ตอนที่ 5 : Shining IV :: displeasure
แบคฮยอนกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่
มั้ง..
“คุณท่านให้บัดดี้มาอยู่กับเรานะฮะ นะฮะคุณท่าน…”
ตั้งแต่คนตัวเล็กและสองคุณชายแห่งตระกูลปาร์คพากันกลับมาบ้านท่านหญิง เสียงเจื้อยแจ้วของแบคฮยอนยังคงดังออดอ้อนผู้เป็นเจ้าของบ้านไม่หยุด และดูท่าว่าคงจะไม่หยุดง่ายๆด้วยหากเจ้าตัวยังไม่ได้รับคำตอบที่พึงพอใจ
“บัดดี้ตัวเล็กนิดเดียวหน้าตาน่ารักด้วย แบคฮยอนชอบมัน ให้แบคฮยอนเลี้ยงมันนะฮะคุณท่าน..”
เจ้าตัวเล็กทำตาใสแถมด้วยการทำปากเล็กปากน้อยอย่างน่ารังแกให้คนเป็นยายเห็นใจ พอท่านทำท่าทางคิดหนักไม่ยอมให้คำตอบซักทีก็เพิ่มแรงบีบนวดแข้งขาเอาใจเสียยกใหญ่เพื่อเป็นการเร่งเร้า ยังไม่เท่านั้นเจ้าตัวดียังเอาหน้าซบขาพ่วงด้วยการเอาแก้มน้อยถูๆไถๆเรียกว่างัดไม้ตายมาออดอ้อนอย่างเต็มกำลังชนิดที่เซฮุนผู้แสนขี้อ้อนผู้ใหญ่ยังต้องหลบทางให้
ไม่ใช่แค่เพียงคุณท่าน ตอนนี้ทั้งนายทั้งบ่าวที่อยู่ภายในห้องนั่งเล่นด้วยไม่ว่าจะเหล่าคนใช้ในบ้าน สองคุณชาย หรือ ชอง อินจอง แม่บุญธรรมยังรู้สึกเอ็นดูตามๆกัน คอยลุ้นอยู่ว่าสุดท้ายแล้วท่านหญิงจะใจแข็งกับเด็กช่างอ้อนคนนี้ไปได้นานแค่ไหนกัน
“เฮ้อ แบคฮยอน..”
ทุกคนรู้ถึงเหตุผลที่ท่านหญิงต้องคิดหนักกับเรื่องนี้ดี ถ้าเป็นเรื่องอื่นแบคฮยอนคงไม่ต้องใช้เวลาอ้อนนานสองนานหรอก แค่เอ่ยปากท่านก็คงใจอ่อนให้หมดทุกอย่าง แต่เรื่องนี้มันก็ลำบากใจที่จะอนุญาตจริงๆ
“ยายจะทำยังไงกับเราดีนะ” ฝ่ามือเหี่ยวย่นตามธรรมชาติของอายุลูบแก้มนิ่มของหลานคนโปรดเบาๆอย่างนึกเอ็นดู
“หาเรื่องมาให้ยายลำบากใจจนได้ รู้ไหมว่าพี่ซอรินเค้าไม่ชอบสุนัข”
“แต่แบคฮยอนชอบมันนี่ฮะ”
ผู้อาวุสโสสุดเงยหน้าสบตากับชานยอลและอินจองเพื่อขอความคิดเห็นหลังประโยคเอาแต่ใจนั้นเปล่งออกมา ใครจะไม่ลำบากใจบ้างล่ะ ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงคุณหนูชองซอริน ผู้ที่ไม่ต้องให้เอ่ยอะไรให้มากความ แค่มองหน้าทุกคนก็ไม่กล้าที่จะขัดใจแล้ว ขณะที่ฝั่งหลานรักคนใหม่ของท่านหญิงก็น่าเอ็นดูซะเหลือเกิน มันทั้งน่าเอ็นดู น่าหยิกในแบบที่ใครเห็นแล้วก็อยากตามใจ
ยิ่งท่านั่งพื้นพร้อมช้อนตาอ้อนท่านหญิงตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่
“แต่พี่ซอรินเกลียดมากนี่สิ เค้าอาจจะดุทั้งยายทั้งแบคฮยอนเลยนะ”
“บัดดี้น่ารักจริงๆนะฮะ ถามชานยอลถามเซฮุนสิฮะ มันน่าสงสารด้วยซอรินไม่ใจร้ายกับมันหรอก”
ยังไม่ทันได้เอาเข้าบ้านแบคฮยอนก็ตั้งชื่อให้เสร็จสรรพหมดแล้ว รักแค่ไหนก็คิดดู ตอนพาไปหาหมอก็แทบจะอยู่เฝ้าจนกว่ามันจะดีขึ้นอยู่แล้วถ้าไม่ติดที่ชานยอลบอกให้กลับบ้านซะก่อน ไว้มันหายค่อยกลับมารับ จะมานั่งเฝ้านอนเฝ้าเหมือนเฝ้าคนมันไม่ได้
“คุณหนูซอรินกลับมาแล้วค่ะท่านหญิง”
เสียงหนึ่งในคนใช้เดินเข้ามาบอก
“ยายน่ะไม่ขัดใจเราหรอก แต่เรื่องนี้คงต้องถามความเห็นพี่ซอรินด้วยนะลูก จะได้ไม่มีปัญหากันภายหลัง” คนฟังยู่ปาก พอจะเดาๆคำตอบล่วงหน้าได้โดยไม่ต้องรอฟังจากปากบุคคลที่ถูกกล่าวถึงเลย แบคฮยอนมั่นใจว่าตัวเองต้องถูกดุแน่ๆ เพราะซอรินน่ะดุอย่างกะพ่อเฒ่ากับชานยอลคูณรวมกันแหน่ะ
“อยู่กันพร้อมหน้าเชียวนะคะ มีเรื่องอะไรกับซอรินงั้นหรือ”
“เข้ามานั่งก่อนสิลูก ยายมีเรื่องอยากจะถามหนูหน่อย”
ซอรินเลิกคิ้วมองหน้ายายก่อนจะหันไปสบตากับชานยอลที่นั่งข้างๆเซฮุน เธอไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่ พักนี้มีซ้อมแข่งบัลเล่ต์แทบทุกวันจึงไม่ค่อยได้กลับบ้าน พอวันนี้ว่างเลยตั้งใจกลับมานอนที่บ้านและอยู่ทานข้าวเย็นกับคุณยาย แต่ก็ต้องแปลกใจนิดหน่อยที่พอมาถึงสาวใช้ก็เข้ามาเรียนให้ไปพบคุณยาย แถมเจอรถชานยอลจอดอยู่ในโรงจอดอีก
เรื่องชานยอลมาที่บ้านเขาน่ะไม่แปลกหรอก เพราะรายนี้แวะเวียนมาหาคุณยายประจำจนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ทุกทีก็มักจะบอกผ่านข้อความหรือทางใดทางหนึ่งว่ามาที่นี่ก่อนเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่ จริงๆตั้งแต่แง่งอนกันคราวก่อนเขาทั้งคู่ก็แทบไม่ได้คุยกันอีก โดยเฉพาะวันนี้ทั้งวัน ชายหนุ่มไลน์มาหาอยู่สองสามประโยคตอนเช้าแต่เธอก็ไม่ได้ตอบกลับ
“เรื่องอะไรคะ”
“วันนี้แบคฮยอนช่วยลูกสุนัขบาดเจ็บไว้ แต่ตอนนี้ส่งไปรักษาตัวที่คลินิกแล้ว น้องเลยมาขอยายว่าถ้าเจ้านั่นอาการดีขึ้นเมื่อไหร่จะเอามาเลี้ยงไว้ที่บ้านเรา ซอรินคิดว่ายังไง”
คนถูกถามชะงักเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามองคนที่นั่งอยู่บนพื้นด้วยสายตาเรียบนิ่งแล้วถอนหายใจใส่
“คุณยายจะถามซอรินอีกทำไมคะในเมื่อรู้คำตอบดีอยู่แล้ว”
“มันก็นานมาแล้วยายเลย…”
“เลยอยากจะตามใจหลานคนใหม่จนลืมความรู้สึกหลานแท้ๆอย่างซอรินสินะคะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ซอรินอย่าคิดอย่างนั้นสิลูก”
“แล้วจะให้คิดยังไงคะ ทุกคนรู้ว่าซอรินเกลียดหมา กี่ปีมาแล้วที่อยู่ด้วยกันเราไม่พูดเรื่องนี้กันเลยจนกระทั่งหลานคนใหม่คุณยายเข้ามา หรือคุณยายลืมไปแล้วคะว่ายังมีหลานแท้ๆอยู่อีกตั้งหลายคน ไม่ใช่เด็กคนนี้คนเดียว”
“ทำไมซอรินต้องว่าคุณท่าน”
หญิงสาวถอนหายใจใส่แบคฮยอนอีกครั้ง
“เด็กที่ว่าผู้ใหญ่เป็นเด็กไม่ดี”
“แล้วเด็กที่สั่งสอนคนที่อายุมากกว่าดีมากงั้นสิ”
“ก็ซอรินว่าคุณท่าน”
“นี่มันเรื่องภายในครอบครัวเรา อย่าให้ต้องพูดแทงใจดำเลยนะว่านายไม่ใช่ เพราะฉันก็เบื่อที่ตัวเองต้องมาคอยพูดอะไรซ้ำๆเหมือนกัน”
“ใจดำ”
“ว่าไงนะ”
“ซอรินยังไม่ทันเห็นมันเลยด้วยซ้ำทำไมถึงเอาแต่ปฏิเสธล่ะ มันน่าสงสารมากนะ ขาบาดเจ็บด้วย”
“บ้านหลังนี้ไม่ใช่มูลนิธิ ถึงคุณยายจะรับเลี้ยงเด็กยากไร้อย่างนายเข้ามาแล้วคนนึงก็ใช่จะรับอะไรก็ได้เข้ามาอีก อย่าคิดว่าคราวนี้ฉันจะยอม”
“ไม่เอาน่าลูก อย่าพูดกับน้องอย่างนั้นสิ”
“ซอรินพูดความจริงค่ะ แต่ถ้าคุณยายยังยืนยันจะตามใจหลานคนใหม่ซอรินจะเป็นฝ่ายย้ายออกไปเอง”
“ซอริน”
“คุณยายรู้ใช่มั้ยคะซอรินไม่ชอบพูดเล่น” ชองซอรินลุกขึ้นโค้งตัวให้ผู้ใหญ่ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งบรรยากาศตึงเครียดไว้กับผู้ที่ยังอยู่
“ซอรินน่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเดี๋ยวผมจะลองไปคุยกับเธอดู”
ชานยอลลุกตามออกไป แบคฮยอนได้แต่นั่งคอตก หน้าหมองลงจนคนเป็นยายและแม่บุญธรรมอดสงสารไม่ได้ ส่วนเซฮุนเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะตัวเองก็ยังเด็กกว่าทุกคน หากพูดอะไรออกไปตอนนี้คงเป็นมารยาทที่ไม่ควรทำเท่าไหร่ แม้ใจจะอยากช่วยแบคฮยอนมากๆก็ตาม
“ไม่เป็นไรนะลูก”
“คุณท่านถูกดุไปด้วยจริงๆด้วย”
“พี่ซอรินก็เป็นแบบนี้แหละ เค้าปากร้ายแต่จริงๆใจดีน๊า…”
“อย่าเพิ่งเศร้าสิแบคฮยอน พี่ชานยอลตามไปขนาดนั้นแล้วเชื่อสิพี่ซอรินต้องใจอ่อน”
“ถ้าซอรินไม่ให้เลี้ยงบัดดี้ล่ะเซฮุน เราจะทำยังไงดี”
“ให้สิ ไม่มีอะไรที่พี่ชานยอลทำไม่ได้หรอก”
“ชานยอลจะช่วยเราหรอ”
“ก็ถ้ายอมช่วยตั้งแต่แรกขนาดนี้แล้วแสดงว่าจะต้องช่วยให้ถึงที่สุด” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองแม่และยายก็พบว่าท่านทั้งสองพยักพเยิดหน้ายืนยันอีกแรง
โอเค… แบคฮยอนจะรอชานยอล
ระหว่างรอ ปาร์คเซฮุนช่วยคลายบรรยากาศอึมครึมให้กลับมาสดใสด้วยการชวนคุยเรื่องตลกไปเรื่อยเปื่อย เล่าโน่นนี่จนทุกคนเคลิ้มตามไม่เว้นแม้แต่แบคฮยอนที่สีหน้าดีขึ้นเยอะ เหมือนจะลืมเรื่องเครียดก่อนหน้านี้ไปพักนึง ก่อนครึ่งชั่วโมงต่อมาที่ยังไร้วี่แววว่าชานยอลจะกลับเข้ามา คนตัวเล็กจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำทั้งที่จริงตั้งใจจะไปตามหาสองคนที่หายออกไป
กวาดตามองหาตั้งแต่ในบ้านจนถึงสวนกว้างหลังบ้าน เดินไปดูสระว่ายน้ำและส่วนอื่นๆของบ้านที่คิดว่าน่าจะเจอแต่ก็ไม่ บ้านก็กว้างอย่างกับวัง แบคฮยอนอยากเจอชานยอลและรีบถามเอาคำตอบไวๆนะแต่ไม่คิดจะเดินหาทั่วบ้านให้ตัวเองเหนื่อยแน่ๆ ก็กว้างซะขนาดนี้ ดังนั้นที่สุดท้ายที่แบคฮยอนจะสุ่มตามหาก็คือบนห้องนอนของซอริน
จะว่าอยากรู้อยากเห็นก็ได้ เพราะมันก็ใช่ แบคฮยอนไม่ชอบความอึดอัด ไม่ชอบเก็บความทุกข์หรืออะไรก็ตามที่จะพาตัวเองคิดมากไว้ แบคฮยอนทำอะไรแล้วก็ต้องเอาให้เคลียร์ จนหลายครั้งหลงลืมไปว่ามันไม่ใช่มารยาทที่ดีนัก
แอ่ดดด...
เพียงแค่มือเรียวแตะลงไป ประตูก็เปิดเข้าไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ! แบคฮยอนแค่กะแนบมือและหูฟังเสียงด้านในผ่านประตูเท่านั้น ไม่รู้มาก่อนว่าประตูจะปิดไม่สนิท พอออกแรงนิดหน่อยมันเลยอ้าเปิดออกซะกว้าง
“….!!!!!”
ตกใจทั้งคนนอกและคนใน
“นาย!”
แบคฮยอนกะพริบตามองปริบๆ ขณะที่คนด้านในผละริมฝีปากออกจากกันแทบไม่ทัน ก็ไม่ทันจริงๆนั่นแหละ! เพราะแบคฮยอนเห็นมันเข้าเต็มๆหมดแล้ว แถมเสียง จ๊วบ ตอนคนทั้งคู่ถอนริมฝีปากออกนั้นยังดังติดหูอยู่เลย
หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วแบคฮยอน…
“ข..ขอโทษ”
แบคฮยอนกำลังจะตายเพียงเพราะถูกสายตาของคนทั้งคู่มองมา
“ตามสบายเลยแห่ะๆ จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!”
ปั้ง!
คนตัวเล็กตีอกชกหัวตัวเองไปเรื่อยตลอดทางเดินลงบันได พยายามสะบัดหัวไล่ภาพหนังสดให้หลุดออกไปจากสมองแต่ก็ยากเหลือเกิน พอเท้าสัมผัสลงบนพื้นชั้นล่างสุดไม่ถึงห้าวิแขนก็ถูกคว้าไว้พร้อมถูกลากออกไปอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้านอย่างไม่ทันตั้งตัว
และแค่เห็นหน้าคนที่ลากเขามาภาพติดตาเมื่อครู่ก็ผลุดขึ้นมาอีกรอบ
โอ่ย..
“เด็กไม่มีมารยาท”
“อะ.. อะไร ไม่ได้เห็นอะไรซักหน่อย” ว่าพลางยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเองทั้งสองข้าง แต่กลับถูกมือใหญ่ดึงออก
“เปิดประตูห้องคนอื่นโดยไม่เคาะก่อนแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็…”
“ไม่มีมารยาท”
“ก็บอกไม่เห็นอะไรไง”
“จะเห็นหรือไม่เห็นก็คือไม่มีมารยาทเหมือนกัน”
ชานยอลดีดหน้าผากเล็กไปทีนึงก่อนจะยกแขนขึ้นกอดอกจ้องหน้าไอ้เด็กตัวแสบ เปิดประตูโจ่งแจ้งเข้ามาได้จังหวะขนาดนั้นยังมีหน้าแถอีกว่าไม่เห็นอะไร จริงๆมันก็ความผิดเขาด้วยที่สะเพร่าปิดประตูไม่สนิท อีกอย่างตอนตามซอรินมาก็ไม่คิดว่าจะมีการจูบเกิดขึ้น ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของอารมณ์พาไปล้วนๆ
ซ้ำตอนแบคฮยอนเข้ามาเจอ ซอรินดันนั่งอยู่บนตักเขาและเป็นจูบแลกลิ้นพอดีด้วยสิ
“เคยจูบหรือเปล่า”
“หา..?!”
“เคยจูบผู้หญิงมั้ย”
“ถามทำไมอะ”
“มันเรื่องปกติของคนวัยนี้ใช่มั้ย แล้วห้องนอนมันก็สถานที่ส่วนตัวแต่นายดันทะเล่อทะล่าเข้ามาเอง”
“ก็..”
“ไม่ต้องเถียงอะไรทั้งนั้น และอย่าเอาเรื่องที่เห็นไปพูดต่อด้วย ชองซอรินจะเสียหาย”
“กลัวอะไรล่ะแฟนกันไม่ใช่รึไง จะจูบจะดูดกันคนเค้าจะไปว่าอะไร”
“เด็กแก่แดด”
“เอ้า พอพูดความจริงก็มาว่าแก่แดด อายุเราห่างกันกี่ปีเชียว จริงๆผมเคยเห็นแบบนี้มาแล้วหรอกที่ชุมชนน่ะมีตั้งหลายคู่ มีลูกกันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเยอะแยะ”
“ไม่ว่านายจะเคยเห็นอะไรมาก็ช่าง แต่เรื่องเมื่อกี้อย่าเอาไปพูดก็พอ” สำหรับเขาน่ะไม่ห่วงว่าจะเสียหายหรอก แต่ฝ่ายหญิงยังไงก็คงไม่ดี เขาอยากให้เกียรติซอรินให้มากๆ ถึงแม้จะมีเผลอไผลกันไปตามอารมณ์แต่ยังไงซะเรื่องในห้องในมุ้งก็ไม่สมควรพูด
“กลัวถูกคุณท่านดุอะดิ้”
“ยังอยากเลี้ยงเจ้านั่นอยู่หรือเปล่า”
“อยาก!”
แบคฮยอนตาโตอัตโนมัติ ก้าวเข้าไปเขย่าแขนคนตัวสูงกว่าด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ
“ซอรินยอมแล้วหรอ ยอมให้ผมเลี้ยงบัดดี้ไว้ในบ้านแล้วหรอชานยอล!”
“ถ้าเมื่อกี้นายไม่เข้ามา…”
“ไม่พูดหรอก! ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยสาบาน!”
“สาบานเรื่อยเปื่อยระวังไว้เถอะ” คนฟังยิ้มแฮร่!ใส่ด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“ซอรินใจอ่อนเพราะชานยอลจริงๆด้วย แสดงว่ามีของดี คิคิ”
“คิดลามกอะไรเด็กแก่แดด”
“เปล๊า”
“เหอะ”
ยิ้มแป้นดีใจจนออกนอกหน้าพลางกระโดดไปมาอยู่ไม่นิ่งเลยนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ อะไรจะมีความสุขขนาดนั้น โตแล้วจริงๆใช่มั้ยเนี่ย ชานยอลมองแล้วได้แค่ส่ายหน้าน้อยๆ
“นายเลี้ยงมันได้ แต่ต้องกักบริเวณไว้แค่หลังบ้านและสร้างกรงไว้ห่างๆพื้นที่ที่ซอรินจะผ่านด้วย อย่าปล่อยมันมาวิ่งเล่นตอนซอรินอยู่ล่ะ ไม่งั้นเตรียมตัวหาที่อยู่ใหม่ให้หมานายได้เลย เพราะตอนนั้นฉันคงช่วยไม่ได้แล้ว”
แบคฮยอนพยักหน้าอย่างว่าง่าย ริมฝีปากยังยิ้มค้างไว้พลันกระโดดไปกอดแขนชานยอลอย่างลืมตัว
“ขอบคุณนะชานยอล ใจดีที่สุดเลยยยย ไว้จะบอกบัดดี้ให้นะ”
“เพ้อเจ้อ”
“งั้นผมแปะไว้ก่อน ไว้จะพาไปเลี้ยงไอติมตอบแทน”
“นั่นไม่ใช่ทำเพื่อตัวเองหรอ”
“น่า จะเลี้ยงรสที่ชานยอลชอบ เลี้ยงหลายๆลูกเลยก็ได้”
“ให้สมองคิดเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ของกินบ้างเถอะ”
“การได้ทานของอร่อยคือเรื่องวิเศษณ์นะอุ้ย! ผลักหัวผมทำไมเนี่ย…”
ก็ดูทำตัวเข้า ไม่ตีก็ดีแค่ไหนแล้ว
เช้าวันเสาร์
เป็นช่วงเวลาที่แบคฮยอนต้องเรียนมารยาท อบรมบุคลิก รวมถึงการเรียนภาษาต่างประเทศที่คุณท่านเพิ่งเพิ่มเข้ามาให้แบคฮยอนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงเพราะต้องการให้หลานรักได้มีทักษะหลายๆด้านติดตัวไว้ แรกๆแบคฮยอนก็ไม่ชอบหรอก รำคาญที่ต้องมาฝึกโน่นนี่แม้กระทั่งจับช้อนส้อมตะเกียบก็ยังต้องเรียนทั้งที่แบคฮยอนไม่เคยคิดเลยว่ามันเป็นสิ่งจำเป็น แต่พอได้เข้ามหาวิทยาลัย ได้พบเจอคนหลากหลายแบบแบคฮยอนก็เริ่มคิดใหม่ อย่างการเรียนภาษาแบคฮยอนคิดว่ามันยากแต่พอเรียนๆไปก็สนุกดี
ไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งคุยกับคุณท่านเรื่องจะเรียนดนตรีเพิ่มอีก แบคฮยอนเคยใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆแล้วว่าอยากเล่นเครื่องดนตรีแพงๆแบบในละครดูบ้าง คุณท่านเองก็เหมือนจะสนับสนุนเหมือนกัน แบคฮยอนน่ะรู้สึกโชคดีมากๆที่ได้รับความเมตตามากขนาดนี้ ดังนั้นเพื่อตอบแทนเงินที่ส่งเสียเขาทุกวอน แบคฮยอนจึงตั้งใจเรียนทุกๆอย่างไม่ว่าจะชอบมากหรือน้อยก็ตาม
พอตกบ่ายแบคฮยอนต้องเข้ามหาวิทยาลัยเพราะมีนัดกับชมรมวิ่งของตัวเอง โดยได้คุณพ่อคุณแม่บุญธรรมใจดีขับรถมาส่งถึงหน้าชมรม พอเข้ามาถึงก็ถูกรุ่นพี่สั่งให้ไปเปลี่ยนชุดและเตรียมลงมาวิ่งเพื่อเก็บสถิติ หากสมาชิกในชมรมคนไหนทำสถิติดีเป็นลำดับต้นๆก็จะถูกส่งเป็นตัวแทนสำหรับการแข่งขัน
ประเดิมสนามแรกเลยคือกีฬามหาวิทยาลัยระดับจังหวัดนี่แหละ
“แบคฮยอนนายวิ่งเร็วเป็นบ้า”
“เหรอ”
“ให้ตายเถอะนายเคยเป็นนักกีฬาวิ่งมาก่อนหรอ สถิติถึงได้อยู่อันดับหนึ่งทุกรายการคัดเลือกแบบนี้น่ะ”
จงแดนั่งอ้าซ่าอย่างหมดแรงบนพื้นสนามหลังวิ่งเก็บสถิติมาหมาดๆ เงยหน้ามองเลขสถิติบนจอแสดงผลแล้วต้องปาดเหงื่อ เขาน่ะเป็นนักกีฬาวิ่งมาตั้งแต่อยู่ประถมแล้ว และเกือบทุกคนในชมรมก็เคยเป็นนักกีฬามาก่อนแทบทั้งนั้นเว้นแต่เพื่อนใหม่ที่ยืนยันว่าไม่เคยเป็นนักกีฬามาก่อนแต่กลับทำสถิติที่หนึ่งได้ทุกรายการนี่มันอะไรกัน
“เฮ้แบคฮยอน” รองประธานชมรมโยนขวดน้ำดื่มลงบนตักแบคฮยอนและคิมจงแดคนละขวดก่อนจะนั่งยองๆลงคุยด้วย
“ที่บอกไม่เคยเป็นนักกีฬามาก่อนนี่หลอกกันเล่นรึเปล่าเนี่ย”
“ผมเปล่านะ ไม่เคยจริงๆ” โรงเรียนที่แม่ครูและพ่อเฒ่าส่งเรียนน่ะบ้านนอกมากพอที่จะไม่มีชมรมเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้หรอก อุปกรณ์กีฬาเก่าจนจะใช้การไม่ได้อยู่แล้วอีกต่างหาก แต่ถามว่าเคยเล่นกีฬามั้ยก็ต้องบอกว่าเคย เด็กชุมชนทุกคนน่ะรักการออกกำลังกาย ส่วนใหญ่จะเล่นกันแบบมั่วๆซั่วๆเอาสนุกมากกว่า อยากเล่นก็เล่นไม่ต้องมีกติกาให้ยุ่งยาก
“แต่ตอนอยู่ชุมชนผมวิ่งหลบไม้เรียวทุกวันเลย ไม่รู้ว่ามันมีส่วนมั้ย ฮะๆ”
“ฮ่าๆๆ ก็คงมีแหละ ถึงได้วิ่งเป็นเจ้าหนูลมกรดขนาดนี้ได้”
“ผมจะได้ลงแข่งมั้ยฮะรุ่นพี่”
“จะเหลือเหรอ พรุ่งนี้นายไม่ต้องมาเก็บสถิติแล้วก็ได้”
“จริงอะ ผมรู้มาว่าการแข่งขันจะได้รางวัลตอบแทนด้วย”
“แน่นอน ได้เงินด้วยนะ แต่หลานท่านหญิงอย่างนายเงินแค่นั้นคงกระจอกเลยล่ะ”
“ไม่หรอกฮะ ผมอยากได้ ผมไม่อยากรบกวนคุณท่านไปมากกว่านี้แล้ว” ทั้งรุ่นพี่และจงแดไม่ค่อยเข้าใจคำพูดแบคฮยอนเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้ถือสาหรือคิดจะถามให้เคลียร์เพราะถือว่าค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว แบคฮยอนเป็นคนช่างคุย คุยอะไรก็น่าฟังไปหมด เพียงแค่ได้รู้จักกันไม่นานคนทั้งชมรมต่างมีความเห็นตรงกันแทบทั้งนั้นว่าแบคฮยอนนี่แหละตัวสร้างสีสันต์อีกคนของชมรม น้อยมากที่จะเจอลูกหลานคนยศใหญ่แถมยังระดับเจ้าคนนายคนที่ไม่ถือตัวทั้งยังติดดินน่าคบหาขนาดนี้
แบคฮยอนเองก็รู้สึกดีที่ได้รู้จักคนใจดีและเป็นกันเองหลายๆคน ก่อนหน้านี้แอบหวั่นเพราะตอนจะย้ายจากชุมชนมาอยู่โซลทั้งแม่ครู พ่อเฒ่าและผู้ใหญ่ต่างพากันเป็นกังวลกลัวว่าเขาจะเอาตัวไม่รอด เพราะคนชนบทมักมีความเชื่อที่ว่าคนในเมืองนั้นไม่น่าไว้ใจ
“จะค่ำแล้วนายจะกลับบ้านยังไงแบคฮยอน”
“คุณท่านบอกให้กลับพร้อมซอริน” แบคฮยอนวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ด้านนอกและเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายในห้องน้ำข้างๆห้องที่จงแดอาบอยู่
“คุณชองซอรินดาวมหาวิทยาลัยเธอคงสวยมากใช่มั้ย ฉันยังไม่เคยเจอตัวจริงเลย”
“สวยมาก และก็ดุมากด้วย อยากเจอไหมล่ะเดี๋ยวพาไปแนะนำตัว”
“วันนี้คงไม่ได้ ฉันต้องรีบไปทำธุระต่อไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะ” ทั้งคู่ตะโกนคุยกันแข่งกับเสียงสายน้ำจากฝักบัว “รอบตัวนายนี่มีแต่คนหน้าตาดีๆนะ”
“รวมฉันด้วยใช่ไหมล่ะ”
จงแดส่งเสียงหัวเราะกลับมาแทนการตอบคำถาม เจ้าของคำพูดเองก็ขำด้วย กำลังคิดอยู่ว่าคงติดโรคชมตัวเองมาจากเซฮุนแน่ๆ รายนั้นชมตัวเองไม่ต่ำกว่าสามครั้งต่อวันให้ได้ยิน พอคิดถึงคนน้องหน้าคนพี่ก็ลอยมา พอคิดถึงคนพี่หน้าชองซอรินก็ซ้อนเข้ามาจนต้องรีบอาบน้ำให้ไว เขาต้องไปรอก่อนที่ซอรินจะมาถึง เพราะถ้าอีกฝ่ายมาแล้วไม่เจอเขาแบคฮยอนมั่นใจเลยว่าพี่สาวคนสวยต้องไม่อยู่รออย่างแน่นอน
คนตัวเล็กวิ่งกระหืดกระหอบมาพร้อมกระเป๋าใส่ชุดกีฬา มองซ้ายขวาไม่พบรถของใครจอดรอจึงหย่อนตูดนั่งรอตรงม้านั่งหน้าชมรมไปก่อน
มาก่อนเวลานัดตั้งสิบห้านาทีแหน่ะ
“เอ้า.. มาหมดอะไรตอนนี้เล่า” ว่าจะเล่นเกมระหว่างรอซักหน่อยเชียว แบตโทรศัพท์ดันมาหมดถูกเวลาซะได้ แบคฮยอนจึงได้นั่งเปลี่ยวรอเวลาและพี่สาวคนสวยมารับอย่างไม่รู้จะทำอะไร มองนกมองไม้ มองสมาชิกชมรมออกไปคนแล้วคนเล่า โค้งหัวยิ้มให้จนเมื่อยปากหมดแล้ว หนำซ้ำลุงยามยังเดินเข้าไปปิดไฟในห้องชมรมจนจะไม่เหลือซอรินก็ยังไม่มา
“สามชั่วโมงแล้วหรอ”
แบคฮยอนได้แต่บ่นกับตัวเองตอนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา หรือซอรินจะลืมว่าต้องมารับเขา แต่ถ้าเป็นแบบนั้นตอนกลับบ้านก็ต้องเอะใจกลับมารับหรือไม่ก็ส่งคนมารับแทนสิ เพราะนี่มันเลยเวลามามากแล้ว
ถ้าไม่ลืมก็คงเป็นการจงใจทิ้งนั่นแหละ
แค่คิดว่ากำลังถูกทิ้งความรู้สึกแย่ก็ตีตื้นขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด พยายามกล่อมตัวเองว่าคงไม่ใช่และภาวนาให้มันเป็นแค่การหลงลืมจริงๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแบคฮยอนคงพออภัยให้ได้และคิดว่าไม่เป็นไรเหมือนทุกที แต่ถ้าอีกฝ่ายจงใจทิ้งเขาจริงๆล่ะก็….
“คุณหนูยังไม่กลับอีกหรือครับ”
“….”
“ผมต้องปิดไฟห้องชมรมแล้วนะครับ”
“ฮะ ปิดเลย”
“แต่คุณ…”
“เดี๋ยวพี่ผมก็มารับแล้ว ลุงยามปิดเถอะฮะจะได้กลับไปพัก”
มันก็เป็นเรื่องน่าชินกับการโดนทิ้ง ตั้งแต่เล็กจนโตแม้จะได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่หลายคน แต่พอนึกถึงคำพูดที่สมัยเด็กมักถูกล้อเรื่องไม่มีพ่อแม่มันก็อดเจ็บใจไม่ได้ทุกที แม่ครูกับพ่อเฒ่าเคยบอกว่าอย่าใส่ใจกับคำดูถูก ซึ่งในความเป็นจริงมันห้ามไม่ให้รู้สึกไม่ได้ไม่ใช่หรอ แม่ครูกับพ่อเฒ่ามีลูกแท้ๆอยู่แล้วแต่ก็เอ็นดูรับเลี้ยงเขาไว้ คุณท่านเองท่านก็มีลูกหลานแท้ๆอยู่แล้วแต่ก็รับเลี้ยงเขาไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะยังไงสุดท้ายเขาก็เป็นใครไม่รู้ที่ไม่ได้ถูกเลือกไว้ลำดับแรกที่ต้องได้รับความใส่ใจอยู่ดี
สุดท้ายก็ยังเป็นแค่เด็กที่ถูกทิ้ง…
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้”
เสียงทุ้มคุ้นหูดังอยู่เหนือหัว มันคุ้นเสียจนแบคฮยอนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
“ซอริน… ไปแล้วใช่มั้ย”
มือบางกระชับกระเป๋าเป้จนแน่นยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาผู้มาใหม่ ชายหนุ่มร่างสูงมองหัวทุยแล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ ความจริงเขารู้ถึงสาเหตุที่คนตัวเล็กยังคงนั่งอยู่ท่ามกลางแสงสลัวตรงนี้ดี คุณยายโทรมาหาเขาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เขาถึงต้องขับรถออกจากบ้านเพื่อมารับอีกฝ่ายถึงนี่ยังไงล่ะ
“เขาทิ้งผมหรอ”
“กลับกันเถอะ”
“เขาตั้งใจทิ้งผมใช่ไหมชานยอล”
“…..”
แววตาเศร้าๆเหมือนลูกหมานั้นทำเอาชานยอลนึกสิ่งที่อยากจะพูดไม่ออก ตอนคุณยายโทรมาเล่าให้ฟังว่าซอรินทิ้งแบคฮยอนไว้ที่มหาวิทยาลัยและกลับบ้านด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่คุณยายร้อนใจอยู่ชานยอลก็ไม่รู้จะพูดยังไง พอมาเจอสีหน้าคนถูกทิ้งด้วยตัวเองแบบนี้ก็ยิ่งอธิบายความรู้สึกไม่ถูก
มันทั้งสงสารอีกคนและโกรธอีกคน…
เขารู้จักชองซอรินดี เพราะหญิงสาวมีนิสัยหลายๆด้านคล้ายกันกับตน ทั้งความเย่อหยิ่งและเรื่องศักดิ์ศรีต้องมาก่อนเขาทั้งคู่มีคล้ายๆกัน ต่างฝ่ายจึงสามารถทนกับนิสัยของกันและกันได้ ทุกทีไม่ว่าจะทำอะไรชานยอลไม่ได้คิดถือสา ชองซอรินรู้ลิมิตการกระทำของตัวเองมาตลอด เอาแต่ใจแต่ก็ยังมีเหตุผล ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ชานยอลได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะมีเหตุผลที่ทำลงไป แต่ลึกๆชายหนุ่มก็ปฏิเสธไม่ได้อยู่ดีว่ากำลังรู้สึกโกรธชองซอริน
“เขาเกลียดผม เพราะผมเป็นเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า”
ถ้าให้พูดตรงๆก็ใช่ ซอรินรักความเพอร์เฟ็ค เธอไม่เคยยอมรับแบคฮยอน ไม่เคยเห็นด้วยที่คุณยายรับเด็กที่ไม่ได้มีอะไรเลย มารยาทก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องปรับปรุงเข้ามาไว้ในบ้าน แถมประคบประหงมให้ความเอ็นดูจนออกนอกหน้า หญิงสาวจะไม่ชอบหรือนึกรังเกียจก็คงไม่แปลก แต่จะพูดไปก็คงทำลายน้ำใจกันเปล่าๆ แม้หลายครั้งชานยอลมักจะทำอย่างนั้นกับแบคฮยอนก็เถอะ
“ชานยอลก็ด้วย”
“เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“เป็นคนรักกัน แฟนเกลียดชานยอลก็คงเกลียดด้วย”
“ตรรกะอะไรของนาย”
ใช่ที่ว่าทั้งเขาและซอรินถูกมองว่าเป็นคนรักกัน และชานยอลก็ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ใช่ เขาไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกที่มีให้ซอรินมันเรียกว่ารักจริงๆหรือเปล่า มันเป็นสิ่งที่พวกเขาซึมซับมาตั้งแต่จำความได้จากคำพูดของผู้ใหญ่ว่าทั้งสองตระกูลต้องดองกัน โตมาต้องแต่งงานและมีพยานรักร่วมกันก็เท่านั้น
“จะนั่งให้ยุงกัดอยู่ตรงนี้ทั้งคืนใช่ไหมฉันจะได้กลับก่อน”
ชานยอลอยากจะบอกให้แบคฮยอนเลิกทำหน้าแบบนั้นสักที โหมดเงียบไม่ช่างพูดช่างคุยเหมือนก่อนหน้านี้ชานยอลคิดว่ามันรับมือยากยิ่งกว่าการเถียงข้างๆคูๆเป็นเด็กๆซะอีก
“จะกลับมั้ย”
“ไม่อยากเจอซอริน”
“ป่านนี้คงหลับกันไปหมดแล้ว”
“อย่าหลอกเหมือนผมเป็นเด็กสิ”
“…..”
“ผมจะไปนอนกับบัดดี้”
“คลินิกหมาน่ะหรอเค้าคงให้นอนหรอก ไม่ใช่โรงพยาบาลรักษาคนนะ”
“งั้นก็ไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่กลับบ้านด้วย ผมจะนอนที่นี่แหละ”
ไอ้เด็กขี้น้อยใจ
“เลิกงอแงแล้วไปขึ้นรถได้แล้วจะพาไปส่งที่บ้าน”
“ไม่ไปผมจะนอนนี่” ล้มตัวลงหนุนกระเป๋าเสื้อผ้า พลางปิดหูหลับตาหนีชานยอลอีกต่างหาก คนตัวสูงขมวดคิ้วกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย นี่คิดว่าเขาจะตามใจ กล่อมง้อเช่นคุณยายหรือคนอื่นๆหรอ แค่ยอมสละเวลานอนพักผ่อนออกมารับชานยอลก็คิดว่าตัวเองใจดีมากพอแล้ว ของแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ๆ
“เหวอ~ ชานยอล!!”
แบคฮยอนตาลีตาเหลือกตกใจเมื่อจู่ๆแขนถูกกระชากให้ลุกขึ้นก่อนจะตั้งสติได้อีกทีตอนถูกอีกฝ่ายอุ้มพาดบ่านั่นล่ะ ทำอะไรของเขาเนี่ย!
“ชานยอลเดี๋ยวตกหรอกปล่อยยยย”
“อยู่นิ่งๆ”
“ปล่อยนะไม่หนักหรือไง!”
คนตัวเล็กถูกโยนร่างเข้าไปในรถซูปเปอร์คาร์อย่างไม่ปราณี เจ็บทั้งยังไม่ทันได้โวยวายร่างสูงก็สตาร์ทเครื่องและเคลื่อนรถออกไปด้วยความไว
“ชานยอลผมไม่กลับบ้านนะ!”
“เงียบ”
“คุณไม่ใช่คนถูกทิ้งคุณไม่เข้าใจความรู้สึกผมหรอก”
“มันไม่ใช่ความผิดคุณยาย และท่านกำลังรอนายอยู่”
“ถึงคุณพาผมกลับไปส่ง ผมก็จะหนีออกมา”
“…..”
“ผมไม่ใช่เด็กดีคุณรู้นี่”
ความเร็วของรถค่อยๆชะลอลง คนตัวเล็กหันมองออกไปนอกกระจกรถ เขาไม่ได้จะพูดขู่หรือประชดอีกฝ่าย แต่แค่ตอนนี้ยังไม่อยากกลับจริงๆ แบคฮยอนไม่ชินกลับการต้องอยู่ในกรอบ เขาถูกเลี้ยงมาอย่างอิสระ จะว่าทิ้งๆขว้างๆก็คงไม่ถูกนักเพราะแม่ครูและพ่อเฒ่าก็ดูแลเขาดีมาโดยตลอด ถึงจะไม่ได้มีทรัพย์สมบัติหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้เท่าที่คุณท่านให้แต่แบคฮยอนก็อบอุ่นดี
บางทีก็นึกอึดอัด คิดถึงชีวิตที่ชุมชนขึ้นมาโดยเฉพาะเวลาที่รู้สึกไม่โอเคเช่นตอนนี้
“ก่อนจะทำอะไรคิดถึงความรู้สึกคุณยายด้วย รู้นี่ว่าท่านรักนายขนาดไหน”
“ผมแค่ยังไม่อยากกลับตอนนี้”
“แล้วจะกลับตอนไหน”
“……”
“โอเค..” ชานยอลเลิกเซ้าซี้แล้วหันไปสนใจถนนเบื้องหน้าต่อ คนตัวสูงขับรถไปเรื่อยๆจนเจอแม่น้ำกว้างถึงชะลอจอดก่อนจะเปิดประทุนเพื่อให้ลมเย็นโกรกเข้ามา เขาชอบทำอย่างนี้เวลาเหนื่อยๆและไม่รู้จะไปไหน ชานยอลปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออกและเอนหลังพิงเบาะพร้อมทั้งหลับตาลงโดยไม่มีการชวนแบคฮยอนที่นั่งมาด้วยคุยเล่นหรือถามอะไรต่ออีกแล้ว
“ชานยอลไม่ต้องรีบกลับบ้านเหรอ”
“ก็ทำตัวให้อยากกลับบ้านซักทีสิ ฉันจะได้กลับ” พูดทั้งที่ยังหลับตา
“ยังไม่ใช่ตอนนี้อะ ถ้าชานยอลอยากกลับจะทิ้งผมไว้ตรงนี้ก็ได้”
“……”
“ชานยอล..”
“เงียบๆน่าฉันจะหลับ”
คนตัวเล็กมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก บางครั้งก็เหมือนจะดุ แต่บางครั้งก็ใจดีด้วย แบคฮยอนไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วชานยอลเป็นคนแบบไหนกันแน่ แต่ไม่ว่าชานยอลจะเป็นแบบไหนตอนนี้แบคฮยอนก็นึกขอบคุณอีกฝ่ายในใจที่ไม่ทิ้งเขาไว้ที่นี่ตามที่บอก
“เวลาอยู่กับชานยอลผมรู้สึกเหมือนได้อยู่กับพ่อเฒ่าเลย”
“นี่ว่าฉันแก่หรอ”
“อึ้” คนตัวเล็กรีบส่ายหน้าพลางหลุดขำตอนที่เจ้าของรถหรี่ตาขึ้นมองมาอย่างดุๆหลังได้ยินว่าตัวเองเหมือนพ่อเฒ่า “ไม่ใช่อย่างนั้น..” ศีรษะเล็กเอนลงพิงเบาะสบายๆบ้าง
“แบบว่าเหมือนจะดุแต่ก็ใจดีมาก”
“แล้วไป”
“หล่อเหมือนกันด้วย”
หล่อเหมือนกันนี่เขาควรจะดีใจใช่ไหม หน้าก็ไม่เคยเห็น
“แม่ครูของผมก็สวยนะ แม่ครูกับพ่อเฒ่าน่ะหล่อสวยเหมาะสมกันมาก เหมือนชานยอลกับซอริ… ไม่สิ ไม่เหมือน ซอรินไม่สวยแล้ว” คนฟังหลุดขำพลางส่ายหน้ากับความเด็กของแบคฮยอน
“โกรธซอรินมากหรอ”
“หรือจะให้ทำยินดีทั้งที่ตัวเองถูกทิ้งล่ะ”
ชานยอลยักไหล่
“ถ้าไม่อยากให้กลับด้วยก็น่าจะปฏิเสธคุณท่านตั้งแต่แรกไม่ใช่รึไง ผมนั่งรอตั้งหลายชั่วโมงนะ โดนยุงกัดไปตั้งหลายตัว”
“…..”
“แฟนคุณนิสัยไม่น่ารักเลย ใจร้ายสุดๆ”
“ไม่กลัวฉันเอาไปบอกเธอหรือ”
“บอกก็บอกสิ ผมจะเป็นเด็กดีกับคนที่ดีด้วยเท่านั้นแหละ ตอนนี้ชองซอรินไม่ใช่แล้ว” ยกมือขึ้นกอดอกเชิดหน้าให้ชานยอลดูเลยว่าครั้งนี้โกรธจริงๆและจะไม่อภัยให้ง่ายๆด้วย ชานยอลเห็นแล้วไม่รู้สึกเคืองสักนิด กลับรู้สึกขำกับท่าทางลูกหมาขู่ฟ่อนั่นอีกตามเคย
“ผมน่ะเจ็บแล้วจำ”
“อ้อ งั้นเหรอ”
“ถึงชานยอลจะใจดีกับผมและพวกคุณจะเป็นแฟนกันยังไงก็ช่าง มันหักลบกันไม่ได้หรอก”
“ระวังบัดดี้ของนายจะไม่มีที่อยู่ไว้เถอะ”
“ผมจะเลี้ยงบัดดี้ให้ดุกับซอรินเลยคอยดู”
เจ้าเด็กนี่..
“แต่ผมจะเลี้ยงให้มันเชื่องกับชานยอล คุณท่าน คุณแม่อินจอง คุณพ่อ เซฮุนแล้วก็อีกหลายๆคนที่ดีกับผมนะ ส่วนคนใจร้ายผมจะสั่งให้มันแยกเขี้ยวใส่ให้หมดเลย” แค่ชานยอลลองนึกภาพลูกหมาโกลเด้นที่ยังโตได้ไม่เท่าไหร่กำลังขู่ฟ่อก็อยากขำขึ้นมาแล้ว มันคงไม่ได้ต่างจากแบคฮยอนตอนนี้เท่าไหร่หรอก
“และผมจะเลี้ยงให้มันรักผมมากๆ ไม่ทิ้งผมให้ต้องอยู่คนเดียวด้วย…”
เสียงงึมงำบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายใกล้หลับเต็มที ชานยอลตะแคงหน้าลอบมองคนตัวเล็กที่กำลังหลับตาพริ้ม ลมหายใจสม่ำเสมอและเสียงพูดที่เงียบไปพักใหญ่ทำให้ร่างสูงค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงหลับสนิทไปแล้วน่าดู
“…..”
มือใหญ่แกล้งสะกิดแก้มนิ่มเบาๆ พอไม่มีปฏิกิริยาโต้กลับรอยยิ้มจากริมฝีปากอิ่มก็ระบายออกมาพร้อมลูบกลุ่มผมนุ่มมือนั้นไปมาด้วยความเอ็นดู
“ไอ้เด็กดื้อ” นิ้วใหญ่เลื่อนลงมาบีบแก้มนิ่มที่แสนจะน่าหมั่นไส้ยามอีกฝ่ายตื่น จริงๆตอนหลับก็น่าหมั่นไส้อยู่ดีนั่นแหละ จมูกก็น่าหมั่นไส้ ปากก็น่าหมั่นไส้ แก้มก็น่าหมั่นไส้ แบคฮยอนช่างน่าหมั่นไส้ในสายตาชานยอลไปซะหมด พอเล่นจนพอใจก็ค่อยๆจัดท่านั่งของอีกฝ่ายให้เข้าที่เข้าทางและปรับเบาะเอนลงจนเกือบสุด
สุดท้ายวันหยุดของเขาก็ยังไม่พ้นต้องมาคอยดูแลหลานคุณยายอยู่ดี
แต่ชานยอลก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่แย่นักหรอกนะ…
#Ficmysscb
Talk:
กลับมาอัพต่อแว้ววววว ( :
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอ็นดูน้องเยอะๆนะ
นึกภาพตอนน้องไปเห็นแล้วสงสาร โถ่หนูลูกกกกก แม่คนนี้จะปกป้องหนูเอง อิซอรินจะต้องตาย เหอะ! อยากจับมันกดส้วมจัง กล้ามากกล้ามาทำลูกชั้น
คิก ชานยอลลลลลลลลลลลลลล