ตอนที่ 8 : Shining VII :: promise
…ไม่มีใครบนโลกไม่เคยทำผิดพลาด…
และทุกความผิดพลาด สมควรได้รับการอภัย โดยเฉพาะการอภัยให้กับคนที่สำนึกในความผิดตัวเองแล้วแบบแบคฮยอนนั่นน่ะ! ชานยอลยิ่งควรยกโทษให้สิ
แบคฮยอนคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าตัวเองผิดขนาดที่ว่าชานยอลต้องเมินใส่ถึงขนาดนี้เลยหรือ ทั้งที่ยอมเข้าไปขอโทษแล้วแท้ๆแต่คนตัวสูงก็ยังปฏิเสธ ทำเหมือนเขาไปแอบขโมยของกินของอีกฝ่ายมายังไงยังงั้น ถ้าเป็นเรื่องนั้นจะไม่ว่าเลยเพราะถ้าเป็นแบคฮยอนมีใครมาขโมยของชอบของตัวเองไปกินโดยไม่บอกก่อนก็จะโกรธเหมือนกัน
โอเคแหละ แบคฮยอนรู้ว่าตัวเองดื้อ เอาแต่ใจ ไม่ฟังใครเท่าฟังตัวเอง หลายคนชอบมาบอกว่าเขาน่ะนิสัยไม่ยอมโตซักที ซึ่งแบคฮยอนเองก็อยากจะถามกลับว่าจะให้ทำยังไง นี่ก็พยายามปรับปรุงอยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางครั้งมันอดไม่ได้จริงๆอะ มันขัดใจ มันไม่ชอบ มันไม่อยากทำ มันอึดอัดดดดดดด
เฮ้อ…
แบคฮยอนถอนหายใจให้กับตัวเองเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ คำสั่งสอนของพ่อเฒ่ากับแม่ครูกำลังตามมาเล่นงานให้รู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะย้ายมาอยู่กับคุณท่านพ่อแม่ทั้งสองย้ำนักย้ำหนาว่าได้รับโอกาสจากความเมตตาของคุณท่านแล้วต้องทำตัวว่านอนสอนง่าย ห้ามเขาก่อเรื่อง ห้ามทำตัวเป็นภาระใคร แล้วดูสิ่งที่เขาเผลอทำลงไปสิ นี่แค่ลองนึกภาพตอนพ่อเฒ่ารู้เรื่องเข้าเสียงหวดไม้เรียวก็ลอยตามมาให้สยองแล้วอ่ะ บรึ๋ยยยย
เพราะแบบนั้นแบคฮยอนจึงคิดว่าตัวเองควรพยายามใหม่ ถึงการมาอยู่ที่นี่กับคุณท่านจะเกิดขึ้นจากเงื่อนไขบางอย่าง แบคฮยอนอาจไม่ได้อยากมาตั้งแต่แรกแต่เพื่อแลกกับข้อเสนอข้อนั้นแล้วแบคฮยอนยอมหมดเลย จะยอมปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นกว่านี้เพื่อไม่ให้ทุกคนผิดหวังด้วย ไม่ว่าจะคนที่ชุมชนหรือแม้แต่คนดีๆอย่างคุณท่าน
“ไหนบอกจะมาหาพี่ชานยอลไง เอาแต่ยืนซ่อนตัวอยู่แบบนี้แล้วเมื่อไหร่จะได้เข้าไปซักทีฮึ”
“ก็เรายังไม่พร้อมอะ”
“แต่ตอนบ่ายเรามีเรียนกันต่อนะ”
“แต่เพื่อนชานยอลนั่งอยู่ด้วยเต็มไปหมดเลย เราไม่กล้าเข้าไปหรอก”
“เดี๋ยวเราพาเข้าไป”
“เดี๋ยวเซฮุน!” คนตัวเล็กขืนตัวไว้อย่างสุดกำลัง “ขอเวลาทำใจแปปนึง”
ปาร์คเซฮุนยืนส่ายหน้าขำกับอาการของเพื่อน แค่เอากล่องอาหารเมนูใหม่ที่ตัวเองฝึกทำมาให้พี่ชายเขาชิมและเพื่อเป็นการง้อด้วยทำไมต้องกลัวขนาดนั้น ทุกทีก็ออกจะมั่นใจในตัวเอง แต่อย่างว่านั่นแหละ ตอนพี่ชายเขาโกรธน่ะเป็นช่วงเวลาที่นรกที่สุด นอกจากจะง้อยากเอาใจยากแล้วพี่ชายเขายังมีลูกเล่นการเอาคืนที่ไม่น่าประทับใจสำหรับคนโดนกระทำเลยซักนิด เรื่องนี้เซฮุนรู้ดีกว่าใคร
และเซฮุนก็เอาใจช่วยให้เพื่อนตัวเล็กสามารถผ่านพ้นมันไปให้ได้ด้วยดีด้วย
“มาเถอะ”
เซฮุนดึงมือแบคฮยอนให้ตามตัวเองมาหลังจากยอมยืนทำตัวลับๆล่อๆเป็นเพื่อนแบคฮยอนอยู่นอกร้านกาแฟของเพื่อนพี่จงอินนานสองนานจนคนอื่นๆพากันหันมามองพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ …ถึงจะเป็นคนที่สดใสเป็นตัวของตัวเองแต่ใช่ว่าเซฮุนจะไม่แคร์สื่อนะ โดนมองเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาดแบบนั้นเซฮุนก็รู้จักอายเป็นเหมือนกัน
“หวัดดีพี่ชาย”
หนุ่มผิวขาวรูปร่างหน้าตาดีไม่แพ้พี่ชายเดินเข้ามาทักผู้เป็นพี่ด้วยใบหน้าร่าเริงเช่นปกติ เพื่อนพี่ชายอีกสี่ห้าคนรวมพี่คริสกับพี่จงอินแล้ว ก็หันมาทักทายเขาด้วย และไม่ลืมเผื่อแผ่มิตรไมตรีอันดีกันไปให้กับคนตัวเล็กที่ยืนยิ้มแห้งๆอยู่ด้านหลังของเขา
“ก็เห็นยืนอยู่นอกร้านตั้งนาน นึกว่าจะไม่เข้ามาแล้วซะอีก” จงอินถามพลางยกแก้วชาเขียวร้อนขึ้นดื่ม
“อ้าว นี่พวกพี่เห็นเราสองคนด้วยหรอ”
“กระจกใสรอบร้านขนาดนี้คงไม่มีใครเห็นมั้ง”
เซฮุนก็แกล้งถามไปอย่างนั้นแหละ จริงๆตอนอยู่นอกร้านเขาสบตากับพวกพี่ๆไปหลายหนแล้วแต่ไม่รู้จะบอกแบคฮยอนยังไง จะให้พูดว่า ‘เฮ้.. ตัวเล็กเลิกทำตัวเหมือนจะมาขโมยของในคาเฟ่แล้วเข้าไปซักทีเถอะ พวกพี่เค้าเห็นกันหมดแล้ว’ แบบนี้หรอ? คิดๆแล้วมันก็คงกระไรอยู่ เซฮุนกลัวจะโดนงอน และเพื่อเป็นการเอาใจ อีกฝ่ายอยากจะทำอะไรเลยต้องเออออห่อหมกตามใจไว้ก่อนยังไงล่ะ
“แบคฮยอนอยากจะมาหาพี่น่ะ ผมเลยพามา”
“มาหาทำไม”
“แบคฮยอนเอาอะไรมาให้พี่ชายสุดหล่อเราชิมนะ?”
“อ่อ ข้าวผัดกิมจิชีส”
“อู้หูววว! มันต้องอร่อยมากแน่ๆ”
“เราทำมันไหม้ไปสองครั้งแล้วอะ”
“…..”
“แต่อันนี้หัดทำครั้งที่สามแล้วนะ! รสชาติดีที่สุดแล้วด้วย ก็เลยอยากเอามาให้ชานยอลชิม”
“ว้าว พี่ชานยอลนี่โชคดีจัง แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างผมยังไม่มีโอกาสได้กินฝีมือของแบคฮยอนเลยนะเนี่ย น่าอิจฉาสุดๆ”
ใช่! น่าอิจฉาสุดๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะแบคฮยอนทำงานกับคอมพ์พี่ชานยอลพังไม่มีทางที่จะได้ยินเซฮุนช่วยพูดอะไรแบบนี้แน่ ก็มันเรื่องอะไรล่ะ เขาเองก็อยากกินข้าวผัดของแบคฮยอนบ้างเหมือนกันนะ
“ฮ่ะๆๆ น่ารักจังเลยนะแบคฮยอน”
“ใช่ พี่จงอินพูดถูกแล้ว แบคฮยอนของผมน่ะน่ารักที่สุดดดดด”
งานอวยขอให้บอก! ถึงจะเป็นการมาช่วยง้อแต่ก็ขอกำไรคืนสู่ตัวเองบ้างอะไรบ้าง
“เออ เอากับมันสิ ฮ่ะๆๆ”
“ชานยอลชอบกินข้าวผัดกิมจิมั้ย”
“…..”
“เอ้า น้องเค้าถามไม่คิดจะตอบหน่อยหรือครับคุณชายเพื่อน”
“กี่โมงแล้ว ต้องไปเรียนกันอีกนะ”
“ห้องเรียนตอนบ่ายก็อยู่ชั้นนี้เดินไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว ไม่เห็นต้องรีบ”
ปาร์คชานยอลถลึงตาใส่คิมจงอิน ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาบ่ายเบี่ยงไม่อยากคุยกับเด็กแสบนี่ด้วยเหตุอะไรก็เล่าให้ฟังไปหมดแล้วยังจะทำแบบนี้อีก นิสัยชอบหักหลังเพื่อนเนี่ยไปได้มาจากไหนนักหนาอยากจะถามอยู่เหมือนกัน
“ตึกนิติกับตึกบริหารก็ไกลกันใช่เล่นนะ น้องอุตส่าห์เอามาให้ส่วนนายเองก็กินมื้อเที่ยงไปแค่กาแฟถ้วยเดียว รับน้ำใจน้องไว้หน่อยสิ เด็กๆมันจะได้รีบกลับไปเรียนตอนบ่ายกันต่อ ใช่มั้ยเซฮุน แบคฮยอน”
น้องชายทั้งสองชูนิ้วโป้งให้คิมจงอินแทบจะพร้อมกัน
“ดูเหมือนนายจะได้รับเงินใต้โต๊ะนะจงอิน”
“นายคิดว่าฉันมีเวลาไปทำเรื่องแบบนั้นหรอ แค่ต้องเรียนต้องซ้อมก็กินเวลานอนของฉันไปเท่าไหร่แล้ว ไอ้เงินใต้โต๊ะใต้เตียงอะไรนั่นน่ะ ตอนนี้ฉันไม่สนหรอก”
“จิ๊!” คนตัวสูงจิ๊ปากขัดใจ ไม่ว่าจะคำพูดของเพื่อนตัวดำ สายตาของเพื่อนร่วมโต๊ะอีกหลายคนที่แม้ไม่พูดแต่ก็มองด้วยความสนใจ และการยื่นส่งกล่องข้าวมาตรงหน้าเขาของแบคฮยอนอีก
“ชานยอลรับไว้ชิมหน่อยนะ”
“เอากลับไปเถอะ”
“ยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรอ หรือจะเก็บไว้กินตอนไหนก็ได้นะมันยังไม่เสียง่ายๆหรอก”
“เอาออกไป”
“….”
“ฉันบอกให้กลับไปพิจารณาพฤติกรรมตัวเองยังไม่ทำอีกเหรอ”
ไม่ว่าจะปัดกล่องข้าวให้พ้นตัวเท่าไหร่มันก็จะเด้งกลับมาอยู่ตรงระดับสายตาเหมือนเดิมทุกครั้ง ชานยอลถอนหายใจใส่ความดื้อด้านของอีกฝ่าย…
“ต้องให้บอกมั้ยว่ารำคาญยังไง”
“ถ้าชานยอลรับมันไว้ผมจะรีบไปให้พ้นหน้าทันทีเลย”
“ฉันบอกว่าไม่ ก็คือไม่”
“ผมตั้งใจเอามาให้จริงๆนะ จะมาขอให้ชานยอลยกโทษให้อีกรอบด้วย”
“ถ้าไม่อายคนอื่นก็กรุณารู้ไว้ด้วยว่าฉันอาย ไม่สิ.. ต้องบอกว่าขายขี้หน้ามากกว่า” หลายคนในคาเฟ่ของตึกบริหารกำลังมองเหมือนเขากำลังรังแกรุ่นน้องอยู่ยังไงยังงั้น
“เซฮุนนายพาเพื่อนนายกลับไปซะ”
“เอ่อะ ผมว่าพี่น่าจะ…”
“ผมจะรีบไปให้พ้นหน้าชานยอลจริงๆแต่ช่วยรับมันไว้หน่อยเถอะ! จะเอากลับไปกินเองก็ชิมจนเบื่อแล้ว จะเอาไปทิ้งก็เสียดาย จะเอาไปให้ใครต่อก็คงไม่ดีในเมื่.อ...เคร๊งงงง!! ”
เสียงกล่องข้าวตกลงกระทบพื้นดังจนคนทั้งร้านกาแฟพากันหันมามองด้วยความตกใจ ไหนจะข้าวผัดและไข่ดาวหน้าตาน่ารักที่ตอนนี้มันหกกระเด็นออกมาจากกล่องข้าวจนกระจัดกระจายเลอะพื้นร้านไปหมดแล้ว
“…..”
ชานยอลไม่ได้ตั้งใจ แต่เหมือนน้ำหนักมือที่ปัดลงบนกล่องข้าวจะมากเกินไป
“พี่ใจร้ายเกินไปแล้วนะ!”
“…..”
เซฮุนรู้สึกโกรธแทนแบคฮยอน! ต้องไม่พอใจขนาดไหนถึงได้ทำร้ายจิตใจคนตัวเล็กๆต่อหน้าคนทั้งร้านได้ลงคอ แค่คำพูดยังไม่พอใช่มั้ยถึงทำกับเพื่อนเขาขนาดนี้ มันน่าโมโหจริงๆ! มันน่าๆๆๆ มันก็น่าโมโหนั่นแหละ! เพราะทำอย่างอื่นไม่ได้เซฮุนเลยทำได้แค่โมโหแบบนี้ไง
“เห้ยไม่ทำเกินไปหน่อยหรอวะชานยอล”
“เกินไปมากเลยต่างหากล่ะ กลับกันเถอะแบคฮยอน อย่าไปสนใจคนใจร้ายเลย”
“…..”
“แบคฮยอน…” เซฮุนมองหน้าเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งที่อุตส่าห์ดึงมือให้มาด้วยกันแต่คนตัวเล็กกลับขืนตัวไว้ อยากจะถามกลับเหลือเกินว่าทำไมล่ะ? ทำไมไม่ยอมออกไป? แต่พอเห็นเพื่อนลงไปนั่งยองๆเพื่อเก็บกล่องข้าวเซฮุนก็ได้แค่ยืนมองเงียบๆด้วยความสงสารจับใจ …แบคฮยอนเสียใจเซฮุนก็เสียใจจจ…. คิดแล้วก็ตวัดตามองตัวการณ์ของเรื่องทั้งหมดอย่างนึกไม่พอใจอีกรอบ!
“ชานยอลคงไม่รู้ว่ายังมีอีกหลายคนที่ต้องใช้ชีวิตแบบอดๆอยากๆ”
“…..”
“ถึงผมจะนิสัยไม่ดีแต่ผมก็ไม่เคยเอาของกินมาทำทิ้งๆขว้างๆแบบนี้”
เพราะแบคฮยอนเข้าใจความรู้สึกของคนที่ไม่มีจะกินดีว่ามันเป็นยังไง
“ฉันเตือนนายแล้ว”
“อืม ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะ ต่อไปจะไม่เอาอะไรมายัดเยียดให้ชานยอลกินอีกแล้ว กลับก่อนนะ…”
“…..”
“ไปกันเถอะ เซฮุน”
เซฮุนและแบคฮยอนพากันกลับมาเข้าเรียนที่คณะนิติศาสตร์ของตัวเองในเวลาบ่าย ตั้งแต่กลับมาจากคณะพี่ชายเขา แบคฮยอนก็ดูเงียบๆไปจนเซฮุนไม่กล้ากวนใจ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ขอไม่ให้อีกฝ่ายพาลโกรธเขาตามพี่ชายไปด้วยอีกคนแล้วกัน เพราะถ้าเป็นงั้นเซฮุนจะขอลาออกจากความเป็นน้องและเพื่อนของคนทั้งคู่เพื่อไปกัดลิ้นตัวเองตายแน่ๆ
ก็เวลาโกรธอะไรกันมาทีไร คนซวยน่ะเซฮุนทุกที!
แต่สำหรับเรื่องวันนี้คงไม่ใช่หรอก แบคฮยอนไม่พูดถึงมันเลยซักคำ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เดินออกมาจากคาเฟ่ในตึกบริหารหลังเพิ่งประสบสถานการณ์ไม่ดีหรือแม้แต่ตอนที่กำลังนั่งเรียนด้วยกัน ช่วงพักเบรกคนตัวเล็กก็เอาแต่ฟุบหน้าหลับ ก่อนจะผงกหัวมาเรียนต่อเมื่อเริ่มคลาสอีกครั้ง
พอเลิกคลาสแทนที่จะสดใสเริงร่าเหมือนทุกทีแต่แบคฮยอนก็ยังเอาแต่เงียบ บอกแค่ว่าเดี๋ยวจะไปเข้าชมรมต่อนะ แล้วก็กลับสู่สภาวะเซื่องซึมเหมือนเดิม ซึ่งเซฮุนจะไม่ทลลลล!
“ไม่เอาแบบนี้ได้มั้ยแบคฮยอน ไม่สดใสเลยนะ”
“อะไรหรอ”
“โกรธพี่ชานยอลใช่มั้ย เราพาไปเอาคืนดีมั้ย ไปแก้เผ็ดให้เยอะๆเลย”
“นั่นพี่ชายเซฮุนนะ”
“ก็แบคฮยอนเป็นแบบนี้เรารู้สึกไม่ดีเลยอ่ะ จริงๆถ้าให้พูดตรงๆเลยเราก็ไม่คิดว่าตอนกลางวันพี่ชานยอลตั้งใจทำนะ ถึงจะเห็นเต็มๆตาแต่จะว่ายังไงดี..”
“…..”
“พี่ชานยอลไม่ใช่คนที่จะใจร้ายกับใครขนาดนั้นมาก่อนน่ะ”
“ชานยอลอาจจะเกลียดเรามากกว่าทุกคนก็ได้”
“ไม่หรอก หน้าโหดไปอย่างนั้นเองแหละ อย่าคิดมากสิ”
คนตัวเล็กก็ไม่อยากจะคิดมาก ไม่ได้อยากจะเคืองแต่พอเห็นกล่องข้าวในถุงกระดาษนั่นอีกแล้วมันก็อดไม่ได้ “เราเสียดายของ…”
“คราวหลังทำมาให้เราสิ เราจะกินให้หมดไม่มีเหลือไม่มีทิ้งขว้างแน่ๆ”
แบคฮยอนมองนิ้วก้อยยาวๆของเซฮุนที่ส่งมาเงียบๆ ทิ้งจังหวะไว้นานเพื่อแกล้งให้เซฮุนใจเสียก่อนจะส่งนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวกับของอีกฝ่ายพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ไม่อร่อยก็ต้องกินให้หมดนะ”
“ได้ แค่แบคฮยอนเป็นคนทำเราจะกินให้หมดเลย”
“ไหม้ก็จะกินหรอ”
“ถ้าแบคฮยอนกล้าใจร้ายเอาของแบบนั้นมาให้เรากินเราก็จะกิน”
“ฮ่ะฮ่ะๆ เราไม่ใจร้ายกับเพื่อนตัวเองหรอก”
“แค่เพื่อนเองหรอ…”
“หือออ ตะกี้เซฮุนพูดว่าไงนะ ไม่เห็นจะได้ยินพูดดังๆสิ”
“เปล่า แบคฮยอนจะรีบไปเข้าชมรมไม่ใช่เหรอ ไปกันเถอะ เดี๋ยวเราขับรถไปส่ง”
“เซฮุนนี่ของเราน่ารักที่สุด” มือเรียวเอื้อมมาดึงแก้มปาร์คเซฮุนไปมาพลางหัวเราะขำเอิ๊กอ๊ากไปด้วยอย่างอารมณ์ดี
“น่ารักก็รักเราให้มากๆล่ะ”
“จะรักให้มากกว่าบัดดี้เลย”
“นั่นหมานะแบคฮยอน อย่าเอามาเทียบกับคนแบบนี้สิ”
“ไม่รู้ล่ะโอ้ยยย!” เสียงตุ่บ! จากการเอาหัวกระแทกขอบประตูรถก่อนเข้ามานั่งด้านในนั้นทำเอาเพื่อนตัวสูงปล่อยหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มเล็กบ่นงุ้งงิ้งตลอดทางไม่หยุดเซฮุนยิ่งชอบใจ
เขาน่ะชอบแบคฮยอนแบบนี้แหละ แบบที่ไม่ต้องฝืนไม่ต้องปรุงแต่งไม่ต้องพยายามทำอะไร แค่เป็นแบคฮยอนในแบบที่รู้จักกันทุกวันนี้เซฮุนก็พอใจแล้ว แค่ได้มองรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะที่ตัวเองตกหลุมรักใกล้ๆแบบนี้ทุกวันแค่นี้ก็พอ…
เพื่อนตัวสูงขับรถมาส่งเพื่อนตัวเล็กจนถึงหน้าชมรมกรีฑา แบคฮยอนเปิดประตูลงมาโบกมือลาพร้อมบอก ‘บ๊ายบาย’ ก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้เดินดุ๊กดิ๊กเข้าไปในชมรม เปลี่ยนชุดกีฬาเรียบร้อยดีแล้วถึงค่อยลงสนามเพื่อวอร์มร่างกาย
ด้วยความที่สนามวิ่งอยู่รอบสนามฟุตบอลกองกลางเลยทำให้ทั้งสองชมรมต้องใช้สนามร่วมกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกวันนักกีฬาวิ่งจะต้องเห็นนักกีฬาฟุตบอล และทุกวันนักกีฬาฟุตบอลก็จะได้เห็นนักกีฬาวิ่งคู่กันเสมอ
แต่เพราะช่วงอาทิตย์ก่อนแบคฮยอนไม่ได้มาซ้อมเนื่องจากต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองเลยทำให้พลาดอะไรบางอย่างไปหรอ? แบคฮยอนว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดจนเห็นใครก็กลายเป็นคุณชายใจร้ายคนนั้นไปหมดนะ เพราะใกล้ๆเขานี้ก็เหล่ารุ่นพี่ในชมรม ส่วนที่กำลังวิ่งรอบสนามจนเกือบจะครบรอบนั่นก็คิมจงแด
คนตัวเล็กขยี้ตาตัวเองอีกรอบ ก่อนจะเห็นภาพเดิมนั่นก็คือร่างสูงๆหุ่นโปร่งๆของคุณชายปาร์คคนพี่กำลังวิ่งเลี้ยงลูกฟุตบอลไปมาอย่างคล่องแคล่วในกลางสนามกว้าง
“มองอะไรอยู่เหรอแบคฮยอน แฮ่กๆ”
จงแดหอบแฮ่กเข้ามาหลังจากเพิ่งวิ่งรอบสนามได้ครบสามรอบ และยังเหลืออีกสองรอบที่เขาจะต้องวิ่งต่อ ส่วนเพื่อนใหม่อย่างแบคฮยอนยังไม่ได้วิ่งเลยซักรอบเดียว เพราะมัวแต่วอร์มๆเหม่อๆมองไปกลางสนามนี่ล่ะมั้ง กว่าจะวิ่งเสร็จฟ้าคงได้มืดพอดี
“นั่นชานยอลไม่ใช่เหรอจงแด”
“อ๋อ ใช่สิ คุณชายเค้าก็มาเล่นบอลเกือบทุกวันแหละ ทำไมเหรอ”
“อ้าว ชานยอลอยู่ชมรมขี่ม้าโปโลนี่ เป็นประธานชมรมด้วย”
“พวกนายสนิทกันแบบไหนทำไมไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้ หรือนายคนเดียวที่ไม่รู้” แบคฮยอนส่ายหน้ารับแทบจะทันที
“อือ ไม่รู้จริงๆ”
“โอเค.. เชื่อแล้วว่าไม่รู้จริง”
“แฮร่”
“แต่คงพอรู้อยู่บ้างมั้งว่าทุกคนมีสิทธิเข้าชมรมอย่างน้อยหนึ่งชมรม นั่นหมายถึงนายจะเข้าอีกกี่ชมรมก็ได้ถ้าตัวเองไหว จริงๆข่าวของฉันก็ได้ยินมาจากคนอื่นอีกที เห็นว่าคุณชายเค้าเป็นสมาชิกหลักถึงสามชมรม ทั้งขี่ม้าโปโล ฟุตบอล แล้วก็ดนตรีด้วย”
“เยอะอะ”
“ก็คงจะบริหารเวลาเก่งสุดๆล่ะ อีกอย่างระดับคุณชายแล้วจะเข้าจะออกชมรมไหนเมื่อไหร่คงไม่มีใครกล้าว่าอะไร ไม่เหมือนเรา ลองได้เป็นตัวแทนนักกีฬาแบบนี้ด้วยแล้วขาดซ้อมทีนึงคงโดนตามตัวยันบ้าน เอ้อ.. แต่นายก็หลานท่านหญิงนี่นะ รุ่นพี่คงไม่กล้าตามไป ฮ่ะๆๆ”
“ไม่ตามแต่ฉันก็จะพาตัวเองมาอยู่ดี”
“อ้อ นายคงต้องลองมาซ้อมให้ได้ทั้งอาทิตย์เหมือนคนอื่นๆดูเผื่อความคิดจะเปลี่ยนไป สนามก็กว้างอย่างกับเอาไว้แข่งโอลิมปิก โค้ชก็เคี่ยวสุดๆ แต่ก็นั่นแหละ นายยังไม่ได้วิ่งเลยซักรอบนะแบคฮยอน!”
“แค่นี้สบายน่า เผลอๆฉันอาจจะวิ่งได้ครบห้ารอบก่อนนายก็ได้”
“พูดเป็นการ์ตูนไปได้ ยังไงก็อย่าลืมข้อเท้าตัวเองล่ะ ไม่ไหวก็บอกรุ่นพี่ไปตรงๆเลย”
“ฉันจะขอรุ่นพี่วิ่งเพิ่มอีกซักห้ารอบน่ะสิ!” ว่าแล้วก็ออกตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่รอ ทิ้งให้จงแดยืนส่ายหัวมองตามหลัง ไม่รู้ว่าเพื่อนใหม่คนนี้สะสมเอนเนอร์จี้ไว้ตรงไหนตั้งมากมาย ไม่ว่าจะทำอะไรมันถึงได้มีพลังอยู่เต็มไปหมดแบบนั้น จงแดยังไม่ทันได้วิ่งตามปรากฏว่าแบคฮยอนวิ่งกลับมาหาเขาเสร็จไปแล้วรอบนึง
คือแบบบบบบ
“นายลัดสนามหรือเปล่าเนี่ย”
“มาแข่งกันสิจะได้รู้”
คิมจงแดขอยอมแพ้เลย แบคฮยอนนี่มันเจ้าหนูนักวิ่งลมกลดจริงๆ!
.
.
บรรยากาศยามเย็นกับการซ้อมกีฬาของหลายๆชมรมช่างเป็นอะไรที่เข้ากันดี ดวงอาทิตย์เริ่มจะลาลับขอบฟ้าแต่ทุกคนยังขะมักเขม่น เสียงเฮของนักกีฬาฟุตบอลดังปะทะเสียงนกหวีดอยู่เรื่อยๆให้นักกีฬาวิ่งไม่เหงาหู ตอนนี้แบคฮยอนหยุดพักจากการวิ่งรอบสนามแล้ว ตอนแรกกะจะวิ่งให้ได้สิบรอบตามที่ออกตัวกับจงแดไว้ แต่เหมือนข้อเท้าจะไม่เป็นใจเท่าไหร่เพราะอยู่ๆรอบที่เจ็ดของการวิ่งมันก็ปวดหน่วงๆขึ้นมาเลยต้องขอรุ่นพี่ชมรมมานั่งพักเหนื่อยแทน
คนตัวจ้อยนั่งนวดข้อเท้าตัวเองอยู่บริเวณขอบสนามโดยได้เพื่อนๆพี่ๆในทีมคอยนำน้ำดื่ม ยานวด และน้ำแข็งสำหรับประคบมาให้อยู่เรื่อยๆ กำลังนั่งรับลมเย็นอยู่ดีๆเจ้าลูกหนังกลมๆสีขาวสลับดำทองก็กลิ้งหลุนๆเข้ามาหา
“เฮ้!คุณชายปาร์ค รีบส่งลูกกลับมาเล่นต่อเร็ว”
“อืม”
“…..”
“เร็วสิวะ”
“รู้แล้วน่า”
“…..”
“ขอลูกบอลคืนด้วย”
“อ๋อ..” เดิมทีจะขว้างมันกลับเข้าไปในสนามอยู่แล้วแต่แบคฮยอนเป็นอันต้องมาชะงักมือกับผู้ชายตัวสูงในชุดนักบอลที่วิ่งเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าซะก่อน แบคฮยอนรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาเอาลูกบอลถึงได้โยนคืนให้ แต่แบคฮยอนไม่รู้และไม่นึกว่าหลังจากได้สิ่งที่ต้องการแล้วอีกฝ่ายจะไม่ยอมกลับเข้าไปในสนาม แต่เลือกที่จะมาหาเขาแทน…
“…..”
“วิ่งไปกี่รอบล่ะ”
“เจ็ดรอบ…”
แบคฮยอนได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจ ยังไม่ทันจะได้เงยหน้าขึ้นสบตาทว่าคนที่กำลังยืนค้ำหัวอยู่ก็ย่อตัวลงมานั่งยองๆตรงหน้าก่อน
“…..”
ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันอย่างไม่รู้จะทำยังไง แบคฮยอนโกรธชานยอลเรื่องเมื่อตอนกลางวันนะ แต่พอคิดไปถึงที่ผ่านๆมาที่เคยทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจหลายเรื่องแล้วก็พูดไม่ออก กลัวพูดแล้วจะโดนอีกฝ่ายดุกลับมาด้วยเลยทำได้แค่เม้มปากจ้องตาคืน ขณะที่ชานยอลเองก็รู้สึกไม่ดีกับเรื่องเมื่อตอนกลางวันเหมือนกัน สิ่งที่ตั้งใจไว้คืออยากดัดนิสัยเสียๆของคนไม่ยอมโต แต่แววตาเหมือนลูกหมาโดนทิ้งขว้างของคนตัวเล็กนั้นทำชานยอลปฏิเสธไม่ลงว่าเห็นแล้วรู้สึกใจอ่อน บวกสายตาเคืองขุ่นของน้องชายและคำพูดประณามว่าเขาใจร้ายบ้างล่ะ ทำเกินไปบ้างล่ะของเพื่อนๆตลอดคาบเรียนอีก มันเลยช่วยไม่ได้ที่จะพาชานยอลคิดหนัก
เขาผิดฝ่ายเดียวหรือไง? ไม่ลองมาเจอความแสบของแบคฮยอนอย่างเขาดูบ้างล่ะ แล้วจะรู้ซึ้งว่าที่ทำไปยังไม่สาสมเลยด้วยซ้ำ แต่เรื่องตอนกลางวันก็ช่างตามมาหลอกหลอนให้ต้องรู้สึกสับสนได้ทุกเวลาจริงๆ!
“อยากโดนคุณยายสั่งให้อยู่แต่ในห้องหลายๆวันอีกหรอ”
คนฟังรีบส่ายหัว
“แล้วทำไมไม่รู้จักดูสภาพตัวเอง ลิมิตร่างกายไหวแค่ไหนไม่รู้รึไง”
“จริงๆมันปวดแค่นิดเดียวนะ”
“เถียงอีกแล้วนะ”
“จริงๆนะ มันปวดจี๊ดๆนิดเดียวก็เลยพักก่อน ผมเจ็บเป็นน่า.. ถ้าปวดมากก็ไม่วิ่งหรอก”
“หรอ?”
“ชานยอลคงไม่เชื่อผม…”
“แล้วมีอะไรให้น่าเชื่อถือได้บ้างล่ะ เรื่องดื้อก็ที่หนึ่ง เรื่องเถียงก็ไม่มีใครเกิน”
“…..”
“ฉันต้องโทษการอบรมเลี้ยงดูของแม่ครูกับพ่อเฒ่าของนายหรือว่าคุณยายดี”
“ไม่นะ อยากจะดุจะด่าก็มาลงที่ผมคนเดียวอย่าว่าพ่อเฒ่ากับแม่ครู คุณท่านก็ห้าม”
ชานยอลรู้อยู่แล้วว่าต้องได้ยินแบบนี้ ทั้งๆที่ก็เคารพผู้ใหญ่ของตัวเองดีแต่ทำไมยังดื้อว่ายากสอนยากอย่างนี้อยู่ ชานยอลอยากจะรู้นัก…
“ถ้าทำผิด ทำไม่ดี คนเค้าก็จะโทษไปถึงคนที่อบรมเลี้ยงดูนายมาทั้งนั้นนั่นแหละ ถ้าไม่อยากให้ใครมาว่าคนที่ตัวเองเคารพก็เลิกทำตัวดื้อแบบนี้สิ นายโตแล้วนะแบคฮยอน”
“ผมพยายามอยู่ชานยอล”
“แต่มันยังไม่มากพอ”
“แล้วต้องมากขนาดไหนกัน”
“ยังอีก” คนตัวเล็กยิ้มแฮร่! ใส่ จากนั้นก็ถือวิสาสะคว้ามือใหญ่ข้างนึงของชานยอลมากุมไว้พลางเขย่าไปมา แม้จะโดนอีกมือของชานยอลตีก็ยังไม่ยอมที่จะปล่อย
“นี่ก็เป็นอีกหนึ่งนิสัยเสียๆของนายที่ต้องปรับปรุง เรื่องอะไรมาถูกเนื้อต้องตัวคนที่เค้าไม่ชอบแบบนี้”
“ถ้าผมเป็นคนที่ชานยอลชอบชานยอลก็ไม่ว่าหรอก”
“และนี่ก็ข้อสำคัญที่นายต้องเร่งปรับปรุง หยุดเถียงอะไรข้างๆคูๆซักที”
“โอเคๆ เสาร์อาทิตย์นี้ผมจะตั้งใจเรียนมารยาทให้มากกว่าเดิม แต่ชานยอล...”
“อะไร”
“ยอมเข้ามาพูดกับผมแล้วเราดีกันแล้วใช่เปล่า”
พอเห็นอาการเงียบงันของคนตัวสูงแบคฮยอนก็รู้สึกใจคอไม่ดี เขย่ามือใหญ่เพื่อเป็นการรบเร้าพร้อมส่งสีหน้าแววตาที่คิดว่าตัวเองน่าสงสารที่สุดไปเว้าวอนอีกฝ่าย
“อย่าเกลียดผมเลยนะ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ไม่ๆ ผมจะพยายามไม่ทำอีก”
“แสดงว่าก็คงจะมีครั้งต่อไปให้ได้เห็นอีก”
“แม่ครูบอกว่าถ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ร้อยเปอร์เซ็นก็ห้ามรับปากใครส่งๆ ผมจะไม่รับปากชานยอล แต่ผมสัญญาว่าจะพยายามให้มากขึ้น”
“…..”
“ถ้าชานยอลไม่เชื่อใจผม งั้นผมจะอนุญาตให้ชานยอลสั่งสอนผมได้เหมือนพ่อเฒ่าแม่ครูแล้วก็คุณท่านก็ได้ดีมั้ย ถ้าเรื่องไหนผมทำไม่ดีชานยอลดุผมได้เลยอะคราวนี้ผมจะฟัง” พยักหน้ารัวๆเสริมความจริงจังให้ชานยอลอีก คนตัวสูงเห็นแล้วก็ได้แต่คิดพิจารณา
“คิดซะว่าผมเป็นน้องชายอีกคนของชานยอลเหมือนที่เซฮุนเป็นนะ”
“ถ้านายทำไม่ได้จะให้ฉันลงโทษยังไง”
“แล้วแต่ชานยอลเลย”
“พูดเองนะ”
เห็นปฏิกิริยาการขมวดคิ้ว กัดปากคิดหนักแล้วชานยอลอยากจะขำ ดูก็รู้ว่าไม่มีความมั่นใจในตัวเองว่าจะสามารถทำได้ก็ยังจะพยักหน้ารับปากไปเรื่อยนั่นมันน่าดีดหน้าผากให้ร้องไม่ออกซักทีไหมล่ะ ชานยอลจ้องลึกเข้าไปนัยน์ตาใสคู่นั้นอีกรอบ…
“ฉันเป็นพี่ชายที่ดุมาก ถามเจ้าเซฮุนได้”
“ผมรู้”
“ทำไมถึงอยากเป็นน้องชายฉัน ทั้งที่นายเองก็ไม่ได้ดูจะชอบฉันเท่าไหร่”
“ไม่จริง ผมชอบทุกคนที่ดีกับผมนั่นแหละ แต่ชานยอลชอบดุผมอะ”
“…..”
“ผมอยากมีพี่เหมือนคนอื่นบ้าง ลูกของพ่อเฒ่ากับแม่ครูก็อายุเท่ากัน เซฮุนก็เท่ากัน รุ่นพี่อย่างซอรินก็ไม่ชอบผมอีก ส่วนชานยอลผมไม่แน่ใจเพราะบางครั้งก็เหมือนจะดีด้วย แต่บางครั้งก็เหมือนจะเกลียดกันจริงๆ ก็เลยได้แต่หวังว่า…”
“ข้าวผัดกิมจิ”
“….”
“ทำมาให้ฉันชิมอีกรอบแล้วฉันจะรับนายไว้พิจารณา”
“จริงนะชานยอล!”
“อะไรที่พูดไว้ก็ทำให้ได้ด้วย”
“ผมจะทำ! ชานยอลก็ห้ามกลับคำนะ สัญญามั้ย!”
ไอ่เกี่ยวก้อยสัญญานี่ชานยอลจำได้ว่าตัวเองทำมันครั้งล่าสุดน่าจะตอนอยู่ประถมปลาย และไม่คิดว่าเข้าวัยมหาลัยขนาดนี้แล้วตัวเองจะต้องทำมันอีก แต่คนดื้อด้านอย่างแบคฮยอนก็สามารถพาให้เขาทำมันอีกจนได้
“สัญญาดีกันแล้วต้องไม่ผิดคำสัญญานะ”
“เรื่องนี้นายควรบอกตัวเอง”
“ถ้าชานยอลดีกับผม ผมก็จะดีกับชานยอล”
“ต้องบอกว่าถ้านายทำตัวดีๆ ฉันก็จะดีด้วยสิ”
“นั่นแหละๆ มันเหมือนกัน”
“ไม่เหมือน”
“เหมือนสิ”
“เถียงหรอ”
“เง้อ.. ไม่เหมือนแล้วก็ได้” ชานยอลส่งมือไปขยี้ผมนุ่มๆของแบคฮยอนอย่างอดไม่ได้ คนตัวเล็กที่เพิ่งเคยได้รับสัมผัสอ่อนโยนจากคนตรงหน้าครั้งแรกถึงกับหยุดนิ่ง ก่อนจะรู้สึกถึงแรงเต้นถี่ๆในอกซ้ายที่เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเป็นงั้น ทั้งๆที่ก็หายเหนื่อยจากการวิ่งมาตั้งนานแล้วแท้ๆ
“ทำไมอยู่ๆหน้าแดง”
“ไม่รู้อะ ใจก็เต้นแรงด้วยนะชานยอล”
“…..”
“สั่นไม่หยุดเลย…” ชานยอลค่อยๆผละมือออกจากหัวอีกฝ่าย มองคนที่เอาแต่ใช้มือจับหน้าอกสลับกับแก้มนิ่มทั้งสองข้างของตัวเองไปมาด้วยสีหน้าข้องใจ คิ้วบางขมวดเข้าหากันยุ่งเหยิงไปหมด
“ผมคงจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ยเนี่ย”
ถ้านายเป็น คนครึ่งค่อนโลกที่เค้ามีอาการคล้ายๆกันก็คงเป็นไปด้วยนั่นแหละ เห็นแบบนี้แล้วชานยอลไม่คิดจะถามเลยว่าแบคฮยอนเคยมีความรักมาก่อนหรือเปล่า…
“ขำอะไรอะ”
“เปล่า ค่ำแล้วไปเถอะ ฉันจะพาไปส่งที่บ้าน”
#Ficmysscb
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตายๆ puppy love ออร่ามากกกกกก
ฮืออเอ็นดูวว