอยู่ในสภาพที่เสียสติสัมปะชัญญะ เสียการควบคุมตัวเอง ขาดการตอบสนองต่อคำพูด การร้องเรียกของผู้อื่นไปโดยสิ้นเชิง ไม่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ในช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้นี้มีแต่เพียงความคิดที่จะทำลายล้างเท่านั้นที่แสดงออกมา เธอจะนิ่งเงียบ เธอจะพูดกับตัวเองและคนอื่นด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อไร้อารมณ์และชีวิตชีวาใด ๆ ราวกับกลายเป็นเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ไป มิหนำซ้ำ ในช่วงเวลาที่ต้องต่อสู้นี้ เธอจะไม่แสดงอาการที่บ่งบอกว่าได้รับผลข้างเคียงจากผลของกัมมันตภาพรังสีแต่อย่างใด เธอสามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อย่างแคล่วคล่องเหมือนคนสุขภาพแข็งแรงดีทุกประการ  และทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เมื่อเธอได้สติอีกครั้ง เธอก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรในตอนนั้นเลย เหมือนกับไม่รับรู้เลยว่าในช่วงก่อนหน้านั้นเธอได้ต่อสู้กับใคร เธอได้ทำอะไรไปในตอนนั้นบ้าง

     

                    อีกนิสัยหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาหลังจากเป็นโยวไค นั่นคือการรู้สึกสนใจหรือชอบพอที่จะได้สัมผัสกับรังสีและกันมันตภาพรังสี  คราใดที่เธอรู้สึกได้ว่ามีแหล่งหรือสิ่งที่แพร่กระจายรังสีออกมาอยู่ใกล้ ๆ  เธอจะให้ความสนใจและพุ่งเข้าใส่สิ่งนั้นทันที ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร เป็นใครก็ตาม และกิริยาเช่นนี้ก็มักจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ โดยที่แม้แต่เธอเองก็ไม่ทันรู้ตัว รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองเข้าไปกอด ซบ คลอเคลียกับสิ่ง ๆ นั้นเข้าให้เสียแล้ว และเธอต้องอาศัยความพยายามอย่างยิ่ง กว่าที่จะฝืนดึงตัวเองออกมาจากสิ่ง ๆ นั้นหรือคนที่ว่านั่นได้ บางครั้งถึงกับเสียเวลาอยู่เป็นชั่วโมง กว่าจะผละออกมาจากสิ่งที่ว่านั้นได้

     

                    ในยามว่างสิ่งที่เธอชอบทำบ่อย ๆ นั้น คือการออกตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ แต่เดิมในตอนที่ยังเป็นเด็กหญิงชาวใต้สมุทรอยู่นั้น เพราะปกติแล้วเธอมักจะอยู่ตัวคนเดียวเสมอ ๆ  ด้วยความเหงาและไม่อยากทนเดียวดายในบ้านที่อ้างว้าง เธอเลยชอบออกไปเดินเล่นข้างนอก เดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม 

     

    และต่อมาหลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับเด็กสาวจากอีกอาณาจักรหนึ่งที่อยู่กันคนละทวีป ที่ตอนหลังได้กลายเป็นเพื่อนคนสำคัญที่สุดเพียงคนเดียวของเธอนั้น เธอก็ออกไปข้างนอกอยู่บ่อย ๆ เพื่อตามหาตัวเพื่อนคนนั้นของเธอที่แม้ว่าในตอนหลังจะได้พบกันอีกครั้ง และได้ปรับความเข้าใจที่เคยบาดหมางกันโดยไม่ตั้งใจไปแล้วก็ตาม แต่เพราะเพื่อนคนนั้นออกจะร่าเริง ซุกซน ชอบทำตัวอยู่ไม่สุข มักจะใช้ความสามารถของตัวเองออกไปเที่ยวเล่นตามที่ต่าง ๆ อยู่บ่อย ๆ  และเพราะเธอติดเพื่อนคนนี้มาก จึงทนไม่ได้ที่จะอยู่โดยไม่มีเพื่อนคนนั้นอยู่ด้วย เลยต้องออกไปตามหาตามที่ต่าง ๆ เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด และก็ไม่เคยจะพบเจอตัวได้ง่าย ๆ เลยสักครั้ง

     

                    หลังจากที่ถูกกลุ่มขององค์หญิงแห่งราชวงศ์อาณาจักรมูตามมาพบเจอตัวและเกิดการต่อสู้กันขึ้น สุดท้ายเธอที่ยอมรับในความเลวร้ายที่เธอได้ทำไปแม้จะไม่ได้มาจากความตั้งใจของเธอเองก็ตาม ก็ถูกองค์หญิงลงโทษให้ชดใช้ความผิดนั้นด้วยการบังคับให้เธอมาร่วมกลุ่มเดินทางไปกับองค์หญิง แม้ไม่รู้ว่าจะต้องถูกพาไปไหนและองค์หญิงมีพระราชประสงค์จะเสด็จไปที่ใด ด้วยจุดมุ่งหมายใดก็ตาม แต่เพราะเธอเดิมก็ไม่กล้าสู้คนอยู่แล้ว ซ้ำยังรู้สึกสำนึกในความผิดของตัวเองที่ทำไว้ในอดีต เธอเลยยอมร่วมทางไปกับพวกขององค์หญิง โดยยอมทำทุกอย่างที่คนในกลุ่มนั้นสั่งให้เธอทำ ไม่ว่าอะไรก็ตาม

     

                    อนึ่ง เด็กสาวคนที่เธอได้พบที่อาณาจักรที่อยู่บนทวีปอีกฟากโพ้นทะเลนั้น เป็นเด็กสาวที่มีนิสัยร่าเริง สดใส ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ ๆ  ใจดีกับทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ให้ความรู้สึกเหมือนกับดวงตะวันที่ฉายแสงอบอุ่นอ่อนโยนให้กับสิ่งมีชีวิต และแม้แต่เธอก็เช่นกัน เด็กคนนั้นได้กลายเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตที่เปลี่ยวเหงาอ้างว้างไม่มีใครคบหา ไม่มีใครสนใจไยดีใด ๆ ของเธอ

     

    หากแต่ เมื่อเธอได้พบกับเพื่อนคนนั้นอีกครั้งหลังจากที่พลัดพรากจากกันไปนานและเธอได้ออกตามหาเพื่อนคนนั้นมานานกว่าหมื่นปี เพี่อนคนนั้นกลับเปลี่ยนไปจากที่เธอรู้จักโดยสิ้นเชิง กลายเป็นเด็กสาวที่นิสัยแก่นแก้ว ซุกซน พูดจาปากคอเราะร้ายและมักทำอะไรตามใจตัวเองโดยไม่นึกถึงความรู้สึกของคนอื่น ที่สำคัญ ยังแสดงความชิงชังและเกลียดเธอเอามาก ๆ ซึ่งในตอนนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว สะเทือนใจไปไม่น้อย

     

    แต่อย่างไรก็ดี สุดท้ายหลังจากผ่านเรื่องราวความบาดหมางที่ต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มราชวงศ์รุ่นสุดท้ายแห่งอาณาจักรมูที่นำโดยเจ้าหญิงคนสุดท้ายของอาณาจักรและเหล่าผู้ติดตาม รวมถึงมีเรื่องขัดแย้งวุ่นวายสับสนกับอาณานิคมใต้ทะเลที่ชื่อ “วังมังกร” รวมถึงถูกกลุ่มราชวงศ์รุ่นสุดท้ายของอีกอาณาจักรตามล่าตัวเธอแล้ว เพื่อนของเธอก็ยอมปรับความเข้าใจกับเธอได้ในที่สุด แต่ที่รู้สึกแปลกไปก็ตรงที่เพื่อนของเธอนิสัยและบุคลิคแทบจะต่างไปจากคนเดิมโดยสิ้นเชิง หลายครั้งก็ทำเอาเธอตามไม่ทันและปรับตัวไม่ถูกกับความคิดความอ่านที่เร็วปานสายฟ้าไวปานแสงที่นึกจะทำอะไรก็ทำโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรเธอก่อนเลย ทำให้เธอพลอยต้องเดือดเนื้อร้อนใจหรือวิ่งวุ่นไปกับการเล่นซนของเพื่อนอยู่บ่อย ๆ แต่ถึงแม้ว่าจะนึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย แต่เพราะได้กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมอีกครั้ง และที่รู้สึกอยู่บ่อย ๆ ว่าเบื้องหลังของท่าทีที่ดูเหมือนไม่นึกถึงหรือไม่แยแสความรู้สึกเธอเลยนั้นจริง ๆ แล้วก็แอบซ่อนความรู้สึกดี ๆ และความปราถนาดีต่าง ๆ รวมถึงความห่วงใยที่มีให้กับเธออยู่แต่ไม่แสดงออกตรง ๆ ที่ไม่ต่างไปจากเมื่อก่อนเลยนั้นที่ทำให้เธอยอมรับในความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้

     

    อันที่จริงแล้ว หากไม่นับเรื่องนิสัยตื่นตูม ขี้กลัว ระแวงคนแปลกหน้าไปเสียหมดแล้วล่ะก็ จริง ๆ แล้วก็นับว่าเธอเป็นเด็กที่ใจดี อ่อนโยน มีน้ำใจกับคนอื่นมาก แต่เพราะความที่อะไรก็กลัวไปเสียทุกอย่าง ที่พลอยทำให้เธอไม่มีโอกาสแสดงออกถึงนิสัยที่แท้จริงของตัวเธอเองออกมาได้สักที จนไม่ว่าใครต่อใครก็มองเห็นแต่ส่วนเสียของเธอกันหมด ไม่มีโอกาสได้เห็นหรือรับรู้ถึงจิตใจที่แสนจะบริสุทธิ์ของเธอเลยแม้แต่น้อย

     

                    ในตอนที่ยังอยู่กับพ่อและแม่นั้นเธอชอบกินไอศครีมมาก โดยเฉพาะไอศครีมรสวานิลลา  แม้ในตอนหลังที่ได้กลายเป็นโยวไคและจัดการสะสางปัญหาต่าง ๆ นานาที่เคยบาดหมางกับกลุ่มขององค์หญิงคนสุดท้ายแห่งราชวงศ์จากอาณาจักรมู และได้ติดตามคนกลุ่มนั้นขึ้นมายังผืนพิภพเบื้องบนแล้ว เธอได้พบกับไอศกรีมหลายรสชาติหลากรูปแบบตามที่ต่าง ๆ บนโลก นับแต่นั้นมาเธอเลยสนใจและค่อนข้างหมกมุ่นกับการได้ลิ้มลองไอศครีมรสชาติแปลก ๆ ใหม่ ๆ มาก หากพบหรือได้ยินว่าที่ใดมีไอศครีมอร่อย เธอจะรีบแจ้นไปที่นั่นทันที เล่นเอาพวกขององค์หญิงถึงกับอดเหนื่อยหน่ายใจไปเสียทุกครั้งไม่ได้

     

                    เธอมีคำพูดติดปากอยู่ 2 – 3 คำ แรกสุดคือ “เอ่อ... คือว่า... “ และคำพูดในลักษณะที่สื่อถึงความลังเลใจหรือไม่มั่นใจในทำนองเดียวกันนี้คำอื่น ๆ ที่เธอมักพูดบ่อยมาก ด้วยนิสัยที่เป็นคนขลาดกลัวและระแวงคนแปลกหน้าไปเสียหมด จึงทำให้ไม่กล้าพอที่จะพูดจากับใคร เวลาจะเริ่มพูดอะไรออกมาจึงมักเอ่ยหรือเปรยคำนี้ออกมาแบบตะกุกตะกักอย่างลำบากใจอย่างยิ่งที่จะพูด

     

    อีกคำคือ “ขอโทษค่ะ” “ขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ” “อย่าทำให้เจ็บนะคะ” ซึ่งก็เป็นเพราะความขลาดกลัวนั้นอีกเช่นกัน ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าถ้าทำอะไรผิดไปก็จะถูกคนอื่นดุด่าว่ากล่าวหรือเข้ามาทำร้ายเธอได้ เธอจึงได้แต่พูดขอโทษขอโพยใครต่อใครอยู่เรื่อยไป ไม่ว่าตอนนั้นเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ก็ตาม เพื่อสื่อให้เห็นว่าเธอนั้นกลัวและไม่กล้าที่จะถูกใครก็ตามว่าร้ายหรือจ้องจะเอาผิดเธอ จึงขอโทษไปเสียแต่แรกเพื่อให้ใครก็ตามนั้นยอมรับและยกโทษที่จะไม่เอาเรื่องกับเธอ

     

    และสุดท้ายคือคำว่า “ไม่” “ไม่เอา” “อย่านะ” “ไม่นะ”  และคำพูดอื่น ๆ ในลักษณะที่ต้องการสื่อให้รู้ว่าเธอปฏิเสธและไม่ต้องการตอบรับใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม มักจะพูดออกมาเสมอโดยไม่รู้ตัวในเวลาใดก็ตามที่เธอรู้สึกถึงความคุกคามไม่ว่าจะเป็นทางรูปธรรมที่เห็นได้เด่นชัด เช่น ใครสักคนย่างสามขุมเข้ามาเหมือนจะทำร้าย หรือแบบนามธรรมที่เธอรู้สึกได้ถึงความกดดัน บรรยากาศที่ดูลึกลับ วังเวง ไม่น่าไว้ใจ

     

                   

    ------------------------------

     

     

    ลักษณะการต่อสู้ :  ใกล้ กลาง ไกล ไม่ว่าระยะใดก็ไม่ใช่ปัญหา

     

                    เธอไม่มีสไตล์สู้ในแบบของตัวเอง เหตุเพราะปกติแล้วเธอไม่เคยเป็นฝ่ายสู้ใครก่อนเลย จึงเท่ากับเธอไม่มีความคิดที่จะสู้กับคนอื่นตั้งแต่แรก  แต่ด้วยผลของปฏิกิริยาปรมาณูแตกตัวในร่างที่ให้พลังงานสูงมาก เธอจึงใช้มันในการต่อสู้ด้วยการควบคุมและปลดปล่อยพลังงานปรมาณูออกมาในรูปแบบต่าง ๆ 

     

                    ทั้งการโจมตีด้วยลำแสงพลังปรมาณูที่ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดก็ใช้สร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้อย่างรุนแรง ทั้งคลื่นช็อคปรมาณูที่มีแรงอัดกระแทกหนักหน่วง รับมือกับการรุมของอีกฝ่ายแม้ว่าจะมามากสักแค่ไหนได้อย่างสบาย  แม้เธอจะไม่หลบหลีกหรือเคลื่อนที่ได้ไม่คล่องตัวนัก แต่ด้วยความอึดถึกทนมหาศาลของร่างกาย และด้วยพลังในการฟื้นฟูความเสียหายระดับสูงมากนี่เอง ที่ทำให้เธอเพียงแค่กระหน่ำโจมตีไปเรื่อย ๆ ด้วยพลังทำลายล้างสูง ก็สามารถรับมือกับศัตรูได้แทบจะทุกสถานการณ์ ยากที่จะมีใครโค่นเธอลงได้

     

                    แม้ว่าการเคลื่อนที่หลบหลีกของเธอจะไม่ได้เร็วอะไรก็ตาม แต่หากเป็นเรื่องของการบินแล้ว เธอจัดว่าอยู่ในระดับที่เก่งมาก ซึ่งด้วยความสามารถของแผ่นกระโดงหลังทำให้เธอสามารถลอยตัวหรือบินไปมาในอากาศได้อย่างคล่องแคล่ว และเธอก็มักจะใช้การบินจู่โจมจากกลางอากาศในกรณีที่ต้องรับมือกับศัตรูที่แข็งแกร่งหรือมาเป็นจำนวนมากอยู่เสมอ ๆ

     

                    นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่จัดว่าเป็นพิษสงอันร้ายกาจของเธอ คือการที่ตัวเธอปล่อยรังสีความเข้มข้นสูงออกมาจากร่างอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ยากแก่การเข้าไปสู้ในระยะประชิด เพราะรังสีนั้นจะสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่องให้กับร่างกาย ซ้ำยังส่งผลให้สภาพร่างกายทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว  และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การที่ทุกการโจมตีของเธอนั้นจะทิ้งรังสีตกค้างที่จะแพร่กระจายออกไปรอบด้านทันที ซึ่งทำให้แม้ว่าจะพยายามอยู่ห่างจากเธอก็ตาม แต่หากเธอยิงลำแสงปรมาณูหรือคลื่นกระแทกชนิดใด ๆ ออกไปในระยะไกลแล้ว ก็ไม่อาจรอดพันจากพิษของรังสีไปได้

     

    ------------------------------


    ความสา            มารถพิเศษเฉพาะตัว

     

     

    自動報復システム (จิโดวโฮวฟุคุ ซิสเต็ม) ระบบล้างแค้นอัตโนมัติ  :  S

    ภายในอาณาเขตรัศมี 100 เมตรรอบตัวจะเป็นเสมือนกับพื้นที่ในการตรวจจับของเธอคล้ายกับการส่งคลื่นโซนาร์ออกไปของเรือรบหรือเรือดำน้ำ เพียงแต่คลื่นตรวจจับนี้เสมือนเรดาห์ที่มีการส่งคลื่นออกไปตลอดเวลา เมื่อตรวจจับได้ว่ามีการโจมตีเกิดขึ้นหรือมีสิ่งใดมีการเคลื่อนที่เข้ามาภายในพื้นที่ตรวจจับนี้ มาเรียน่าจะตอบสนองด้วยการโจมตีตอบโต้กลับเป็นลำแสงปรมาณูในระยะไกล หรือคลื่นกระแทกปรมาณูในระยะประชิดเป็นการโต้คืนทันที ไม่ว่าการโจมตีนั้นจะเล็งมาที่เธอหรือไม่ และแม้จะยังมาไม่ถึงตัวหรือไม่ทันเกิดความเสียหาย ก็จะเกิดการตอบโต้คืนกลับโดยอัตโนมัติ  และการตอบโต้คืนกลับนี้จะทำงานเองโดยอัตโนมัติโดยไม่ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ สติรับรู้ หรือความคิดอะไรของเธอ ราวกับเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกโดยตรง  และแม้เธอจะอยู่ในสภาพที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เช่น หมดสติ หรือนอนหลับอยู่ แต่หากมีการโจมตีใด ๆ พุ่งเข้ามา การตอบโต้คืนกลับนี้ก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติทันที

     

    จิตแห่งเครื่องจักรทำลายล้าง  :  S

      เป็นจิตที่ทำงานแทนจิตใจปกติของมาเรียน่าโดยอัตโนมัติทันทีที่สัมผัสหรือรับรู้ได้ถึงภัยคุกคามที่มีมาถึงตัว เธอจะตกอยู่ในสภาพที่เหมือนไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่รับรู้ ไม่ตอบสนอง ไม่สนใจ ต่อคำพูด สิ่งปลุกเร้า สิ่งกระตุ้นอื่นใด มีเพียงความคิดที่จะตอบโต้ ป้องกัน สวนกลับ หลบหลีก ทำลาย เพื่อการพิชิตและกำจัดสิ่งที่เป็นภัยคุกคามมาถึงตัวเท่านั้น ไม่มีความปรานี ไม่สนใจ ไม่รับฟัง ไม่รีรอ ไม่ให้ความเห็นใจกับใคร ซึ่งไม่ใช่เพียงทางกายภาพเท่านั้น แม้กระทั่งจิตใจก็เช่นกัน หากมาเรียน่าได้รับความสะเทือนใจแม้เพียงเล็กน้อย เธอจะเข้าสู่สภาพนี้โดยทันที และมันจะทำงานตอบสนองอัตโนมัติโดยไม่เกี่ยวว่าตอนนั้นมาเรียน่าอยู่ในสภาพไหน แม้เธอจะกำลังหมดสติ หรือนอนหลบ หรืออยู่ในสภาพที่ถูกควบคุมจิตใจ มาเรียน่าก็จะกลายสภาพเป็นจิตใจด้านนี้ไปในทันที

    จิตใจแห่งเครื่องจักรทำลายล้างนี้จะต้านทานและไม่รับผลใด ๆ ของการโจมตีหรือเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ ไม่สามารถถูกควบคุม สะกด เปลี่ยนแปลงความคิดความรู้สึกใด ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นผลทางการกระทำทางกายภาพหรือเวทมนตร์ใด ๆ ก็ตาม

     

    ทนทานในทุกสภาวะ  :  S

                    ปีกหรือสิ่งที่ดูเหมือนแผงกระโดงหลังของสัตว์เลื้อยคลายบางชนิดที่ขึ้นอยู่กลางแผ่นหลังทั้งสองข้างนั้น ช่วยทำหน้าที่ในการปรับสภาวะร่างกายให้กับมาเรียน่า ไม่ว่าเธอจะไปอยู่ในสภาวะเช่นใดก็ตาม ปีกนั้นจะปรับสภาพให้โดยอัตโนมัติทันทีสภาวะรอบข้างมีการเปลี่ยนแปลงไป มันช่วยทำให้เธออยู่ได้ในเกือบทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นสภาวะที่เลวร้ายสักขนาดไหนก็ตาม เช่น เคยถูกดูดลงไปในปากปล่องภูเขาไฟจนตกลงไปในชั้นแมนเทิล แต่แหวกว่ายอยู่ในธารหินหลอมเหลวได้อย่างสบาย หรือเผชิญกับสภาวะแรงกดดันใต้ท้องทะเลลึกนับ 10 กิโลเมตรก็อยู่ได้ แม้แต่ในอวกาศเธอก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร

     

    บินและลอยตัวกลางอากาศ   :  S

                    ปีกที่ขึ้นอยู่กลางหลังนั้นช่วยให้เธอสามารถลอยตัวอยู่กลางอากาศได้ และยังช่วยให้เธอสามารถบินพุ่งทะยานไปในทิศทางไหนได้อย่างอิสระ สามารถเร่งความเร็วในระดับสูงสุดได้ในไม่กี่วินาที และยังบิน ๆ หยุด ๆ หรือเปลื่อนทิศทางกระทันหันได้โดยไม่รับผลกระทบอะไร ส่วนความเร็วในการบินนั้น สามารถบินได้ด้วยความเร็วสูงสุดที่ 5 มัค ( 6,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง )

     

    ต่อต้านการสอดแทรกหรือปลอมปนลงไปในร่าง  :  S

                    ภายในร่างของเธอนั้นมีปฏิกิริยาปรมาณูเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการคายพลังงานออกมาจากการแตกตัวของปฏิกิริยาเหล่านั้นส่งผลให้ภายในร่างของเธอมีอุณหภูมิสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นไวรัส แบคทีเรีย ปรสิท หรือสิ่งอื่นใดก็ตาม เพียงแค่มันเข้ามาภายในร่าง จะถูกอุณหภูมิความร้อนสูงแผดเผาทำลายทันที และยังถูกรังสีที่แผ่ออกมาจากภายในร่างทะลวงและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจนไม่เหลือสภาพเดิมที่จะสร้างความเสียหายใด ๆ ได้อีกต่อไป

     

    ซ่อมแซมความเสียหายและฟื้นฟูสภาพร่างกาย  :  S

                    เป็นผลพิเศษของสภาพร่างกายที่ผิดเพี้ยนไปจากผลของรังสี จึงทำให้กลายสภาพเป็นร่างที่ใช้ปรมาณูในการดำรงชีพและขับเคลื่อนเสมือนเป็นพลังชีวิต และมันยังทำให้เธอต้องการรังสีเสมือนกับการต้องการออกซิเจนของสิ่งมีชีวิตธรรมดา แน่นอนว่า แม้ไม่มีรังสีเธอก็ไม่ถึงตาย เพราะร่างกายเธอยังผลิตออกมาเองได้อยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีวันจบสิ้น แต่เพราะเช่นนั้นนี่เอง ด้วยพลังงานมหาศาลและผลของรังสีความถี่สูงที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ร่างกายของเธอนั้นมีการฟื้นฟูสภาพร่างกายและรักษาบาดแผลหรือส่วนที่เสียหายด้วยความเร็วที่มากกว่าสิ่งมีชีวิตทั่วไปหลายต่อหลายเท่า และประสิทธิภาพของการรักษาและฟื้นฟูนี้ยังขึ้นอยู่กับปริมาณรังสีที่ดูดซับเข้ามาอีกด้วย ดังนั้นเท่ากับว่ายิ่งมีรังสีรอบ ๆ ตัวเธอมากเท่าไร หรือดูดซับเข้ามาได้มากแค่ไหน เธอก็จะยิ่งรักษาตัวเองได้เร็วเท่านั้น

     

     

     

     

     

     

    ------------------------------

     

     

     

    ท่าพื้นฐาน

     

    1..  

     

    放射熱

    โฮวฉะเน็ซเซ็น

    ลำแสงปรมาณู

     

     

    ประเภท  :  เรียกใช้ / การโจมตีพื้นฐาน หากเทียบกับผู้ที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า การโจมตีนี้เปรียบเสมือนกับการชก ต่อย กระแทก อัด ธรรมดา ๆ  หากเทียบกับผู้ใช้ของมีคม การโจมตีนี้เปรียบเสมือนกับการฟัน แทง ธรรมดา ๆ  หากเทียบกับผู้ที่ใช้อาวุธยิงหรือการโจมตีระยะไกล นี่ก็เป็นการยิงกระสุน , ลำแสง , เวทมนตร์ออกไปธรรมดา ๆ เช่นกัน

     

    รายละเอียด  :  บีบอัดพลังงานจากปฏิกิริยาปรมาณูแตกตัวในร่างแล้วปลดปล่อยออกมาในลักษณะของการยิงเป็นลำแสงสีฟ้าประกายขาวสว่างเจิดจ้า ลำแสงนี้มีพลังทำลายล้างและแรงผลักดันสูง มีระยะยิงที่ไกลมาก ตลอดเส้นทางของลำแสงทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกแผดเผาด้วยอุณหภูมิสูงมากจนไม่อาจมีสิ่งมีชีวิตใดทนอยู่ได้

     

    การยิงลำแสงนี้สามารถยิงออกมาได้จากหลายจุดในร่างกาย จากมือทั้งสองข้าง จากปาก และยิงจากด้านหน้าร่างกายในระดับสะดือ รวมถึงจุดอื่น ๆ ในบางจุด โดยจะยิงออกมาเป็นลำแสงขนาดใหญ่กินเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ  70 – 100 เซนติเมตร การยิงในแต่ละครั้งนั้นไม่จำเป็นต้องยิงออกมาทีละจุด สามารถยิงพร้อม ๆ กันมากกว่า 1 จุดในเวลาเดียวกันได้ นอกจากนั้นแล้วในขณะยิงยังสามารถยิงต่อเนื่องค้างไว้ชั่วอึดใจหนึ่ง และยังลากการยิงนี้วาดออกไปด้านข้างหรือทิศทางอื่น ๆ ได้เช่นกัน

     

    อุณหภูมิของลำแสง  :  11,000 – 14,000 องศาเซลเซียส

     

    ระยะยิงของลำแสง  :  8 – 14 กิโลเมตร 

     

    แรงอัดของลำแสง  :  เทียบเท่ากับแรงปะทะของลมที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 7 - 8 มัค ( 8,600 – 9,800 กิโลเมตร / ชั่วโมง )

     

    ขนาดของลำแสง  :  เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร

     

    จุดแข็ง  :  พลังทำลายล้างสูง ระยะยิงไกล สามารถยิงพร้อมกันได้จากหลายส่วนของร่างกาย

     

    จุดอ่อน  :  ก่อนยิงจะต้องมีการเร่งระดับพลังงานในร่างให้สูงขึ้น ซึ่งปีกหรือแผ่นกระโดงหลังจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกมาเป็นการเปล่งแสงสีฟ้าประกายขาวที่ส่องแสงสว่างเจิดจ้า สามารถอาศัยจุดนี้เป็นสัญญานบ่งบอกการโจมตีได้ แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้กินเวลาน้อยมาก ต้องอาศัยการตัดสินใจเฉพาะหน้าในเสี้ยววินาทีจริง ๆ ถึงจะพอหลบได้ทันท่วงที

     

    Rank  :  S  ( คิดจากค่าสเตตัสพลังเวทมนตร์ )

     

     

     

    2.  

     

    体内放

    ไทไนโฮวฉะ

    คลื่นกระแทกปรมาณู

     

     

    ประเภท  :  เรียกใช้ / ป้องกันแบบสวนกลับ / การป้องกันตัวขั้นพื้นฐาน หากเทียบกับผู้มีทักษะการต่อสู้ทั่วไป การป้องกันนี้เปรียบเสมือนกับการตั้งการ์ดหรือหลบหลีกธรรมดา

     

    รายละเอียด  :  ควบคุมพลังปรมาณูแบบแตกตัวในร่างให้ทำปฏิกิริยากันด้วยความเร็วสูงกว่าปกติหลายเท่า ก่อนจะบีบอัดมันและปล่อยมันแผ่พุ่งออกไปทั้งร่าง เกิดเป็นคลื่นกระแทกอย่างรุนแรงสีฟ้าประกายขาวที่มีแรงอัดสูงยิ่งกว่าลมพายุเฮอร์ริเคนซัดออกไปรอบด้านในระยะประชิดตัวไปจนถึงระยะกลาง  คลื่นกระแทกนี้จะมีระดับความเข้มข้นของกัมมันตภาพรังสีที่แพร่กระจายสูงกว่าที่แผ่พุ่งออกไปจากร่างของเธอในเวลาปกติอยู่หลายเท่า

     

    คลื่นกระแทกนี้แม้จะมีพลังทำลายไม่สูงเท่ากับการยิงออกไปเป็นลำแสงก็ตาม แต่ก็จัดว่ามีอุณหภูมิที่สูงมากอยู่ดี ส่งผลให้ใช้ออกไปครั้งใด รอบข้างจะเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงไปเสียหมด

     

    อุณหภูมิของคลื่นกระแทก  :  4,000 – 5,500 องศาเซลเซียส

     

    ระยะทำการของคลื่นกระแทก  :  400 – 800 เมตร 

     

    ความเร็วและแรงอัดของคลื่นกระแทก  :  3 – 4 มัค (ประมาณ 3,700 – 5,000 กิโลเมตร / ชั่วโมง )

     

    จุดแข็ง  :   พลังทำลายล้างสูง ระยะวิ่งของคลื่นกระแทกไกล เป็นทั้งการโจมตีและป้องกันในคราเดียว แรงอัดกระแทกหนักหน่วง ซ้ำยังซัดออกไปรอบด้านสร้างความเสียหายโดยรอบ ยากแก่การป้องกันหรือหลบหลีก

     

    จุดอ่อน  :  เหมือนกับของลำแสงปรมาณู ต่างกันตรงที่ของคลื่นกระแทกนี้ จะเกิดการเปล่งแสงสว่างวาบสีฟ้าประกายขาววิ่งไปตามตำแหน่งต่าง ๆ ในร่าง คล้ายคลึงกับลักษณะการวิ่งของกระแสไฟฟ้า ซึ่งด้วยลักษณะของการเปล่งแสงจากผลของการเร่งปฏิกิริยาปรมาณูในร่างที่แสดงผลไม่เหมือนกันนี้ สามารถใช้จำแนกเพื่อรับมือได้อย่างถูกต้อง แต่อย่างไรก็ดี มันก็ใช้เวลาเพียงแค่ 1 – 2 วินาทีเท่านั้น

     

    Rank  :  S  ( คิดจากค่าสเตตัสพลังเวทมนตร์ )

     

     

     

     

    3.

     

    โฮวฉะ

    การแผ่รังสี

     

     

    ประเภท  :  ติดตัว / แสดงผลอยู่ตลอดเวลา  เป็นความสามารถที่แสดงผลอยู่ตลอดเวลาและทุกสถานการณ์ ไม่ว่าตื่นอยู่ หรือหมดสติ นอนหลับ ก็จะเกิดการทำงานและแสดงผลด้วยตัวของมันเองโดยไม่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเจ้าตัวแต่อย่างใด เฉกเช่นเดียวกับระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบการไหลเวียนโลหิต เป็นต้น

     

    รายละเอียด  :  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติจากกระบวนการของปฏิกิริยาปรมาณูแบบแตกตัวที่เกิดขึ้นตามทั่วร่างกายของเธอ ปฏิกิริยานี้เมื่อก่อตัวขึ้นไปจนถึงจุดสุดท้ายของมันแล้ว มันจะแตกตัวและให้พลังงานมหาศาลออกมา และในตอนที่แตกตัวนั้นเอง จะเกิดการตกค้างของกัมมันตภาพรังสีที่แพร่กระจายออกมาอย่างรุนแรง

     

                    รังสีที่แพร่กระจายออกมานี้จะมีพลังทะลุทะลวงสูง มันจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสภาพภายในร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตทางชีวภาพใด ๆ ก็ตาม และทำให้อวัยวะและระบบภายในร่างกายต่าง ๆ เสื่อมสภาพ หรือล้มเหลว ส่งผลให้สุขภาพของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว และหากไม่ได้รับการรักษาหรือปรับสภาพอย่างทันท่วงที ก็จะถึงแก่ความตายไปในที่สุด

     

                    อนึ่ง การได้รับความเสียหายต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะภายในของร่างเนื้อชีวภาพนั้นเป็นความเสียหายแบบสะสมตกค้าง ดังนั้นการใช้วิธีออกไปนอกระยะที่รังสีมีผลกระทบมาถึงแล้วรีบกลับเข้ามาใหม่นั้นจะไม่ช่วยล้างผลของความเสียหายจากรังสีที่ได้รับก่อนหน้านั้นได้แต่อย่างใด

     

                    ความเสียหายใด ๆ จากรังสีนั้น อาจจะดูเป็นเรื่องที่น่าตลก แต่หากให้เธอช่วยดูดซับรังสีให้แล้ว จะสามารถฟื้นฟูสภาพความเสียหายให้กับอวัยวะหรือเนื้อเยื่อต่าง ๆ ได้ แต่ก็เช่นกัน ว่าเธอสามารถเลือกและแยกแยะได้ว่าจะดูดซับให้หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่อาจใช้วิธีการเข้าประชิดตัวเพื่อให้เธอดูดซับรังสีในจังหวะที่เธอดูดซับรังสีตามปกติเพื่อช่วยฟื้นฟูความเสียหายในร่างกายให้ได้ เพราะในเวลาต่อสู้ เธอก็ไม่มีความคิดที่จะดูดซับรังสีที่ตกค้างในตัวคู่ต่อสู้หรือเป้าหมายที่จ้องจะประหัดประหารด้วยแต่อย่างใด

     

                    อนึ่ง การแพ่กระจายของรังสีนี้ แทบจะไม่ส่งผลใด ๆ ต่อวัตถุหรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่เนื้อเยื่อหรือร่างกายแบบชีวภาพเลย นอกเสียจากว่าเธอจะตั้งใจปลดปล่อยมันออกมาพร้อมกับรังสีความร้อนอย่างรุนแรงเท่านั้นที่จะสร้างความเสียหายได้

                   

    ระยะที่รังสีส่งผลกระทบ  :  รัศมี 1 กิโลเมตรโดยยึดจากตำแหน่งที่ตัวเธออยู่เป็นจุดตั้งต้น

     

    รูปแบบการใช้งานใน OCFF  :  ภายในระยะ 1 กิโลเมตรรอบตัวเธอนั้นสิ่งมีชีวิตใด ๆ จะถูกลดค่าสเตตัสลงไปอย่างละ 2 หน่วยเสมอ ไม่ว่าค่าสเตตัสนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในเวลาต่อมาก็ตาม แต่มันก็จะยังคงลดลง 2 หน่วยอยู่ตลอด นอกจากนั้นแล้ว ผลของการลดค่าสเตตัสยังแปรผันตามระยะห่างจากตัวเธอ โดยใน 500 – 600 เมตรแรกนั้น จะถูกลดค่าสเตตัสลงอย่างละ 2 หน่วย แต่ในระยะ 600 – 1,000 เมตรถัดออกมานั้นค่าสเตตัสทุกค่าจะถูกลดลงเพียง 1 หน่วย

     

                    แม้ว่าผลของการลดค่าสเตตัสนี้ขึ้นอยู่กับระยะทางก็ตาม แต่มันก็รวมถึงผลของการแพร่กระจายรังสีจากการตกค้างด้วยการโจมตีใด ๆ ก็ตามของเธอด้วย ดังนั้นแล้ว แม้ว่าจะอยู่ห่างจากเธอเกิน 1 กิโลเมตรก็ตาม แต่หากเธอยิงลำแสงปรมาณูมาตกที่ข้าง ๆ ไม่กี่สิบเมตร รังสีที่แผ่พุ่งออกมาจากจุดที่ลำแสงตกกระทบไปนั้น จะลดค่าสเตตัสของสิ่งมีชีวิตชีวภาพที่อยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงลงไปถึง 2 หน่วยทันที เหตุเพราะอยู่ห่างจากจุดที่มีการแพร่กระจายของรังสีในระยะต่ำกว่า 500 – 600 เมตร หรือต่ำกว่า 1 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในระยะแสดงผลในการลดค่าสเตตัสของรังสี

     

                    นอกจากผลของการลดค่าสเตตัสแล้ว รังสีนี้ยังส่งผลกระทบทางอ้อม สร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งยิ่งอยู่ในขอบเขตของการแพร่กระจายรังสีนานเท่าใด ก็ยิ่งส่งผลเสียต่อร่างกายมากเท่านั้น โดยหากเป็นการแผ่พุ่งของรังสีจากปฏิกิริยาปรมาณูในร่างแบบปกติแล้ว สิ่งมีชีวิตทางชีวภาพจะทนอยู่ได้ไม่เกิน 30 นาที หากนานกว่านั้นมีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิตเนื่องจากระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้มเหลวจากผลของรังสี แต่กรณีที่เป็นการปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรงในบางท่า เช่น คลื่นกระแทกปรมาณู ระยะเวลานั้นจะลดลงไปอีกมาก เพราะปริมาณรังสีที่ท่านี้ปล่อยออกมานั้นเข้มข้นและหนาแน่นกว่าปกติหลายเท่า อาจจะทนอยู่ได้ไม่ถึง 10 นาทีเสียด้วยซ้ำ

     

    จุดแข็ง  :  ลดค่าสเตตัสอย่างแน่นอน ลดตลอดเวลาในแบบเรียลไทม์ ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตชีวภาพแล้ว จะได้รับความเสียหายอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายที่เกิดจากผลของรังสีนั้นจัดว่าร้ายแรง หากไม่รีบหนีออกไปนอกระยะเพื่อทำการรักษาแล้ว อาจได้รับความเสียหายอย่างหนักจนถึงแก่ชีวิตได้

     

    จุดอ่อน  :  ไม่มีผลใด ๆ ต่อสิ่งที่เป็นเครื่องจักร เป็นวัตถุ เครื่องกล (ยกเว้นสิ่งที่เป็นกึ่งวัตถุ กึ่งชีวภาพที่ไม่ว่ายังไงส่วนที่เป็นชีวภาพก็จะได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน) นอกเสียจากว่าเธอจะปลดปล่อยมันออกมาพร้อมกับรังสีความร้อนมหาศาลเฉกเช่นท่าบางท่า

     

    Rank  :  S  ( คิดจากค่าสเตตัสพลังเวทมนตร์ )

     

     

     

     

    ท่าที่ใช้ในการต่อสู้


    1. 

     

    架空の怪獣の体内放

    คาคูวโนะไคจูวโนะไทไนโฮวฉะ      

    ปรมาณูอัดกระแทกแห่งราชันย์สัตว์ยักษ์

     

     

    ประเภท  :  เรียกใช้

     

    รายละเอียด  :  ท่าระดับสูงของ “คลื่นกระแทกปรมาณู”  เป็นการเร่งปฏิกิริยาปรมาณูในร่างให้พุ่งขึ้นสูงถึงขีดสุด ก่อนจะควบแน่นและปลดปล่อยมันแผ่พุ่งออกไปทั้งร่างในอึดใจเดียวด้วยการระเบิดเป็นคลื่นกระแทกสีฟ้าประกายขาวซัดออกไปอย่างรุนแรงรอบด้าน

     

     สิ่งที่แตกต่างจากคลื่นกระแทกที่เป็นการป้องตัวแบบปกตินั้น คือการที่การระเบิดคลื่นกระแทกนี้ จะระเบิดออกไปอย่างต่อเนื่องหลายต่อหลายครั้งในชั่วอึดใจเดียว เกิดเป็นคลื่นช็อคความถี่สูงที่ซัดทำลายทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านอย่างต่อเนื่อง

     

    นอกจากนั้นแล้ว คุณสมบัติอื่นโดยรวมของคลืนกระแทกแต่ละครั้งนั้น ก็เหมือนกับคุณสมบัติของ “คลื่นกระแทกปรมาณู” ซึ่งเป็นการป้องกันตัวแบบปกติทุกประการ ทั้งด้านอุณหภูมิ ระยะทำการ ความเร็วและแรงอัดกระแทกของคลื่น ฯลฯ

     

    จำนวนครั้งในการปล่อยคลื่นกระแทกอย่างต่อเนื่อง  :  12 – 24  ครั้ง 

     

    ระยะเวลาในการซัดคลื่นกระแทกนับจากครั้งแรกจนถึงครั้งสุดท้าย  :  ไม่เกิน 3 วินาที

     

    อุณหภูมิของคลื่นกระแทก  :  4,000 – 5,500 องศาเซลเซียส

     

    ระยะทำการของคลื่นกระแทก  :  400 – 800 เมตร 

     

    ความเร็วและแรงอัดของคลื่นกระแทก  :  3 – 4 มัค (ประมาณ 3,700 – 5,000 กิโลเมตร / ชั่วโมง )

     

    จุดแข็ง  :   พลังทำลายล้างสูง ระยะวิ่งของคลื่นกระแทกไกล เป็นทั้งการโจมตีและป้องกันในคราเดียว แรงอัดกระแทกหนักหน่วง ซ้ำยังซัดออกไปรอบด้านสร้างความเสียหายโดยรอบ ยากแก่การป้องกันหรือหลบหลีก ซ้ำยังเป็นการโจมตีต่อเนื่องด้วยความเร็วและความถี่สูง จำนวนหลายครั้งมาก

     

    จุดอ่อน  :  เหมือนกับ “คลื่นกระแทกปรมาณู”

     

    Rank  :  S  ( คิดจากค่าสเตตัสพลังเวทมนตร์ )

     

     

     

     

    2.

     

    マリアナ海溝の水圧

    มาเรียน่าไคโกวโนะซุยอัทสึ

    แรงกดดันน้ำลึกแห่งเหวทะเลมาเรียน่า

     

     

    ประเภท  :  เรียกใช้

     

    รายละเอียด  :  บินขึ้นไปกลางอากาศสูงหลายร้อยเมตร ก่อนจะหยุดลอยตัวและเร่งปฏิกิริยาปรมาณูให้สูงขึ้น บีบอัดควบแน่นพลังมหาศาลถึงหมื่นองศานั้นเป็นกลุ่มก้อนและยิงลงมาเป็นลำแสงปรมาณูสีฟ้าประกายขาวขนาดมหึมาเข้าใส่ศัตรูเบื้องล่าง ซัดพลังทำลายและแรงอัดมหาศาลนั้นลงมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง
     

    การยิงลำแสงนี้มีความถี่ต่อเนื่องในทุก ๆ มิลลิวินาที ทำให้ยากแก่การตีหรือฝ่าขึ้นมา อีกทั้งยังต้องพบกับแรงกดอย่างหนักหน่วงที่คอยกดลงมาตลอดเวลา ทำให้ยากแก่การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเพื่อหนีออกไปจากวิถีของลำแสงนี้ได้ อีกทั้งขณะยิงยังลากลำแสงกวาดไปมาอย่างไม่มีรูปแบบที่แน่นอนด้วย

     

    และเฉกเช่นเดียวกัน ท่านี้จะทิ้งการตกค้างของกัมมันตภาพรังสีที่เข้มข้นกว่าการแพร่กระจายจากร่างของเธอตามปกติไว้หลายเท่า ในจุดที่ลำแสงนี้ยิงผ่านไปตลอดทางจนถึงจุดที่ยิงลงไป อีกทั้ง ด้วยพลังทำลายล้างมหาศาลจากอุณหภูมิที่สูงมากแล้ว พื้นที่ใดที่ถูกลำแสงในท่านี้ยิงลงมา จะถูกแผดเผาจนมีสภาพกลายเป็นธารหินหลอมเหลวไปในทันที จึงเท่ากับเป็นการทำลายพื้นที่ยืนไปด้วยในตัว

     

    อุณหภูมิของลำแสง  :  11,000 – 15,000 องศาเซลเซียส

     

    ระยะยิงของลำแสง  :  8 – 14 กิโลเมตร 

     

    แรงอัดของลำแสง  :  เทียบเท่ากับแรงปะทะของลมที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 7 - 8 มัค ( 8,600 – 9,800 กิโลเมตร / ชั่วโมง )

     

    ขนาดของลำแสง  :  เส้นผ่านศูนย์กลาง 40 – 50 เมตร

     

    ระยะเวลาในการยิงลำแสง  :  9 – 15 วินาที

     

    ความสูงที่บินขึ้นไปกลางอากาศ  :  700 – 1,000 เมตร

     

    จุดแข็ง  :  พลังทำลายล้างสูง แรงกดลงมามหาศาล ขนาดของลำแสงใหญ่มหึมายากแก่การหลบหลีก ยิงลำแสงลงมาเป็นเวลานาน ทำให้แม้จะพอต้านทานได้แต่เพราะต้องรับมือเป็นเวลานานอาจทำให้ถึงขีดจำกัดจนยากที่จะรอดพ้นไปจากความเสียหาย อีกทั้งตัวมาเรียน่านั้นบินขึ้นไปสูงมาก จึงยากที่จะจู่โจมเพื่อขัดขวางการยิงของเธอได้

                   

    จุดอ่อน  :  แม้จะยิงอยู่กลางอากาศ แต่รอบด้านนั้นเปิดโล่งเต็มไปด้วยช่องโหว่ และขณะที่ยังคงยิงอยู่นั้นเธอจะไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้ ถ้าในขณะนั้นมีการโจมตีเข้ามาในทิศทางอื่น หากเธอไม่หยุดการยิงลำแสงนั้นเสียก่อน เธอก็จะไม่มีสิทธิ์ป้องกันตัวได้เลยแม้แต่น้อย


    Rank  :  S  ( คิดจากค่าสเตตัสพลังเวทมนตร์ )

     

     

     

     

    3.

     

    人工太から核の冬 マリンスノー

    จินโควไทโยว คาระ คาคุโนะฟุยุ มารีนสโนว์

    หิมะใต้สมุทรแห่งเหมันต์ปรมาณูจากดวงอาทิตย์จำลอง

     

     

    ประเภท  :  เรียกใช้ /  แสดงผลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

     

    รายละเอียด  :  เร่งปฏิกิริยาปรมาณูแบบแตกตัวในร่างให้พุ่งสูงขึ้น ก่อนจะบีบอัดพลังงานมหาศาลในร่างออกมาเป็นกลุ่มก้อนพลังงานสีฟ้าประกายขาวขนาดมหึมา มาเรียน่าจะส่งกลุ่มก้อนพลังงานนี้ขึ้นไปลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ จากนั้น ก้อนพลังงานขนาดมหึมานั้นจะปล่อยก้อนพลังงานปรมาณูขนาดเล็กลงมาข้างล่างเรื่อย ๆ เสมือนกับอยู่ท่ามกลางฤดูหนาวที่หิมะโปรยปราย หากแต่ในท่านี้คือหิมะพลังปรมาณูที่มีพลังทำลายสูง

     

                    ลูกพลังปรมาณูนี้เมื่อมันตกลงมาปะทะกับสิ่งใด มันจะเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงกินบริเวณกว้าง และตามติดมาด้วยการแพร่กระจายของรังสีในบริเวณรอบ ๆ นั้น การร่วงหล่นลงมาของกลุ่มก้อนพลังงานนี้ก็เปรียบเสมือนกับระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบินทิ้งระเบิด  ภายในพื้นที่ของการโปรยปรายหิมะปรมาณูนี้จะเต็มไปด้วยการทำลายล้างราวกับฝนเพลิงตกลงมาห่าใหญ่ ยากที่จะมีผู้ใดรอดพ้นอยู่ในพื้นที่นี้ได้

     

                    ตัวลูกพลังงานขนาดมหึมาที่ลอยอยู่กลางอากาศเบื้องบนนั้นไม่ได้ปล่อยกลุ่มก้อนพลังงานลงมาตรง ๆ เท่านั้น แต่มันจะปล่อยออกไปทุกทิศทางรอบด้าน แม้การปลดปล่อยกลุ่มก้อนพลังงานไปทิศทางอื่นนั้นจะดูขัดกับภาพลักษณ์ของหิมะโปรยปรายก็ตาม แต่มันก็ทำให้ไม่มีด้านไหนของก้อนพลังงานขนาดมหึมาที่ลอยอยู่กลางอากาศเสมือนพระอาทิตย์จำลองที่ปลอดภัยจากหิมะปรมาณูที่โปรยปรายลงมานี้เลย และรูปแบบในการตกลงมาของมันไม่ได้พุ่งดิ่งลงมาตรง ๆ  หากแต่ลอยเฉไปทางขวา เลี้ยวไปทางซ้ายบ้าง ไม่อาจคาดเดาทิศทางที่แน่นอนได้ แต่จะอย่างไรก็ดี ความเร็วในการตกของมันนั้น ก็พอ ๆ กับระเบิดที่ถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบินทิ้งระเบิดเลยเช่นกัน

     

                    เช่นเดียวกัน ดวงอาทิตย์จำลองที่ลอยอยู่กลางอากาศเองก็แผ่รังสีความเข้มข้นสูงกว่าปกติที่แผ่ออกมาจากร่างของมาเรียน่าหลายเท่า  อีกทั้งก้อนพลังงานที่โปรยปราย เมื่อมันระเบิด ก็จะเกิดการแผ่พุ่งของรังสีออกไปทุกทิศทางจากจุดที่เกิดการระเบิดขึ้นด้วยเช่นกัน

     

    อุณหภูมิของก้อนพลังงานพระอาทิตย์เทียมและกลุ่มหิมะปรมาณู  :  5,000 – 7,400  องศาเซลเซียส

     

    ความสูงของก้อนพลังปรมาณูดวงอาทิตย์จำลอง  :  700 – 800 เมตร

     

    ขนาดของก้อนพลังปรมาณูดวงอาทิตย์จำลอง  :  เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 เมตร

     

    จำนวนของก้อนพลังงานปรมาณูที่โปรยปรายลงมาต่อ 1 วินาที  :  24 – 48 ลูก

     

    ระยะเวลาในการคงอยู่และโปรยปรายหิมะปรมาณูของดวงอาทิตย์จำลอง  :  5 นาที

     

    ขนาดของก้อนพลังงานที่โปรยปรายลงมา  :  1 เมตร  เมื่อเกิดการระเบิดขึ้นจากการสัมผัสหรือปะทะกับสิ่งใด ๆ เกิดแรงระเบิดกินพื้นที่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 – 20 เมตร

     

    ระยะทำการของกลุ่มก้อนพลังงานแต่ละลูก  :  1 กิโลเมตร

     

    จุดแข็ง  :  ภายในบริเวณจะมีสภาพเหมือนอยู่กลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยระเบิดที่โปรยปราย พลังทำลายของก้อนพลังงานจัดว่าสูงมาก แรงระเบิดกินบริเวณกว้าง การร่วงหล่นของก้อนพลังงานไม่ได้ทิ้งลงมาในแนวดิ่งหากแต่มีลักษณะคล้ายการร่อนของใบไม้หรือมีทิศทางการวิ่งแบบสายฟ้า และจำนวนในการร่วงลงมาก็นับว่าเยอะมากพอที่จะทำให้หลบได้ยาก และถึงแม้ว่าจะหลบไปได้ แต่เมื่อมันตกถึงพื้นแล้ว ก็จะเกิดการระเบิดขึ้นเองอีกอยู่ดี

     

    จุดอ่อน  :  ไม่ใช่การโจมตีโดยตรง อีกทั้งแม้จำนวนที่ตกลงมาจะมาก แต่หากสังเกตและเคลื่อนที่ได้เร็วพอก็ยังจะพอหลบได้ แต่อย่างไรก็ดี แรงระเบิดของแต่ละลูกก็จัดว่ากินบริเวณกว้างมากเมื่อเทียบกับขนาดของมัน

     

    Rank  :  S  ( คิดจากค่าสเตตัสพลังเวทมนตร์ )

     

     

     

     

    4. 

     

    太平洋とフィリピン海が溶融されています

    ไทเฮย์โยว โตะ ฟิลิปปินส์ไค กะ โยวยูวซาเรเตะอิมัส

    แปซิฟิคและทะเลฟิลิปปินส์กำลังหลอมเหลว

     

    ประเภท  :  เรียกใช้ / แสดงผลในระยะเวลาหนึ่ง

    รายละเอียด  :  เร่งปฏิกิริยาปรมาณูในร่างให้สูงขึ้นบีบอัดมันไว้ที่สองมือ จากนั้นปลดปล่อยปฏิกิริยาปรมาณูแบบแตกตัวพลังงานสูงที่ควบแน่นไว้ที่มือทั้งสองข้างนั้นกระแทกลงพื้น และจากนั้น จะเกิดการปลดปล่อยพลังงานมหาศาลขึ้นที่ด้านใต้ เกิดเป็นการระเบิดอย่างรุนแรงสีฟ้าประกายขาวออกไปรอบตัว อะไรก็ตามที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นจะถูกกระแทกจากเบื้องล่างอย่างรุนแรง พื้นผิวจะถูกความร้อนมหาศาลแผดเผาทำลายจนกลายสภาพเป็นธารหินหลอมเหลว สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถลอยตัวหรือบินได้จะถูกความร้อนสูงแผดเผาลุกไหม้

                   

                    การโจมตีของท่านี้ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ยังตามติดมาด้วยการปะทุของพลังความร้อนมหาศาลที่กำลังเดือดพล่าน ขับดันหินหลอมเหลวอุณหภูมิสูงจากธารแม็คม่าเบื้องล่างพุ่งขึ้นสู่เบื้องบนเป็นเสาพลังงานความร้อนขนาดใหญ่ในลักษณะคล้ายคลึงกับเสาน้ำพุร้อนใต้ดินในหลาย ๆ จุดของธารหินหลอมเหลวเบื้องล่าง การพุ่งขึ้นของเสาหินหลอมเหลวนี้เกิดขึ้นในทุก ๆ วินาทีของช่วงระยะเวลาทีท่านี้แสดงผล และในวินาทีหนึ่ง ๆ ยังพุ่งขึ้นมาพร้อมกันในหลาย ๆ ตำแหน่ง

     

                    อนึ่ง ธารหินหลอมเหลวนี้ แม้ระยะเวลาแสดงผลของท่าจะหมดลงแล้ว แม้ว่าจะไม่มีการพุ่งขึ้นสู่เบื้องบนของเสาหินหลอมเหลวแล้ว แต่พื้นดินในตำแหน่งที่เกิดการระเบิดของพลังงานจนกลายเป็นธารหินหลอมเหลวนี้จะไม่กลับคืนสภาพเดิมแต่อย่างใด และตัวมาเรียน่านั้น จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากความร้อนสูงของธารหินหลอมเหลวเลย เธอสามารถเดินเหินอยู่ในนั้นได้อย่างสบาย ๆ

                    และเช่นกัน เสาหินหลอมเหลวและธารแม็คม่าเองก็เกิดขึ้นจากผลของพลังทำลายจากปฏิกิริยาปรมาณูแตกตัว มันจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยการแผ่พุ่งรังสีอย่างรุนแรงเช่นกัน

                   

    อุณหภูมิของการระเบิดเบื้องล่างใต้พื้น  :  5,000 – 7,400 องศาเซลเซียส

    พื้นที่ที่ได้รับผลจากการระเบิดพลังงานข้างใต้  :  เส้นผ่านศูนย์กลาง 400 – 700 เมตรนับจากจุดที่อัดกระแทกพลังงานลงมา

    อุณหภูมิของธารหินหลอมเหลว  :  3,000 – 4,300 องศาเซลเซียส

    ขนาดของเสาหินหลอมเหลว  :  2 – 5 เมตร

    ความสูงของเสาหินหลอมเหลวที่ถูกขับดันขึ้นไป  :  40 – 70 เมตร

    ความเร็วในการพุ่            งขึ้นของเสาหินหลอมเหลว  :  400 – 600 กิโลเมตร / ชั่วโมง

    จำนวนของเสาหินหลอมเหลวที่พุ่งขึ้นมาในตำแหน่งต่าง ๆ ของธารหินหลอมเหลวต่อ 1 วินาที  :  21 - 34

    ระยะเวลาในการแสดงผลของการขับดันเสาหินหลอมเหลว  :  1 นาที

    จุดแข็ง  :  โจมตีถึง 3 จังหวะ ทั้งตอนกระแทกพลังงานลงไปจนเกิดการระเบิดขึ้นจากใต้พื้น ทั้งการพุ่งทะยานขึ้นเบื้องบนของเสาหินหลอมเหลว ซ้ำยังทำให้พื้นตรงจุดที่ได้รับการระเบิดกลายเป็นธารหินหลอมเหลวไปแบบนั้นตลอด เป็นการทำลายพื้นที่ยืนไปอีกทางหนึ่ง นอกจากนั้นความถี่ของเสาหินหลอมเหลวยังพุ่งขึ้นทุกวินาที และจำนวนก็ยังมากซ้ำมีขนาดใหญ่ ยากที่จะคาดเดาตำแหน่งหรือหลบหลีกได้

    จุดอ่อน  :  ถ้าบินหรือลอยตัวได้สูงกว่า 100 เมตรขึ้นไปก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากพลังทำลาย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังได้รับผลกระทบจากรังสีอยู่ดี

    Rank  :  S  ( คิดจากค่าสเตตัสพลังเวทมนตร์ )

     

     

     

    5.

     

    地獄原子炉破壊 エクサフレ

    จิโกคุเก็นชิโร่ฮาไคโฮว เอ็กซ่าแฟลร์

    ปืนใหญ่ทำลายล้างพลังเตาปฏิกรณ์นรก เอ็กซ่าแฟลร์

     

     

    ประเภท  :  เรียกใช้

     

    รายละเอียด  :  เร่งปฏิกิริยาปรมาณูในร่างให้สูงขึ้น บีบอัดพลังงานมหาศาลจากการแตกตัวและปลดปล่อยมันออกมาในลักษณะของลำแสงปรมาณูความร้อนสูงขนาดมหึมายิงออกไปยังทิศทางต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับแรงอัดมหาศาลที่จะซัดกระแทกทุกสิ่งทุกอย่างให้กระเด็นหรือถูกทำลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

     

                    การยิงลำแสงในท่านี้มาเรียน่ามีลักษณะการยิงอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือกระจายพลังออกเป็นหลายส่วนที่ยิงออกไปหลายทิศทาง โดยจะเป็นลำแสงขนาดกลางที่แยกตัวยิงออกไปหลายลำ ซึ่งแต่ละลำสามารถเลือกยิงไปในทิศทางต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ

     

                    ส่วนแบบที่สองนั้น เป็นการกระโดดขึ้นไปกลางอากาศหลายสิบเมตร รวมพลังทั้งหมดยิงออกไปด้านหน้าเป็นพลังทำลายล้างขนาดใหญ่ที่จะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเส้นทางของมันจนระเหยเป็นไอ ซึ่งระยะและขอบเขตของมันกว้างกว่าในท่า “แรงกดดันน้ำลึกแห่งเหวทะเลมาเรียน่า” มากเกือบ 3 เท่า และในการยิงแบบที่สองนี้ ส่วนของลำแสงที่ตัดกับพื้นผิวใด ๆ จะเกิดพลังทำลายล้างจากอุณหภูมิมหาศาลแผดเผาและหลอมมันจนมีสภาพกลายเป็นธารหินหลอมเหลวไปในทันที จึงเท่ากับเป็นท่าที่ใช้ทำลายพื้นที่ได้ด้วย

     

                    เฉกเช่นเดียวกันกับท่าอื่น ท่านี้เองก็มีการแผ่กระจายรังสีออกไปรอบด้านตลอดทางที่ลำแสงยิงผ่านไปและกระทั่งจุดที่มันยิงไปถึงด้วยเช่นกัน

     

    อุณหภูมิของลำแสง  :  11,000 – 15,000 องศาเซลเซียส

     

    ระยะยิงของลำแสง  :  8 – 14 กิโลเมตร 

     

    แรงอัดของลำแสง  :  เทียบเท่ากับแรงปะทะของลมที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 7 - 8 มัค ( 8,600 – 9,800 กิโลเมตร / ชั่วโมง )

     

    ขนาดของลำแสง  :  (1) เส้นผ่านศูนย์กลาง 10 - 15 เมตร  // (2) เส้นผ่านศูนย์กลาง 120 เมตร 

     

    จำนวนของลำแสง  :  (1) 8 – 12 ลำ  //  (2) 1 ลำ

     

    ระยะเวลาในการยิงลำแสง  :  9 – 15 วินาที    

     

    จุดแข็ง  :  พลังทำลายมหาศาล ระยะยิงไกล หากเป็นการยิงในรูปแบบแรกจะ มีจำนวนในการยิงพร้อม ๆ กันในครั้งเดียวหลายลำ ซ้ำแต่ละลำแสงยังเลือกยิงไปได้หลากทิศทาง อีกทั้งยังยิงค้างเป็นระยะเวลานานและกวาดไปในทิศทางอื่นได้ด้วย จึงทำให้ยากแก่การหลบแรก ซ้ำยังมาพร้อมกับแรงผลักมหาศาลอีกด้วย ส่วนในการยิงในแบบสองนั้น ขนาดของลำแสงจะใหญ่มหึมาเอามาก ๆ จนยากที่จะมีใครหลบออกไปได้

     

    จุดอ่อน  :  อย่างไรก็ตาม หากเป็นการยิงแบบที่สอง ก็ยังมีจุดอ่อนตรงที่ด้านอื่น ๆ รอบด้านเปิดช่องว่างไว้เต็มที่เหมือนกับท่า “แรงกดดันน้ำลึกแห่งเหวทะเลมาเรียน่า” ซึ่งทำให้ศัตรูโจมตีเข้ามาได้เต็ม ๆ

     

    Rank  :  S  ( คิดจากค่าสเตตัสพลังเวทมนตร์ )

     

     

     

     

     

    6.

     

    アビメルトダウン

    อาบิสเมลท์ดาวน์

    เหวทะเลหลอมเดือด

     

     

    ประเภท  :  เรียกใช้ /  แสดงผลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง / ฟื้นฟู

     

    รายละเอียด  :  เร่งปฏิกิริยาปรมาณูแตกตัวในร่างให้พุ่งขึ้นถึงขีดสุด จากนั้นปลดปล่อยมันออกไปอย่างรุนแรงทั่วร่าง เกิดเป็นแรงระเบิดทำลายล้างขนาดมหึมากินพื้นที่กว้างไกลหลายร้อย ๆ เมตร แผดเผาและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นที่ของการระเบิดนี้จนหมดสิ้นไม่มีเหลือ ความเข้มข้นของการแผ่รังสีของท่านี้สูงกว่าปกติถึงเกือบ 10 เท่า ซึ่งนั่นทำให้ผลของรังสีรุนแรงขึ้นอีกมาก

     

                    ในขณะที่เกิดการระเบิดนี้จะไม่มีการโจมตีชนิดใดเข้าถึงตัวเธอได้ พลังทำลายล้างมหาศาลนี้จะสกัดกั้นทุกการโจมตีทิ้งไปทั้งหมด และในขณะเดียวกัน ผลของแรงระเบิดรุนแรงที่ทำให้เกิดการขับดันของรังสีที่แผ่พุ่งออกไปอย่างมหาศาลนั้น จะทำให้ประสิทธิภาพของการฟื้นฟูร่างกายโดยการดูดซับรังสีจากภายนอกเข้าไปนั้นทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงกว่าปกติหลายเท่าด้วยเช่นกัน และผลของมัน ทำให้ตลอดเวลาในแรงระเบิดนั้น ร่างกายของเธอแทนที่จะได้รับความเสียหาย กลับกลายเป็นว่าการฟื้นฟูนั้นเหนือกว่าความเสียหายที่ได้รับ ทำให้เมื่อจบการระเบิดแล้ว เธอจะได้รับการฟื้นฟูความเสียหายจนอยู่ในสภาพสมบูรณ์เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นกับเธอเลยแม้แต่น้อย

     

                    อนึ่ง การฟื้นฟูความเสียหายโดยการดูดซับรังสีเข้าไปในตัวนั้นปกติจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

     

    อุณหภูมิของแรงระเบิด  :  22,000 – 24,000 องศาเซลเซียส

     

    ขนาดของพื้นที่แรงระเบิด  :  900 – 1,400 เมตร  // ระยะของการแผ่รังสี ถัดออกไปจากแรงระเบิดอีก 2 – 3 กิโลเมตร

     

    แรงอัดของแรงระเบิด  :  เทียบเท่าความเร็วลม 10 มัค  ( 12,400 กิโลเมตร / ชั่วโมง )

     

    ระยะเวลาของการระเบิดอย่างต่อเนื่อง  :  11 วินาที    

     

    จุดแข็ง  :  เป็นทั้งการโจมตีและป้องกันในคราวเดียว พลังทำลายล้างสูงมาก ระยะของแรงระเบิดกว้างมาก แรงอัดของคลื่นกระแทกจากการระเบิดหนักหน่วง กินพื้นที่กว้างกว่าท่าคลื่นกระแทกธรรมดามาก  ซ้ำผลจากการระเบิดนี้ ยังส่งให้ปริมาณและรังแผ่พุ่งออกไปในบริเวณโดยรอบหนักหน่วงกว่าปกติหลายต่อหลายเท่า และผลจากการแพร่กระจายของรังสีความเข้นข้นสูง จะทำให้ผลของการฟื้นฟูและซ่อมแซมความเสียหายทำงานจนถึงขีดสุดจนทำให้เธอกลับมาแข็งแรงตามปกติดังเดิม

     

    จุดอ่อน  :  เนื่องจากใช้พลังงานสูงมากไปกับการระเบิด ทำให้หลังจากการระเบิดนั้นสลายตัวไป เธอจะไม่สามารถใช้ท่าใด ๆ ได้เลย ยกเว้นการโจมตีและป้องกัน รวมถึงการแผ่รังสีออกมาจากร่างตามปกติเท่านั้นเป็นเวลานานถึง 10 – 20 วินาที

     

    Rank  :  S  ( คิดจากค่าสเตตัสพลังเวทมนตร์ )

     

     

     

     

     

     

    7.

     

    報復鬼角弾幕

    โฮวฟุคุ โนะ คิคาขุดันมาคุ

    ห่าระเบิดมุมปีศาจแห่งความอาฆาตแค้น

     

     

    ประเภท  :  เรียกใช้ /  แสดงผลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

     

    รายละเอียด  :  ลอยตัวขึ้นไปหยุดอยู่กลางอากาศ จากนั้น เร่งปฏิกิริยาปรมาณูให้พุ่งขึ้นถึงขีดสุด แล้วปลดปล่อยมันออกมาในรูปลักษณ์ของลำแสงพลังงานรูปร่างคล้ายจรวดมิสไซล์ขนาดเท่าท่อนแขนที่ยิงออกมาจากปีกที่ด้านหลัง จากนั้น ภายในพื้นที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 5 กิโลเมตร  เธอจะยิงถล่มจรวดมิสไซล์ปรมาณูออกมาด้วยความถี่สูงและยิงอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ

     

                    จรวดมิสไซล์ปรมาณูนี้จะถูกยิงสุ่มออกไปในทิศทางต่าง ๆ รอบด้านโดยไม่เลือกทิศทางหรือเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งเป็นหลัก เมื่อมันกระทบกับสิ่งใด จะเกิดการระเบิดกินอาณาบริเวณพื้นที่กว้างทันที การยิงจรวดนี้จะยิงออกมาจากร่างกายของเธอโดยตรงโดยไม่ผ่านออกมาทางมือ ปาก หรือท้องใด ๆ  มันจะถูกยิงออกมาจากร่างกายเธอด้วยปริมาณมหาศาลภายในช่วงเวลาหนึ่ง

     

                    พลังทำลายล้างของมิสไซล์ปรมาณูแต่ละลูกนั้นมีพลังทำลายล้างสูงที่สุดในบรรดาการโจมตีทั้งหมดที่เธอมีอยู่ และแรงระเบิดแต่ละลูกยังกินพื้นที่กว้าง นอกจากนั้นยังแผ่รังสีในระดับเข้มข้นกว่าปกติหลายเท่าอีกเช่นกัน เมื่อเกิดการระเบิดจึงทำให้ปริมาณรังสีตกค้างในบริเวณนั้นหนาแน่น จึงทำให้ผลของการดูดซับรังสีเพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมความเสียหายของร่างกายนั้นทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่าปกติหลายเท่าตัว

     

                    เช่นเดียวกัน แม้มาเรียน่าจะอยู่ข้างล่างในพื้นที่แรงระเบิด แต่ประสิทธิภาพของการฟื้นฟูจะเร่งสูงมากจนสามารถฟื้นฟูความเสียหายได้เหนือล้ำกว่าความเสียหายที่ได้รับ จึงทำให้เธออยู่ในสภาพที่แทบจะไม่สะทกสะท้านอะไรเลย

     

    อุณหภูมิของแรงระเบิด  : 40,000 – 50,000 องศาเซลเซียส

     

    ขนาดของพื้นที่แรงระเบิด  :  เส้นผ่านศูนย์กลาง 250 – 450 เมตร    

     

    แรงอัดของแรงระเบิด  :  เทียบเท่าความเร็วลม 10 มัค  ( 12,400 กิโลเมตร / ชั่วโมง )

     

    จำนวนของมิสไซล์ปรมาณูที่ยิงออกมาต่อ 1 วินาที  :  24 – 36

     

    ความสูงที่บินขึ้นไปกลางอากาศ  :  300 – 500 เมตร

     

    ระยะเวลาในการยิงมิสไซล์ปรมาณูต่อเนื่อง  : 1 นาที

     

     

     

     

     

    ------------------------------



    ประวัติความเป็นมา

     

    แต่เดิม เธอนั้นเป็นเด็กสาวเผ่าพันธุ์มนุษย์ใต้สมุทร ประชากรคนหนึ่งของอาณาจักรมูแห่งทวีปมู อาณาจักรที่เน้นการวิจัยและพัฒนาค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาณาจักรที่เชิดหน้าชูตาด้วยพลังแห่งอำนาจจิตอย่างออกหน้าออกตา ที่แท้จริงแล้วมีเบื้องหลังอันแสนลึกลับและน่าสะพรึงกลัวแอบซ่อนอยู่

     

    สภาพสังคมของอาณาจักรมูนั้น แม้ว่าจะเต็มไปด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ล้ำหน้าที่ช่วยสนับสนุนการใช้ชีวิตของประชากรให้สะดวกสบายและดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ แต่จริง ๆ แล้วกลับเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นต่าง ๆ ที่เกิดการแบ่งแยกอย่างเป็นรูปธรรม เหตุเพราะระบบขุนนางที่มีมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยก่อตั้งอาณาจักรเมื่อประมาณ 50,000 กว่าปีก่อนนั้นเป็นตัวการสนับสนุนให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นในปัจจุบัน กล่าวคือ คนชั้นสูงนั้นจะมีสิทธ์มีเสียงในการตัดสินใจเต็มที่ มีทั้งฐานะอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับกันอย่างเชิดหน้าชูตาในสังคม ไม่ว่าจะไปที่ใดผู้คนก็ต้องเคารพยำเกรง ในขณะที่คนชั้นล่างนั้นจะไม่สามารถมีสิทธิหรืออำนาจในการกระทำการใด ๆ ได้ตามอำเภอใจ และหน่วยงานต่างๆ ของทั้งราชการและเอกชนนั้นยังเลือกอำนวยความสะดวกให้กับชนชั้นสูงมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ชนชั้นล่างนั้นแทบจะไม่ดูดำดูดี

     

    ด้วยความไม่เท่าเทียมกันเช่นนี้ จึงทำให้ชนชั้นล่างนั้นเกิดความไม่พอใจอยู่เงียบ ๆ แต่เพราะไม่มีอำนาจที่จะกระทำการสิ่งใด จึงไม่อาจทำอะไรเพื่อเรียกร้องสิทธิหรือความเท่าเทียมกันให้กับพวกตนได้ ทำได้แค่เพียงแสดงอาการต่อต้านหรือไม่ยอมรับในตัวของชนชั้นสูงในเรื่องต่าง ๆ เช่น หลีกเลี่ยง ไม่ยอมพูดคุย หรือสุงสิงด้วย แอบมองเขม่นหรือนินทาลับหลัง ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ชนชั้นล่างก็ไม่อาจทำอะไรมากไปกว่านี้ได้แล้ว

     

    อันตัวเด็กสาวผู้นี้นั้น พ่อแม่ของเธอนั้นเป็นนักวิจัยที่ทำงานในสถาบันวิจัยและค้นคว้าของฝ่ายปกครองหรือก็คือรัฐบาลในขณะนั้นของทวีปมู ซึ่งเป็นตำแหน่งงานและหน้าที่ที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้เข้ามาทำงาน ดังนั้นแล้วจึงเท่ากับว่าเธอถูกมองเป็นชนชั้นสูงคนหนึ่งไปด้วย ซึ่งแม้ว่าเธอจะยังเป็นเด็กอยู่มาก (อายุประมาณ 11 – 12 ปีหากเทียบกับอายุของมนุษย์ในปัจจุบัน ) แต่เพราะเป็นลูกของชนชั้นสูงนี่เอง เธอจึงพลอยได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันจากเหล่าชนชั้นล่างที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของอาณาจักรไปด้วย

     

    แม้จะเดินเที่ยวเตร่ เดินเล่นอยู่ในเมือง แต่เหล่าชนชั้นล่างก็พากันมองเธอด้วยสายตาขุ่นเคือง เหมือนรังเกียจที่เห็นเธอมาเดินอยู่แถวนี้ ด้วยความที่จำนวนของชนชั้นสูงนั้นจัดว่าน้อย เมื่อเทียบกับประชากรส่วนใหญ่ของทวีปที่เป็นชนชั้นกลางและล่าง แม้กระทั่งในห้องเรียนก็ตาม ทำให้เธอนั้นไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะเพื่อนที่ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของชนชั้นล่างต่างก็พากันตั้งแง่รังเกียจเธอไปเสียแต่แรก ในชั้นเรียนที่นอกจากเธอกับอีก 2 - 3 คนแล้ว เธอก็ไม่สามารถเข้ากับเพื่อนในห้องที่ล้วนแต่เป็นลูกของชนชั้นล่างได้ เพื่อนที่ยอมคบหากับเธอด้วย ก็คบเพียงแต่ผิวเผินเท่านั้น และมันก็น้อยขนาดนับหัวได้

     

    นอกจากจะไม่มีเพื่อนแล้ว เธอยังไม่ค่อยได้พบหน้าพ่อกับแม่สักเท่าไร เพราะทั้งสองมักจะยุ่งอยู่กับงานในสถานีวิจัยอยู่ตลอดเวลา จนแทบไม่ได้กลับบ้าน แม้วันไหนจะได้กลับมาบ้านก็ตาม หากไม่ใช่เวลาที่เธออยู่ที่โรงเรียน ก็มักเป็นช่วงกลางดึก ที่เธอเข้านอนไปแล้ว  เธอจึงแทบไม่ได้พบหน้ากับพวกเขาเลย ไม่ได้พูดคุยหรือได้รับคำชมเชยหรือคำปลอบโยนอย่างที่ลูกพึงได้จากพ่อและแม่เลย

     

    และด้วยความที่เป็นคนอ่อนต่อโลก ค่อนข้างใสซื่อ เป็นพวกยอมให้กับคนอื่น จึงไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้าเวลาพบกับการต่อต้านจากชนชั้นล่าง และไม่กล้าพอที่จะเข้าไปทำความรู้จักกับใครสักคน เพราะกลัวว่าจะถูกปฏิเสธกลับอย่างแรงด้วยความเกลียดชังที่มีต่อชนชั้นสูง เธอจึงแทบไม่มีใครให้พูดคุยได้ด้วยเลย พ่อกับแม่ก็ไม่พบหน้า เพื่อนก็ไม่มี ทุก ๆ วันจึงใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวัน ๆ อย่างไม่ค่อยมีความหมายนัก สภาพเช่นนี้ดำเนินมาอย่างเนิ่นนานผ่านไปหลายสิบปี จนอยู่มาวันหนึ่งนั้น...

     

    ในตอนนั้น ระหว่างอาณาจักรมูที่ตั้งอยู่บนทวีปมู และอีกอาณาจักรหนึ่งซึ่งมีนามว่า “แอทแลนติส” ที่ตั้งอยู่บนทวีปแอตแลนติสในท้องทะเลอีกฟากหนึ่งของโลกนั้นมีเรื่องขัดแย้งเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานแล้ว แต่ถึงแม้ว่าทั้งสองทวีปจะขัดแย้งตรึงเครียดกัน แต่ก็ยังปล่อยให้มีการข้ามแดนกันได้ตามปกติ ประชากรของทั้งสองทวีปสามารถไปมาหาสู่กันได้โดยอิสระ

     

    เธอที่เดินเล่นเรื่อยเปื่อยอย่างไม่มีจุดหมายเป็นพิเศษ ได้ข้ามพรมแดนมายังดินแดนของทวีปแอทแลนติสโดยไม่ได้ตั้งใจ ระหว่างที่เดินเตร่ไปในเมืองเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย เธอก็พบว่าตัวเองหลงเข้ามาในจุดที่ซับซ้อน วกวน และไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงส่วนไหนของอาณาจักร เธอที่รู้ว่าตัวเองหลงทางเข้าให้แล้วก็เริ่มสับสนและตื่นกลัว เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของตน เธอเลยแทบจะไม่รู้จักถนนหนทางใด ๆ เลย อีกทั้งรอบข้างก็มีแต่คนไม่คุ้นหน้า ซ้ำเธอยังไม่มีความกล้าพอที่จะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากใคร เลยได้แต่วิ่งไปตามตรอกซอกซอยอย่างตื่นตระหนก แต่ในตอนที่ไปเจอกับทางตันและสิ้นหวังจนกลั้นน้ำตาไม่ไหวแล้ว ก็บังเอิญว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาทักเธอเสียก่อน และนั่นก็เป็นการได้พบกับเด็กสาวชาวแอทแลนติสผู้หนึ่งที่ชื่อ "เบอร์มิวด้า" เข้าเป็นครั้งแรก

     

    เด็กสาวผู้นั้นเข้ามาพูดคุยและซักถามเธออย่างอ่อนโยน และจากนั้นก็นำทางให้เธอจนออกไปเจอกับถนนใหญ่ที่เธอพอจะคุ้นเคยและนึกจดจำเส้นทางได้บ้างแล้ว แต่ก่อนจากกันเธอได้สอบถามชื่อ และในครั้งต่อมา เธอได้พบกับเด็กสาวผู้นั้นเข้าอีกครั้ง เพราะประทับใจในความช่วยเหลือในครั้งก่อนที่ได้ช่วยเธอไว้ในยามคับขันอย่างไม่มีข้อเรียกร้องใด ๆ เป็นการตอบแทน ช่วยเหลือเธอด้วยใจจริง เธอที่รู้สึกเหงาและอ้างว้างกับการอยู่ตัวคนเดียวมานานแสนนาน จึงได้เอ่ยปากขอร้องให้เด็กสาวนั้นเป็นเพื่อนกันกับเธอ ด้วยความที่เด็กสาวผู้นั้น (เบอร์มิวด้า) เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี อ่อนโยน ไม่คิดหน้าคิดหลังหรือมีเล่ห์เหลี่ยมอะไร จึงยอมรับเธอเป็นเพื่อนในทันที และหลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนกัน  เธอมักจะข้ามฝั่งเข้ามายังแอทแลนติสอยู่บ่อย ๆ  มาเกือบทุกวัน เพื่อมาพบกับเบอร์มิวด้า ทั้งสองต่างพูดคุย เล่นด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน พากันไปเที่ยวเล่นตามที่ต่าง ๆ ด้วยความสนุกสนานอยู่ทุกวัน และมันกลายเป็นความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเธอ ที่เธอไม่คิดว่าจะหาได้จากไหนอีกแล้ว

     

    แต่อย่างไรก็ดี แม้ในตอนนี้เธอจะได้มีเพื่อนสนิทจริง ๆ แล้วก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ยังอยากที่จะได้พบกับพ่อแม่ ได้พูดคุย ได้รับการปลอบประโลมจากพวกเขาอยู่ดี และความรู้สึกนี้นี่เอง ที่ในเวลาต่อมาได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเธอ ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

     

    วันหนึ่ง ขณะที่เที่ยวเล่นอยู่ในฝั่งแอทแลนติส เธออยากจะไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง จึงได้ขอร้องให้เบอร์มิวด้าช่วยพาไป ซึ่งสถานที่นั้น ก็คือสถานีวิจัยแห่งหนึ่งของฝ่ายกลาโหมแอทแลนติส ที่ตอนนั้นอาณาจักรแอทแลนติสอยู่ในภาวะกึ่งสงครามเย็นกับอาณาจักรมู จึงมีการจัดวางเวรยามเฝ้าระวังอย่างแน่นหนา และเพราะเบอร์มิวด้านั้นในแต่ละวันชอบวิ่งเล่นไปเรื่อยตามถนนหนทางตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ เธอจึงค่อนข้างรู้จักเส้นทางในการเข้าออกตามที่ต่าง ๆ เป็นอย่างดี แม้แต่กับสถาบันวิจัยนั้นก็เช่นกัน เธอรู้เส้นทางที่จะช่วยให้แอบเข้าไปภายในนั้นด้วย จึงนำทางพามาเรียน่าไปยังเส้นทางนั้น และช่วยให้แอบเข้าไปในนั้นได้ในที่สุด

     

    สาเหตุที่มาเรียน่าต้องการที่จะมาที่นี่นั้นเพราะเธอรู้มาว่าพ่อกับแม่ของเธอนั้นเป็นนักวิจัยที่ทำงานอยู่ในสถาบันค้นคว้าและพัฒนาด้านพลังจิตซึ่งอยู่ในสังกัดของฝ่ายกลาโหมของอาณาจักรมู ด้วยความคิดแบบเด็ก ๆ ที่ว่าอยากจะเอาเรื่องราวประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พอจะเป็นประโยชน์หรือพ่อกับแม่สนใจไปเล่าให้พวกท่านได้ฟัง เพื่อที่ว่าพวกท่านจะได้ชมเชยเธอที่ช่วยให้พวกท่านได้รู้อะไรใหม่ ๆ  อยากให้พวกท่านเอ็นดู ปลอบประโลมเธออย่างอบอุ่น และแสดงความรักใคร่กับเธอยิ่งกว่าที่ผ่านมาที่แทบไม่เคยได้รับเลยเพราะไม่ค่อยมีโอกาสได้พบหน้ากันมากนัก

     

    แต่แล้ว ความผิดพลาดก็เกิดขึ้น ในขณะที่กำลังเดินเที่ยวชมอย่างไม่ทันระวังตัวอยู่นั้น ก็ถูกทหารยามคนหนึ่งสังเกตเห็นเข้า เขารีบกดสัญญาณเตือนภัยและขอกำลังเสริมออกตามไล่ล่าทั้งสองคนทันที เบอร์มิวด้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบพาเธอหนีออกมา และเพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะมีเรื่องใหญ่ตามมา พวกทหารจะต้องรีบกระจายกำลังออกตามล่าตัวทั้งสองแน่ เบอร์มิวด้าจึงรีบส่งเธอกลับข้ามฝั่งมายังทวีปมูทันที ในช่วง 2 – 3 วันหลังจากมาเรียน่าที่ถูกเพื่อนกำชับไว้ว่าห้ามข้ามพรมแดนไปที่แอทแลนติสในช่วงหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้นจึงได้แต่อดทนรออย่างกระวนกระวาย เธอไม่อาจสงบใจที่นึกสังหรณ์ใจไม่ดีว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรบางอย่างขึ้นกับเบอร์มิวด้าไว้ได้

     

    ไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์นั้น สถานการณ์ระหว่างสองอาณาจักรก็พลันมาถึงจุดที่อยู่ในภาวะล่อแหลมอย่างถึงที่สุด เมื่ออยู่ ๆ ตามเขตชายแดนของทวีปแอตแลนติสนั้น ปรากฎข่ายพลังงานความหนาแน่นสูงขึ้นเป็นเสมือนกำแพง ที่กั้นขวางตลอดแนวชายแดนของทวีปแอทแลนติสโดยรอบ กำแพงที่มีรูปลักษณ์ชวนให้นึกถึงม่านพลังงานที่ปิดกั้นภายในเหมือนกับเป็นเขตแดนนี้ทอดยาวขึ้นสูงจนไม่อาจวัดได้ว่าสูงขึ้นไปถึงที่ระดับความสูงเท่าใดจากผิวน้ำทะเล ซึ่งม่านพลังนี้ที่เสมือนกับเป็นเขตแดนนี้เป็นผลจากมหาเวทโบราณบทหนึ่งของแอทแลนติสที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของ “เวทมนตร์” มาแต่ไหนแต่ไรที่ก่อให้เกิดเขตอาคมขนาดใหญ่ในรูปของกำแพงพลังงานขนาดมหึมา

     

    แอทแลนติสจะสร้างม่านพลังงานเขตแดนนี่ด้วยจุดประสงค์ใดนั้นทางฝั่งมูเองก็ไม่อาจทราบได้ชัด แต่คณะรัฐมนตรีและฝ่ายปกครองทั้งหลายต่างพากันปักใจเชื่อว่านี่คือการแสดงเจตนาอย่างชัดเจนของแอทแลนติสที่ต้องการจะสร้างม่านพลังเพื่อป้องกันการโจมตีตอบโต้กลับอย่างฉับพลันจากฝั่งมู เป็นไปได้ว่าทางฝั่งแอทแลนติสอาจจะกำลังเตรียมการจู่โจมขนานใหญ่อยู่ก็เป็นได้ และด้วยความคิดเช่นนั้นของเหล่านักปกครอง รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการฉุกเฉินเข้าสู่สภาวะสงครามเต็มรูปแบบทันที เตรียมทำการโจมตีตอบโต้เต็มที่

     

    ในขณะเดียวกัน รัฐบาลได้มีคำสั่งอพยพประขากรเข้าสู่ที่หลบภัยต่าง ๆ ทั่วอาณาจักรเป็นการเร่งด่วน ซึ่งในช่วงนั้นเหล่าชนชั้นสูงต่างมีเจ้าหน้าที่ไปรับและถูกพาเข้าไปยังหลุมหลบภัยพิเศษที่ฝ่ายปกครองสร้างขึ้นเพื่อชนชั้นสูงโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนาง อำมาตย์ เหล่าข้าราชการและคณะบริหารและฝ่ายปกครองต่าง ๆ รวมถึงพวกนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการในสาขาต่าง ๆ ด้วย ซึ่งก็รวมถึงครอบครัวของเธอด้วยเช่นกัน ในหลุมหลบภัยนั้นเธอได้พบกับพ่อและแม่ จึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่ได้รู้ว่าพวกท่านนั้นอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว หากแต่เธอนั้นยังคงวางใจไม่ได้ เพราะยังมีอีกคนหนึ่งที่เป็นคนสำคัญที่เธอยังคงวิตกกังวลว่าในตอนนี้จะตกอยู่ในสภาวะแบบไหน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรนั้นอยู่ และคนคนนั้น ก็คือเพื่อนคนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวของเธอ นั่นก็คือเด็กสาวที่ชื่อ เบอร์มิวด้า

     

    โดยไม่ฟังคำทัดทานใด ๆ ของใคร เธอรีบหนีออกไปจากหลุมหลบภัย เพื่อรีบข้ามพรมแดนไปยังทวีปแอทแลนติสโดยไม่รู้มาก่อนเลยว่าตอนนี้พรมแดนไม่สามารถข้ามไปได้อีกแล้ว เหตุเพราะเขตแดนม่านพลังนั้นก่อตัวขึ้นรอบชายแดนของทวีปแอทแลนติสแล้ว อีกทั้งยังถูกประกาศเป็นเขตปิดตายห้ามเข้าออก ประชากรของทั้งสองทวีปไม่สามารถไปมาหาสู่กันได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว และด้วยเหตุผลเช่นนั้นนี่เอง เธอจึงถูกทหารที่ลาดตระเวนและรักษาการตรงชายแดนตรวจพบเข้าและจับตัวไว้ได้ในทันที ด้วยความสงสัยกว่าการพยายามจะข้ามชายแดนให้ได้ของเธอนั้นชวนให้ต้องสงสัยว่าเธออาจเป็นสปายให้กับฝั่งแอทแลนติส ที่จะรีบกลับไปเพื่อนำข้อมูลลับที่สืบมาได้จากฝั่งนี้ไปส่งให้กับฝ่ายปกครองของแอทแลนติส

     

    เธอและครอบครัวถูกนำไปขึ้นศาล และด้วยบทบัญญัติเฉพาะกาลในภาวะฉุกเฉินยามสงคราม ศาลจึงตัดสินให้เธอและพ่อแม่ ทั้งครอบครัวนั้นต้องได้รับโทษทัณฑ์ในข้อหา “กบฎ”  และโทษที่พวกเธอทั้งครอบครัวจะได้รับนั้น คือการ “ประหารชีวิต”

     

    หัวใจเหมือนหยุดเต้นไปชั่วอึดใจเมื่อได้ยินคำตัดสินโทษ ความผิดของใครกันที่เป็นคนนำความวิบัตินี้มาสู่ครอบครัว เป็นเพราะเธอไม่ใช่หรือ เป็นเพราะเธอนี่เองที่กำลังจะทำให้ตัวเองต้องตาย ซ้ำ ยังจะทำให้พ่อกับแม่ของเธอต้องมาจบชีวิตไปด้วยเพียงเพราะความเลินเล่อของเธอที่ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน เธอรู้สึกปวดร้าว ขมขื่น สิ้นหวัง ยิ่งกว่าในครั้งไหน ๆ ที่เคยได้รู้สึกและเผชิญมาก่อนในชีวิตนี้ ใบหน้าตื่นตระหนกและบิดเบี้ยวอย่างหวาดกลัวต่อความตายที่กำลังมารอคอยอยู่ตรงหน้าของพ่อและแม่นั้น แทบจะฉีกกระชากใจของเธอให้ขาดเป็นชิ้น ๆ

     

    แต่แล้ว ผู้นำของคณะรัฐบาลในตอนนั้นได้นำข้อเสนอที่ไม่นึกไม่ฝันมายื่นให้เธอ เขาเสนอว่าในตอนนี้เขามีแผนการลับอยู่แผนการหนึ่ง ที่ต้องอาศัยการแทรกซึมเข้าไปภายในอาณาจักรแอทแลนติสที่ตอนนี้อยู่ในสภาวะเหมือนเป็นเขตแดนปิดกั้นจากโลกภายนอกด้วยม่านอาคมขนาดใหญ่ในรูปลักษณ์ของกำแพงที่ทอดยาวปิดล้อมทวีปไว้โดยรอบ เขาจะเสนอให้เธอนั้นนำวัตถุชนิดหนึ่งไปที่ตำแหน่งที่เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าที่ให้พลังงานหลักแก่อาณาจักร และเมื่อถึงตอนนั้นเธอค่อยดำเนินการตามแผนขั้นต่อไปตามที่เขาได้กำหนดไว้อีกที ซึ่งถ้าหากเธอยอมรับภารกิจนี้แล้ว ผู้นำรับปากว่าจะละเว้นโทษครั้งนี้ให้กับครอบครัวของเธอ

     

    ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากให้พ่อกับแม่ต้องเป็นอะไรไป เธอรีบตกปากรับคำทันที ที่สำคัญ เธอคิดว่าหากได้เข้าไปในเขตของทวีปแอตแลนติสแล้ว อาจได้มีโอกาสพบกับเพื่อนของเธออีกครั้ง

     

    ในช่วงหลังมานี้ ฝ่ายอาณาจักรมูนั้นไม่รู้เลยว่า อาณาจักรแอทแลนติสนั้นได้พัฒนาอาวุธทำลายล้างชนิดใหม่ขึ้นมาได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งอาวุธชนิดนี้เป็นผลจากการทดลองใช้ปฏิกิริยาปรมาณูที่เมื่อแตกตัวแล้วจะให้พลังงานมหาศาล ทางกลาโหมได้เร่งวิจัยและพัฒนาจนผลิตออกมาเป็นระเบิดทำลายล้างได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งเพียงแค่ลูกเดียวก็มีอำนาจการทำลายล้างที่สูงมากแล้ว มิหนำซ้ำในตอนที่เกิดภาวะตึงเครียดในขณะนี้ ทางแอทแลนติสได้ผลิตระเบิดชนิดนี้ออกมาแล้วเป็นจำนวนมากจนเรียกได้ว่านับไม่ถ้วน มากพอที่จะสั่งยิงออกไปทำลายล้างทุกจุดของโลกเบื้องบนบนผืนพิภพให้ราบเป็นหน้ากลอง ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพียงแค่การออกคำสั่งเพียงครั้งเดียว

     

    และชื่อของระเบิดชนิดนั้นก็คือ “鬼角 ( คิคาขุดัน  - ระเบิดมุมปีศาจ ) ระเบิดทำลายล้างในลักษณะคล้ายคลึงกับจรวดมิสไซล์ข้ามทวีปนำวิถีที่เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลของปรมาณูแบบแตกตัว แต่กว่าพวกมูจะรู้เรื่องที่แอทแลนติสมีการผลิตระเบิดชนิดนี้ได้เป็นผลสำเร็จ ก็หลังจากที่ส่งเด็กสาวผู้นี้พร้อมกับอุปกรณ์บางอย่างลอบเข้าฝั่งแอทแลนติสมาแล้ว

     

    เธอที่ถูกสั่งให้ขนสิ่งหนึ่งไปที่โรงไฟฟ้าหลักซึ่งเป็นแหล่งจ่ายพลังงานหลักของฝั่งแอทแลนติสก็ได้มาถึงสถานที่นั้นแล้ว และจากนั้นก็ได้รับการถ่ายทอดคำสั่งขั้นต่อไป เธอถูกสั่งให้กดสวิตช์ที่ไม่ได้รับคำอธิบายว่าคืออะไร เพื่ออะไร ซึ่งจริง ๆ แล้วของที่เธอถูกบอกให้ขนมานั่นคือ ระเบิดทำลายล้างสูงชนิดหนึ่งที่รุนแรงพอจะถล่มตึกสูงให้พังทลายได้ในทีเดียว ซึ่งเป้าหมายของผู้นำนั้น คือการทำให้เธอกลายเป็นมือระเบิดพลีชีพ เพื่อทำลายล้างแหล่งจ่ายพลังงานของแอทแลนติส ทำให้ระบบจัดการต่าง ๆ ทั้งทางสาธารณูปโภคและระบบในการสงครามต่าง ๆ เกิดความเสียหายเนื่องจากไม่สามารถดำเนินการต่อได้เพราะขาดพลังงาน หากแต่เกิดความผิดพลาดขึ้น เมื่อเธอถูกทหารของแอทแลนติสจับได้เสียก่อน

     

    ผู้นำของฝั่งแอทแลนติสทราบเรื่องนี้โกรธแค้นมาก เขาจำได้ว่ามาเรียน่านั้นเป็นหนึ่งในเด็กสาวสองคนที่เข้ามาป้วนเปี้ยนทำลับ ๆ ล่อ ๆ ในสถาบันวิจัยของกลาโหมเมื่อหลายวันก่อน พอได้พบหน้ากันอีกครั้งก็เห็นจริงตามที่ตัวเองโกรธแค้น โกรธที่ฝั่งมูกล้าพอที่จะส่งเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอมาทำหน้าที่สปาย แต่อย่างไรก็ดี เด็กสาวคนก่อนที่พวกทหารจับตัวมาได้จากย่านสลัม เขาได้สั่งลงโทษเธอไปแล้ว และชะตากรรมของเบอร์มิวด้าเพื่อนของเธอที่มาเรียน่าได้ยินต่อจากนั้น ก็ทำเอาเธอถึงกับเข่าอ่อนล้มพับลงอย่างรู้สึกสิ้นหวัง เหตุเพราะผู้นำรัฐบาลของแอทแลนติสนั้น ได้จับเธอไปทำพิธีสร้างเขตอาคมม่านพลังขนาดมหึมาปิดล้อมทวีปแอทแลนติสตัดขาดจากโลกภายนอก ซึ่งร่างของเด็กสาวเบอร์มิวด้านั้น ได้ถูกนำไปเป็นแกนกลางของม่านพลังนี้ ด้วยการจับเธอฝังทั้งเป็น

     

    มหาเวทอาคมเขตแดนที่ใช้ร่างของเด็กสาวพรหมจรรย์เป็นแกนกลางนั้นได้ก่อตัวขึ้นและกลายเป็นกำแพงสูงปิดล้อมทวีปรอบด้านสูงขึ้นไปเสียดฟ้า และแม้จะไม่ต้องบอกให้ชัด แต่เธอก็รู้ดีว่าเพื่อนของเธอป่านนี้จะเป็นอย่างไร  ในสภาพที่ถูกจับฝังดินทั้งเป็น ป่านนี้เบอร์มิวด้าจะยังมีชีวิตรอดอีกหรือ ป่านนี้แล้วจะยังคงอยู่ได้อีกหรือ เรื่องนั้นต่อให้หลับตาฝันยังเป็นไปได้มากกว่าเลย

     

    เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด รู้สึกเหมือนกับหัวใจกำลังปริแตกเมื่อได้รู้เรื่องที่ต้องสูญเสียเพื่อนไปกับพิธีกรรม เธอล้มลงแทบจะหมดสติไป หากแต่ยังไม่ทันที่ผู้นำรัฐบาลชองฝ่ายแอทแลนติสจะสั่งลงโทษอะไรกับเธอที่ตอนนี้มีสภาพไร้เรี่ยวแรงราวกับร่างไร้วิญญาณ เขาสั่งยิงระเบิดชนิดใหม่ที่ว่าเข้าใส่ฝั่งมูทันที

     

    แต่ความหายนะขั้นร้ายแรงก็เกิดขึ้นเสียก่อน เมื่อขั้นตอนการสั่งยิงนั้นเกิดการผิดพลาด จากคำสั่งเดิมที่จะเป็นการขับดันเหล่าจรวดพ่วงระเบิดทำลายล้างปรมาณูยิงออกไปยังเป้าหมาย กลับกลายเป็นคำสั่งที่ทำให้เหล่าระเบิดทำลายล้างนั้นเกิดการระเบิดตัวเองขึ้น และคำสั่งเหล่านี้ ถูกส่งไปยังระเบิดทำลายล้างชนิดเดียวกันนี้ทุกลูกที่ถูกเก็บไว้ตามที่ต่าง ๆ ทั่วอาณาจักรทั้งทวีป และผลของคำสั่งที่ผิดพลาดนี้เอง...

     

    ระเบิดทำลายล้างครั้งยิ่งใหญ่ ที่พร้อมใจกันปะทุพร้อมกันทั่วราชอาณาจักร แรงระเบิดมหึมาที่มาพร้อมรังสีความร้อนและกัมมันตภาพรังสีชนิดต่าง ๆ แผ่พุ่งออกไปทุกทิศทุกทางด้วยแรงขับมหาศาล แรงอัดกระแทกอย่างหนักหน่วงซัดทำลายสิ่งปลูกสร้าง อาคาร บ้านเรือนต่าง ๆ พังพินาศวายวอดกลายเป็นซากปรักหักพัง คลื่นความร้อนมหาศาลแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างจนลุกไหม้เปลวเพลิงร้อนแรงโหมกระหน่ำ ส่งควันดำทะมึนพวยพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำบดบังแสงใด ๆ จนมืดมิดไม่อาจมองเห็นสิ่งใด ๆ ได้อีก กัมมันตภาพรังสีปริมาณและความถี่สูงแผ่พุ่งออกไปรอบด้าน สังหารสิ่งมีชีวิตใด ๆ ทั้งมนุษย์ใต้สมุทรและสัตว์ต่าง ๆ ที่เหลือรอดจากแรงระเบิดจนตายตกตามกันไปจนสิ้นทวีป

    แรงระเบิดทำลายล้างที่พร้อมใจกันระเบิดทั่วทั้งทวีปนั้นทางฝั่งทวีปมูเองก็ตรวจจับการระเบิดและแรงสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จากการระเบิดครั้งนี้ได้ แต่ขณะที่พวกเขาต่างเร่งเตรียมการอพยพและป้องกันอย่างตื่นตระหนกนั้น ก็นับว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง ที่มหาอาคมเวทเขตแดนที่ฝั่งแอทแลนติสได้สร้างเป็นกำแพงปิดล้อมชายแดนทวีปตัดขาดออกจากโลกภายนอกนั้น มันช่วยทำหน้าที่ปิดกั้นแรงระเบิด คลื่นความร้อน คลื่นกระแทก และกัมมันตภาพรังสีใด ๆ ที่แพร่กระจายไม่ให้หลุดรอดออกมาได้ ซึ่งนับจากนั้นมา พื้นที่ของอาณาจักรแอทแลนติสภายในเขตแดนปิดกั้นนั้นได้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายไปโดยสมบูรณ์ ตลอดทุกซอกทุกมุมทุกตารางนิ้วนั้นถูกปกคลุมไปด้วยกัมมันตภาพรังสีเข้มข้นที่อัดกันอยู่อย่างหนาแน่น ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ สามารถดำรงชีพอยู่ได้ภายในอาณาเขตนี้อีกต่อไป

     

    ส่วนมาเรียน่าที่ตอนนั้นบังเอิญว่าอยู่ภายในพื้นที่ของอาณาจักรแอทแลนติสเข้าพอดี ในช่วงที่เกิดการระเบิดขึ้นนั้น โชคดีว่าเศษซากปรักหักพังของอาคารและสิ่งก่อสร้างที่ถล่มลงมาจากแรงระเบิดที่อัดกระแทกนั้นช่วยเป็นที่กำบังให้ เธอจึงรอดตายมาจากแรงระเบิดได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่อย่างไรก็ดี มันก็ไม่อาจนับว่าเป็นโชคดีไปได้ เพราะสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น คือกัมมันตภาพรังสีความเข้มข้นสูง ที่เธอต้องรับมันเข้าไปเต็ม ๆ

     

    เป็นเวลานานเท่าใดไม่อาจชี้ชัดลงไปได้ แต่เธอต้องทนทุกข์ทรมานจากผลของรังสีที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อและอวัยวะภายในต่าง ๆ ของเธอ จนระบบต่าง ๆ ในร่างกายเธอล้มเหลว แต่แม้ในตอนที่กำลังทุรนทุรายจวนเจียนจะขาดใจ เธอก็ยังคงนึกถึงเพื่อนของเธอคนนั้นอยู่ ตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต แล้วในที่สุด ลมหายใจสุดท้ายของเธอก็ขาดห้วงลงไป...จากโลกนี้ไปในที่สุด....

     

    อาจจะเหมือนกับเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์  หลังจากนั้นนานเท่าใดไม่อาจประมาณให้แน่ชัดได้ แต่แล้วเด็กสาวที่ถูกพิษของกัมมันตภาพรังสีเข้าไปจนขาดใจตาย ในที่สุดก็พลันลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอสับสนและไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่ตาย ในบรรยากาศและอากาศที่เพียงแค่อยู่เฉย ๆ ก็ทำให้ตัวเธอถึงกับขาดใจตายได้แบบนี้  อย่างไรก็ดี เธอสำรวจบาดแผลและความเสียหายต่าง ๆ แล้วพบว่าอาการบาดเจ็บจากพิษของรังสีก่อนหน้านั้นหายไปแล้ว หากแต่กลับมีสิ่งแปลกปลอมเพิ่มขึ้นมา นั่นคือกลุ่มของสิ่งที่มีลักษณะแบนยาวคล้ายกับแผงกระโดงหลังหรือปะการังรูปร่างแบนที่งอกออกมาจากแผ่นหลังด้วยกันทั้งหมด 3 แถว ที่ขึ้นไล่ลงไปตามแนวกระดูกสันหลังลงไปจนเกือบถึงก้น  เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงมีสิ่งนี้งอกออกมาจากร่างกายของเธอ

     

    เมื่อพยายามนึกอยู่สักพักใหญ่ เธอก็พอจะนึกออกได้อย่างเลือนลาง ว่าในช่วงที่เธอเข้าใจว่าตัวเองตายไปแล้วนั้น ขณะที่ใจก็ยังคงนึกถึงและต้องการจะพบกับเพื่อนของเธออีกครั้ง อยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับมีใครสักคนพูดกับเธอ เหมือนจะเป็นเสียงของผู้ชายที่พูดกับเธอว่า

    “...แม้ชีวิตจะหาไม่แล้ว แต่เจ้าก็ยังคงเรียกร้อง ยังอยากจะพบกับเพื่อนอีกครั้งงั้นรึ แม่หนู”

    “แม้นว่าหลังจากนี้เจ้าจะต้องพบกับความทุกข์ยากแสนสาหัส แต่ก็ยังอยากจะไปหาเพื่อนให้ได้อย่างงั้นรึ เจ้าให้ความสำคัญกับเพื่อนคนนั้นมากขนาดนั้นเลยรึ”

    “หากเจ้าคิดว่าทนกับมันได้ หากเจ้าคิดว่ายอมรับในชะตากรรมหลังจากนี้ของเจ้าได้ ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าได้ไปพบกับเพื่อนคนสำคัญของเจ้าอีกสักครั้ง”

    “ว่ายังไงล่ะ แม่หนูน้อยที่น่ารัก”

    เธอไม่แน่ใจว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร แต่เพราะใจปราถนาที่จะได้พบกับเบอร์มิวด้าอีกครั้ง เธอจึงตอบตกลงกับเขาไป แม้จะไม่เข้าใจว่าความทุกข์ยากแสนสาหัสที่เสียงปริศนานั้นได้พูดถึงไว้คืออะไรก็ตาม แต่พอรู้สึกตัวอีกที เธอก็ฟื้นคืนสติและพบกับอวัยวะปริศนาที่งอกออกมาจากแผ่นหลังนี่แล้ว

     

    แม้จะยังสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เพราะตอนนี้คิดและกังวลถึงสถานภาพของพ่อและแม่ เธอจึงเร่งรุดหน้าไปที่พรมแดนและข้ามชายแดนกลับไปที่ฝั่งอาณาจักรมูอีกครั้ง หากแต่เพียงก้าวแรกที่ข้ามผ่านชายแดนเข้าไปยังดินแดนของฝั่งมู เหล่าทหารติดอาวุธที่รักษาชายแดนต่างพากันกรูกันเข้ามาจู่โจมเธอทันที เธอรู้สึกหวาดกลัวและตื่นตระหนก ทำไมต้องเข้ามาทำร้ายเธอด้วย เธอเพียงแค่ต้องการอยากจะกลับไปหาพ่อแม่ของเธอเท่านั้น เธอไม่อยากถูกทำร้าย ไม่อยากพบกับความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานอีกแล้ว

     

    และทันใดนั้น เธอรู้สึกเหมือนวูบไปเสียเฉย ๆ พอรู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าเหล่ากองทหารรักษาดินแดนที่เมื่อครู่พุ่งเข้ามาจะทำร้ายเธอนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณที่บ้างก็เละเป็นเศษชิ้นส่วน บ้างก็หายไปเกือบทั้งร่าง กระจายเกลื่อนกลาดอยู่รอบตัวอย่างน่าสยดยอง รอบข้างมีแต่กัมมันตภาพรังสีหนาแน่นกระจายฟุ้งไปทั่วเหมือนดังเช่นในพื้นที่ของทวีปแอตแลนติสที่เธอเพิ่งจากมา

     

    อย่างไรก็ดี แม้จะรู้สึกหวาดกลัวมากสักเพียงใด แต่เธอก็ไม่มีเวลาพอจะใส่ใจกับเรื่องนี้ เพราะเธอไม่รู้ว่าจากตอนที่พ่อกับแม่และเธอถูกจับไปขึ้นศาลและตัดสินโทษ มาจนถึงตอนนี้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้พอกับแม่ของเธอจะยังปลอดภัยดีหรือไม่ เธอจึงรีบร้อนเดินทางเข้าไปในเมืองทันที

     

    อย่างไรก็ตาม ผู้นำรัฐบาลของอาณาจักรมูในตอนนั้นได้รับรู้ถึงเรื่องของเธอแล้ว เมื่อรู้ว่ารอบตัวเธอนั้นอยู่ ๆ ก็มีกัมมันตภาพรังสีที่ไม่ทราบที่มาปรากฎขึ้นอย่างลึกลับ เขากลัวว่าเธอจะเป็นต้นตอของการแพร่กระจายรังสี จึงออกคำสั่งให้กองทหารยกกำลังพลกันมาเต็มอัตราศึก เพื่อจัดการเธอให้ได้ก่อนที่จะเอาความเสียหายเข้าสู่เขตเมืองหลวง

     

    ทุกคมหอก คมดาบ ปืน ลำแสงและอาวุธสงครามนานับชนิดทั้งหนักเบา ทั้งโบร่ำโบราณ ร่วมสมัยและล้ำยุค สารพัตการโจมตีถูกซัดเข้าใส่เด็กสาวตัวน้อยที่บอบซ้ำมาจากฝั่งแอทแลนติส เธอได้แต่หลับตาด้วยความกลัว ซึ่งเมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าเหล่าทหารกองใหญ่ได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว เหลือแต่เพียงเศษซากของอาวุธสงคราม ยานพาหนะ ต่าง ๆ และเศษชิ้นส่วนร่างเนื้อของเหล่าทหารนับพันที่กระจัดกระจาย เธอตกใจกลัวจนแทบจะอาเจียนออกมา หากแต่จำต้องแข็งใจรีบผ่านไปเพื่อค้นหาตัวพ่อแม่ต่อ ซึ่งในที่สุดเธอก็ฝ่าเข้าไปถึงภายในตึกของที่ทำการรัฐบาลที่มีผู้นำอาณาจักรกบดานอยู่ภายในนั้น และที่นั่นเธอได้พบว่า พ่อกับแม่ของเธอถูกลงโทษประหารชีวิตไปแล้ว ด้วยข้อหาเดิมที่ถูกตัดสินไว้ตั้งแต่ตอนแรก "กบฎ" ซึ่งทำขึ้นหลังจากปล่อยตัวเธอออกไปยังฝั่งแอทแลนติสเพื่อทำการแทรกซึมในทันทีทันใด

    ไม่มีข้อตกลง ไม่มีคำสัญญาใด ๆ ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องโกหก เป็น  คำพูดลม ๆ แล้ง ๆ เพื่อหลอกใช้ให้เธอไปทำลายฝั่งศัตรูโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร เพียงแค่ระเบิดพลีชีพลูกเดียวแลกกับแหล่งจ่ายพลังงานหลัก ก็มากพอจะตัดกระแสไฟฟ้าหลัก ขัดขวางขั้นตอนการรบหลาย ๆ อย่าง และการดำเนินชีวิตฝั่งแอทแลนติสได้แล้ว

     

    ทันทีที่รับรู้ความจริงว่าพ่อกับแม่ถูกฆ่าตายไปแล้ว จิตใจของเธอก็แตกสลาย ความเศร้าที่ต้องสูญเสียพ่อแม่ และความเจ็บปวดที่ได้รับรู้ว่าเพื่อนของเธอต้องกลายเป็นผนึกเสามนุษย์ไปเพียงเพราะเรื่องความขัดแย้งของสองฝั่ง ได้แปรเปลี่ยนเป็นความแค้น แค้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตของเด็กสาวผู้อ่อนโยน และในทันใดนั้นเอง สติของเธอก็ดับวูบไป ซึ่งเมื่อรู้สึกตัวอีกที เธอก็พบแต่ซากปรักหักพังของการทำลายล้างอย่างไม่น่าเชื่อ

                   

                    และสติของเธอก็ดับวูบไป ซึ่งเมื่อรู้สึกตัวอีกที เธอก็พบแต่ซากปรักหักพังของการทำลายล้างอย่างไม่น่าเชื่อไม่เหลือเค้าว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใด ๆ หลงเหลืออยู่ ราวกับว่าทั้งอาณาจักร ทั้งทวีปนั้น ได้กลายสภาพเป็นเพียงเมืองที่ว่างเปล่ากลางเศษซากปรักหักพังและควันไฟโหมกระหน่ำพวยพุ่งไปแล้ว

     

    ท่ามกลางซากรกร้างนั้น เธอที่จิตใจแตกสลายจากเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น ทั้งสูญเสียพ่อแม่ สูญเสียเด็กสาวคนหนึ่งที่ยอมรับเธอเป็นเพื่อนคนแรก และเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอไป ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปแล้ว เธอนึกถึงเพียงแต่เพื่อนของเธอเท่านั้น เพราะแม้จะได้ยินมาว่าถูกจับไปทำเสาผนึก แต่ลึก ๆ ก็อยากจะเชื่อว่าเพื่อนของเธอยังอยู่ในนั้น ในดินแดนที่เต็มไปด้วยกัมมันตภาพรังสีที่อัดแน่นและไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ เธอจึงมุ่งหน้ากลับเข้าไปยังที่แห่งนั้นอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าจะได้พบกับเพื่อนของเธออีกสักครั้ง

     

    หลังจากที่ออกตามหาภายในพื้นที่ของทวีปแอตแลนติสมานานกว่าสองพันปี เธอที่ไม่พบวี่แววหรือร่างของเบอร์มิวด้าเลยจึงเริ่มคิดว่าบางทีเพื่อนของเธออาจไม่ได้อยู่ในพื้นที่นี้แล้ว อาจออกไปสู่ทะเลเปิดภายนอกแล้ว จากนั้นมาเป็นเวลาหลายพันปีผ่านไป เธอเที่ยวตระเวณไปทั่วท้องทะเลในทุกซอกทุกมุมของผืนมหาสมุทรใด ๆ บนโลกใบนี้ จนเมื่อเวลาผ่านไปกว่าหมื่นปีนับจากเหตุการณ์การล่มสลายของอาณาจักรทั้งสอง เธอได้พบร่องรอยบางอย่างที่รู้สึกว่าอาจจะเป็นเพื่อนของเธอแถว ๆ ทะเลฟากตะวันออกของแผ่นดินหมู่เกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เธอจึงติดตามไป และที่นั่นเธอพบกับอาณานิคมใต้ทะเลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ต่อมาได้ทราบชื่อในภายหลังว่า “วังมังกร” ซึ่งหากเทียบกับขนาดของอาณาจักรมูและแอทแลนติสแล้วนับว่าเล็กกว่ากันมาก แต่ก็จัดว่ามีขนาดใหญ่โตพอสมควรไม่น้อย และที่ด้านหลังของอาณานิคมแห่งนั้น เธอได้ทันเห็นร่างเล็ก ๆ ที่เหมือนจะเป็นเพื่อนของเธอหายไปต่อหน้าต่อตา จึงคิดจะฝ่าเข้าไปในอาณานิคมแห่งนั้นเพื่อตามไปให้ทัน

     

    แต่ยังไม่ทันจะเข้าไป ก็ถูกขัดขวางโดยกองกำลังรักษาอาณานิคม ทำให้เธอไม่สามารถฝ่าไปได้ มิหนำซ้ำ ในระหว่างที่ติดพันและไม่อาจไปต่อได้นี้ ในตอนนั้นเอง กลุ่มขององค์หญิง ”トリエステ” ( ทรีเอสเต ) แห่งอาณาจักรมูซึ่งเป็นราชวงศ์คนสุดท้ายพร้อมกับเหล่าผู้ติดตามอีกหลายคนที่ไล่ตามเธอมาติด ๆ ก็มาถึง และด้วยความแค้นขององค์หญิงที่คิดจะจัดการกับมาเรียน่าซึ่งเธอจำได้ว่าเป็นคนที่เข่นฆ่าและทำลายล้างอาณาจักรมูที่เธอได้รับสืบทอดมาจากกษัตริย์  チャレンジャー” ( ชาลเลนเจอร์ ) ผู้ป็นพ่อเสียจนถึงแก่การล่มสลาย ไม่อาจใช้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยได้อีกต่อไปทั้งทวีปนั้น องค์หญิงจึงได้ออกคำสั่งให้เหล่าผู้ติดตามและองค์รักษ์เข้าจู่โจมเด็กสาวทันที เกิดเป็นการต่อสู้กันอย่างรุนแรง ดุดัน หนักหน่วง ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังโหมกระหน่ำซัดเข้าใส่เธอ

     

    มิหนำซ้ำ เธอยังถูกกลุ่มของเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรแอทแลนติสพร้อมกลุ่มผู้ติดตามหมายปองตัวเธอไว้ในฐานะผู้แข็งแกร่งที่เหมาะแก่การเป็นหนึ่งในกำลังรบของกลุ่ม เธอจึงต้องเผชิญกับการกลุ้มรุมทำร้ายจากกลุ่มของชาวแอทแลนติสที่ต้องการจับเธอไปเข้ากลุ่มให้ได้ และที่ร้ายที่สุดคือ แม้เธอจะพยายามหาทางรอดจนไปเจอตัวเบอร์มิวด้าผู้เป็นเพื่อนได้อีกครั้งแล้วก็ตาม แต่เพื่อนของเธอแทนที่จะยินดีที่ได้พบกับเธออีกครั้ง กลับด่าทอและต่อว่าเธออย่างสาดเสียเทเสีย แสดงความเกลียดชังอาฆาตแค้นอย่างรุนแรงออกมา ซ้ำยังพยายามจู่โจมเข้าใส่เธออย่างเอาจริงเอาจังราวกับต้องการประหัตประหารเธอให้ด่าวดิ้น ความเจ็บปวดของมาเรียน่าในตอนนั้นที่ถูกเพื่อนคนสำคัญแสดงความมุ่งร้ายเข้าใส่อย่างรุนแรงทำเธอขมขื่นจนพูดอะไรไม่ออก และแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเอาจริงเอาจังกับการไล่เข่นฆ่าเธอ แต่เธอก็ไม่อาจหักใจตอบโต้กลับใส่เพื่อนคนสำคัญของเธอได้

     

    ในสภาวะที่ไม่ว่าใครฝ่ายไหนต่างก็คิดจะทำร้ายเธอแบบนี้แล้ว เธอจะทำเช่นไรต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×