เมืองไทยยังมีลูกผู้ชายไม่พอ - เมืองไทยยังมีลูกผู้ชายไม่พอ นิยาย เมืองไทยยังมีลูกผู้ชายไม่พอ : Dek-D.com - Writer

    เมืองไทยยังมีลูกผู้ชายไม่พอ

    คนใดที่คิดขายชาติขายเเผ่นดิน ขอให้คนคนนั้นอย่าได้ตายในเเผ่นดินไทยอย่าได้อยู่ในเเผ่นดิไทย

    ผู้เข้าชมรวม

    378

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    378

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 มิ.ย. 49 / 00:49 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       เมืองไทยของเราทุกวันนี้ สิ่งที่เราอาจจะชี้ให้คนทุกคนเห็นร่วมกันได้อย่างชัดเจนก็คือว่าประเทศไทยเราเป็นประเทศที่ขาด “ลูกผู้ชาย” อยู่มาก
             
              ความหมายของคำว่าลูกผู้ชายเป็นคำเปรียบเทียบที่นำมาใช้คู่กับคำว่า “ลูกผู้หญิง” ซึ่งถือว่าเป็นคำสูงและในขณะที่คนชั้นต่ำจะเรียกคำที่หนักหน่วงไปกว่านั้นคือคำว่า “หน้าตัวเมีย” เท่ากับสัตว์พันธุ์อื่นๆ ที่ไม่มีคุณงามความดีอะไรในโลกนี้
             
              ในทางการเมืองเราอาจจะเรียกคนประเภทนี้ซึ่งมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองก็จะได้แก่พวกนักการเมืองประเภทโกหก ทรยศคดโกง ไม่กล้าทำอะไรที่เกี่ยวกับความดีความงามที่โลกรู้จัก แต่เป็นพวกซ่อนกิน ฮุบกิน เห่าหอน และขายชาติไปวันๆ เสียมากกว่าซึ่งคนเหล่านี้กำลังทำลายบ้านเมืองอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกหัวหงอกหัวดำ พวกที่เรียนหนังสือมาหลายเล่มและเป็นบุคคลที่ถูกเรียกว่าท่านหรือ ฯพณฯ ส่วนมากจะได้รับการเรียกขานจากประชาชนส่วนใหญ่ว่า “ด็อกเตอร์” หรืออะไรแบบนั้นก็ได้
             
              เฉพาะพวกนี้ขึ้นมาปกครองบ้านเมืองหรือเป็นนักการเมืองจากการลงทุนใช้เงินที่คดโกงได้มามากพอสมควรมาซื้อเสียงเลือกตั้ง หรือซื้อนักการเมืองที่มีหน้าที่เพียงยกมือสนับสนุนให้มีอำนาจวาสนาเป็นท่านขึ้นมา
             
              ยิ่งในระยะนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ผมพบแต่คนที่นิยมการบ่นและการปรารภไร้สาระร้อยแปดเรื่อง เมื่อก่อนนี้ไปไหนพรรคพวกก็จะพูดถึงความยุ่งยากของการจราจร แต่มาถึงสมัยนี้ นอกจากปัญหาน้ำมันแพงและสินค้าทุกชนิดที่ชาวบ้านต้องกินต้องใช้เป็นประจำแพงอย่าง “ฉิบหายวายวอด” ทำไมบ้านเมืองของเราจึงไม่มีความเป็นลูกผู้ชายที่เพียงพอสำหรับแก้ไขปัญหาชั่วร้ายของสังคมซึ่งเกิดซ้ำซ้อนกันขึ้นมาทุกวันไม่ได้หยุด
             
              ผู้ชายในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้ส่วนมากจะมีผู้ชายประเภท “อ้ายกร๊วก” แทรกเข้ามาซึ่งมีอำนาจวาสนาอยู่ในวงการเมืองและกิจการต่างๆ ของบ้านเมืองหรือไม่ก็พวกโจรที่เกิดมาเพื่อทำอย่างเดียวคือการผนวกกำลังกันเข้าปล้นชาติถาวร โดยมีกฎหมายรับรองอย่างเป็น หลักเป็นฐานที่ใครทำอะไรก็ได้
             
              อะไรบ้างที่มันจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติประชาชน คนพวกนี้จะไม่รู้จักและทำไม่เป็น และยิ่งมาถึงทุกวันนี้ เรามีคนสำคัญของบ้านเมืองส่วนมากจะเป็นพวกที่พยายามทำตัวเป็นสุนัขรับใช้คนที่มีเงินกว่าหรือพูดได้แต่เรื่องโกหก และกะล่อนร้อยแปดไปวันๆ มันน่าจะทำให้ต้องเป็นห่วงเมืองไทยว่ามันจะไปไม่รอดกันง่ายๆ
             
              เป็นเรื่องน่าแปลกอัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อที่อาชีพสุนัขรับใช้นักการเมืองสวะในบ้านเมืองของเราได้รับการยกย่องเทิดทูนเป็นอย่างมาก
             
              “คนไทยสมัยก่อนของเราอย่างเช่น คนสมัยบางระจัน จะไม่เคยมีคนที่มีลักษณะนี้หรือไม่มีคุณสมบัติแบบนี้กันเลย ถ้าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยเพราะไม่ได้เรียนจบด็อกเตอร์ที่ไหนมา เขาก็จะเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำมาหากินไปเฉพาะตัวเขา และจะไม่แส่ไม่เสือกไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือทำอะไรให้ใครเดือดร้อน หรือทำตัวให้คนอื่นเชื่อว่าตนเป็นเทวดาลงมาเกิด เฉพาะคนบางระจันนั้น มีแต่ลูกผู้ชายทั้งนั้น ชาวบ้านบางระจันคนหนึ่งบอกกับผม เมื่อผมเดินทางไปเยี่ยมพรรคพวกเก่าแก่ที่นั่น ไม่ว่าคนพวกนี้จะยากดีมีจนยังไงก็ตาม สิ่งที่คนที่นี่จะรักษาหวงแหนอย่างยิ่งก็คือความเป็นลูกผู้ชาย”
             
              ผมนั่งฟังโดยไม่ยอมโต้เถียงอะไรมาก
             
              “คนบางระจันเรามีความเป็นลูกผู้ชายมาก”
             
              ผมก็ยังไม่ยอมออกความเห็นอะไร เพราะถือว่าเราปกครองกันในระบอบประชาธิปไตย ใครจะเป็นเทวดาหรือเป็นหมูเป็นหมาอะไรก็เป็นสิทธิของเขา เป็นเสรีภาพของเขา คนอื่นไม่มีสิทธิไปขัดขวางผลประโยชน์ของเขา
             
              ผมก็เหมือนกัน
             
              เราจะไปขัดขวางอะไรใครไม่ได้ ในระบอบประชาธิปไตยระยำอัปรีย์ที่เราอยู่กันทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าเราจะรู้จะเห็นกันอยู่เต็มอกว่าบ้านเมืองของเราทุกวันนี้เราไม่สนใจคนดีคนชั่ว เราสนใจแต่คนที่เป็นท่าน หรือ ฯพณฯ ใครอยากจะเป็นอะไร อยากชั่วช้าสกปรกอย่างไรก็สามารถเลือกเอามาใช้ในการมีชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุขสบาย
             
              ทุกคนจะไม่พยายามเป็น และหลีกเลี่ยงความเป็นลูกผู้ชายกันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
             
              อย่างคนโบราณในสมัยอยุธยา บ้านเมืองมีเวรมีภัยมีอันตรายจากข้าศึกศัตรูอย่างน้อยที่สุดก็คือพม่าที่จะเข้ามายึดครองกรุงศรีอยุธยานั้น ว่ากันว่าเพื่อลงทุนเข้ามาอาศัยไร่นาเมืองไทยทำนาเตรียมข้าวปลาอาหารหลายปีในชายแดนไทยที่ติดกับพม่า เพื่อทำสงครามกับไทย และยึดเมืองไทยเป็นเมืองขึ้นโดยไม่ต้องขนอาหารการกินมาจากประเทศพม่า
             
              ปรากฏว่าอยุธยาสมัยนั้นไม่มีลูกผู้ชายเลย
             
              ผู้รับผิดชอบบ้านเมืองไทยสมัยนั้น นอกจากจะพยายามสร้างคนมีบุญญาธิการขึ้นมาเพื่อรอรับการประจบสอพลอจากสัตว์เลี้ยงต่างๆ ลืมไพร่ฟ้าประชาชนในแผ่นดินที่พยายามรอคอยความหวังตามภาษาไพร่ทาสของแผ่นดิน แต่บรรดาผู้มีอำนาจวาสนาในแผ่นดินทุกคนก็มั่วสุมสนุกสนานอยู่กับคำบอกกล่าวกันในสมั้ยนั้นว่า “ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา” กันอึกทึกครึกโครมชนิดที่ว่ากรุงศรีอยุธยาสมัยนั้นจะย่อยยับไป
             
              ในเวลาอันสมควร พม่าก็บุกเข้ายึดกรุงศรีอยุธยา เผาวัดวาอารามและกรุงศรีอยุธยายับไปเรียบร้อย
             
              คนไทยที่เป็นผู้ชายที่เข้าแต่หอล่อกามาเหล่านั้น ไม่ได้ทำอะไรเลย กลับสั่งห้ามเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่ให้ยิงปืนใหญ่เข้าใส่พม่าที่บุกเข้ามาในเมืองโดยบอกว่าบรรดาลูกเมียที่อยู่อย่างไม่เป็นอันกินอันนอนทั้งหมดที่ตนมีอยู่จะตื่นเต้นตกใจ!
             
              ไม่เพียงแต่ไม่เป็นลูกผู้ชายเท่านั้น เป็นอ้ายพวกฉิบหายอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้เหล่านั้นก็จะพากันตกใจไปด้วยเหมือนกัน
             
              กรุงศรีอยุธยาและคนไทยในยุคนั้นต่างก็ไม่มีที่พึ่งพากัน ต่างก็วิบัติฉิบหายไปหมดเพราะบ้านเมืองขาดลูกผู้ชาย
             
              แต่บังเอิญว่า กรุงศรีอยุธยาเป็นชาติหนึ่งในขณะที่คนไทยมีคำพังเพยติดปากจากยุคนั้นหลงเหลือมาถึงปัจจุบันนี้อีกเหมือนกันว่า “เมืองไทยไม่เคยสิ้นคนดี”
             
              เพราะในขณะที่กรุงศรีอยุธยาที่เจ้าบ้านผ่านเมืองกำลังมั่วเมียน้อยและอีหนูจะตกใจเสียงปืนไม่ยี่หระอะไรทั้งสิ้นนั้น นอกจากอีหนู พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่คนสมัยนั้นและทุกวันนี้ก็ได้ภาษิตขึ้นมาคู่กันอีกบทหนึ่งสำหรับใช้ในชาติ ซึ่งผมก็ต้องขอโทษอีกตามเคยเพราะว่าเป็นคำหยาบและคำคนชั้นต่ำ ภาษิตนั้นคือคำว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนเหี้ย” หรือเมื่อมีภาษิตอยู่ว่ากรุงศรีอยุธยานั้นไม่เคยสิ้นคนดีก็ตาม แต่ว่ากรุงศรีอยุธยานั้นก็ไม่เคยสิ้นคนเหี้ย!!
             
              ภาษิตหรือคำพังเพยสองประโยคนี้มันจะเป็นอมตะและไม่มีวันตาย
             
              และในระยะนี้เมืองไทยจะหาเหี้ยและสารพัดเหี้ยที่กำลังจะทำลายประเทศไทยและคนไทยได้มากที่สุดตามแนวปรัชญา 5 ข้อ ที่ไปตกลงร่วมกันในต่างประเทศในระยะที่จะจัดตั้งพรรคการเมืองมหาวิบัติเข้ามากินบ้านกินเมืองและมารวมหัวกันขายชาติอยู่ในขณะนี้ ถ้าหากประชาชนพลเมืองไทยในขณะนี้ยังตื่นไม่ทันเล่ห์กลและวิธีการสาระยำของสารพัดเหี้ยที่กำลังดิ้นรอวันตายอยู่ในขณะนี้
             
              ในประวัติการต่อสู้และการป้องกันชาติของคนไทยในประวัติศาสตร์ มีความแตกต่างจากคนชาติอื่นหลายประเทศเพราะในยามที่บ้านเมืองกำลังถูกท้าทายด้วยคนเหี้ยอย่างวันที่พม่าบุกเข้าปล้นกรุงศรีอยุธยา เจ้าขุนมูลนายคนสำคัญหรือถูกฆ่าถูกเผากันวอดไปนั้น ก็มีลูกผู้ชายไทยจำนวนเพียง 500 คน และอีกคนหนึ่งชื่อพระยาวชิรปราการพากันหนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยาเพื่อมาตั้งหลักที่กรุงเทพฯ และชลบุรีเพื่อป้องกันบ้านเมืองและผู้คนที่เหลืออยู่
             
              เพียง 500 คนเท่านั้น!
             
              เพราะคนเหล่านั้นคือลูกผู้ชายไทยแท้ๆ ของกรุงศรีอยุธยา
              เล่นงานพม่าเสียจนต้องหอบกันกลับบ้านกลับเมืองไปอย่างไม่เหลียวหลังต่อไปอีก
             
              คนไทย 500 คนนี้ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องลงทุนใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องติดสินบน เหมือนที่นักการเมืองไทยที่จะลงเล่นการเมืองในเมืองไทย ทุกคนพร้อมที่จะไปตายที่ไหนก็ได้เพื่อรักษาประเทศชาติให้ลูกหลานได้อยู่ แม้แต่ชื่อของแต่ละคนก็ไม่มีใครจดจำจารึกหรือรู้ว่าเป็นใคร และคนพวกนี้ก็ไม่ได้เคยแคร์ว่ากองทัพพม่าที่เข้ามาเผาบ้านเผาเมืองนั้น มันมีมากน้อยเท่าไร ไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันและไม่ต้องต่อรองอะไรกันอีก มึงต้องออกไปเท่านั้นแต่คนไทยจะต้องอยู่
             
              มันก็เท่านั้น!!
             
              คนอยุธยาในยุคนั้น แต่ละคนไม่มีอะไรติดตัวกันทั้งนั้น นอกจากความเป็นลูกผู้ชายอย่างเดียว
             
              แผ่นดินไทยที่ลูกหลานคนจัญไรและอ้ายพวกทรยศเอามากินเอามาใช้ และขายให้ต่างชาติอยู่ทุกวันนี้มันเหลืออยู่ได้เพราะลูกผู้ชายไทยที่มีอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น
             
              ผมก็เห็นด้วยและคิดอยู่ว่าทุกคนก็เห็นเช่นเดียวกัน แต่มีปัญหาอย่างคำว่า ลูกผู้ชายหรือความเป็นลูกผู้ชายที่คนบางระจันมีกันอยู่นั้นมันมีรูปร่างประการใด นั่นคือปัญหา
             
              “เยอะ” พรรคพวกรายนั้นบอก เขาบอกต่อไปว่า “ถ้าจะเอาแบบบางระจันกันจริงๆ แล้ว อ้ายคนพวกนี้มันมีไม่ได้หรอก เพราะความชั่วมันมากเกินกว่าจะเอาความดีอะไรใส่ลงไปสอดแทรกไว้ตรงไหนได้ ถ้ามันจะมีปัญญามีกันได้ก็ขออย่างเดียวก็พอ คือขอให้มันมียางอายหรือรู้จักคำว่ายางอายกันบ้าง ทุกวันนี้อ้ายคนพวกนี้ไม่มีเลย”
             
              นั่นก็เป็นความรู้ใหม่อีกอย่างหนึ่งสำหรับผม “ถึงมันจะไม่ครบไม่สมบูรณ์ก็ขอแต่เพียงให้มันมีอยู่บ้างเท่านั้นหรือคุณเชื่อว่ามันมีกัน?”
             
              “ก็ไปบอกให้มันเพิ่มเข้าไปอีกสักสองอย่างคือศีลธรรมกับคุณธรรม เพราะเท่าที่มองเห็นนอกจากจะไม่เคยมียางอายกันแล้ว คุณธรรมและศีลธรรมมันก็ไม่มีกันเลยหรือไม่ก็ไปเปิดโรงเรียนประชาบาลขึ้นที่บางระจันอีกสักแห่งหนึ่ง อาจจะช่วยได้ก็ได้ เมืองไทยอาจจะดีขึ้นก็ได้”
             
              ผมว่ายังไงก็ยังทำยากหรือแก้อะไรได้ยาก
             
              เมืองไทยเราคอร์รัปชันกันได้ โกหกอะไรก็ได้ แม้แต่ขายบ้านขายเมืองขายแผ่นดินกินก็ได้ มันเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ เราประพฤติปฏิบัติกันมาจนชิน แต่สิ่งที่เราจะทำไม่ได้กันแน่ก็คือการทำให้นักการเมืองของเรามีความอายขึ้นมาสักนิดก็ยากแล้ว เพราะว่าความอุบาทว์เลวร้ายเหล่านี้เราก็ทำกันมาจนชินเหมือนกัน!!

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×