ตอนที่ 31 : Shining XXIX :: I can't stand you anymore
Shining XXIX
“แบคฮยอนจ้ะ”
“ฮะ พี่กงจู” แบคฮยอนชะงักมือจากการถูพื้น ค่อยๆหันหน้ากลับไปมองเสียงเรียกด้านหลัง หญิงสาวรุ่นพี่ตัวสูงกำลังเดินถือร่มตรงเข้ามาหา
“เดี๋ยวพี่ต้องออกไปทำธุระและคงไม่กลับเข้ามาแล้วนะ”
“ออกไปทั้งที่ฝนตกหนักแบบนี้น่ะหรอฮะ”
“ไม่ต้องห่วงจ่ะ พี่ขับรถได้สบายมาก” เธอยื่นพวงกุญแจชุดใหญ่มาให้ “ถ้าเก็บกวาดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วปิดร้านให้พี่ได้เลยนะ ฝนตกหนักอย่างนี้ลูกค้าคงไม่มากันแล้วล่ะ เมื่อกี้พี่บอกจูฮยอกไว้ทีนึงแล้วแต่เจ้าเด็กนั่นอยู่ในห้องน้ำไม่รู้ได้ยินชัดไหม ยังไงพี่รบกวนเราจัดการร้านให้หน่อยแล้วกัน บอกจูฮยอกด้วย”
“อ่า..ได้ฮะ ขับรถดีๆนะฮะพี่กงจู ถนนลื่นระวังอุบัติเหตุ”
“จ้า ขอบคุณที่ทำงานหนักนะเด็กน้อย”
“ด้วยความยินดีฮะ”
“เอ้อ” ร่างเพรียวระหงหันกลับมาหาแบคฮยอนอีกครั้ง “ทีรามิสุเค้กในตู้แบ่งไปทานที่บ้านได้นะ พี่ไม่หวง”
“เรดเวลเวทบราวนี่ชีสเค้กที่ให้เอากลับเมื่อวานยังกินไม่หมดเลยฮะ ฮ่ะๆ”
“เอาไปเถอะจ่ะ ที่บ้านมีน้องสาวด้วยไม่ใช่หรอ น่าจะชอบนะ”
“ขอบคุณมากเลยฮะพี่กงจู”
“จ้า พี่ไปล่ะ” เธอโบกมือลาแล้วผลักประตูเดินออกจากร้านไป
แบคฮยอนมองสายฝนด้านนอกผ่านประตูกระจกร้านแล้วถอนหายใจ ฝนไม่ยอมหยุดตกมาตั้งแต่เย็น และตอนนี้ก็ใกล้เข้าสี่ทุ่มเต็มที แบคฮยอนยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะกลับบ้านยังไง
เขาหันกลับมาก้มหน้าก้มตาถูพื้นร้านต่อ วันนี้ย่างเข้าสู่วันที่สามแล้วที่แบคฮยอนมาทดลองทำงานที่ร้านกาแฟพี่สาวของนัมจูฮยอก คิดว่ามันก็โอเค ทำงานเป็นชั่วโมงตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงห้าทุ่มในวันธรรมดาซึ่งเป็นเวลาหลังจากเลิกเรียน ส่วนเสาร์อาทิตย์ตามที่คุยกันไว้คือจะทำตั้งแต่เก้าโมงเช้าไปจนถึงหนึ่งทุ่ม
มีพนักงานที่ช่วยกันทำอีกประมาณสามคน แต่ว่าวันนี้ทั้งหมดขอเลิกงานเร็วกว่ากำหนด แบคฮยอนเลยต้องรับหน้าที่เก็บกวาด ทำความสะอาดเอง ดีหน่อยที่ลูกค้าซาๆลงตั้งแต่สองทุ่มเพราะฝนตกหนัก และเจ้าของร้านพี่สาวจูฮยอกก็ช่วยเก็บกวาดไปส่วนหนึ่ง ก่อนหน้าที่เธอจะออกไป
แบคฮยอนยังไม่ได้บอกทางบ้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซ้ำยังโกหกว่าที่ต้องกลับบ้านดึกเพราะมีซ้อมวิ่ง สองสามวันมานี้เขาเลยใช้ชีวิตค่อนข้างติดระแวงเนื่องจากกลัวจะถูกใครจับได้ขึ้นมา ไม่ได้อยากหาเรื่องใส่ตัว แค่คิดว่ายังอยู่ในขั้นทดลองงานว่าทำไหวหรือเปล่า ถ้าไม่..เขาจะได้ถอนตัวออกไปเงียบๆแบบที่ไม่ต้องให้ใครรู้
หรือหากทำไหว และคิดจะทำต่อแบบเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆค่อยไปขอผู้ใหญ่อย่างเป็นทางการ จากนั้นค่อยหาโอกาสเหมาะๆไปลองพูดกับชานยอลดูอีกซักรอบ แบคฮยอนว่าคุณชายของคุณลุงพ่อบ้านเป็นคนมีเหตุผล หากพูดดีๆค่อยๆคุยกันอีกฝ่ายอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
จะยังไงก็ตาม ตอนนี้แบคฮยอนได้ตัดสินใจมาลองทำดูก่อนแล้ว เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน ช่วงนี้ชานยอลก็ยุ่งๆคงไม่มีเวลามาจับผิดอะไรเขาได้หรอก
“แบคฮยอน พี่กงจูให้ปิดร้านเลยใช่มั้ย” ร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากหลังร้าน
“เยส” แบคฮยอนตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา “ถูพื้นตรงนี้อีกนิด เดี๋ยวจะรีบเอาเค้กไปเก็บไว้หลังร้าน คุณนัมอย่าเพิ่งรีบกลับบ้านนะ รอให้ปิดร้านเสร็จก่อน”
“กลัวผีล่ะสิ” คนถูกรู้ทันหันไปแลบลิ้นใส่ นัมจูฮยอกยักคิ้วแล้วส่งยิ้มขำโต้ตอบ ขณะยืนเท้าศอกกับเคาน์เตอร์คิดเงิน มือคลิกเมาส์ที่ต่อสายกับแมคบุ๊ค คาดว่าน่าจะเปลี่ยนเพลงเพราะจากเคป๊อปที่แบคฮยอนกำลังฮึมฮัมไปด้วยตอนแรกได้กลายเป็นดนตรีจังหวะบอสซ่าแทน
“ฝนตกหนักไม่หยุดแบบนี้จะกลับไง โทรเรียกคนที่บ้านมารับมั้ย”
“หึ ขืนเรียกมารับโดนจับได้พอดี”
“งั้นเดี๋ยวไปส่ง”
“เอามอเตอร์ไซค์มาไม่ใช่หรือไง”
“รอบหน้าคงต้องเอารถยนต์มาใช้แทนสินะ จะได้ไปส่งนายกลับบ้านทุกวัน”
“ฉันขึ้นรถกลับเองได้ ไม่รบกวน”
“วันไหนฝนตกหนักรถโดยสารประจำทางจะหยุดหลายสาย ฉันกลัวว่าวันนี้นายจะไม่มีรถให้กลับน่ะสิ”
“อย่ามาอำเล่นหน่อยเลยน่า ฉันถามพี่สาวนายแล้ว เธอบอกรถมีถึงเที่ยงคืนนู่น”
“เฮ้อ..ไม่สนุกเลย สรุปคือต้องแยกกันกลับทางใครทางมันเหมือนเดิม”
“ถูก”
“พูดจริงนะ ฉันอยากไปส่งนายบ้าง เดี๋ยวนั่งรถไปเป็นเพื่อนก็ได้” นัมจูฮยอกมักจะพูดแบบนี้กับแบคฮยอนทุกวัน และแบคฮยอนก็จะตอบปฏิเสธเสมอ ทั้งเกิดจากความเกรงใจและไม่อยากให้มีปัญหาใดๆตามมาทีหลัง อย่างเช่นความหึงหวงของใครบางคน แม้คนๆนั้นจะไม่ค่อยแสดงออกให้เห็นแต่แบคฮยอนคิดว่ากันไว้ยังไงก็ดีกว่าแก้ อีกอย่างถ้าเซฮุนรู้เรื่องนี้ขึ้นมาอีกคนก็คงมีโวยวายไม่แพ้กัน เลยเลือกตัดไฟตั้งแต่ต้นลมน่าจะดีที่สุด
“นะ..วันนี้ให้ฉันนั่งรถไปส่ง”
“กลับเองดีกว่า บ้านอยู่คนละทางขืนนายไปส่งกว่าจะได้กลับบ้านไปนอนก็เที่ยงคืนตีหนึ่งพอดี” แบคฮยอนไม่เคยคิดว่านัมจูฮยอกจะมาจริงจังอะไรด้วย แต่หลังจากมาทำงานได้สองสามวันความคิดถึงเริ่มเปลี่ยนไป
อีกฝ่ายขยันมาช่วยงานบ่อยทั้งที่มีการบ้านให้ทำตั้งเยอะแยะจนพี่สาวยังเอ่ยปากแซว เพื่อนพนักงานคนอื่นๆอีก แบคฮยอนถึงเข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกขายขนมจีบอยู่ แต่เพราะจูฮยอกน่ารัก ไม่ได้ตอแยตามตื้อให้น่าอึดอัดแบคฮยอนจึงไม่ถือสา ยังคงปฏิบัติตัวด้วยเหมือนปกติ และเชื่อว่าอีกไม่นานอีกฝ่ายน่าจะหันกลับมามองเขาแบบเพื่อนคนหนึ่งบ้างเหมือนกัน
กรุ้งกริ๊ง~
เสียงกระดิ่งหน้าร้านเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ามีผู้เข้ามาใหม่ แบคฮยอนรีบเอ่ยทักทายโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังหันหลังถูพื้นอยู่ “อันยองฮาเซโย นัมเลดี้คอฟฟี่เฮ้าส์ยินดีต้อนรับคร้าบ”
“ร้านใกล้ปิดหรือยังครับ”
“ใกล้แล้วครับ แต่ยังสั่งเครื่องดื่มและของว่างทานได้ครับ” นัมจูฮยอกที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ยิ้มบอกลูกค้าคนใหม่ ต่างฝ่ายต่างรู้สึกคุ้นหน้ากันเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อนทว่านึกไม่ออก เช่นเดียวกับแบคฮยอนที่คุ้นเสียงลูกค้าจนอดเหลียวคอมองไม่ได้
“รับอะไรดีครับ”
“เอาช็อคโกแลตร้อนกับ...แบคฮยอน?!”
“พ พี่จงอิน!” คนตัวเล็กเบิกตาโตตกใจ เผลอกลืนน้ำลายลงคอดังอึกเมื่อได้เห็นหน้าลูกค้าคนใหม่ชัดๆ คิมจงอินตัวเปียกนิดหน่อย สายตากำลังมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความแปลกใจ
“ทำงานที่นี่หรอ”
“เอ่อ คือ…”
“ไหนไอ้ชานยอลบอกว่าเรามีซ้อมวิ่งตอนเย็น”
“คือผม..”
“พูดถึงก็โทรเข้ามาพอดี แปปนะ”
“พี่จงอินอย่า!” แบคฮยอนรีบทิ้งไม้ม็อบแล้ววิ่งเข้าไปรั้งมือคิมจงอินที่กำลังจะกดรับสายโทรศัพท์ คนผิวแทนยืนมองอย่างงุนงง แบคฮยอนเองก็ไปไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรทำหรือควรพูดอะไรต่อดี ชื่อที่กะพริบอยู่บนหน้าจอมือถือของรุ่นพี่ทำเอามือของเขาเริ่มสั่น
“ย อย่าบอกเค้าว่าเจอผมอยู่ที่นี่นะฮะ”
“…”
“ผม…ยังไม่ได้บอกอ่ะ ชานยอลยังไม่รู้ว่าผมแอบมาทำงาน”
แบคฮยอนกลับถึงบ้านดึกทีเดียว แต่คุณป้าแม่บ้านคนเก่าคนแก่ของคุณท่านและพี่ๆสาวใช้อีกสองคนยังออกมายืนรอต้อนรับเช่นทุกวัน แบคฮยอนเคยพยายามบอกเรื่องนี้หลายทีแล้วว่าไม่ต้องให้ใครมายืนคอย แต่เพราะคำสั่งจากเบื้องบนทุกคนเลยขัดไม่ได้ ถามว่าเกรงใจมั้ย แบคฮยอนตอบได้ทันทีเลยว่าเกรงใจมากกกกกก
ไม่เพียงแต่คนในตระกูลชองเท่านั้นที่แบคฮยอนรู้สึกเกรงใจ คิมจงอินที่อาสาขับรถมาส่งให้ถึงที่บ้านในคืนนี้ก็เช่นกัน แบคฮยอนสัมผัสได้ถึงความใจดีของรุ่นพี่คนนี้ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ อาจไม่ได้คลุกคลีกันเท่าไหร่แต่จงอินก็น่ารักกับแบคฮยอนเสมอ
เรื่องที่อีกฝ่ายบังเอิญล่วงรู้ความลับอย่างไม่ได้ตั้งใจได้เคลียร์กันบนรถเรียบร้อยแล้ว จงอินตกปากรับคำว่าจะไม่บอกใคร ซึ่งแบคฮยอนก็เชื่อว่าพี่ชายคนนั้นจะทำได้ตามที่พูด เพราะที่ผ่านมาดูเซฮุนไว้เนื้อเชื่อใจให้จงอินกุมความลับโดยไม่บอกชานยอลก็หลายเรื่อง ดังนั้นเรื่องนี้ก็ไม่น่ามีอะไรให้ต้องกังวล
หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น คุณป้าแม่บ้านเอานมอุ่นขึ้นมาให้ดื่ม ได้คุยกันเรื่องคุณท่านนิดหน่อย แบคฮยอนแอบรู้สึกผิดที่สองสามวันทำงานที่ผ่านมาต้องกลับบ้านดึกและไม่ได้เข้าไปนวดให้ท่านก่อนนอน ยิ่งได้ยินคำบอกเล่าว่าทั้งคุณท่านและคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมต่างถามถึงตลอดแบคฮยอนยิ่งลำบากใจ นึกอยากจะถอนตัวออกจากการทำงานแต่มันก็…ยังสนุกที่จะทำอยู่เลย
Rrrrrrr
ไฟในห้องที่เพิ่งถูกดับไปไม่ถึงหนึ่งนาทีเป็นอันต้องสว่างขึ้นมาอีกครั้งเมื่อแบคฮยอนเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟข้างๆหัวเตียงเพราะเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ เบอร์แปลกไม่คุ้นตาทำให้คนตัวเล็กขมวดคิ้วงงๆ แต่ก็ไม่วายกดรับสายเพื่อคลายข้อสงสัย
“สวัสดีครับ”
((เสียงน่ารักนี่)) แบคฮยอนเอนหลังพิงหัวเตียงในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่ง ขมวดคิ้วกับสิ่งที่คนปลายสายกำลังพูด ((ฉันเอง จำเสียงไม่ได้หรอ))
“ใคร”
((อุตส่าห์พาไปเลี้ยงข้าวทำความรู้จักกันแล้วแท้ๆแต่นายก็ยังจำฉันไม่ได้อีก น่าน้อยใจมั้ยเนี่ย))
“อ๋า…พี่แอล” ปลายสายหัวเราะกลับมาด้วยความพอใจ “มีเบอร์ผมได้ยังไง”
((ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องยากนะ))
“ผมกำลังจะนอนแล้ว มีอะไรหรือเปล่า”
((นายไม่รู้มารยาทในการคุยโทรศัพท์หรอ ฉันโทรมาคุยด้วยดีๆไม่ควรพูดตัดบทให้คนฟังรู้สึกเสียเซลฟ์แบบนี้นะ))
“ขอโทษ แต่ตอนนี้มันเลยเวลานอนของผมมามากแล้ว พี่มีอะไรจะพูดก็รีบๆพูดมาดีมั้ย ก่อนที่ตาผมจะปิดง่ะ”
((ฮ่ะๆ งั้นเข้าเรื่องเลยนะ)) ควรจะเข้านานแล้วไหมล่ะ ((พรุ่งนี้นายเลิกเรียนกี่โมง))
“บ่ายโมง”
((ไปดูหนังกัน ตอนบ่ายโมงฉันจะไปรับ))
“หา ชวนผมดูหนังหรอ”
((ใช่ ห้ามปฏิเสธด้วย เพราะถ้านายไม่ไปฉันก็ต้องไปดูคนเดียว ที่โซลไม่มีใครคบฉันแล้ว หวังว่านายจะไม่ใจร้าย))
“ผมว่าเราไม่…”
((หนังสนุกนะ นายยังไม่เคยดูแน่ฉันมั่นใจ พอดูหนังจบฉันจะพาไปกินไอศกรีมต่อ ร้านนี้เพิ่งมีสาขาแรกในเกาหลี คิวยาวหลายสิบเมตรแต่ถ้านายไปกับฉันรับรองว่าไม่ต้องยืนรอให้เมื่อย))
“เอาของกินมาล่อผมนี่” ไม่รู้ว่าแบคฮยอนเผลอกลืนน้ำลายเสียงดังไปหน่อย หรือคำพูดคำจาเด๋อด๋าพาลให้คนฟังรู้สึกตลกหรืออย่างไร ปลายสายถึงได้ขำไม่หยุด
((ตกลงว่าไปนะ))
“แต่ผมต้องรีบไปเข้างานตอนห้าโมงเย็น มันจะไม่..”
((หนังไม่ถึงสองชั่วโมง รับประกันว่าไปทันแน่นอน))
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ ชานยอลต้องเอาถึงตายแน่ๆถ้ารู้ว่าผมไปกับพี่อีกแล้ว” เรื่องคราวก่อนยังนับว่าโชคดีที่อีกฝ่ายยุ่งจนไม่มีเวลาได้รื้อฟื้นถามถึงให้เป็นประเด็นอีก แต่ครั้งนี้กลัวจะไม่โชคดีอีกน่ะสิ
((มันจะเอาก็ให้มันเอาไปสิ จะบอกว่าไม่เคยทำกันหรอ))
“เฮ้! พี่พูดอะไรน่ะ”
((นายก็หัวไวอยู่นี่ จะให้ฉันแปลซ้ำจริงหรอ)) ให้ตายเถอะ ชานยอลเลือกคบแต่เพื่อนนิสัยเหมือนตัวเองหมดเลยหรือไงนะ แต่ละคำพูดมันถึงได้…ทำแบคฮยอนตาสว่างเลย!
((เป็นอันว่าที่คุยกันไว้เมื่อกี้คือตกลงนะ พรุ่งนี้ตอนบ่ายโมงฉันจะไปรอรับนายที่หน้าคณะ))
“ไม่เอาๆ เดี๋ยวเซฮุนเห็น พี่ไปรอผมหน้ามอก็แล้วกันเดี๋ยวออกไปหาเอง”
((That's great! แล้วฉันจะรอ))
ตุ๊ด!~
สุดท้ายก็รับปากไปกับเค้าจนได้! ไม่รู้เป็นโรคอะไร(น่าจะโรคแพ้ของฟรี) คนไม่สนิทชวนไปก็ยังใจง่ายไปกับเขา แต่อย่าว่างั้นงี้ ไอ้ดูหนังอะไรนั่นแบคฮยอนเคยไปกับเซฮุนแค่ครั้งเดียวเอง แบคฮยอนชอบขนมหน้าโรงหนังที่สุด อยากไปอีกแต่ไม่มีใครมาชวนซักที ไหนจะไอศกรีมที่พี่เค้าพูดถึงนั่นด้วยล่ะ น่าสนน้อยที่ไหน
ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย แบคฮยอนจะดื้อลับหลังชานยอลครั้งสุดท้ายแล้วสาบานเลย
Rrrrrrrrrr
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เบอร์แปลก กลับเป็นชื่อของคนที่เขาคิดถึงตลอดเวลา และเพราะอีกฝ่ายโทรฯมาเหมือนรู้จังหวะ แบคฮยอนเลยถึงกับใจหายใจคว่ำ มือไม้อ่อนจนปล่อยโทรศัพท์ร่วงลงบนที่นอนดังปุ๊! กว่าจะตั้งสติได้เจ้าเครื่องมือสื่อสารนั่นก็สั่นจนเกือบจะหยุดอยู่แล้ว
“ฮะ ฮัลโหล ชานยอล~”
((เมื่อกี้คุยกับใคร ทำไมถึงเป็นสายซ้อน))
“อ๋อ จงแดบอกว่าพรุ่งนี้ให้รีบๆเข้าชมรม” แบคฮยอนแอบตบปากตัวเองเบาๆหลายๆที พลางขยับตัวลงนอนหนุนหมอนดีๆ แม้จะอยู่ในอารมณ์หวาดระแวงแต่เรียวปากเล็กก็อดแย้มยิ้มเพราะได้ยินเสียงทุ้มนี้ไม่ได้ “ชานยอลทำอะไรอยู่ ว่างคุยแล้วหรอ”
ไม่ได้คุยกันเกือบทั้งวันคิดถึงที่สุดเลย
((ยัง แต่อยากคุยด้วย))
“ฮื่อ ไม่ได้เจอกันเลย”
((พรุ่งนี้มานอนบ้านฉันไหม))
“เอ่อ ผมเลิกดึกนะ ชานยอลล่ะ ชานยอลไม่ต้องทำงานต่อหรอ”
((ทำ พรุ่งนี้มีนัดทำงานทั้งวัน แต่ถ้าจะมานอนด้วยก็ไปรับได้))
“ผมคิดถึงชานยอล แต่เอาไว้ว่างจริงๆดีกว่ามั้ย ผมไม่อยากรบกวน”
((ตามใจ))
“เปิดกล้องได้เปล่า อยากเห็นหน้าด้วยอ่ะ” แบคฮยอนได้ยินเสียงชานยอลบ่นงึมงำเหมือนอิดออดไม่อยากทำ หากสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้เห็นหน้ากันและกันผ่านเครื่องมือสื่อสารสี่เหลี่ยมเล็กๆของตัวเองจนได้ ชานยอลอยู่ในชุดนอน นั่งเก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือแบคฮยอนจำได้ ใต้ตาดำคล้ำ หน้ายังนิ่งเหมือนเดิม มีสิวขึ้นกลางหน้าผากเม็ดนึงด้วย แต่ก็หล่ออยู่ดี..
“คืนนี้ผมจะนอนเฝ้าชานยอลทำงานทั้งคืน อย่าวางนะ”
((แล้วนายก็จะครางเสียงหงิงๆเหมือนลูกหมาให้ฉันฟังสินะ หลานคุณยาย))
“ง่า..ถ้างั้น ผมหลับเมื่อไหร่ชานยอลค่อยกดตัดสายก็ได้” แบคฮยอนฉีกยิ้มแฉ่งตาหยีให้ ชานยอลหัวเราะกลับมาแล้วเอาแต่จ้องเขาผ่านกล้องนิ่งๆไม่ยอมพูดอะไร แล้วแบคฮยอนจะทำไรได้ นอกจากนอนเขินหน้าแดง มือข่วนผ้าปูที่นอนระบายความเขินครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่ใช่สาวน้อยเพิ่งหัดมีความรักนะ แล้วอีกฝ่ายก็ไม่ได้มาให้เห็นตัวเป็นๆด้วย แต่ทำไมมันเขินอย่างนี้ก็ไม่รู้!
“วันนี้เรียนเป็นยังไง”
“วันนี้ในคาบอาจารย์ชมว่าผมทำงานเรียบร้อยขึ้น แล้วสอบย่อยครั้งก่อนก็..$g7&%*(^$#-=%^&”
วันต่อมา
ชานยอลและเพื่อนนัดทำโปรเจคกลุ่มด้วยกันหลังหมดชั่วโมงเรียนตอนเช้า สถานที่ทำงานคือร้านกาแฟใต้ตึกคณะที่ประจำ ต่างคนต่างมีเนื้อหาในส่วนที่ตัวเองต้องรับผิดชอบเนื่องจากได้จับสลากแบ่งหัวข้อกันเรียบร้อยแล้ว
ผลพวงจากการปั่นงานเดี่ยวของตัวเองเมื่อคืนบวกกับการคุยโทรศัพท์กับแบคฮยอนจนพ้นเข้าวันใหม่ทำให้ชายหนุ่มต้องปิดปากหาวแทบทุกชั่วโมงในวันนี้ สองมือกำลังกดคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คเพื่อทำงาน กระทั่งมีแจ้งเตือนข้อความเข้ามาในโทรศัพท์ที่วางแหม่ะอยู่ข้างๆ มือใหญ่เลยต้องชะงัก
ตอนแรกเขาว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่เผอิญสมองจำเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ในเครื่องได้เลยอดหยิบมันขึ้นมาเปิดดูไม่ได้ แล้วตอนนั้นเองที่ชานยอลได้รู้ว่าตัวเองกำลังพลาด
“แอล!”
“เฮ้ย จะไปไหน” ชานยอลหลับตาลงเพื่อระงับสติอารมณ์ จะลุกก็ลุกไม่ได้เพราะมีมือแข็งๆของคิมจงอินดันไหล่ให้นั่งอยู่กับที่
“จะห้ามให้ได้ทุกครั้งเลยใช่มั้ย ปล่อย”
“เป็นอะไรอีกวะ เดี๋ยวผีเข้าผีออก เมื่อเช้าก็เห็นอารมณ์ดีๆมาตอนนี้หน้าหงิกอีกแล้ว” เป็นอีกครั้งที่ชานยอลต้องส่งโทรศัพท์ให้จงอินดู อีกฝ่ายถึงจะยอมหุบปากดีๆ
“แบคฮยอนไปดูหนังกับมัน” ชานยอลรู้สึกว่ามีลมออกหูตัวเอง หายใจจังหวะหนัก เส้นเลือดที่ข้างขมับเต้นตุ่บๆ และสีหน้าตอนนี้คงดูไม่ได้น่าดูเพราะเพื่อนผู้หญิงที่ทำงานกลุ่มเดียวกัน ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังก้มหน้าหลบสายตาเหมือนกลัวๆแต่ชานยอลไม่ได้สนใจ
ในหัวตอนนี้มีแต่ความหงุดหงิดกับภาพของแบคฮยอนที่แอลส่งมา วันก่อนก็ไปนั่งกินข้าวด้วยกัน วันนี้มีภาพหน้าโรงหนังด้วยกันอีก ไอ้การถือน้ำแก้วใหญ่ข้างนึงพลางดูดไปด้วย กับอีกข้างถือป๊อปคอร์นถังใหญ่ด้วยใบหน้าอารมณ์ดี ชานยอลหาคำที่บรรยายความรู้สึกตัวเองให้ตรงเท่ากับคำว่าโกรธไม่ได้อีกแล้ว!
“เดี๋ยวกลับมา”
“นายนั่งลงเถอะ สองคนนั้นอยู่ที่ไหน โรงไหน ห้างไหน ไม่รู้อะไรซักอย่างถึงไปก็เสียเวลาเปล่า”
“แล้วจะให้ทำไง ถ้าแฟนนายอยู่กับศัตรูนายจะทนอยู่เฉยได้โดยที่ไม่ทำอะไรเลยงั้นหรอ คิมจงอิน”
“เออ รู้ ไม่ต้องมาทำเสียงเย็นใส่หรอก” จงอินตบไหล่กว้างของเพื่อนหลายๆทีเพื่อเรียกสติ “แอลไม่ทำอะไรหรอก แบคฮยอนไม่น่าจะใช่สเป็คมัน ถึงจะมีข่าวว่ามันกลายเป็นคาสโนว่าตัวพ่อตอนอยู่เยอรมันแต่ฉันก็คิดว่า..”
“พูดเพื่อ??!!!” ยิ่งพูดยิ่งแย่ ยิ่งทำให้ชานยอลรู้สึกไม่ดี “ช่างเถอะ เจอไม่เจอฉันก็จะไม่อยู่เฉย”
“นายยิ่งดิ้นน่ะสิจะยิ่งเข้าทางมัน”
“ฉัน…”
“เชื่อสิวะว่าไปก็เสียเวลาเปล่า แนะนำว่าตอนนี้รีบๆปั่นงานให้เสร็จแล้วจากนั้นจะไปไหนก็ไป หาไม่เจอตอนห้าโมงเย็นก็ไปหาที่ร้านกาแฟ ยังไงแบคฮยอนก็ต้องกลับไปทำงานที่นะ...!” จงอินตาลีตาเหลือกเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่าเมื่อกี้ได้เผลอพูดอะไรออกไป งานนี้ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มและดูท่าทางงานจะเข้าทั้งตัวเองและอีกคนที่รับปากไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะเมื่อคืนสดๆร้อนๆว่าจะไม่บอกใครที่ไหน
“เมื่อกี้นายพูดว่าใครทำงานที่ร้านกาแฟนะ”
“เอ่อะ..”
“คิม จงอิน”
“ปั่นงานกันดีกว่ามั้ย เดี๋ยว…”
“นายก็รู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ในอารมณ์ไหน ถ้ารู้อะไรมาแล้วไม่ยอมบอก นายจะเป็นคนแรกที่ถูกฉันอัดเลยสาบาน”
หลังจบกิจกรรมทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะดูหนัง เดินเล่น ทานไอศกรีม แอลก็ขับรถมาส่งแบคฮยอนเข้าทำงาน ทั้งยังแวะลงไปชิมรสชาติกาแฟและเบเกอรี่ในคาเฟ่ด้วย
แอลเลือกที่นั่งใกล้ๆเคาน์เตอร์เพื่อที่จะได้คุยกับแบคฮยอนได้สะดวก ไม่ต่างจากนัมจูฮยอกที่พอเลิกเรียนปุ๊ปก็ตรงดิ่งเข้ามายืนรอหลังเคาน์เตอร์คาเฟ่พี่สาวทันที ทั้งสองหนุ่มจ้องมองปฏิกิริยาความเคลื่อนไหวของแบคฮยอนด้วยความเพลิดเพลินตา
คนตัวเล็กคิดเงินผิดๆถูกๆก็มองว่าน่ารัก บริการลูกค้า กล่าวทักทายให้คำแนะนำอะไรก็ดูเป็นธรรมชาติไปหมด และเพราะถูกจ้องจากทั้งสองคนไม่วางตาวันนี้แบคฮยอนถึงเผลอทำตัวป้ำๆเป๋อๆไปหลายอย่าง ซุ่มซ่ามจนนับครั้งไม่ถ้วนเพราะไม่มีสมาธิเลย…ก็ทั้งโดนผู้ชายด้วยกันจ้อง แล้วยังโดนเพื่อนพนักงานแซวไม่หยุดเนี่ยใครจะไปวางตัวถูกกัน
กรุ๊งกริ๊ง!~
“อันยองฮาเซโย นัมเลดี้คอฟฟี่เฮ้าส์ยินดีต้อนรับค่าาา” เสียงหนึ่งในพนักงานเอ่ยต้อนรับลูกค้าอย่างสดใส แบคฮยอนระบายรอยยิ้มตามเพราะได้ข่าวว่าวันนี้ทั้งวันคาเฟ่ของพี่กงจูลูกค้าเข้าเยอะเป็นพิเศษ
กำลังก้มหยิบเค้กในตู้ออกมาจัดใส่จานให้กับลูกค้า เห็นเงาใครบางคนผ่านกระจกตู้แบบเลือนรางแต่ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าคงไม่พ้นลูกค้ามายืนเลือกเค้กตามปกติ กระทั่งเงยหน้าขึ้น...
เคร้ง!
ใบหน้าของผู้ที่แบคฮยอนไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะได้เจอที่นี่ ส่งผลให้มือเล็กปล่อยจานเค้กตกลงพื้นแตกกระจาย เสียงดังจนลูกค้าคนอื่นๆพากันตกใจ หันมามองเกือบทั้งร้านทว่าสายตาแบคฮยอนสนใจมองอยู่แค่คนๆเดียวเท่านั้น
คนเดียวที่กำลังยืนทำหน้าดุดันอยู่ตรงหน้า มีเพียงเคาน์เตอร์บาร์คั่นกลางระหว่างพวกเขา
“ต้องให้เข้าไปลากตัวออกมาหรือจะออกมาเองดีๆ” น้ำเสียงเย็นยะเยือกพาลให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว แบคฮยอนถอดผ้ากันเปื้อนออกช้าๆอย่างว่าง่าย สองมือชื้นเหงื่อเช็ดลงที่ขากางเกงสแล็คของตัวเอง ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ปั้นหน้าไม่ถูก เหมือนมีของหนักมาตีที่หัว แต่ก็ยังพอมีสติหันไปค้อมหัวขอโทษนัมจูฮยอกและพี่กงจูที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังร้าน
คนตัวเล็กค่อยๆเดินอ้อมออกมาจากหลังเคาน์เตอร์เพื่อเข้าไปหาคนตัวสูง อารมณ์ตอนนี้มันยิ่งกว่าถูกพ่อเฒ่าจับได้ว่าแอบไปทำตัวเกเรที่ไหนมาซะอีก…มองหน้าชานยอลไม่ติดเลย แล้วก็ไม่กล้ามองตรงๆด้วย
“คุณสองคนเป็นเจ้าของร้านนี่ใช่มั้ย” แบคฮยอนเห็นพี่กงจูลอบกลืนน้ำลายก่อนจะให้คำตอบชานยอลแล้วก็รู้สึกผิด อยากออกตัวช่วยแต่คิดว่าตอนนี้ตัวเองอยู่เงียบๆน่าจะดีที่สุด
“ค่ะ ฉันเป็นเจ้าของคาเฟ่นี่เอง”
“ถ้างั้นต้องขอโทษด้วยนะครับที่นับจากนี้ไปพวกคุณจะต้องหาพนักงานใหม่มาทำหน้าที่แทนเด็กคนนี้”
“….”
“หวังว่าจะไม่มีการเซ้าซี้หรือเกลี้ยกล่อมให้คนของผมกลับมาทำอีกนะครับ” ชานยอลบอกเสียงนิ่ง “หรือหากเด็กคนนี้อยากมาทำเองก็กรุณาอย่ารับเข้าทำงานอีก”
“ทำไมล่ะครับ แบคฮยอนออกจะชอบ...”
“แต่ผมไม่ชอบ” ชานยอลสวนคำเด็กหนุ่มนักกีฬาตัวสูงทันที ตวัดตามองด้วยสีหน้าไม่พอใจ ซึ่งคงมีแค่คนตาบอดเท่านั้นที่จะมองไม่ออก “ไม่ชอบให้ใครหน้าไหนมาจ้องแฟนตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกแบบไหนก็ตาม”
“แฟน?”
“หวังว่าคุณจะเข้าใจ” ชานยอลคว้ามือแบคฮยอนแล้วกระตุกให้เข้ามายืนใกล้ๆ “แบคฮยอนไม่ได้ตัวเปล่า มีแฟนแล้ว และแฟนก็หวงมากด้วยเพราะฉะนั้นอย่ายุ่งกับเขาอีก”
ปาร์คชานยอลลากแขนแบคฮยอนออกมาที่รถตัวเองไม่พูดไม่จา หน้าตาดุดันไม่เป็นมิตรต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และยิ่งมีเสียงของใครบางคนดังไล่หลังเพื่อหาเรื่องอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลาใบหน้าหล่อยิ่งน่ากลัวเพิ่มขึ้น
“เป็นแฟนหรือเป็นพ่อกันแน่ ถึงได้ทำตัวควบคุมชีวิตคนอื่นเค้าไปทั่ว”
“ไปให้พ้น” ชานยอลดันร่างแบคฮยอนให้เข้าไปนั่งในรถ
“จะว่าไปจมูกก็ไวดีนี่ ตามกลิ่นเก่งยิ่งกว่าหมาตำรว..ผลัวะ!!!”
“ชานยอล!” แบคฮยอนเบิกตาด้วยความตกใจ เห็นชานยอลซัดหมัดหนักๆเข้าที่มุมปากแอลเต็มๆ กำลังจะลุกออกมาดูแต่ชานยอลเอาแขนมากั้นระหว่างประตูไว้จึงลุกออกมาไม่ได้ ได้แค่ชะเง้อหน้ามองคนเจ็บอยู่ในรถด้วยความเป็นห่วง…ห่วงชานยอลด้วย ไม่นึกว่าจะฟิลขาดถึงขั้นลงไม้ลงมือกับใครได้
“ถ้ายังไม่หยุดทำตัวน่ารำคาญนายโดนหนักกว่านี้แน่”
“เฮอะ วันก่อนก็กันท่าคนพี่ วันนี้มาทำตัวเป็นหมาบ้าหวงก้างคนน้อง โลภจริงๆเลยว่ะ”
“ไปเห่าหอนที่อื่น”
“เตือนด้วยความหวังดีนะแบคฮยอน สิ่งที่หมอนี่แสดงออกกับนายไม่ได้ต่างอะไรจากที่เคยทำกับซอรินเลย คำพูดสวยหรูน่ะอย่าไปเชื่อมาก บางครั้งมันก็มีพิษยิ่งกว่าคำหยาบคายของใครหลายคนซะอีก”
“หมัดเมื่อกี้ยังเบาไปใช่มั้ย”
“คิดว่าใหญ่คับฟ้ามาจากไหน ฉันเอารอยแผลบนหน้าไปเป็นหลักฐานแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายยังได้ คนหน้าบางอย่างนายคงไม่อยาก…”
“เชิญ! จะไปฟ้องพ่อหรือจะไปแจ้งความขึ้นโรงขึ้นศาลที่ไหนก็เชิญ ฉันจะสละเวลาไปเคลียร์กับพวกชีวิตไม่มีสาระอย่างนายให้..ด้วยความเวทนา” ชานยอลปิดประตูรถฝั่งของแบคฮยอนแล้วเดินเข้าไปกระแทกไหล่เพื่อนเก่าก่อนจะอ้อมขึ้นไปนั่งฝั่งคนขับ หักพวงมาลัยรถเข้าสู่ถนนจนเสียงยางหวีดดังอย่างไร้ความนุ่มนวล
เอี๊ยดด!
คนตัวเล็กเกือบหัวโขกเข้ากับคอนโซลรถเพราะแรงเบรคที่คนขับเป็นคนกระทำ ตาเรียวรีพยายามเสมองความมืดด้านนอก ไฟจราจรสีแดงด้านหน้าหลายร้อยวินาที รถคันอื่นๆ สภาพแวดล้อมต่างๆรอบตัว อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ใบหน้าน่ากลัวของคนข้างๆ
ไม่มีเสียงเพลงเปิดคลอ มีแต่ความเงียบ เสียงแอร์ และเสียงหายใจหนักๆของคนขับรถเท่านั้นที่แบคฮยอนได้ยิน มันดังยิ่งกว่าเสียงลมหายใจของตัวเองเสียอีก
“คุณยายรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”
แบคฮยอนกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ หันหน้าไปมองคนถาม ซึ่งอีกคนไม่ยอมมองมาเลย “ย ยังไม่มีใครรู้”
“ที่บอกว่ามีซ้อมวิ่งตอนเย็นก็คำโกหกทั้งนั้นสินะ”
“ผมกลัวบอกไปแล้วทุกคนจะดุก็เลย..”
“แล้วให้รู้ทีหลังมันต่างกันตรงไหน!” แบคฮยอนสะดุ้งโหยง นั่งก้มหน้าบีบมือบนหน้าตักตัวเองไปมา “นายไม่แคร์คำพูดฉันเลย”
“ไม่ใช่อย่างนั้นชานยอล”
“ไม่ใช่แล้วยังไง นายแอบมาทำงานทั้งที่ฉันเคยห้าม แล้วยังกล้าโกหกผู้ใหญ่”
“…”
“วันก่อนโกหกว่าอยู่กับเพื่อนที่ชื่อคิมจงแดทั้งที่นายไปนั่งกินข้าวกับมัน”
“ชานยอลรู้” แบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ ขอบตาร้อนผ่าว มือสั่นพร่าไปหมด
“และวันนี้นายก็ไปดูหนังกับมันมา”
“ผม..”
“เห็นฉันเป็นคนโง่หรือไง! ปึก!!” คนตัวสูงทุบพวงมาลัยรถด้วยแรงโทสะ พาลเอาแบคฮยอนสะดุ้งโหยงอีกรอบ น้ำตาร่วงเผาะลงมาเพราะความกลัวจับใจ “ไม่รู้หรือไงว่าฉันกับมันเป็นยังไง ไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเองอย่างน้อยก็นึกถึงใจฉันบ้างสิ!”
“แต่พี่แอลไม่ได้ร้ายกับผมนะ เค้า..”
“ไม่เคยรู้ประวัติมันน่ะสิถึงพูดแบบนี้”
“ผมรู้ ผมรู้ว่าพี่เค้าเคยทำผิด แต่กับผมพี่เค้าไม่ได้ทำตัวแย่ๆ กลับดูแลดีด้วยซ้ำ”
“อย่าทำให้ฉันต้องโมโหไปมากกว่านี้แบคฮยอน อย่าเรียกมันว่าพี่แล้วก็ไม่ต้องชมเรื่องของมันให้ฉันได้ยิน”
“ทั้งที่เรื่องมันผ่านมาหลายปีแล้วแต่ชานยอลก็ยังฝังใจ ทั้งๆที่มันก็แค่เรื่องๆเดียวแต่ก็ทำ ชานยอลตัดเพื่อนกับพี่แอลได้…ซอรินคงสำคัญกับชานยอลมากเลยสินะ”
“ถ้าจะเอาเรื่องซอรินมาโยงให้ทะเลาะกันมากขึ้นก็หยุดเถอะ”
“ผมลืมไปว่าใครก็แตะต้องซอรินของชานยอลไม่ได้”
“นายคงฟังหมอนั่นเสี้ยมมาเยอะไปแล้วล่ะ ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรก็ให้นั่งทบทวนตัวเองไปจนกว่าจะรู้ โตแล้วนะ เลิกทำตัวเป็นเด็กๆซักที” แบคฮยอนหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างรถ ปาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุดด้วยความรู้สึกหลากหลาย ในใจมันมีเรื่องราวอัดแน่นเต็มไปหมด อึดอัดจนทรมานแต่ยังพยายามเก็บมันไว้
อะไรๆในตอนนี้มันดูแย่ไปหมด น่าเหนื่อยใจจนแบคฮยอนเลือกปิดเปลือกตาหนีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ขอรับรู้อะไร แม้แต่การมีปาร์คชานยอลอยู่ข้างๆ
คนตัวเล็กรู้สึกตัวตื่นอีกทีพร้อมกับแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่ เขาอยู่ในอารมณ์ตกใจเพราะเท่าที่จำได้คือตัวเองนั่งหลับในรถของชานยอล แต่ไม่รู้ว่าหลับลึกขนาดไหนกันถึงรู้สึกตัวเอาอีกวันแบบนี้ได้
แบคฮยอนรีบลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะใกล้ถึงเวลาที่ต้องออกไปเรียนแล้ว เขาจัดการทุกอย่างได้รวดเร็วเพราะเป็นคนค่อนข้างทำอะไรไว
ก่อนออกจากบ้านคุณท่านเรียกให้ไปนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน และเพิ่งมารู้เอาตอนนั้นว่าเมื่อคืนชานยอลเป็นคนอุ้มเขาขึ้นไปส่งบนห้องนอน
เกือบจะดีใจในความใจดีนั้นอยู่แล้ว ถ้าต่อมาคุณท่านไม่เอ่ยถึงเรื่องที่แบคฮยอนโกหกว่ามีซ้อมวิ่งตอนเย็นทั้งที่ความจริงแอบไปทำงานพาทไทม์ขึ้นมา ชานยอลฟ้องผู้ใหญ่จนหมดเปลือก และเช้านี้แบคฮยอนก็ถูกเทศนาระหว่างมื้ออาหารเรียบร้อย
เข้าเรียนตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือวันนี้ไม่มีสมาธิฟังอาจารย์มากกว่าทุกวัน จดจ่ออยู่แต่หน้าจอโทรศัพท์ รอว่าเมื่อไหร่จะมีแจ้งเตือนของคุณชายปาร์คคนโตเข้ามา ซึ่งก็เงียบสนิท
เมื่อเช้าแบคฮยอนพยายามติดต่ออีกฝ่ายหลายหนแล้วแต่ไม่ได้เลย ทั้งที่อุตส่าห์ยอมง้อก่อนแท้ๆ แต่ชานยอลก็หายเงียบ…ท่าทางครั้งนี้คงโกรธจริงๆ
พอเลิกเรียนแบคฮยอนเลยตั้งใจว่าจะไปหาตัวชานยอลที่คณะบริหารฯ แต่เพราะเซฮุนบอกว่าพี่ชายตัวเองน่าจะอยู่ที่ชมรมขี่ม้าโปโลมากกว่า เนื่องจากวันนี้มีตรวจสุขภาพม้าและเซฮุนก็ต้องไปเหมือนกัน แบคฮยอนเลยถือโอกาสตามไปด้วย
ตอนเซฮุนเอารถไปจอดแบคฮยอนแอบเห็นรถคันสีเหลืองที่จำได้แม่นว่าเป็นของซอรินอยู่ที่ลานจอดเหมือนกัน พยายามจะไม่คิดอะไรมาก ไม่อยากแสดงอาการว่าไม่โอเคออกไปให้เพื่อนเห็น แค่นี้เซฮุนก็เป็นห่วงจะแย่แล้ว ถามแบคฮยอนตลอดว่ามีปัญหาอะไร ซึ่งเขาตอบแค่ว่าทะเลาะกันนิดหน่อยแต่ไม่ได้เล่ารายละเอียด
สองเพื่อนสนิทแยกทางกันบริเวณคอกม้าชั่วคราว เพราะคนหนึ่งต้องไปดูม้าของตัวเอง ส่วนอีกคนต้องเดินไปตามหาบุคคลเป้าหมาย ซึ่งรู้พิกัดมาจากสมาชิกชมรมซักคนที่แบคฮยอนไม่รู้จัก แต่เขาคนนั้นบอกเซฮุนว่าประธานชมรมอยู่คอกม้าด้านในสุด แบคฮยอนจึงต้องเดินมาตามทางที่ได้ยิน
‘ซอรินรักชานยอลนะ’
เสียงหวานดังขึ้นในจังหวะที่แบคฮยอนก้าวเข้ามาเจอตัวปาร์คชานยอลพอดี ความรู้สึกปวดชาราวกับถูกไฟฟ้าช็อตร่างเกิดขึ้นทันทีที่ภาพหญิงชายสองคนกำลังกอดกันแนบแน่นปรากฏอยู่ตรงหน้า
น้ำตาหนึ่งเม็ดหยดลงบนแก้มง่ายดายเพียงแค่ผู้ชายตัวสูงคนนั้นเลื่อนสายตามาเห็นเขาเข้าเหมือนกัน…แบคฮยอนมองชานยอลด้วยแววตาเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจหันหลังให้กับภาพบาดตาบาดใจทุกอย่าง
“แบคฮยอน!”
เสียงเรียกจากชานยอลเสมือนตัวเร่งให้ฝีเท้าของแบคฮยอนทำงานเร็วขึ้น แต่เหมือนจะยังช้ากว่าช่วงขายาวๆที่ตามเข้ามาได้ทันในเวลาแค่ไม่กี่วินาที
“อย่าเข้าใจผิดสิ” มือใหญ่คว้าหมั่บเข้าที่ข้อมือเล็ก
“ปล่อยผม”
“อย่างน้อยก็ถามซักคำว่าก่อนหน้านี้เป็นยังไง”
“ผมไม่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับชานยอลแล้วก็…” ดวงตาคู่เล็กมองไปด้านหลังของชานยอล ชองซอรินยืนอยู่ตรงนั้น “ผมไม่อยากรับรู้เรื่องพวกคุณอีกแล้ว รู้แล้วล่ะว่ารักกันมาก รู้แล้วว่าในใจพวกคุณเป็นยังไง”
“ต้องให้ทำยังไงนายถึงจะยอมเชื่อว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอ”
“เลิกยุ่งกันได้มั้ยล่ะ ทำให้ได้เหมือนที่ชานยอลห้ามให้ผมเข้าใกล้ใครต่อใคร”
“ที่ฉันห้ามนายไม่ให้ยุ่งกับมันเพราะเป็นห่วง แอลไม่ใช่คนที่ไว้ใจได้ ที่มันเข้าหานายทุกวันนี้ก็เพื่อจะปั่นหัวฉัน”
“ผมไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ใครจริงใจหรือไม่จริงใจกับผมกันแน่ แม้แต่ชานยอล”
“ว่าไงนะ”
“ในสายตาชานยอลพี่แอลเป็นยังไง ในสายตาผมซอรินก็ไม่ต่างกันหรอก ครั้งหนึ่งเธอเคยทำผมเกือบตายมาแล้ว และชานยอลก็เป็นคนปกป้องเธอด้วย ไม่ยอมให้ผมบอกคุณท่านแถมยังออกรับแทน ฮึก..เห็นผมเป็นพวกไร้ความรู้สึกใช่มั้ย”
“ไปกันใหญ่แล้ว เมื่อไหร่นายจะมองเจตนาของฉันถูก ฉันพยายามใจเย็นแต่นายก็ยังเอาแต่ใช้อารมณ์ไม่ยอมฟังเหตุผล นายไม่ยอมโตขึ้นเลยแบคฮยอน”
“แล้วชานยอลคิดว่าโลกหมุนรอบตัวเองหรือไง ถึงมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น ขณะที่ตัวเองทำอะไรก็ถูกไปหมด!”
“นายกำลังจะทำให้ฉันโมโห”
“ใช่ ผมมันไม่ยอมโต ผมมันนิสัยเด็ก รู้ว่าผมไม่มีอะไรดีแล้วมาชอบทำไม ไปชอบคนที่ดีกว่าผมสิ ไปอยู่กับเธอนู่นไม่ต้องมาใกล้ผมอีก!” คนตัวเล็กสะบัดข้อมือออกจากฝ่ามือใหญ่
“ถ้าเธอคือคนที่ตรงสเป็คตั้งแต่แรกก็ไม่ควรทำให้เรื่องของเรามันเกิดขึ้น”
“พอซักที หยุดเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นได้แล้ว”
แบคฮยอนส่ายหน้า
“ผมจะไม่หยุดจนกว่าชานยอลจะบอกว่าเลือกใคร”
“งี่เง่าแล้วนะ มันไม่ใช่สิ่งที่ควรเอามาให้เลือก ถ้าฉันถามนายบ้างว่าระหว่างฉันกับเซฮุน ระหว่างฉันกับคุณยาย ระหว่างฉันกับครอบครัวของนายนายจะเลือกใคร ทำได้หรือเปล่า สถานะของแต่ละคนมันต่างกัน มันเอามาเทียบหรือเลือกให้ระดับความสำคัญไม่ได้”
“แล้วถ้าผมบอกว่าผมทนอยู่ด้วยความรู้สึกอึดอัดแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ”
“…”
“ผมเหนื่อยที่ต้องคิดไปเอง ถ้าชานยอลเลือกไม่ได้ผมจะเป็นคนเลือกให้…ผมไปเอง ชานยอลกับซอรินสนิทกันมานานตัดให้ตายยังไงก็คงไม่ขาด ส่วนผมมาทีหลัง มาตัวคนเดียวและไม่ได้มีค่าอะไร หายไปซักคนก็ไม่มีใครเดือดร้อน”
“แบคฮยอน”
“ผมไม่เหมาะกับชานยอลหรอก อย่าคบกันต่อเลย” แบคฮยอนวิ่งปาดน้ำตาออกไปโดยไม่รอฟังความเห็นใดๆจากชานยอลทั้งสิ้น ร้อนให้คนตัวสูงต้องวิ่งตามไปอีกครั้ง
ความเสียใจกำลังบดบังทุกสิ่งไม่เว้นแม้แต่ดวงตา คนตัวเล็กวิ่งออกไปโดยที่ไม่สนใจจะระวังตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทะเล่อทะล่าวิ่งออกไปกลางถนน
“แบคฮยอนระวัง!”
เอี๊ยดดดดดดดด!!
เสียงเบรคดังสนั่น สร้างความตกใจให้กับผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้ๆ โดยเฉพาะชานยอลที่ยืนมองเหตุการณ์และแบคฮยอนที่เกือบถูกรถชน
คนตัวเล็กยืนอึ้ง ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ขณะที่ชานยอลกำลังเดินเข้าไปหาและเจ้าของรถก็กำลังเปิดประตูลงมาดู
“เป็นอะไรมั้ย”
“พี่แอล” ความบังเอิญมีอยู่จริง เจ้าของรถคันที่เกือบชนแบคฮยอนคือแอล ชายหนุ่มทำสีหน้าไม่สู้ดี พอๆกับชานยอลที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“วิ่งออกมาตัดหน้ารถฉันทำไม เกือบตายละ..”
“ขอผมติดรถไปด้วยคนนะ”
“เดี๋ยว..เฮ้!” แอลเรียกไว้ไม่ทัน แบคฮยอนถือวิสาสะวิ่งไปเปิดประตูรถเข้าไปนั่งด้านในแล้ว เหลือไว้แต่ตัวเขาที่ยืนเคว้งอยู่ด้านนอก กับชานยอลที่เกือบเดินเข้ามาประชิดตัวทว่าแอลไหวตัวขึ้นรถทัน
กระจกรถฝั่งคนขับค่อยๆเลื่อนลงเพื่อดูหน้าอดีตเพื่อนรักชัดๆ เมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังยืนมองด้วยสีหน้าแบบไหนอยู่รอยยิ้มมุมปากก็ผลุดขึ้นมาด้วยความรู้สึกสนุก ยักไหล่กวนประสาทให้เป็นการทิ้งท้ายแล้วค่อยกดปิดกระจก พร้อมกับขับรถออกไป
#ficmysscb
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ยึดกับตัวเอง
มันเลยไม่เข้าใจกัน
อ่านรอบสองแล้ว555555555