คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ทดลอง
จู่ๆ เรื่องมันกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?"
ศิษย์น้องลิงวางมือแปะลงบนม้วนไม้ไผ่ที่กางยาวจนด้านหนึ่งลงไปกองอยู่กับพื้น "อย่าบอกนะว่านี่เป็นฝีมือของพี่ร่วมสาบานของข้าอีกแล้ว?"
ความรู้สึกนี้มันคืออะไร
เตชัสกวาดตามองไปรอบๆ ตัว เฝ้าจับสังเกตทุกอิริยาบถของผู้คนที่ผ่านไปมา ขณะพยายามตั้งสมาธิอยู่กับการสนทนา
“เรื่องเรียนผมจัดการได้ครับแม่” เขากรอกเสียงลงในมือถือหลังจากนิ่งฟังมารดามาพักใหญ่ ครู่หนึ่งจึงหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“แม่ไม่ต้องห่วง แค่คอยเป็นกองหนุนส่งเสบียงก็พอ”
จะทำอะไรมันก็ต้องมีค่าใช้จ่าย ถึงส่วนตัวจะมีเงินเก็บช่วงทำงานระหว่างเรียนอยู่บ้าง แต่ต่อให้เอาออกมาใช้ก็เกรงว่าจะไม่พอยาไส้จนถึงจบภารกิจพิชิตห้าขุนเขานี่แน่
ใครก็รู้ว่าสถานที่ท่องเที่ยวยิ่งโด่งดัง อะไรๆ รอบด้านมันก็มีค่าพุ่งตามทั้งนั้น ไหนจะภาระหน้าที่ที่ยังติดค้างต้องเดินทางกลับไปจัดการ
ดังนั้นผู้ช่วยส่วนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้...
“ผมต้องพึ่งแม่ไปอีกนาน อยากพึ่งไปตลอดชีวิตเลยล่ะ”
ชายหนุ่มมองตามกรุ๊ปทัวร์กลุ่มใหญ่ที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไป กดเสียงลงเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“ผมเปล่าอ้อนนะครับ” เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จากผู้คนรอบด้านจึงก้มหน้าสนทนาต่อ
“ก็มีพวกมาเกะกะบ้างล่ะครับ แต่แม่ก็รู้...ตัวผมมีคุณสมบัติเป็นยันต์กันผี ของพวกนั้นมันแตะต้องผมไม่ได้หรอก หายห่วงได้เลยครับ”
เขาล้วงดูแผ่นพับแนะนำสถานที่ออกมาไล่ดูอีกครั้ง
“ครับ แม่ก็ดูแลตัวเองด้วย เดี๋ยวผมต้องขึ้นเขาแล้ว แค่นี้ก่อนนะครับ"
เตชัสเก็บเครื่องมือสื่อสารแล้วเหลียวมองไปรอบตัว
ผู้คนมากมายมองละลานตามุ่งมาที่นี่หวังได้ชื่นชมความสวยงามของขุนเขาศักดิ์สิทธิ์อันเป็นมรดกโลก และเป็นสถานที่สักการะบวงสรวงต่อเหล่าเทพเจ้าของบรรดาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตกาลของจีน
ที่แห่งนี้มักไม่ค่อยเว้นว่างจากผู้คนไม่ว่าจะยามกลางวันหรือค่ำคืน เตชัสจึงค่อนข้างแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรแปลกๆ ตามมาเล่นงานได้
อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มั่นใจอยู่อย่างหนึ่ง
คนมักกลัวผี แต่หารู้ไม่ ผีเองก็กลัวคนพอกัน ยิ่งมีคนอยู่เยอะ ไม่ว่าจะผีหรือปิศาจก็ไม่กล้าแหยม
แต่ว่า...
ความรู้สึกเสียวสันหลัง...
ความรู้สึกเหมือนมีใครคอยมองอยู่ตลอดเวลานี่มันคืออะไรกัน
เตชัสสูดหายใจลึกตัดสินใจลืมเรื่องนั้นชั่วคราว เขาเงยหน้ามองบันไดทอดยาวเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดของไท่ซานขุนเขาจักรพรรดิ
แม้มีกระเช้ารองรับนักท่องเที่ยวให้เลือกใช้บริการอย่างสะดวกสบาย แต่ในเมื่อมาถึงนี่ ทั้งเวลาก็ยังพอมีเหลือ ดังนั้นเตชัสจึงเลือกขึ้นเขาด้วยการใช้สองขาของตัวเองเหมือนที่ผ่านๆ มา
บันไดกว่าหกพันขั้นมุ่งสู่ประตูสวรรค์ จุดสูงสุดแห่งไท่ซาน
ยอดจักรพรรดิหยก
“มีอะไรผิดปกติหรือ”
ผมหันตามเสียง เห็นเฉินเซียงกำลังจ้องมองมาจึงได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่มีอะไรได้อย่างไร ข้าเห็นเจ้าเลิ่กลั่กหันซ้ายแลขวามาตั้งแต่ในตลาดแล้ว”
ผมยังคงส่ายหน้าปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ไม่ใช่ไม่อยากบอกแต่หากยังไม่แน่ใจคงให้คำตอบอะไรไม่ได้ในตอนนี้
ความรู้สึกเหมือนมีใครติดตามคอยเฝ้ามอง...
“ไม่บอกก็ตามใจเจ้า” เฉินเซียงถอนใจแล้วหันไปดันท่อนฟืนเข้ากองไฟ...
สุดท้ายเรื่องในตลาดนั่นก็ทำให้เราต้องระเห็จมาหาที่พักนอกเมือง
แต่ผมก็เข้าใจ...
พวกเราอาจจะไม่กลัวสองพ่อลูกตระกูลเหยียน แต่นั่นไม่รวมถึงพวกชาวบ้าน
หากขืนพวกเขาเอาตัวเข้าข้องเกี่ยวให้ที่พักพิงกับศัตรูคุณชายเหยียนผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้าก็อาจซวยติดร่างแหไปด้วย เราจึงถูกเชิญอย่างสุภาพให้ออกมานอนดูดาวกินลมชมวิวกันกลางดินด้วยประการฉะนี้
“แล้วท่านเถอะ ไปอย่างไรมาอย่างไรจึงถูกพวกเหยียนซื่อฝานเล่นงาน” พอเขี่ยๆ ให้ไฟลุก เจ้าหลานก็หันไปสอบถามเอากับต้นเหตุของเรื่อง
“เหยียนซื่อฝานใช้คุณไสยประหลาดเล่นงานข้า ทั้งยังบังคับให้มาที่นี่พร้อมกับมันโดยอ้างกับผู้อื่นว่านำพาข้าไปรับบำเหน็จรางวัลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทยังเป่ยจิง”
นั่งสงบสติอารมณ์มาได้พักใหญ่ นายอำเภอฉุนอานก็ดูกลับมาเป็นปกติได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ดูอย่างไห่รุ่ย เขาเป็นถึงข้าราชการเป็นนายอำเภอแท้ๆ ก็ยังต้องแพ้ภัยผู้มีอิทธิพลถูกคุณไสยบังคับให้ตามมาถึงนี่ ดังนั้นคงไม่ผิดที่ชาวบ้านจะเกรงกลัว
ไม่ต้องพูดถึงที่พวกมันใช้วิชาเหมาซานเล่นงานคน
พิษหนอนกู่ มีรากเหง้ามาจากวิชาห้าพิษรวมหนึ่ง นำสัตว์มีพิษห้าชนิด งู ตะขาบ คางคก แมงป่องและแมลงพิษมากักขังรวมกันให้มันต่อสู้และกินกันเองจนเหลือเพียงหนึ่ง ทางการแพทย์แผนโบราณในยุคปัจจุบันมักใช้เป็นตัวตั้งต้นสกัดยาพิษหรือนำไปศึกษาหายาแก้พิษของสัตว์มีพิษทั้งหลาย
ส่วนทางไสยศาสตร์ในวิชาไสยเวทย์เหมาซานก็อย่างที่เห็นจากไห่รุ่ย
“ท่านเคยมีเรื่องกับเขามาก่อนหรือ” เทพเอ้อร์หลางคนนั้นเอ่ยถาม
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดมิด แม้เหมือนไม่ได้สนใจแต่สองหูยังได้ยินบทสนทนาข้างกองไฟ
“ฉุนอานอยู่ห่างไกลทั้งยังเป็นอำเภอเล็กๆ เรื่องความบาดหมางโดยตรงนั้นไม่มี แต่การกระทำที่มักไม่ยอมอ่อนข้อของข้าคงไปเข้าหูเหยียนซงเข้า"
เสียงไห่รุ่ยทอดถอนใจ "ครั้งสุดท้ายเหยียนซงเพิ่งมีคำสั่งลงมาให้ตามหาบุรุษผู้มีปานแดงรูปกองเพลิงเป็นสัญลักษณ์กลางหน้าผาก ข้าเองก็ทำตามคำสั่งนั้นแต่โดยดี ไม่นึกว่า...”
ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังเจ้าของเรื่องเล่า จากนั้นก็หันขวับมาอย่างพร้อมเพรียง
ผมเกือบจะยกมือคลำหน้าผากที่พันผ้าคาดปิดไว้ด้วยความเผลอตัว...
เลี้ยวไปเลี้ยวมามันก็วกมาทางนี้อีกจนได้สิน่า
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าที่นี่ที่ไหน” เฉินเซียงหันไปถามต่อ
“ข้าเองก็ไม่ทราบ” ไห่รุ่ยส่ายหัว สีหน้าดูอับจนปัญญามาก “ข้าถูกกักขังในรถม้าไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน จวบจนวันนี้จึงฝืนตัวหลบหนีออกมาได้แต่กลับถูกคุณไสยนั่นเล่นงานเข้าให้”
“ที่นี่คือหัวเซี่ยน” เสียงเจ้าหลานชายพูดพร้อมเสียงระเบิดของสะเก็ดไฟจากเศษไม้
“หัวเซี่ยน!” ไห่รุ่ยอุทาน “เป็นไปได้อย่างไร ข้ารู้สึกว่าเราเพิ่งเดินทางออกจากฉุนอานมาเพียงไม่กี่ราตรี”
สิ้นคำพลันได้ยินเสียงหัวเราะของเจ้าเทียนอวี่ลอยมา
“หากพวกมันช่วงใช้นักพรตที่มีฝีมือมันก็ไม่ยากกับเพียงแค่ระยะทาง”
ยืนอยู่ตั้งไกลยังอุตส่าห์ปากยื่นปากยาวได้อีกนะครับ
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกนั้นมีจุดประสงค์อะไรในตัวเจ้า” เสียงของเทพเอ้อร์หลางคนนั้นดึงความสนใจของทุกคนให้กลับมาอีกครั้ง
“ทีแรกข้าคาดเดาว่าการกระทำของข้าคงไปขวางทางพวกมัน” สองคิ้วของท่านนายอำเภอขมวดมุ่น “แต่พอมาลองคิดดูหากคิดกำจัด ฆ่าข้าให้ตายเสียก็ย่อมทำได้ แต่เพราะอะไรจึงไม่ลงมือข้าเองก็ไม่รู้”
ไห่รุ่ยเป็นข้าราชการที่ซื่อตรง ทำงานเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริงจนชาวบ้านรักใคร่ยกสมญาชิงเทียนให้ กลายเป็นท่านไห่ชิงเทียน เปรียบประดุจท่านเปาแห่งราชวงศ์หมิง
แน่นอนในยุคที่มีแต่การทุจริตคอรัปชั่นกันอึกทึกครึกโครม ความเถรตรงนั่นต้องไปขัดแข้งขัดขาใครเข้าแน่ ไม่แปลกที่จะถูกหมายหัว
แต่ก็อย่างที่เขาพูด...
จะปล่อยไว้ให้เปลืองข้าวเปลืองน้ำทำไมในเมื่อฆ่าทิ้งซะก็ได้
เรื่องนี้ไห่รุ่ยไม่รู้แต่ผมว่ามีนกบางตัวแถวนี้ที่รู้แน่ๆ
“มีผลย่อมต้องมีเหตุ อีกไม่นานเราคงได้รู้” เทพเอ้อร์หลางคนนั้นสรุปง่ายดาย
ไม่แน่ว่า...
น้องดักแด้บินได้ตัวนี้ก็อาจเป็นอีกหนึ่งที่รู้
“เกรงแต่ว่าข้าจะทำพวกท่านเดือดร้อนไปด้วย” ไห่รุ่ยแสดงสีหน้าไม่ใคร่สบายใจ “เหยียนซงและเหยียนซื่อฝานไม่เคยปล่อยให้คนที่ต่อต้านตนเองรอดไปได้”
น่าเสียดายที่พวกเราแต่ละคนดันไม่ใช่คนเลยไม่จำเป็นต้องกลัว
“เรื่องนั้นวางใจได้” เจ้าเทียนอวี่เดินเข้ามาใกล้ ในดวงตาแฝงแววเริงร่าสะท้อนกับแสงไฟ “เพราะข้าก็จะไม่ปล่อยให้พวกมันอยู่ขวางหูขวางตาเช่นกัน”
ผมส่ายหน้าแสดงความเอือมแบบชัดแจ้ง ไม่ได้รอฟังต่อ พยักหน้าขอตัวแล้วลุกขึ้นเดินแยกออกมา
...เงียบเหลือเกิน
เงียบจนน่าใจหาย
ผมกวาดสายตามองสำรวจไปทั่ว ยังได้ยินคำปลุกปลอบใจท่านนายอำเภอพลัดถิ่นของเฉินเซียงดังมาแว่วๆ
ความรู้สึกนี้มัน...อะไรกัน
“เจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
ใจหายวูบเกือบหล่นลงไปถึงตาตุ่ม!
ด้วยความกังวลแปลกๆ ที่ยังติดในใจทำให้เผลอตัวเหม่อลอยไม่ได้ยินว่าเห่าฟ้าก้าวมาหยุดอยู่ใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่
น่าแปลกจริงๆ
มีหลายอย่างที่ไม่ปกติ รวมทั้ง...ตัวผมเองด้วย
“เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่ามีอะไรแปลกๆ” ผมหันไปถามตรงๆ
เท่าที่เห็นจากสายตา สัมผัสได้จากความรู้สึกมันก็ขนพองสยองเกล้าจนไม่รู้จะอธิบายยังไงดีแล้ว
“ภูตผีปิศาจมากมาย...” เห่าฟ้ากวาดสายตาที่มีสัมผัสพิเศษของสุนัขมองไปรอบๆ แล้วจึงหันมา “นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ”
ผมส่ายหน้า “มีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น...”
รอบด้านล้วนเต็มไปด้วยวิญญาณคนตาย ภูตผีปีศาจมากมายมารวมตัวอยู่ ทีแรกคิดว่าเป็นเพราะผมอยู่ที่นี่ แต่พอมองดูแล้วไม่เห็นความสนใจ คล้ายพวกมันเหล่านั้นเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ จึงนึกเอะใจ
อีกอย่างคือบรรยากาศเงียบงันเหมือนไร้สิ่งมีชีวิตแม้แต่มดตัวเล็กๆ แบบนี้ แม้เป็นผมเองก็ยังรู้สึกใจแป้ว
“ลางร้ายเตือนถึงภัยพิบัติอันใหญ่หลวง”
“ภัยพิบัติอะไร”
“ข้าก็ไม่รู้” แค่ลางสังหรณ์มันบอก
เหมือนว่ายังมีอะไรติดค้างที่ยังนึกไม่ออก
“อนาคตช่างเลือนราง แม้แต่วารีกระจ่างยังไม่อาจให้คำตอบ” เจ้าเทียนอวี่ก้าวตามเข้ามาร่วมวง
“ประวัติศาสตร์ของโลกมนุษย์พร้อมจะถูกลบเลือนและแต่งแต้มบทใหม่ซึ่งอาจจะสนุกสนานน่าตื่นตาตื่นใจกว่าเดิมเสมอ”
มันพล่ามต่อพลางหันมาสบตา “ที่แน่ๆ คือข้าได้กลิ่นเลือดและความตาย เจ้าเองก็คงรู้สึกเช่นนั้นใช่หรือไม่โหยวเอ๋อร์”
เออ ข้อนี้ผมไม่ปฏิเสธหรอก ถึงได้ต้องมานั่งกังวลอยู่นี่ไง
ทั้งที่รู้สึกได้แต่กลับไม่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
สาเหตุของความหวาดหวั่นอันไร้ที่มา...
“ข้าหวังว่าเลือดและความตายที่ว่าคงไม่ได้มีสาเหตุมาจากท่าน” เห่าฟ้ามองพี่นกอย่างไม่ไว้ใจ
“ข้าจะเปลืองแรงเข่นฆ่าพวกมนุษย์ไปเพื่ออะไรในเมื่อพวกมันไม่มีทางต่อต้านข้าได้” เทียนอวี่หัวเราะในลำคอเหมือนเห็นเป็นเรื่องขันเสียเต็มประดา “อีกอย่างเป้าหมายของข้าก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”
“ท่านต้องการอะไรกันแน่”
“เจ้ารู้ดีอยู่แล้ว”
“คิดบัญชีอวี้ตี้?”
“ใช่” เทียนอวี่ตอบหน้าตาย “หรือไม่ก็อาจชำระล้างความเป็นมารกลับคืนสู่ความเป็นเทพ”
ที่พูดมานี่เพราะรู้ใช่ไหมว่าผมต้องการให้ทำอย่างนั้น แต่เชื่อเหอะว่ามันไม่ทำจริงหรอก
“เรื่องคืนความเป็นเทพนั้นน่ายินดี” เห่าฟ้าว่า “แต่หากเป็นเรื่องอวี้ตี้...นายข้าคงไม่ยอม”
ใช่ เดาใจถูกเผง ผมไม่ยอมแน่
“ยามนี้นายเจ้าจะทำอะไรได้” เทียนอวี่พูดเรียบๆ เหล่สายตาไปทางสองลุงหลานที่กำลังนั่งพูดคุยกัน ด้านไห่รุ่ยผู้เป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญได้นอนหลับไปแล้ว “แต่เอาเถอะ เอาไว้ถึงเวลาค่อยว่ากัน”
ว่าแล้วก็หันกลับมาพูดคุยได้ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เรื่องจานหยกหลัวผานพวกเจ้าจะรอให้มันนำมาแลกหรือลงมือช่วงชิง...”
ไอ้เรื่องที่เล่นไปตามน้ำนั่น
ว่ากันตามจริงแล้วผมไม่คิดว่ามันจะได้ผลโดยเฉพาะบนมีดนั่นไม่ได้เคลือบพิษไว้จริงๆ มีแค่คำสาปเล็กๆ น้อยๆ
เล็กน้อยจนขนาดที่หากเป็นนักพรตที่มีฝีมือคงมองออกได้ง่ายดาย
แต่จะแก้ได้หรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง
“ยังไม่แน่ใจ” เห่าฟ้าส่ายหน้า “คงต้องรอปรึกษากันให้ชัดเจน”
ว่าพลางเหลือบตาขึ้นมองอดีตนกเคยรู้จัก “แล้วท่านเล่าว่าอย่างไร”
“แล้วแต่พวกเจ้า ข้าไม่มีความเห็น”
ไม่มีความเห็นหรือกำลังคิดแผนอะไรอยู่กันแน่
แต่เอาเถอะ
...เห็นบรรยากาศแบบนี้พาให้รู้สึกดีเป็นกอง
คุยกันดีๆ เหมือนไม่เคยเป็นศัตรู ร่วมแรงร่วมมือแข็งขัน ถึงจะรู้ว่าแค่ชั่วคราวแต่ผมก็อดฝันให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้
เมื่อถึงตอนนั้นคงหมดห่วงได้อย่างแท้จริง
“เจ้ารู้สึกเหมือนข้าหรือไม่” จู่ๆ พี่เทียนก็พูดขึ้นมา
ผมปลุกตัวเองออกจากความคิดสะระตะ เงยหน้าหันไปมอง
เห่าฟ้าหันมาพยักหน้ารับ
พี่นกเหยียดยิ้ม “มาเร็วกว่าที่คิด...”
ใครหรืออะไรบางอย่าง...
“พวกมารร้าย!”
และแล้วเรื่องมันก็พุ่งเข้ามาชนอีกจนได้
คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นจากความมืดสลัวไม่ต่างจากภูตผี สีหน้าถมึงทึงวาดชี้ปลายนิ้วมาทางพวกเรา
“ส่งยาแก้พิษร้ายในร่างคุณชายเหยียนมาเสีย หาไม่แล้วอย่าหาว่าพวกข้าใจร้าย”
นักพรต…
น่ากลัวตายล่ะครับ ดีเลยกำลังเบื่อๆ พอดี
“จำได้ว่าเราสั่งให้เจ้านำจานหยกหลัวผานมาแลก”
เห่าฟ้าออกโรงเจรจา เฉินเซียงหันไปปลุกไห่รุ่ยและรีบดึงตัวท่านลุงคนนั้นให้ถอยห่างจากวงล้อม
“คิดว่าพวกข้าจะยอมอ่อนข้อต่อพวกเจ้าง่ายๆ หรือ” นักพรตหน้าอ่อนออกเสียงขึงขังท่าทางคงเป็นหัวหน้า “ฝันไปเถอะ!”
ไม่พูดพร่ำ พี่ล้วงมือควักยันต์ออกมาเป็นแผงวาดแขนสะบัดแรงจนมันกระจายตัวไปทั้งแปดทิศ!
กะรุมจัดหนักแบบไม่ให้ตั้งตัวเลยเรอะ!
พวกเราหมุนตัวมองแผ่นยันต์ที่ลอยละล่องอยู่กลางอากาศ
บรรดาวิญญาณล่องลอยอ่อนกำลังพลันได้พลังเข้มแข็งขึ้นจนสามารถปรากฏกายให้ตาเนื้อมองเห็น
"ภูตผีเอยจงจัดการศัตรูของข้าเสีย"
พวกสัมภเวสีหมุนตัวหันขวับมาทางเราทันทีที่สิ้นเสียง ท่าทางเหมือนอยากจะพุ่งเข้ามาฉีกเป็นชิ้น
นักพรตประเภทไหนช่วงใช้ภูตผีวิญญาณเป็นมือเป็นเท้าให้ฆ่าคน นักพรตเหล่านั้นล้วนชั่วช้าสารเลวไม่ต่างจากมารร้าย!
ผมแผ่พลังของซือโหยวรั้งเอาไว้ชั่วคราวทำให้พวกมันหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ลงมือโดยทันที นักพรตนั่นรีบขยับปากสวดพึมพำส่งพลังของตนเข้าผลักดันไม่ยอมถอย
“ข้ากับเห่าฟ้าจัดการเอง” เฉินเซียงวิ่งเข้ามาสมทบ “พวกเจ้าไปอยู่ข้างท่านลุงกับไห่รุ่ยทางนั้นเถอะ”
“แน่ใจหรือว่าไหว เจ้าพวกนี้ท่าทางเอาเรื่อง” เทียนอวี่ถามนิ่งๆ ไม่รู้ว่าตามมารยาทหรือเป็นห่วงเป็นใยจริงๆ
แต่ดูแล้วก็...ยากพอดูที่จะให้เชื่อว่าเป็นอย่างหลัง
“ขืนให้พวกเจ้าลงมือทุกอย่างคงพังพินาศ ทั้งอาจเป็นที่สังเกตดึงดูดผู้ที่ต้องการพลังของศิลามาก็ได้” ว่าพลางยกมือขึ้น
ยันต์ป้องกันแผ่นเล็กๆ ปรากฏวาบ เขาสะบัดมันลงข้างตัวแปรเปลี่ยนเป็นดาบประจำกาย ทางด้านเห่าฟ้าเองก็ทำแบบเดียวกัน
สามัคคีรู้ใจ ซ้ำยังรู้กาลเทศะว่าไม่ควรแสดงตัวแสดงพลัง ผมขอเก็บเอาไว้ปลาบปลื้มใจอีกสามวันแปดวัน
“ที่แท้ก็เป็นพวกมีฝีมืออยู่บ้าง” นักพรตลิ่วล้อตระกูลเหยียนเหยียดยิ้ม “ข้าจะรอดูว่าพวกเจ้าจะแน่สักแค่ไหน”
ผมคลายพลัง คว้าดึงตัวเจ้าเทียนอวี่ให้ถอยมาด้านหลังก่อนที่มันจะเผลอลงมือ
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำอะไรให้เปลืองแรงเปล่า” ว่าแล้วก็ดึงแขนออกเหมือนกลัวแพ้ผื่นขึ้น
เล่นตัวเหมือนสาวน้อยวัยแรกแย้มแตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยนะ โถ ไอ้พี่เทียน
“พวกท่าน...” ไห่รุ่ยอุทาน “ที่แท้พวกท่านก็หาใช่จอมยุทธธรรมดาจริงๆ”
อันนี้สมควรจะเชื่อตั้งแต่พวกผมถอนคุณไสยให้แล้วไหมครับท่าน
เออนะ กับเรื่องพวกนี้ คนมันจะไม่เชื่อต่อให้เห็นกับตาโดนกับตัวมันก็ยังยากที่จะทำให้เชื่อได้จริงๆ
"นักพรตพวกนั้นบอกว่าพวกข้าเป็นมารร้าย..." พี่เทียนอวี่หันขวับไป “เจ้าไม่กลัวหรือ”
“ไม่ว่าจะเป็นอะไร แต่ข้าเชื่อว่าพวกท่านเป็นคนดี หาไม่คงไม่ยื่นมือเสียงภัยมาช่วยเหลือคนที่ไม่เคยรู้จักกันเช่นข้า” ไห่รุ่ยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ "ต่างกับนักพรตพวกนั้นที่เปลือกนอกน่าเลื่อมใสศรัทธา แต่กลับลดตัวรับใช้เป็นมือเท้าให้คนชั่ว"
พี่เทียนอวี่นิ่งเงียบไป
ผมเหล่มองหน้าตัวเองที่มีวิญญาณของคนอื่น ช่วงชิงเวลาที่สองนายบ่าวกำลังเผลอรีบรวบรวมพลังส่งเสียงเป็นลมกระซิบ
“เฉินเซียง เห่าฟ้า พวกเจ้าจัดการพวกนักพรตนั่น ให้ซือโหยวจัดการพวกภูตผีเอง”
กระซิบด้วยเสียงของเทพเอ้อร์หลาง
เทียนอวี่หูเตี๋ยหันขวับมา เฉินเซียงเห่าฟ้าชะงักไปเสี้ยววินาทีก่อนมุ่งหน้าบุกตะลุยทำตามสั่ง
นักพรต ภูตผี กึ่งเทพและหมา เกิดเป็นการปะทะชุลมุนที่แปลกตาน่าดูชมไม่น้อย
แต่คงไม่ใช่เวลา
ผมก้าวออกไปข้างหน้า รู้สึกถึงมือที่คว้าฉวยท่อนแขนพร้อมกับคำพูดอันน่าประทับใจ
“ระวังตัวด้วย” จากร่างของตัวเอง
ผมพยักหน้ารับ รีบหันกลับไปตั้งสมาธิเพ่งจิตพุ่งตรงเข้าใส่เหล่าภูตผี พยายามฝ่าด่านอาคมของนักพรตที่ควบคุมพวกมัน
ท่ามกลางเสียงต่อสู้และลูกหลงที่วูบวาบเฉียดผ่านไปมา มีเจ้าเทียนอวี่ช่วยเป็นโล่ปัดป้องให้แบบไม่ต้องขอร้อง
นับว่ารู้หน้าที่ดี เอาไว้เสร็จเรื่องค่อยขอบใจอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน
ว่าแต่...
พลังของยันต์นั่นแข็งแกร่งใช่ย่อย เจ้านักพรตพวกนี้เองมันก็ไม่ธรรมดา
มิน่า...
“เจ้า!”
หนึ่งในบรรดาศัตรูเปลี่ยนเป้าหมายมาทางเรา
“คิดทำลายอาคมเช่นนั้นรึ!” มันหมุนตัวหันมา ปล่อยลูกน้องกับบรรดาผีๆ อีกส่วนหนึ่งให้สู้กับเห่าฟ้าเฉินเซียง เหินตัวครั้งเดียวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“เจ้ากล้าต่อต้านอำนาจอาคมของข้า"
สองมือยกขึ้นเรียกหากระบี่พรต "เด็กน้อยอย่างเจ้าจะทำอะไรได้!”
ตวัดมือพุ่งปลายอันแหลมคมตรงเข้ามาคงกะหวังให้เสียบแผ่นอกทิ่มทะลุเข้าสู่หัวใจปิดบัญชีแบบเร็วไว
ทั้งที่บอกว่าผมเป็นแค่เด็กที่ไม่มีทางทำอะไรได้แท้ๆ
โหดเหี้ยมอำมหิตไร้ซึ่งความเมตตาโดยสิ้นเชิง
นี่หรือมนุษย์!
...ผมพยายามแบ่งแยกสมาธิเพื่อสกัดกั้น ควบคุมพลังให้อยู่ในระดับเหมาะสม
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ กระบี่ปลิดชีพกลับหยุดชะงักค้างเติ่งอยู่กลางทาง
พี่เทียนอวี่พุ่งเข้าไปขวาง สองมือประกบคว้าจับคมกระบี่ออกแรงยึดไว้ด้วยท่าทางสุดเฉย
“ข้าน่ะไม่คิดจะออกแรงให้เหน็ดเหนื่อยมาตั้งแต่แรก แต่เพราะไม่ชอบหน้าเจ้าดังนั้นรีบไปเสียก่อนที่จะไม่มีโอกาส”
นักพรตส่งเสียงสบถในลำคอ บิดข้อมือเหนี่ยวรั้งพลางร่ายคาถาขมุบขมิบกระแทกฝ่ามืออีกข้างอัดเข้าใส่ส่วนปลายด้ามจับอาวุธปราบมารถ่ายทอดพลังต่อต้าน
เทียนอวี่ยังยืนเฉยไม่สะท้าน
สุดท้ายท่านนักพรตคิ้วขมวดจึงวาดมือเรียกกระบี่ปราบรวมมิตรออกมาอีกเพียบ
ปลายคมปลาบเต็มไปด้วยพลังของมันจ่อรอรายล้อมตัวพวกเราเอาไว้ทุกด้าน
“เจ้า...” ผมหันขวับไป รู้ดีว่านางคือหูเตี๋ยแต่เอาเข้าจริงพอเห็นร่างตัวเองแล้วมันดันกระดากปาก เลือกไม่ถูกว่าควรจะเรียกชื่อไหน “ดูแลไห่รุ่ยด้วย”
“วางใจได้”
เสียงตอบรับมาพร้อมกับกระบี่เล่มหนึ่ง ร่างของเทพเอ้อร์หลางดึงตัวไห่รุ่ยให้ถอยห่างออกไปอีก รอดพ้นได้อย่างหวุดหวิด
กระบี่หมาหมู่พุ่งตรงเข้ามา ผมขยับตัวหลบได้หนึ่ง อีกหนึ่งก็ร่วมประสานไม่มีท้อถอย ส่วนพี่เทียนก็ยังยืนจ้องเขม็งประลองกำลังภายในผ่านกระบี่เล่มเดียวกับนักพรตหัวโจกกันแบบตาต่อตา
เจ้านักพรตพวกนี้นับได้ว่าเก่งกาจระดับเซียนเลยทีเดียว มันไปฝึกฝนการเรียกใช้พลังเรียนรู้วิชาพวกนี้มาจากไหนกัน
“เจ้าพวกไม่เจียมตัว”
พอหมุนตัวปัดกระบี่ออกไปได้หนึ่ง หางตาก็หันมาเห็นเจ้าเทียนอวี่กำลังออกแรงผลักดันทั้งยังแผ่พลังมารต่อต้านบ่งบอกว่าเริ่มเอาจริง
“เทียนอวี่” ผมรีบโดดฝ่าวงล้อมกระบี่ปลิดชีพเข้าคว้าไหล่พี่นกไว้ “ระวังการใช้พลังของเจ้าด้วย หากเป็นที่ผิดสังเกตเราจะยุ่งยากมากกว่านี้”
ช่วงจังหวะที่เสียสมาธิ ขาของท่านนักพรตก็ยกเหวี่ยงมาหวังอัดเข้าชายโครงนก
พี่เทียนดับทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ ยกแขนขึ้นสกัด เบี่ยงไหล่ออกจากมือผมแล้วบิดข้อมือกะหักกระบี่ที่ยังยื้อยุด แต่กระบี่นั่นกลับม้วนตัวตามแรงกระทำราวกับเป็นพลาสติกยืดหยุ่น!
ผมไม่รอดูต่อเพราะกระบี่หมาหมู่ยังตามรุมไม่เลิกเหมือนกัน
จวบจนหนึ่งในจำนวนกระบี่ที่นับได้ไม่ถ้วนนั่นพุ่งเฉียดผ่านหน้าไป...
“โหยวเอ๋อร์ เจ้าเองก็ระวังเสียบ้างสิ!” พี่เทียนดับหันมาแว้บเดียวจากนั้นก็กลับไปสางงานตัวเองต่อ
ยังอุตส่าห์มีน้ำใจห่วงใย แต่ตอนนี้มันใช่เวลามาพูดป่าวฟะ!
ผมยกมือแผ่พลังเป็นเกราะป้องกันชั่วคราว มืออีกข้างยกปาดๆ แตะๆ รู้สึกได้ถึงอะไรเหนอะๆ เปียกๆ ไหลมาเข้าตา คลำๆ ดูจึงรู้ว่าผ้าคาดหน้าผากขาดหายไปแล้ว
ให้ตายเหอะ เจ้าพวกนี้!
“ศิษย์น้อง!”
หนึ่งในกลุ่มนักพรตผละมาจากพวกเฉินเซียง คว้าตัวนักพรตที่สู้กับเจ้าเทียนอวี่เอาไว้แล้วดึงลากให้ถอยห่างพลางเอนหัวกระซิบกระซาบ
พี่เทียนถอยมายืนตั้งหลักข้างๆ สองตายังมองประเมินศัตรู “เจ้านั่นมันดูท่าจะรู้จักเจ้านะโหยวเอ๋อร์”
ผมมองหน้ามันแล้วหันกลับไปมองสองนักพรตที่ยังพูดคุยพึมพำสลับมองมาเป็นระยะ
ดูๆ แล้วก็คุ้นหน้าจริงๆ
แต่ยังไงก็ช่างหัวมันแล้วตอนนี้!
ผมสะบัดมือทลายกำแพง บังคับกระบี่หมาหมู่นั้นคืนสนอง
“เฮ่ย!”
เสียดายที่สองนักพรตนั่นกระโดดหลบทัน ปลายกระบี่เหล่านั้นจึงพุ่งปักเรียงรายบนผืนดินตรงหน้าพวกมันแทน
เหล่าภูตผีที่เคยเล่นงานพวกเราชะงักไป และเริ่มเปลี่ยนเป้าหมาย...
คราวนี้ก็มาถึงช่วงเวลาผีนั้นคืนสนองบ้างแล้ว หึหึ
“หยุดก่อน”
เสียงใครบางคนดังแทรกเข้ามาท่ามกลางสมรภูมิ การต่อสู้ชุลมุนชะงักลงทันควัน
“ที่แท้เป็นราชาซือโหยว” เกิดแสงสว่างขึ้นกลางวง นักพรตวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานปรากฏตัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร “ขออภัยที่คนของข้าเสียมารยาท”
"อาจารย์!" พวกนักพรตแมวหมู่สามัคคีอุทานประสานเสียง
อ้อ นี่สินะ หัวโจกที่แท้จริง
ดวงตาแฝงด้วยเล่ห์ร้ายมองมาไม่กระพริบ “อดีตราชาผู้บัญชาอยู่เหนือหมู่มาร ไม่แปลกใจที่เหตุใดจึงทำลายอาคมควบคุมภูตผีของข้าได้ รูปลักษณ์ผิดกับที่คิดไว้มาก”
ผมไม่ได้ตอบ...ไม่มีใครตอบ ได้แต่ยืนมองหน้าไปมารอคุมเชิงกันไปพลางๆ
“เอาเถอะ เมื่อพบท่านที่นี่ก็ดีแล้ว ข้าจะได้ส่งคำเชิญเสียตรงนี้ไม่ให้เสียเที่ยว”
“เจ้าพูดเรื่องอะไร!” เทียนอวี่กระชากเสียง
“ในก่อนห้วงเวลาที่ตะวันดับ จงไปที่หุบเขาแม่น้ำเว่ย” นักพรตอาวุโสหรี่ตามองพี่เทียน ครู่หนึ่งจึงหันกลับมา “พวกเด็กๆ ของท่านจะรออยู่ที่นั่น เราจะทำการแลกเปลี่ยนกัน”
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้น สายตาเหลือบแลเลยไปด้านหลัง “รวมทั้งไห่รุ่ยและสหายของท่าน...”
พูดจบม่านหมอกสีขาวพลันเข้าครอบคลุม ผมพยายามเรียกใช้พลังตาที่สามของตนเองเมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่เข้าจู่โจม
“ขอบคุณซือโหยวที่ให้ความเมตตาต่อคุณชายของข้าไม่คิดสังหารเขา”
เจ้านี่มัน!
รู้...
“ท่านลุง!”
เสียงเฉินเซียงอุทานดึงสติให้กลับคืนมา พอหันไปก็ทันได้เห็นเงาดำขนาดมหึมาผลุบหายไปใต้ผืนดิน
ร้ายกาจมาก มันเป็นใครกันแน่!
สายลมแรงพัดผ่าน หมอกขาวจางหาย รอบด้านเหลือเพียงพวกเราสี่คน
ร่างของเทพเอ้อร์หลาง และสหายใหม่ที่เราเพิ่งช่วยเหลือมาถูกลักพาพร้อมๆ กับศัตรูที่มลายหายไปกับสายหมอก
“เจ้าพวกนี้มันเป็นผู้ใดกันแน่จึงเก่งกาจเกินคนธรรมดานัก”
ไม่แปลกใจที่จะได้ยินเห่าฟ้าพูดแบบนี้
ต่อให้เป็นนักพรตเก่งกาจก็ยังเป็นคน ไม่น่ามีพลังอำนาจหรือวิชาเล่ห์กลเหนือทั้งเทพและมารอย่างพวกเราได้
นี่อาจเป็นเพราะสิ่งนั้น...
“เราควรจะตามไปในยามนี้เลยดีหรือไม่” เจ้าหลานชายเดินเข้ามาสมทบแล้วหันมาถามผม
เออ แล้วเรื่องอะไรมาถามเอากับซือโหยวล่ะนี่ นั่นมันลุงนายนะเฟ้ย เจอนักพรตนั่นเอาแส้ตีหัวสมองเลยเพี้ยนเรอะ
“ทุกคนจะปลอดภัยตราบใดที่มันยังไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการนั่นคือข้า” สุดท้ายก็จำเป็นต้องตอบ
“แล้วเจ้าคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ”
ยิ่งพูดไม่ได้ก็ยังจะถาม ขอยอมแพ้เลยท่าน
ผมผ่อนลมหายใจ “ยามนี้เราคงต้องรู้ให้ได้ว่ามันต้องการอะไรกันแน่ และเพราะอะไรมันจึงมีหนึ่งในบันทึกฟ้าดินไว้ในครอบครอง"
ในตัวของนักพรตนั่น... บันทึกฟ้าดิน นี่คือสิ่งที่ดวงตาของผมไปเจอเข้า
"เป็นไปได้อย่างไร!" เฉินเซียงกับเห่าฟ้าอุทานเกือบจะพร้อมกัน ส่วนพี่เทียนเงียบกริบ
บันทึกฟ้าดินเดิมทีเก็บไว้ในหอจดหมายเหตุบนสรวงสวรรค์ มันบันทึกความรู้ สรรพวิชา และเหตุการณ์ทุกสิ่งในสามโลก แม้เพียงแค่เล่มเดียวหากตกอยู่ในมือผู้คิดชั่วก็อาจนำไปสู่ภัยพิบัติได้
"บันทึกนั่นมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร" เฉินเซียงตั้งข้อสังเกต จ้องมองมาตาเขม็ง "ที่สำคัญคือเจ้ารู้ได้อย่างไร"
เออ อันนี้ลืมคิด
"ข้ารู้ได้อย่างไรไม่สำคัญเท่าเราจะรับมือกับมันอย่างไร และผู้ที่น่าจะให้ความกระจ่างเรื่องนี้แก่เราได้..."
สายตาเหลือบแลไป รีบดึงความสงสัยทั้งหมดให้ห่างจากตัว “แม่นางที่หลบซ่อนอยู่ตรงนั้นคงบอกได้”
สิ้นเสียง ท่านทั้งหลายต่างหมุนคอหันขวับไปยังจุดเดียวกับสายตาผม
หลังโขดหินปกคลุมด้วยพุ่มไม้ภายใต้ความมืดสลัวปรากฏเงาของใครคนหนึ่งก้าวเดินออกมากลางแสงไฟ
นางเป็นหญิงสาวแต่งตัวทะมัดทะแมงเหมือนชาย มีผ้าปิดหน้าปิดตา
“ขออภัยที่ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ” เสียงนั้นไพเราะและเป็นมิตร นางค่อยยกมือปลดผ้าคลุมหน้าออก
“เจ้า...” เสียงตื่นตระหนกอย่างหาได้ยากที่ดังอยู่ข้างหูนี่เป็นของพี่เทียน
อย่าได้แปลกใจเพราะผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกันตอนเห็นหน้านางด้วยดวงตาวิเศษ
“เถาจื่อ!”
ใช่ ใบหน้านางเหมือนน้องเถาจื่อผู้เป็นหนึ่งในเหตุความวุ่นวายเมื่อครั้งอดีตราวเป็นคนคนเดียว
แต่ดวงจิตนั้นจะใช่หรือไม่ผมไม่กล้าฟันธงเพราะพลังของดวงตายังไม่เข้าที่เข้าทางกับร่างนี้ อีกอย่างหากเป็นน้องนางลูกท้อ นางก็ผ่านการเกิดใหม่หลายภพหลายชาติมาแล้ว ยากที่จะมองลึกลงไปให้เห็นอดีตชาติอันไกลโพ้น
"เถาจื่อหรือ" เฉินเซียงพึมพำแล้วหันไปจ้อง
จริงสิ มันไม่เคยเห็นเถาจื่อมาก่อนนี่นา ถ้าไม่นับตอนนางเป็นเจิ้งตั้นหรือหลี่เจี้ยนเฉิง
"หามิได้" น้องนางหน้าใสยกยิ้มบางๆ ก้าวเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงใสแจ๋วพอกัน
“นามของข้าคือดอกท้อหาใช่ลูกท้อ”
“ยายดอกท้อนะยายดอกท้อ”
เตชัสมองหยกสลักที่เปล่งแสงวูบวาบพร้อมกับแสงอาทิตย์ที่เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้วก่อนเก็บมันไว้ในที่มิดชิดเช่นเดิม
ยอดเขาจู้หยางเฟิง
ก็เหมือนกับที่ผ่านมา...
เหิงซานใต้เป็นหนึ่งในขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์ มีวิหารอารามพุทธและเต๋ามากมายอีกทั้งสถานที่ท่องเที่ยวน่าชื่นชมไม่น้อย
แต่ถ้าพูดถึงที่ที่มีชื่อเสียงในหูหนานก็คงไม่พ้นเขาเทียนเหมินซาน
หากเป็นยามปกติเตชัสคงมีโอกาสสำรวจให้ทั่ว แต่เพราะที่ผ่านมาต้องกลับไปสะสางหน้าที่การร่ำเรียนของตนเองกินเวลาไปพักใหญ่ เวลาห้าเดือนที่ว่ามากมายก็ใกล้เข้ามาทุกที ดังนั้นจะมัวเอ้อระเหยอยู่อีกไม่ได้เพราะไม่แน่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรมาขัดขวางทำให้ทุกอย่างล่าช้าได้อีก
“ทำไมต้องเป็นยี่สิบสามมกรา ทำไมต้องเป็นหัวเซี่ยน” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเองขณะยืนกดมือถือ หน้าจอปรากฏแสงสว่างท่ามกลางความมืดสลัวขณะที่ผู้คนทยอยกลับลงเขาไปเกือบหมดแล้ว
นอกจากกำหนดการณ์ที่ได้นัดแนะไว้ตั้งแต่แรก สถานที่นัดหมายที่เพิ่มขึ้นมาทำให้เตชัสยิ่งงุนงง
เพราะมันส่งมาทางเมลส่วนตัว
ความล้ำสมัยแตกต่างจากภาพลักษณ์ชวนให้แปลกใจพอๆ กับเรื่องที่ยายคนนั้นล่วงรู้ในทุกอย่าง
รู้แม้กระทั่งอีเมลแอดเดรสลับส่วนตัวสำหรับการเรียนและการทำงานที่เขาไม่เคยบอกใครมากไปกว่าคนคุ้นเคย
น่ากลัวเกินไปแล้ว
เตชัสค่อยๆ สาวเท้าก้าวเดินเพื่อรีบลงจากเขากลับให้ถึงที่พักโดยเร็ว เนื่องจากเช้าวันรุ่งขึ้นเขาต้องมาที่นี่อีกครั้ง รวมทั้งเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์
ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนถูกติดตามจับตามองอยู่ตลอดเวลา
ความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเขาเหยียบย่างอยู่บนแผ่นดินมังกรนี่เท่านั้น
มันคืออะไรกัน?
ไม่ว่าจะมีความสงสัยเพียงไร สิ่งที่เขาทำได้ก็มีแค่...
เดินหน้าต่อไปเท่านั้น
เถาฮวา
นั่นแหละชื่อของแม่สาวคนนี้
ผมรู้สึกได้มานานแล้วว่ามีคนติดตาม และนางก็ยอมรับแล้วว่าตามดูเราตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในตลาด
ช่างเป็นหญิงสาวเก่งกล้าที่สามารถหลบรอดซ่อนเร้นจากสายตาเราได้
บางทีอาจเป็นเพราะนางเป็นหลานสาวของเถาลู่นักพรตคนเก่งผู้มีบันทึกฟ้าดินนั่นจึงทำให้มีวิชาติดตัวไม่น้อย
ความเก่งไม่น้อยความสวยก็ไม่ด้อยตาม นั่นเองจึงเป็นที่ต้องตาต้องใจของเหยียนซงจอมหัวงูที่หวังจะเคลมเด็กรุ่นลูก สุดท้ายนางทนไม่ได้หากจะต้องถูกยัดเยียดให้เป็นเมียคนชั่ว ทนไม่ได้ที่เห็นลุงหลงผิดจึงแยกตัวออกมา
และนี่คือเรื่องที่นางบอกเล่าต่อพวกเรา
“ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งท่านลุงจะคิดได้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยวันนั้นคงไม่มาถึง ดังนั้นข้าจึงหาทางขัดขวางพิธีของท่านลุง หาโอกาสช่วยเหลือไห่รุ่ยและคนอื่นๆ มาตลอดแต่ก็ได้พบพวกท่านเสียก่อน”
“พิธีที่ว่านั่นคืออะไร เหตุใดจึงต้องมีไห่รุ่ย มีซือโหยว จานหยกหลัวผานแล้วยังพวกปิศาจอีก” เฉินเซียงถามเรียบๆ
ท่าทางเย็นใจทั้งที่ลุงถูกจับไปไม่ต่างกับเห่าฟ้าที่ยังนั่งก้มหน้าเขี่ยกองไฟพูดคุยพึมพำงึมงำอยู่กับพี่นก
น่าแปลก...
“พิธีปรับเปลี่ยนเฟิงสุ่ย”
แต่ละคนส่งสายตาทำหน้าเหวอไปตามๆ กันเมื่อได้ยิน ยกเว้นอยู่ตัว...
เทียนอวี่
“เสริมหยางปรับเปลี่ยนหยินให้เป็นไปตามหลักเพื่อสร้างสุสานตระกูลเหยียน สิ่งที่ต้องใช้คือมนุษย์ที่เกิดในดิถีธาตุทองหยางอันแรงกล้านับร้อยคน และภูตผีปิศาจที่เปี่ยมไปด้วยพลังหยินนับพัน”
และหุบเขาแม่น้ำเว่ยคือที่ที่ถูกเลือกงั้นสินะ
นี่อาจเป็นผลพวงจากบันทึกฟ้าดิน ความรู้ที่บันทึกอยู่ในนั้น...
แต่ของอย่างนี้เอาเข้าจริงผมเป็นเทพยังไม่เชื่อว่าจะทำได้
หากเป็นเล็กๆ น้อยๆ อย่างจัดบ้านแต่งสวนก็พอได้ แต่นี่เล่นจะทลายขุนเขา เปลี่ยนทางน้ำมันดูจะคิดการณ์ใหญ่เกินตัวไปหน่อยม้าง
ผมไม่คิดจะลบหลู่ความเชื่อใครถ้าทำแล้วสบายใจไม่เดือดร้อนคนอื่น แต่แบบนี้ผมว่ามันไม่โอเคอย่างมาก
“ไร้สาระ” จู่ๆ พี่เทียนก็โพล่งขึ้น “หากพวกเจ้าเชื่อว่าการถูกฝังไว้ในเฟิงสุ่ยที่ดีจะทำให้เจริญรุ่งเรืองชั่วลูกหลาน เช่นนั้นเฟิงสุ่ยที่ใช้กลบฝังเหล่าพระศพของจักรพรรดิทั้งหลายก็ล้วนเลือกสรรมาอย่างดี แล้วเหตุใดจึงยังสิ้นราชวงศ์สิ้นแผ่นดินกันคราแล้วคราเล่า ไม่เห็นมีหวงตี้หรือราชวงศ์ใดอยู่ค้ำฟ้า"
“เรื่องนั้น...” อึ้งไปเลยไหม
นี่ก็ตรงเกินไป ตรงจนผมเองยังหาคำอธิบายให้ไม่ถูกเลย
“ข้าเชื่อว่าเรื่องพวกนี้มันอยู่ที่การกระทำเฉพาะตัวมากกว่า หากทำดีแม้ตายไร้ที่ฝังก็ย่อมถูกแซ่ซ้องสรรเสริญไปจนชั่วลูกหลาน” เจ้าหลานชายว่าต่อ
จากนั้นก็หันขวับไปทางพี่นก “เทียนอวี่ เห็นแก่ที่เราต่างก็มีสายเลือดเดียวกัน เจ้าเองก็เลิกอาฆาตแค้นเคืองลุงข้ากับอวี้ตี้เสียเถอะเพราะมันไร้ประโยชน์และไร้สาระพอกัน”
เออ คิดยังไงอยู่ๆ ถึงวกมาเรื่องนี้ได้ฟะเนี่ย
“สิ่งที่ไร้ประโยชน์และไร้สาระสำหรับเจ้าแต่สำหรับข้ามันไม่เป็นเช่นนั้น”
“เช่นนั้นสิ่งที่ไร้สาระสำหรับเจ้าก็อาจไม่ไร้สาระสำหรับผู้อื่น” เฉินเซียงโต้ เทียนอวี่จ้องเขม็ง
ส่วนผมก็ได้แต่ถอนใจ
“เจ้าคือซือโหยวหรือ” เถาฮวาหันมา ผมพยักหน้าไม่รอดูสงครามประสาทต่อ อย่างน้อยตอนนี้ก็มีเห่าฟ้าคอยช่วยเคลียร์ดังนั้นจึงหายห่วง
“ผิดจากที่คิดไว้มาก”
ใครๆ เค้าก็พูดอย่างนี้แหละครับ ผมชินแล้ว
“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป” เฉินเซียงหันกลับมา ขณะพี่เทียนเมินหน้าไปอีกทางมีเห่าฟ้าคอยตะล่อม
“ข้าอยากจะช่วยไห่รุ่ยรวมทั้งผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น นายอำเภอฉุนอานเป็นคนดี น้อยนักในแผ่นดินนี้ที่จะหาคนเช่นเขาได้”
แน่ล่ะครับ ชีวิตของไห่รุ่ยมีความสำคัญต่อบ้านเมืองนี้ไม่น้อย ผมก็ยอมให้เขาตายที่นี่ไม่ได้เหมือนกัน ไม่งั้นที่เตะถ่วงมาได้ขนาดนี้คงสูญเปล่า
“เราเองก็ต้องไปช่วยคนของเราที่ถูกพาไปเช่นกัน" เฉินเซียงพยักหน้า แววตาเคร่งขรึม "ดังนั้นเราคงต้องร่วมมือกัน เจ้าจะยินดีหรือไม่”
“ย่อมยินดี" เถาฮวายิ้ม "ข้ารู้ว่าพวกท่านหาใช่คนธรรมดา และดูจากสิ่งที่ทำย่อมไม่ใช่คนหรือปิศาจที่เลวร้าย เรื่องนี้ข้าไม่อาจทำคนเดียวได้คงต้องพึ่งพาพวกท่านด้วยเช่นกัน"
น้ำเสียงของนางไหววูบลง "ขอเพียงอย่างเดียว คืออย่าให้ลุงข้าต้องถึงชีวิต”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงคงไม่มีใครคิดทำอันตรายลุงเจ้า อีกอย่างพวกเราเองก็ต้องพึ่งพาเจ้าเช่นกัน” เฉินเซียงยังรับหน้าที่เจรจา "ว่าแต่ห้วงเวลาตะวันดับอะไรนั่นคืออะไรหรือ"
"ห้วงเวลาตะวันดับคือวันที่จะเกิดสุริยคราส" ท่าทางนา ดูสบายใจขึ้นเมื่อได้คำยืนยัน "ตามการคำนวณน่าจะเป็นอีกหนึ่งวันข้างหน้า"
เหลือเวลาแค่วันเดียว...
หนึ่งวันข้างหน้า? เอ วันนี้วันอะไรแล้วนะ
“พวกเจ้าจะทำอะไรก็ทำ ข้าจะไปเดินสูดอากาศเสียหน่อย”
พี่เทียนโพล่งแทรกทำเอาความคิดที่กำลังปะติดปะต่อแตกกระเจิง ซ้ำพูดจบไม่รอคำตอบลุกผละไปทันที
ไม่รู้จู่ๆ อารมณ์สุนทรีหรือเลือดจะไปลมจะมา
งานนี้มันมีอะไรเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหนเดี๋ยวต้องหาเวลาซักฟอกให้รู้เรื่องให้ได้
“เจ้าเองก็พักผ่อนเสียก่อนเถอะ วันพรุ่งยังมีเรื่องให้ทำอีกมาก” เฉินเซียงยังคงความอัธยาศัยดีเยี่ยมไว้เหมือนเดิมแม้จะเจอเข้ากับนกอารมณ์แปรปรวน
เถาฮวาพยักหน้า ผมจึงส่งภาษาใบ้ขอตัวอีกคน
ยังมีเรื่องคาใจที่ต้องนึกให้ออก ขอแค่ได้อยู่อย่างสงบสักพัก
พอลุกมาได้ก็หามุมเหมาะๆ เพื่อนั่งลง ยกขาขัดสมาธิ วางมือไว้บนเข่าทั้งสองแล้วหลับตา
...ความเงียบนี่อีกแล้ว
ความเงียบที่แฝงไว้ด้วยเสียงหวีดหวิวโหยไห้และคร่ำครวญลอยมากับสายลมบางเบาที่คนทั่วไปไม่มีทางได้ยิน
มันบาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจจนเกือบหลั่งน้ำตา
เรื่องวุ่นวายส่อเค้าใกล้เข้ามา ผมยังรู้สึกได้ถึงเหล่าภูตผีปิศาจที่แฝงตัวอยู่ภายในความมืด
ในโลกอีกมิติหนึ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็น
มากมาย หนาแน่นจนนับไม่ถ้วน
ส่วนหนึ่งอาจมาเพราะจานหยกหลัวผาน มาเพื่อติดตามผม
แต่ส่วนใหญ่นั้นอาจมาเพราะกลิ่นอายของความตายกำลังเรียกหา
มีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น บางอย่างที่น่ากลัวเหลือเกิน
น่ากลัวจนรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูก...
ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน
ผมรับรู้ได้ถึงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า เนิ่นนานไม่คิดปริปากจึงได้ลืมตาขึ้น
...เฉินเซียง
“เป็นอย่างไร”
อะไรเป็นอย่างไรผมไม่เข้าใจคำถามครับ หลานชายเทพเอ้อร์หลาง
“มีอะไรที่เจ้ายังไม่ได้บอกออกมา ต่อจากนี้ไปยังจะมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงเกิดขึ้นได้อีกบ้าง”
มันหันไปมองเส้นขอบฟ้าที่ปรากฏแสงอาทิตย์รำไรแต่งแต้มเวิ้งฟ้าด้วยสีแดงฉาน จากนั้นสูดหายใจลึกเหมือนกำลังชมวิวรับอากาศยามเช้า
“อะไรคือสิ่งที่ควรทำ ข้าหวังว่าจะมีใครสักคนที่บอกได้”
พรรณาจบ สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยแววหวังนั้นพลันหันกลับมาจ้องสบ
ปากขยับช้าๆ แผ่วเบาราวเสียงกระซิบ
“ท่านลุง"
..........
ช่วงนี้ระบบเด็กดีรวนเล็กน้อยนะคะอาจมีการแจ้งเตือนพร่ำเพรื่อหรือไม่แจ้งเตือนเลย ก็คงต้องมานั่งทำใจรวมกันตรงนี้ค่ะ T^T
ภาพข้างล่างคือหุบเขาแม่น้ำเว่ย หัวเซี่ยนค่ะ จะเกิด(หรือเคยเกิด) อะไรขึ้นที่นี่หนอ???
//สปอล์ยมาเต็มมาก สำหรับท่านที่อ่านจีนได้ // อ่านไม่ได้ก็สปอล์ยตัวเองได้นะเออ ข้อมูลมาหมดแล้ว แต่นายตรัยมึนจัดยังนึกไม่ออก...
.....
เสี่ยวเจิน...เออ ใช่สิ ข้านี่ล่ะสาวใช้!
เฟิงผิงเจิน สาวใสวัยใกล้เลขสามผู้เป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่กับอาสะไภ้ที่เมืองไทยมาเกือบครึ่งชีวิต สุขบ้างเศร้าบ้างตามประสาคนธรรมดา ทว่าชีวิตการทำงานที่ลุ่มๆ ดอนๆ กำลังจะพลิกผันไปได้สวยกลับกลายเป็นซวยเพราะอุบัติเหตุระหว่างเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติที่จีน
ความใฝ่ฝันที่จะได้เป็นนักเขียนมืออาชีพกำลังจะเป็นจริงแต่เธอกลับต้องตายเพราะเดินตกส้นสูงข้อเท้าพลิกล้มหัวฟาดพื้นเนี่ยนะ!
นี่มันตลกร้ายอะไรกัน!
ไม่! เธอจะไม่ยอมตาย เหมือนในนิยายที่เธอเขียนนั่นไง เวลาอย่างนี้ต้องมีพระเจ้าหรืออะไรสักอย่างส่งเธอไปเกิดใหม่ในยุคจีนโบราณแบบนั้นสิ!
"ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตเพื่อชื่นชมความสำเร็จของตนเองจงทำงานให้ข้า"
เพื่อคืนชีวิตให้ตนเองเธอจึงยอมโดดเข้าร่วมเกม...
ไม่ใช่สิ ทำไมต้องมีเงื่อนไขบ้าบออะไรด้วย ปกติเธอจะต้องเข้าไปอยู่ในร่างสาวงามแสนอ่อนแอผู้กุมหัวใจจักรพรรดิอย่างนั้นไม่ใช่หรือไง
"อย่าคิดเพ้อเจ้อ..." ดันรู้อีกแน่ะ "เจ้าคือคนที่ถูกเลือก ทำงานให้ข้า สานต่อบุพเพในอดีตกาลของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง พวกเขาเป็นผู้มีความสำคัญต่อชะตาแผ่นดินมาก อย่าให้ผู้ใดขัดขวางทางรักของพวกเขาได้แม้จะเป็นปิศาจจากไหนก็ตาม หากเจ้าทำสำเร็จความตายของเจ้าก็ถือเป็นโมฆะ"
มีอย่างนี้ด้วย? เฟิงผิงเจินไม่เคยคาดคิดมาก่อน อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นคนที่ถูกเลือกอย่างกับในนิยาย
ว่าแต่...ถูกเลือกทั้งทีมันต้องมีอะไรพิเศษหน่อยจริงไหม?
เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ หรือองค์หญิงผู้สูงศักดิ์...
"งานของเจ้า อาชีพสาวใช้เหมาะที่สุด"
สาวใช้!
โอเค ให้เป็นสาวใช้เธอไม่ว่า ให้ทำงานเป็นแม่สื่อแม่ชักทั้งที่ตัวเองใกล้ขึ้นคานเธอก็จะไม่บ่น ให้เธอเป็นตัวประกอบคอยช่วยพระนางคงเป็นเรื่องสิวๆ ถ้าไม่มีตัวโกงอย่างนายนั่นมาขวางทางอยู่ร่ำไป!
"เฟิงผิงเจิน ที่แท้เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?"
หนุ่มตี๋หน้าจืดที่ไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกเห็น
"คุณหนูเรียกขานบ่าวว่าเสี่ยวเจิน" ผิงเจินกล่าวอย่างนอบน้อม ก้มหน้าหลบตา
"เพียงสาวใช้?"
แต่ในใจนั้นหรือ...
เสี่ยวเจิน...เออ ใช่สิ ข้านี่ล่ะสาวใช้!
ความคิดเห็น