คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : หอกแห่งโชคชะตา (Spear of Destiny)
Spear of Destinyหอกแห่งโชคชะตา
หอกลองจินุส(Lance of Longinus)/หอกศักดิ์สิทธิ์( Holy lance )หรือที่รู้จักกันดีในนามของหอกแห่งโชคชะตา ( Spear of Destiny ) ล่าสุดที่คุ้นๆคงมาจากหนังเรื่อง คอนสแตนติน Constantine แต่ผมขอเล่าในแง่มุมประวัติศาสตร์นะครับ
หอกลองจินุสนี้ได้ถูกส่งผ่าน ผู้ครอบครองมาหลายชั่วอายุคน ส่งต่อผ่านผู้ครอบครองมาหลายชั่วอายุคน ผ่านจากราชวงศ์หนึ่งไปสู่ราชวงศ์หนึ่งเป็นทอดๆ เชื่อกันว่าหอกอันนี้มีอำนาจวิเศษ เป็นสัญลักษณ์ของการได้สิทธิอำนาจครอบครองและความยิ่งใหญ่ผ่านทางพระหัตถ์ พระเจ้า การทรมานและตรึงกางเขนของพระเยซูก่อให้เกิด หอกแห่งโชคชะตา นายทหารโรมันชื่อ กาลิอัส คาสเซียส ลองจินุส ( Gaius Cassius Longinus ) ซึ่งมีอาการตาใกล้บอด ได้รับหน้าที่ตรึงกางเขนพระเยซู ได้ใช้หอกแทงสีข้างพระเยซู ทำให้เลือดไหลพุ่งมาที่หน้าและตาของเขา ปฏิหารย์เกิดขึ้นทำให้ตาหายบอดเกิดศรัทธาจนออกจากกองทัพและบวชเป็นนักบวชใน ศาสนาคริสต์ หลังจากนั้นถูกทรมานโดยโรมันจนเสียชีวิตและกลายเป็นนักบุญในที่สุด เชื่อว่าผู้ที่ครอบครองหอกลองจินุสมี กษัตริย์เฮรอด ( Herod the Great , King of Judea 73 BC-4BC )กษัตริย์จากอิยิปต์ มอริส ( Maurice the Manichean ) ครอบครองจากจักรพรรดิ์แมกซิเมียน( Emperor Maximian) ครอบครองตั้งแต่ปี 306 จนเสียชีวิต คอนสแตนติน กษัตริย์โรมัน (Constantine the Great 275 -337) นำมันไปสู่ชัยชนะในการต่อสู้ที่สะพานมิลเวียน ( Milvian Bridge ) และตอนก่อตั้งกรุงคอนสแตนติโนเปิล ) ทีโอโดเซีย (Theodosius ) , Alaric , ทีโอดอริก (Theodoric ) ซึ่งเป็นผู้ต่อสู้เดียวกับ อัลติลา( Attila the Hun) , จัสติเนียน ( Justinian ) , ชารส์ มาเทล Charles Martel , ชาลเลอมาน(Charlemagne the Great 771-814 ) ถือครองหอกนี้สู้ศึก 47 ครั้ง แต่สุดท้ายเสียชีวิตเพราะทำตกโดยอุบัติเหตุ
มีการบันทึกเริ่มแรกในปี 570 ว่า นักแสวงบุญบรรยายว่าพบหอกลองจินุสในโบสถ์บาสิลิกาที่ภูเขาไซออน
( the basilica of Mount Sion ) ในกรุงเยรูซาเล็ม ในปี 615 นายทหารของกษัตริย์เปอร์เซีย Chosroes เข้า
ยึดครองกรุงเยรูซาเล็มและส่ง ต่อให้ Nicetas ชาวอิยิปต์นำไปไว้ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ณ โบสถ์นักบุญ
โซเฟีย ในปี 1214 จักรพรรดิ์กรุงคอนสแตนติโนเปิล บอลด์วินที่ 2 ( Baldwin II ) นำส่วนหัวของหอกไป
จำนองแลกกับเงินจำนวนมากที่เวนิช แต่ญาติของบอลด์วินที่ 2 พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 นำเงินไปไถ่และนำไป
ไว้ ที่กรุงปารีส ณ โบสถ์แซนต์ชาเพล ( Sainte Chapelle ) อยู่เรื่อยมาจนศตวรรษที่ 18 ในช่วงปฏิวัติฝรั่ง
เศสได้ย้ายไปยังหอสมุด แห่งชาติพร้อมกับสิ่งสำคัญอื่นๆและสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปี 670 ส่วนล่างของ
หอกยังคงพบในโบสถ์ที่กรุงเยรูซาเร็ม และถูกนำไปให้ผู้แสวงบุญที่คอนสแตนติโนเปิลบ้าง แต่เมื่อชาวเติรก์
ยึด ครองเมือง หอกแห่งโชคชะตานี้ได้ตกเป็นสมบัติของชาวเติรก์ ในปี 1492 สุลต่านบาจาเซทที่2
( Bajazet II ) ได้ส่งเป็นเครื่องอภินันนาการให้ สังฆราชอินโนเซนต์ที่ 8 ( Pope Innocent VIII ) ได้นำไป
ไว้ที่เสาต้น หนึ่งในวิหารนักบุญปีเตอร์ที่กรุงโรม จนถึงปัจจุปันนี้ แต่ไม่มีการยืนยันว่าเป็นของแท้หรือไม่
Spear of Destiny ที่มีความน่าเชื่อถือและมีการอ้างถึงว่าเป็นหอกศักดิ์สิทธิ์อีกอัน คืออันที่อยู่ใน Hofburg Museum ในกรุงเวียนนา ออสเตรียสามารถสืบได้ไปถึงพระเจ้าคอนสแตนตินมหาราช ( Constantine The Great )จักรพรรดิโรมันที่หันมานับถือศาสนาศริสต์เป็นพระองค์แรกและเชื่อว่าเป็นของ กาลิอัส คาสเซีย จริงๆ มีตำนานเล่าว่าใครก็ตามที่ครอบครองหอกศักดิ์สิทธิ์นี้ก็สามารถพิชิตโลกได้ เช่นเดียวกัน นโปเลียนพยายามที่จะได้มันมาหลังจากการต่อสู้ทื่ Auterlitz แต่ไม่สำเร็จ และมีเรื่องเล่าอีกเช่นกันว่า ชาร์ลเลอมาญ นำหอกแห่งโชคชะตานี้ออกรบ 47 ครั้งโดยประสบความสำเร็จทุกครั้ง แต่เสียชีวิตเมื่อทำหอกหลุดจากมือ เฟรดเดอริก บาร์บารอสซา( Frederick Barbarossa ) ได้พบชะตาเดียวกันเมื่อทำมันหลุดจากมือขณะข้ามแม่น้ำ มีการบันทืกในประวัติของ Luitprand of Cremoma บิชช๊อบชาวอิตาลี ว่า กษัตริย์เฮนรี่ที่ 1 (876 -936) , King Henry I / Heinrich I the Fowlerหรือที่รู้จักกันในนามของ ดยุคแซกซันนี ( Duke of Saxony,Saxon King of Germany) ได้รับหอกศักดิ์สิทธิ์จากการชนะศึกกับ
ชาวแมกยาร์ ( Magyards) โดยกษัตริย์ Rudolpl of burgundy เป็นผู้มอบให้จักรพรรดิออตโตมหาราช (Otto I The Great ,Saxon King of Germany,Holy Roman Emperor ) ซึ่งปกครองช่วง 936 - 973 โป็ปจอห์นที่ 7 (Pope John XII ) ได้ใช้หอกนี้แต่งตั้งให้เป๊น จักรพรรดิของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ออตโตได้นำหอกศักดิ์สิทธิ์ไปได้ชัยชนะเหนือพวกมองโกลในศึกที่เมือง Leck ( Battle of Leck )หลังจากออตโตมหาราชสิ้นพระชนม์ กล่าวว่ามีเรื่องราวที่ขัดแย้งเกี่ยวกับหอกแห่งโชคชะตานี้
เรื่องแรกคือ มันได้ถูกส่งต่อเป็นทอดๆจากลูกชาย ออตโตที่ 2 , ออตโตที่ 3 ไปยัง เฮนรี่ที่ 2 ( Henry II the saint ) ตามลำดับ อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า
เหล่าอัศวินเคลื่อนย้ายมันไปยัง เมือง อันติออก( Antioch ) ซีเรีย หลังจากการตายของออตโตที่ 1ไม่นาน แล้วมาพบอีกทีในปี 1098 ช่วงเวลาสงครามครูเสด ครั้งที่ 1 ขณะที่มีศึกติดพันอยู่นั้นและใกล้จะเสียทีเต็มแก มีนักบวชคนหนึ่งชื่อ ปีเตอร์ บาร์โทโลมิว เกิดเห็นภาพนิมิตรว่านักบุญแอนดริวมาบอกว่าหอกแห่งโชคชะตาฝ้งอยู่ใต้โบสถ์ นักบุญปีเตอร์ จึงมีการขุดค้นหาและพบในที่สุด ทำให้ชนะศึกกับพวกเตอร์ก ถึงเรื่องราวจะเป็นเช่นไรก็ตาม
หอกนี้ก็ได้ตกมาเป็นของราชวงศ์โฮเฮนสตา เฟน ( Hohenstaufen ) ซึ่งสืบทอดสายเลือดโดยตรงจากแซกซอนเช่นเดียวกัน พระเจัาเฟรอเดอริก เฟรดเดอริก บาร์บารอสซา แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพิชิตอิตาลีในศตวรรษที่ 12 ถือครองหอกศักดิ์สิทธิ์ส่งต่อถึง เฮนรี่ที่ 6 , ออตโตที่ 4 , เฟรดเดอริกที่ 2 ตามลำดับ
Spear Of Destiny ที่ตั้งแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์แฮมสเบริก์ กรุงเวียนนา ที่เห็นเป็นแผ่นทองคำหุ้มอยู่ ทำขึ้นทีหลังในสมัย จักรพรรดิชารล์ที่ 9 ประมาณปี 1354
หอกเล่มนี้เคยผ่านมือของ ฮิลเลอร์มาแล้ว
ความคิดเห็น