ตอนที่ 24 : Shining XXIII : Our love has blossomed
Shining XXIII
(อ่านแชปนี้จบ ฝากอ่านทอล์คหน้าถัดไปต่อด้วยน๊า)
“กู๊ดมอนิ่ง แบคฮยอน”
คำทักทายที่แบคฮยอนได้ยินบ่อยจนคุ้นหูดังมาพร้อมการปรากฏตัวของเพื่อนรัก ปาร์ค เซฮุน “อาจารย์ยังไม่เข้าอีกหรอ” เด็กหนุ่มวางกระเป๋าลงบนโต๊ะเลคเชอร์ตัวที่ติดกับของแบคฮยอน ตามด้วยการหย่อนตูดนั่งลง
“ยังเลย” แบคฮยอนวางมือจากดินสอ ก่อนหน้าเซฮุนจะมาถึงเขานั่งขีดๆเขียนๆวาดรูปฆ่าเวลาเล่นไปตั้งหลายหน้ากระดาษแหน่ะ “อดนอนมาหรอ ทำไมหน้าเป็นงั้น” ใต้ตาเพื่อนดำคล้ำ ใบหน้าดูอิดโรยแถมยังตาแดงๆเหมือนใกล้จะหลับเต็มทีด้วย
“นิดหน่อย เมื่อคืนไปดื่มกับพี่จงอินมา”
“ดื่มอีกแล้วหรอ”
“ไม่กี่ขวดเอง แล้ว..” เซฮุนมองมาที่คอของแบคฮยอน วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่คนตัวเล็กต้องสวมเสื้อแขนยาวแล้วรูดซิบขึ้นปิดจนถึงใต้คาง “เมื่อวานได้เคลียร์กับเจ้าของรอยบ้างยัง”
“เรา..” พอถูกถามถึงเจ้าของรอย สองแก้มน้อยก็แดงปลั่งขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด นัยน์ตาไหวระริกเหมือนกับมือทั้งคู่ที่เริ่มอยู่ไม่นิ่ง แคะแกะเกาตั้งแต่โต๊ะยันใบหน้าของตัวเอง ออกอาการเขินอายชัดเสียจนเพื่อนที่นั่งง่วงอยู่ข้างๆต้องเลิกคิ้วมองอย่างงุนงง
“มีอะไรหรอ แก้มแดงเป็นสีลูกพีชเชียว”
“ปละ เปล่า”
“เคลียร์กันแล้วล่ะสิ”
“อืม ก็..เคลียร์แล้วนะ” ตอบพลางเบือนสายตาหนีไปทางอื่น ถึงเซฮุนจะหน้าไม่เหมือนชานยอลแต่มองไปนานๆแล้วก็ทำให้นึกถึงได้ พอนึกถึงแล้วแบคฮยอนก็ต้องเขินสิ เขินมาตั้งแต่เมื่อคืนจนตอนนี้ก็ยังไม่หาย ใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะตลอดเวลา หน้าก็ร้อนผะผ่าวขึ้นทุกครั้งที่เสียงทุ้มๆและคำพูดของคุณชายปาร์คคนนั้นดังเข้ามารบกวนสมองซ้ำๆ
จะว่ายังไงดี..จนถึงตอนนี้แบคฮยอนยังคงรู้สึกเหมือนตัวเองแค่ฝันไปอยู่เลย ทุกอย่างมันดูน่าเหลือเชื่อไปหมด เกิดมาเกือบยี่สิบปีเพิ่งเคยมีความรู้สึกแบบนี้ครั้งแรก เพิ่งเคยมีความรัก เพิ่งเคยมีแฟน เพิ่งเคยถูกจูบ แล้วก็เพิ่งเคยถูกแสดงความรักในรูปแบบที่ไม่เคยได้รับมาก่อน เมื่อคืนเขากับชานยอลนอนโซฟากันคนละฝั่งทว่ามือจับกันอยู่ตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายหลับไปตอนไหน รู้แต่ว่าตัวเองนอนอมยิ้มใจเต้นแรงท่ามกลางความเงียบและแสงสลัวเกือบทั้งคืน กว่าจะผล็อยหลับไปได้ก็เกือบเช้ามืดแล้วมั้ง
มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีเมื่อก่อนนอนเราได้เห็นหน้าคนที่ตัวเองชอบเป็นคนสุดท้าย ตื่นขึ้นมาก็ยังได้เห็นเขาเป็นคนแรกอีก แบคฮยอนมีความสุข แล้วยิ่งสุขที่สุดก็ตอนก่อนออกมาเรียนได้เห็นว่าพ่อเฒ่าขยับตัวตื่นขึ้นมาแล้ว
น้ำตาเขาไหลไม่ต่างจากตอนเห็นหน้าแม่ครูครั้งแรกในรอบหลายเดือนเช่นเมื่อวาน เขาทันได้โผเข้ากอดพ่อ ได้มีโอกาสคุยด้วยแค่สั้นๆเนื่องจากคนป่วยยังอ่อนเพลียและต้องให้หมอตรวจร่างกายต่อ แต่แบคฮยอนก็ไม่ได้กังวลใดๆ กลับสามารถออกมาเรียนได้อย่างสบายใจเมื่อคยองซูและแม่ครูมาผลัดเวรเฝ้าพ่อเฒ่าต่อจากเขาได้อย่างพอดิบพอดี
เขานั่งรถมาเรียนพร้อมปาร์คชานยอล โชคดีที่มีเรื่องของพ่อเฒ่าให้ใช้เป็นหัวข้อการสนทนากันระหว่างทาง รถจึงไม่เงียบจนเกินไปนักและเขาก็ไม่ต้องเขินหนักกับบรรยากาศแปลกใหม่จนถึงขั้นมองหน้าอีกฝ่ายไม่ติดอย่างเมื่อคืน
มันค่อนข้างวางตัวลำบาก เขาไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไงเมื่อถูกเลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นแฟนของคุณชายสุดเพอร์เฟคในช่วงเวลาชั่วข้ามคืนแบบนี้ แต่ชานยอลก็บอกเขาตลอดว่าให้ทำตัวตามปกติ เป็นในสิ่งที่ตัวเองเคยเป็น
ซึ่งมันทำกันได้ง่ายๆเสียที่ไหนล่ะ
แค่ชานยอลเดินเข้ามาโอบไหล่แบคฮยอนก็ตัวสั่นเป็นลูกนกแล้ว ไหนจะการพาไปทานมื้อเช้าก่อนขับรถมาส่งถึงหน้าคณะนี่อีก เขาไม่ชินที่อีกฝ่ายตักอาหารให้ ไม่ชินสายตาที่อีกฝ่ายใช้มอง ไม่ชินแม้กระทั่งรอยยิ้มอบอุ่นที่แย้มให้เขานับครั้งไม่ถ้วน มันสดใสยิ่งกว่าอากาศในเช้าวันนี้เสียอีก มันน่าเขินพอๆกับรสจูบเมื่อคืนเลย มันดีมาก...ดีจนแบคฮยอนอดพูดขอบคุณอีกฝ่ายอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ได้
“เหม่ออะไรเหรอแบคฮยอน”
“..!” แบคฮยอนสะดุ้งเมื่อเสียงของเพื่อนดังขึ้นถามอยู่ชิดใบหู ตอนหันหน้าไปมองปลายจมูกของเซฮุนเกือบโดนแก้ม ดีที่ว่าต่างฝ่ายต่างผละหน้าออกจากกันได้ทัน
“สามครั้งได้ที่เราเรียกแล้วแบคฮยอนไม่ได้ยิน”
“อ๋า..โทษทีๆ”
“มีอะไรอีกหรือเปล่า”
“ฮ้ะ”
“เมื่อวานเราไม่ได้กลับบ้าน มีอะไรเกิดขึ้นอีกแน่เลยใช่มั้ย” เซฮุนหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ แบคฮยอนรู้ว่าตัวเองเก็บอาการไม่ค่อยเก่ง ซ่อนความรู้สึกไม่เคยมิดโดยเฉพาะกับคนสนิท ก็อยากเล่าให้เพื่อนฟังนะ แต่เรื่องสถานะใหม่ระหว่างเขากับชานยอลมันเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง แบคฮยอนยังไม่มั่นหน้ามากพอที่จะเล่าให้ใครต่อใครเค้าฟังตอนนี้หรอก
“เราเจอพ่อเฒ่ากับแม่ครูแล้ว”
ถ้าเรื่องนี้สิว่าไปอย่าง
“จริงหรอ”
“อื้ม แต่ตอนนี้พ่อเฒ่าไม่สบายนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลนะ เมื่อคืนเราก็ไปนอนเฝ้าท่านมา”
“ไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ย”
“ฟื้นแล้ว เดี๋ยวคาบว่างตอนบ่ายเราจะไปเฝ้าท่านต่อ เซฮุนอยากไปเยี่ยมท่านกับเราหรือเปล่า”
“เอาสิ” เซฮุนรีบรับคำทั้งที่หน้ายังติดง่วงสุดๆ น้ำเสียงฟังดูกระตือรือร้นถ้าเป็นตอนรู้จักกันใหม่ๆแบคฮยอนคงหลงเชื่อสนิทใจ แต่เพราะอยู่ด้วยกันมาหลายเดือนแล้ว สภาพนี้เซฮุนไม่ไหวหรอก…แบคฮยอนดูออก
“กลับไปนอนพักที่บ้านซักงีบก่อนแล้วค่อยตามเราไปก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไร ไปด้วยกันแบคฮยอนจะได้มีคนขับรถให้ด้วยไง” แบคฮยอนเอียงคอมองหน้าเพื่อนแล้วยิ้มทะเล้นถาม
“เราขึ้นรถโดยสารเก่งแล้วไม่รู้หรอ”
“นัดใครไว้แล้วมากกว่ามั้ง”
“หมายถึงชานยอลเปล่า”
“….”
“วันนี้ชานยอลก็จะตามเราไปทีหลัง เห็นบอกตอนบ่ายติดธุระจะตามไปเย็นๆ”
“สนิทกันจัง”
“เหมือนที่เราสนิทกับเซฮุนเลย”
“ไม่ต้องพยายามปลอบใจเราหรอก”
“ถ้าเปรียบชานยอลเป็นแขนขวา เราก็จะให้เซฮุนเป็นแขนซ้ายนะ ถึงไม่ถนัดแต่ก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน”
“ใครสั่งใครสอนให้พูดจาแบบนี้”
“น่ารักใช่มั้ยล่า” เซฮุนยื่นมือออกไปขยี้ผมของเพื่อนจนยุ่งฟูไปหมดเพราะอดไม่ได้ “งั้นๆแหละ ไม่ต้องมายิ้มให้หรอก คราวนี้เราไม่หวั่นไหว”
“งั้นเราหุบยิ้มก็ได้” แบคฮยอนเปลี่ยนมาตีหน้าขรึมพลางทำตาขวางใส่เพื่อนเล่นๆ ทำเอาเด็กหนุ่มต้องหลุดยิ้มตามในที่สุด ก่อนใช้มือข้างเดียวของตัวเองบีบแก้มนิ่มทั้งสองข้างของแบคฮยอนแล้วจับส่ายไปมาอย่างมันเขี้ยว
แบคฮยอนนะแบคฮยอน หักอกคนอื่นเค้าแล้วยังมาทำตัวน่ารักใส่แบบนี้อีก ใช้ไม่ได้เลย “งั้นเราจะกลับบ้านไปงีบเอาแรงก่อนแล้วค่อยตามไปตอนเย็นพร้อมพี่ชานยอลนะ”
ต่อให้ไม่ใช่คนที่ถูกเลือก เซฮุนก็ยังตกเป็นทาสความน่ารักของเพื่อนคนนี้อยู่ดี…พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมกับเขาเลยจริงๆ
แบคฮยอนเดินออกจากลิฟต์ของชั้นแผนกอายุรกรรม เขามาพร้อมถุงพลาสติกในมือสองถุง ในนั้นมีทั้งอาหารกลางวันสำหรับตัวเองและมีเผื่อแผ่ไปจนถึงครอบครัวด้วย นอกจากนั้นแล้วยังมีขนมปังเนื้อนิ่มกับผลไม้อีกเล็กๆน้อยๆที่แวะซื้อมาหลังจากเลิกเรียน
รอยยิ้มเป็นมิตรคอยแจกจ่ายให้กับเหล่าพี่ๆพยาบาลชุดขาวซึ่งนั่งเข้าเวรทำงานกันอยู่ตรงเคาน์เตอร์ที่เดินผ่าน และเมื่อมาถึง กำปั้นเล็กเคาะลงบนประตูห้องพ่อเฒ่าอยู่สองสามทีก่อนจะเปิดเข้าไปด้านใน
หากไม่นับรวมใบหน้าของคนในครอบครัว สิ่งที่สามารถทำให้แบคฮยอนสะดุดตาได้มากที่สุดคงเป็นบรรดากระเช้าของเยี่ยมไข้นับสิบกระเช้าบนโต๊ะใกล้โทรทัศน์นั่น
“ใครมาเยี่ยมพ่อเฒ่าอ่ะ ทำไมของเยอะจัง”
“ไม่มีมารยาท” แบคฮยอนสะดุ้งโหยง เสียงของคนเป็นพ่อยังคงเข้มและดังเสมอต้นเสมอปลายจนเขาต้องรีบชักมือกลับทันที อดจับกระเช้าของเยี่ยมหน้าตาราคาแพงแถมยังหันมาเจอสายตาโหดๆชวนขนลุกขนพองอีก
“แห่ะๆ ห้ามแตะสินะ” แบคฮยอนขยับเท้ามาหยุดยืนบริเวณปลายเตียงของพ่อเฒ่า ยิ้มแหยขณะสบตากับผู้ใหญ่...ไม่เจอกันเกือบครึ่งปีหน้าพ่อเฒ่ายังดุเหมือนเดิม ผมยังขาวทั้งหัวเหมือนเดิม ริมฝีปากและผิวยังดูแห้งกร้านเหมือนเดิม มีก็แต่รูปร่างล่ะมั้งที่เปลี่ยนไป…พ่อเฒ่าของแบคฮยอนซูบผอมลงไปเยอะเลย
“อย่าใช้สายตามองกดดันผมงั้นสิ ผมยังไม่ทันได้แตะมันเลยจริงๆ สาบาน” แบคฮยอนยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาชูสามนิ้วให้พ่อดู “แถมยังซื้อขนมมาฝากทุกคนด้วย” ตามด้วยอีกข้างที่เอาไว้ใช้ชูถุงของกิน
“ไม่เจอกันกี่เดือน”
“ห้าเดือนได้”
“ตั้งใจเรียนหนังสือบ้างหรือเปล่า”
“ในหนึ่งอาทิตย์ผมไปเรียนเกือบทุกวันนะ”
“แล้วเรียนหนังสือมาแบบไหนถึงไม่รู้จักมารยาท”
“อุ่ย..ผมยังไม่ได้แตะมันเลยพ่อเฒ่า”
“จะแตะก็ไม่ได้ว่า แต่เอ็งเข้ามาในห้องเนี่ยได้ทำความเคารพข้าบ้างหรือยัง แม่ครูที่นั่งหัวโด่อยู่ที่โซฟานั่นเห็นหรือเปล่า”
“งื้ออออ” แบคฮยอนรีบอ้อมเตียงไปโผเข้ากอดคนป่วยที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนทำหน้าโหดใส่ไม่เลิก ได้ยินเสียงของพ่อโวยวายว่าเจ็บแขนข้างที่ต่อสายน้ำเกลือแต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อย แค่คลายอ้อมกอดให้หลวมขึ้นแล้วผละออกมามองหน้าอีกฝ่ายในระยะใกล้ด้วยแววตาแห่งความคิดถึง
“ดุจนหัวหงอกหมดแล้ว”
“ไอ้นี่หนิ ว่าแล้วยังไม่ยอมทำอีก” แบคฮยอนหอมแก้มพ่อไปหนึ่งฟอดใหญ่ก่อนจะผละตัวออกมายืนค้อมหัวให้ท่านจนหน้าผากเกือบชิดขา ตามด้วยแม่ครูซึ่งนั่งแกะส้มใส่จานอยู่ข้างๆคยองซูที่กำลังปอกเปลือกแอปเปิ้ลผลใหญ่
“ทำแล้ว..ห้ามดุผมด้วย ไม่งั้นผมจะแหกปากร้องไห้ให้ลั่นโรงพยาบาลเลยคอยดู” ว่าแล้วดึงเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้ๆเตียง วางถุงของกินไว้บนโต๊ะข้างๆพลางยื่นตัวไปสวมกอดเอวพ่อต่อ “คิดถึงที่สุดในโลกกก”
“โตจนหมาเลียก้นจะไม่ถึงอยู่แล้วยังมาอ้อนข้าเป็นเด็กอีก” ถึงจะว่าแบบนั้นทว่ามือหยาบกลับลูบศีรษะทุยด้วยความรักความเอ็นดู
“คิดถึง”
“….”
“ผมคิดถึงพ่อเฒ่า”
“ข้ารู้แล้ว”
“คิดถึงทุกวันเลย ฮึก..อยากกอด อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้าใกล้ๆแบบนี้…อยากให้พ่อเฒ่ากับแม่ครูลูบหัวผมก่อนนอนทุกวันเหมือนเมื่อก่อนด้วย”
“เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าเป็นลูกข้าต้องทำยังไง”
“ฮื่อ..”
“ต้องอดทน ต้องไม่ขี้แยใช่มั้ย”
“ผมจำได้แต่ผมดีใจนี่” คนตัวเล็กปาดน้ำตาตัวเองทิ้งลวกๆ “ผมร้องเพราะผมดีใจ แล้วผมก็ร้องเพราะพ่อเฒ่านะ พ่อเฒ่าทำให้ผมร้องถ้าจะดุจะว่าก็ต้องว่าตัวเองก่อนเลย”
“เอ้าไอ้นี่”
“ฮ่ะๆ กวนเล่นเพราะความคิดถึงหรอก” แก้มน้อยถูไถลงบนหน้าท้องพ่อประหนึ่งลูกแมวขี้อ้อน ทั้งยังบังคับมือกร้านให้ลูบหัวตัวเองเหมือนเด็กๆ
“ลูกเล่นเยอะตลอดนะเอ็ง”
“แต่ผมคิดถึงพ่อเฒ่าจริงๆนะ”
“เออ” เพราะความคิดถึงและห่วงหาที่มีให้ไม่ต่างกัน คนเป็นพ่อจึงกอดตอบลูกชายเท่าที่ทำได้ แม้ว่าร่างกายและสายระโยงระยางของเครื่องมือทางการแพทย์จะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม “ข้าก็นึกว่าตัวเองจะตายก่อนได้เห็นหน้าเอ็งแล้วเหมือนกัน”
“ไม่เอา ผมไม่ให้ตาย” ช้อนตาใสๆขึ้นมองหน้าพ่อ “ต่อไปนี้ผมจะไม่ให้พ่อเฒ่ากินเหล้าแล้ว ไม่ให้สูบบุหรี่ด้วย พ่อเฒ่าต้องดูแลตัวเองเพื่อที่จะได้อยู่กับผม คยองซู แล้วก็แม่ครูไปนานๆนะ”
“พูดจารื่นหูก็เป็นกับเขาแล้วนะเอ็ง”
“ก็ผมลูกพ่อเฒ่านี่” คนฟังปล่อยเสียงหัวเราะถูกใจออกมาเสียดัง ก่อนจะร้องโอดโอยเมื่อรู้สึกปวดเสียดขึ้นมาที่บริเวณท้องอีกแล้ว พาให้ตกใจกันไปหมดทั้งห้อง
“พอเลยสองพ่อลูก คุยกันเหมือนร่างกายยังแข็งแรงดีกันไปได้ แบคฮยอนเอ็งมานั่งช่วยคยองซูปอกผลไม้ตรงนี้มา ให้พ่อเฒ่านอนพักก่อน ขยับตัวมากๆเดี๋ยวก็ไม่หายปวดท้องซักที”
“คร้าบ…” แบคฮยอนบีบแขนของพ่อเพื่อให้กำลังใจก่อนจะลุกออกไปนั่งที่โซฟา ให้แม่ครูเข้ามานั่งแทนที่ “ผมซื้อข้าวกับขนมมาเผื่อแม่ครูกับคยองซูด้วยนะ มีชิฟฟ่อนเค้กด้วย มันนิ่มพ่อเฒ่าก็น่าจะกินได้”
“คราวหน้าไม่ต้องซื้อมาให้เปลืองเงินแล้วนะ กินในกระเช้ากันให้หมดก่อน ในตู้เย็นนั่นก็มีอีก ของคุณท่านกับแม่บุญธรรมเอ็งทั้งนั้นแบคฮยอน”
“พวกเค้ามาที่นี่หรอ”
“เข้ามาเมื่อตอนสาย เห็นว่าแวะมาตรวจสุขภาพกันด้วย” แบคฮยอนพยักหน้าหงึกหงักพลางแกะห่อชิฟฟ่อนเค้กให้ตัวเองหนึ่งชิ้นและส่งให้คยองซูอีกหนึ่งชิ้น
นับตั้งแต่เมื่อวานเขาและเพื่อนคนนี้ก็กลับมาเข้าใจกันดีเหมือนเดิม คงต้องขอบคุณแม่ครูที่ช่วย รวมถึงตัวคยองซูเองก็ด้วยที่ยอมรับฟังกันด้วยเหตุผลไม่ใช่อย่างคราวที่แล้ว เมื่อวานเขาเลยร้องไห้ไปหลายยก ทั้งตอนเจอแม่ครูครั้งแรก ทั้งเรื่องอาการป่วยของพ่อเฒ่า เรื่องคุณท่านแล้วก็เรื่องคยองซู
แม่ครูช่วยไกล่เกลี่ยให้ทุกอย่าง พร้อมทั้งเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง แม่ครูบอกว่าเกือบครบเดือนแล้วที่คนในชุมชนถูกไล่ที่ ต่างคนต่างต้องไปตามทางของตัวเองอย่างไม่มีสิทธิ์เลือก แบคฮยอนฟังแล้วรู้สึกเจ็บปวด ยิ่งได้เห็นสายตาอ่อนล้าของคนเป็นแม่เขายิ่งปวดไปหมดทั้งใจ
แม่ครูแค่บอกว่าไม่เป็นไร แม่ครูก้มหน้ายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แบคฮยอนรู้..ไม่มีใครในชุมชนคนไหนไม่มีรอยแผลในใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้หรอก..คนที่มาจากรากหญ้าอย่างพวกเขาเสียบ้านก็เหมือนเสียโลกทั้งใบของตัวเองไป..ถึงมันจะหลังเล็กแต่มันก็คือทั้งชีวิตของผู้ที่สร้างมันมา..แล้วใครบ้าง..ที่จะไม่เสียใจเลย…
คนในครอบครัวของเขาต้องระหกระเหินมาที่โซลด้วยเหตุผลจำเป็นหลายประการ แม่ครูต้องพาพ่อเฒ่าเข้ามารักษาตัวที่นี่เพราะยาสมุนไพรที่เคยใช้กันมาตลอดเริ่มหมดและพ่อเฒ่าก็ไม่หายขาดจากอาการป่วยจริงๆซักที โรงพยาบาลทางโน้นก็ไม่ได้มาตรฐานพวกท่านจึงตัดสินใจเดินทางเข้าโซล
เช่าห้องพักแคบๆอยู่ด้วยกัน คยองซูต้องไปหางานพิเศษทำเพิ่ม ระหว่างนั้นเงินเก็บที่มีอยู่ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มหมดลงไปเรื่อยๆเพราะค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตอนฟังแบคฮยอนได้แต่ถามแม่ครูซ้ำๆว่าทำไมไม่มาหาเขา ที่อยู่กับเบอร์ติดต่อของคุณท่านก็เคยให้ไว้ก่อนเขาจะย้ายมาอยู่ที่นี่หมดแล้ว และคำตอบที่ได้รับจากปากผู้เป็นแม่ก็ทำเอาแบคฮยอนหน้าชา โกรธจัดยิ่งกว่าเดิม
‘โทรศัพท์เครื่องเดียวที่มีกันอยู่ถูกมิจฉาชีพล้วงไปตั้งแต่ตอนที่เข้าโซลมาวันแรก’
‘เคยไปหาตามที่อยู่ที่ให้ไว้แล้ว แต่พวกเค้าไม่ยอมให้เข้าไป’
‘จะไปหาอีกก็คงโดนเหมือนเดิม ค่าเหมารถก็ไม่ใช่ถูกๆ เส้นทางเราก็ไม่ได้คุ้นเหมือนที่ชุมชน อีกอย่างคยองซูก็บอกให้แม่เลิกยุ่งกับพวกเอ็งแล้วกลับมาทำมาหากินของตัวเองดีกว่าตั้งหน้าตั้งตาไปรบกวนคนอื่น ซึ่งแม่ก็ไม่ได้ตั้งใจไปรบกวนเอ็งหรือใครหรอก แค่อยากมาบอกข่าวและเห็นหน้าไอ้ตัวแสบที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือนก็เท่านั้น’
แบคฮยอนฟังแล้วร้องไห้ไม่หยุด ในใจตอนนั้นทั้งโกรธทั้งแค้นให้กับคนที่กีดกันครอบครัวจากเขา ยิ่งโกรธเข้าไปอีกตอนคุณท่านที่นั่งฟังอยู่ด้วยบอกว่าจากรูปพรรณสัณฐานที่แม่ครูเล่ามา คนที่ไล่ครอบครัวเขากลับน่าจะเป็นพ่อของซอริน สองสามีภรรยาเป็นพวกนิสัยนักลงทุนทั้งคู่ จะแคร์เฉพาะผู้ที่มีประโยชน์ด้วยเท่านั้น แบคฮยอนถึงไม่แปลกใจเลยที่ชีวิตของพวกเขาจะดูไร้ค่าในสายตาคนเห็นแก่ตัวอย่างที่ได้เจอ
“หายใจฟึดฟัดหน้ายุ่งแบบนี้คิดอะไรอยู่ในใจแน่เลยใช่มั้ย” คยองซูถามยิ้มๆพลางกัดชิฟฟ่อนเค้กเข้าปาก
“อยากเอาคืนพวกคนใจร้าย”
“โตแล้ว จะทำอะไรเอ็งต้องคิดให้มากๆ” พ่อเฒ่าส่งเสียงว่ามาขณะที่ตามองแต่ข่าวในจอโทรศัพท์ “พวกคนใจร้ายที่เอ็งว่าเป็นถึงลูกของผู้มีพระคุณเอ็ง ทำอะไรเค้าก็เหมือนกับเราเนรคุณท่าน”
“แต่เค้าใจดำกับพวกเราก่อน”
“ในทางจิตใจและความรู้สึกมันอาจใช่ แต่ถ้าว่ากันตามสิทธิ์พวกเค้าก็ไม่ผิดอะไรที่จะทำแบบนั้น” แม่ครูพูดเสริม “พวกเราต่างหากที่ดื้อไม่ยอมย้ายออกไปกันตั้งแต่แรกเอง”
“ก็เราไม่มีเงินนี่แม่ครู ไม่มีที่ไป บางคนไม่มีแรงทำงานแล้วด้วยซ้ำ เด็กๆก็มีความสามารถกันที่ไหนล่ะ ให้อยู่มาได้ตั้งหลายสิบปีก็น่าจะให้อยู่ต่อไปได้สิ พวกเค้ารวยจะตายทำไมต้องมาเบียดเบียนไล่ที่คนไม่มีจะกินอย่างเราอีก”
“แม่เข้าใจที่เอ็งพูด ทุกคนในชุมชนเค้าก็คิดแบบเอ็งกันทั้งนั้น แต่เราไม่ใช่เจ้าของที่ ถ้าเราไม่มีเงินซื้อที่เค้าซะเองเราก็ต้องออกมาแบบนี้แหละ” แบคฮยอนทิ้งขนมในมือลงบนโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโซฟาอย่างหมดอารมณ์จะกินต่อ เอนหลังพิงพนักอย่างแรงเพราะอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้นมา
“ยอมรับความจริงแล้วใช้ชีวิตต่อไปกับปัจจุบัน”
“แม่ครูก็เป็นซะแบบนี้”
“ถึงจะไม่มีอะไรเหลือแล้ว แต่อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีก แม่ว่าเอ็งควรดีใจ”
“ถ้าพ่อเฒ่าออกจากโรงพยาบาลทุกคนจะย้ายไปอยู่กับผมใช่มั้ย”
“ไม่ได้หรอก ที่นั่นไม่ใช่บ้านเรา”
“แล้วจะไปอยู่ที่ไหนกัน ห้องเช่าเดิมน่ะหรอ เราอยู่ด้วยกันสี่คนไม่ได้หรอ ผม..”
“วันนี้คุณท่านของเอ็งเอาโฉนดที่ดินเปล่ามาให้แม่กับพ่อเฒ่า”
“โฉนดที่ดิน?”
“อืม ท่านคะยั้นคะยอยกให้เรา ให้สิทธิ์เราทำอะไรกับมันก็ได้ ไม่เว้นแม้แต่รวบรวมคนในชุมชนกลับมาอยู่ด้วยกัน”
“อะไรนะ!!” ขอบตาแบคฮยอนร้อนผ่าว มองซองเอกสารสีน้ำตาลในมือของแม่ครู มองรอยยิ้มเล็กๆของพ่อแม่ทั้งสอง แล้วก็มองใบหน้านิ่งๆคยองซูอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ที่มันต้องกว้างขนาดไหนกันถึงจะให้คนทั้งชุมชนมาอยู่ได้”
“ชุมชนเดิมของเราก็ไม่ได้กว้างเลยนะแบคฮยอน” คยองซูว่า
มันก็จริง ชุมชนเดิมเป็นบ้านที่อยู่ติดๆกันไม่ได้หลังใหญ่ ไม่ได้มีรั้วกั้น มีก็แต่เราที่รู้กันเองว่าที่ตรงไหนเป็นเขตของใคร ส่วนที่มันดูกว้างก็เพราะว่ารอบชุมชนเต็มไปด้วยต้นไม้ เดินไปด้านหลังก็เป็นป่า แม่น้ำ และที่ภูเขาเขตธรรมชาติ
“แล้วเราจะตามหาทุกคนได้จากที่ไหน แม่ครูกับพ่อเฒ่ารู้หรอ”
“พ่อเฒ่าเอ็งเป็นผู้ใหญ่บ้านนะแบคฮยอน ก่อนจะแยกกันเราก็ต้องคุยกันก่อนแล้ว”
“งื้อ”
“ไว้พ่อเอ็งหายดีเมื่อไหร่เราจะกลับไปตามคนที่ชุมชน ถ้าใครสมัครใจอยากจะมาก็มา ใครที่อยากอยู่กับญาติต่อก็แล้วแต่ เราจะทำเท่าที่เราทำไหว”
“จริงๆหรอ เราจะทำอย่างนั้นได้จริงๆน่ะหรอ”
“วะ! เอ็งนี่ถามมากจริง”
“ก็ผมกลัวทำไม่ได้นี่นาพ่อเฒ่า”
“เราได้มาแค่ที่ดินเปล่า แต่ถ้าสองมือสองขาของทุกคนช่วยกันสร้างบ้านแต่ละหลังขึ้นมาไหวมันก็ทำได้ ถ้าไม่ได้ข้าจะสร้างคฤหาสน์แข่งกับคุณท่านของเอ็งอยู่เอง”
“หาเงินมาสร้างบ้านหลังเท่าห้องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ คฤหาสน์คุณท่านอย่าไปพูดถึงเลย” แบคฮยอนบึนปากใส่คนเป็นพ่อ “ไม่เจอกันนานขี้คุยขึ้นนะคนแก่เนี่ย โด่…”
แบคฮยอนนอนเหยียดขาอ่านหนังสือกฎหมายอยู่บนโซฟา ห้องตอนนี้ค่อนข้างเงียบเนื่องจากมีกันอยู่แค่สองคนกับคนป่วย แม่ครูลงไปซื้อของข้างล่างกับคยองซู ถ้าไม่เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้เชื่อเถอะว่าห้องทั้งห้องจะต้องเงียบสนิท…ก็พ่อเฒ่าช่างคุยเสียที่ไหนล่ะ…ถ้าไม่ติดว่าแก่ ผมและคิ้วทุกเส้นเป็นสีขาวสนิท ผิวคล้ำกร้านแดด ลักษณะเกือบทุกอย่างของพ่อเฒ่าก็แทบจะเรียกว่าให้อารมณ์คล้ายๆกับชานยอลเลยล่ะ…โดยเฉพาะความดุ
“อะแค่กๆ” เสียงไอไม่หยุดของคนป่วยส่งผลให้แบคฮยอนต้องคว่ำหนังสือลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นไปรินน้ำใส่แก้วให้ดื่ม แบคฮยอนสนิทกับพ่อเฒ่า ส่วนคยองซูจะสนิทกับแม่ครู ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าความใจดีของคนเป็นแม่เอาเขาไม่อยู่น่ะสิ แบคฮยอนเลยซี้กับไม้เรียวและหนังสติ๊กของพ่อเฒ่ามากกว่า
“ว่าจะถามเอ็งหลายทีแล้ว”
“อะไรหรอ”
“เอาคอไปให้ใครที่ไหนดูดมา รอยมันถึงได้เยอะอย่างนั้น” แบคฮยอนสะดุ้งพร้อมกับรีบเอามือขึ้นมาปิดคอโดยอัติโนมัติ ตอนนั้นแหละที่เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าซิบของเสื้อมันไหลหลุดลงมาต่ำขนาดไหน มือน้อยรีบรูดมันกลับขึ้นไปก่อนจะส่ายหน้าตอบคำถามพ่อ
“ร..รอยดูดอะไรกันเล่า ไม่ใช่ซักหน่อย”
“กะพริบตาถี่จนนับไม่ทันข้ารู้ว่าเอ็งกำลังโกหก”
“เปล่านะ ก็..” แบคฮยอนพยายามทำตาโต “ยุงที่บ้านชานยอลมันเยอะอ่ะ ผมแพ้แล้วก็เกาเยอะไปหน่อยมันเลย..”
“เห็นข้าโง่จนแยกไม่ออกว่ารอยไหนเป็นรอยไหนหรอ อยู่มาจนอายุปูนนี้อาบน้ำร้อนมาก่อนเอ็งตั้งกี่ขัน ถ้าคิดจะโกหกก็ให้มันเนียนหน่อย”
“โธ่…พ่อเฒ่า”
“ทางที่ดีอย่าหัดทำตัวเป็นพวกขี้โกหกเลยจะดีกว่า เอ็งก็รู้ว่าข้าไม่ชอบ”
“ฮื่อ..” นี่ขนาดป่วยนะ ถ้าหายดีเมื่อไหร่แบคฮยอนพอจะนึกสภาพตัวเองออกเลย
ก๊อก ก๊อก..
เสียงเคาะประตูช่วยเบือนความสนใจของทั้งสองคนออกจากบทสนทนาเดิมที่คุยกันค้างไว้ได้ แบคฮยอนไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเสียใจมากกว่ากัน เมื่อหนึ่งในผู้ที่เดินเข้ามาคือเจ้าของรอยบนคอที่พ่อเฒ่ากำลังถามถึง
“พ พ่อเฒ่า นี่เซฮุนกับชานยอลที่ผมบอกว่าจะตามมาเยี่ยมเมื่อกี้ไง” พอผู้ใหญ่ตวัดตามองสองพี่น้องก็รีบโค้งหัวให้อย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับพ่อเฒ่า ทราบข่าวมาจากแบคฮยอนว่าคุณพ่อนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ผมกับพี่ชายเลยเข้ามาเยี่ยม” เซฮุนถือกระเช้าเยี่ยมไข้ใบใหญ่ตรงเข้ามา ทว่า..
“จะลำบากซื้อมาให้เปลืองเงินเปลืองทองตัวเองกันทำไม”
เด็กหนุ่มชะงักกึก
“เอ่อะ ม..ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก ค..ครับ”
“ว่าอะไรนะ!”
“ฮื่อ” ปาร์คเซฮุนรีบถอยหลังกลับไปยืนเกาะแขนพี่ชายแทบไม่ทัน เคยได้ยินแบคฮยอนเล่าถึงกิตติศัพท์ความดุของท่านให้ฟังอยู่บ่อยๆ แต่เซฮุนก็ไม่คิดว่าตัวจริงจะดุขนาดนี้ ดุตั้งแต่เสียงยันหน้า แถมยังพูดดังพาเอาสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินอีกต่างหาก
“เมื่อกี้ผมเผลอพูดอะไรไม่ดีออกไปหรือเปล่า” กระซิบเสียงเบาถามพี่ชาย ปกติเซฮุนเป็นพวกเข้าหาผู้ใหญ่โดยเฉพาะวัยสูงอายุเก่ง ใครเห็นใครก็เอ็นดู อ้อนใครคนนั้นก็ต้องหลง แต่พ่อเฒ่าของแบคฮยอนช่าง…
“แล้วไปยืนกันทำไมตรงนั้น”
“กลับกันตอนนี้ยังทันมั้ย”
“ไร้สาระ” คนเป็นพี่ชายดึงกระเช้าออกจากมือของน้องชาย จากนั้นก็เดินเอามันเข้าไปยื่นให้กับแบคฮยอนที่ยืนมองอยู่ข้างเตียงคนป่วย “เอาไปเก็บให้พ่อไป” ทั้งคู่สบตากัน ต่างฝ่ายต่างอมยิ้มขัดเขินเพราะยังวางตัวต่อกันไม่ค่อยถูก
“ขอบคุณนะ”
“อืม..อาการดีขึ้นบ้างแล้วใช่มั้ยครับ”
“ว่าอะไรนะ!” ระดับเสียงของคนป่วยทำคุณชายปาร์คคนโตผงะไปพอสมควร “พูดให้มันดังๆหน่อยคุณ ผมฟังไม่รู้เรื่อง”
“ผมถามว่าอาการดีขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ” หลังจากนำกระเช้าใบใหม่ไปวางรวมกับของคุณท่านเสร็จ แบคฮยอนมีโอกาสหันมาเห็นสีหน้าเจื่อนๆของสองพี่น้องเข้าพอดี เขายิ้มขำพลางเดินเข้าไปยืนอีกฝั่งเตียงของพ่อซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับสองคุณชาย ก่อนจะบอกเสียงกลั้วหัวเราะให้ฟังว่า
“พ่อเฒ่าหูตึงน่ะ ถ้าจะคุยด้วยต้องพูดเสียงดังๆหน่อยแกถึงจะได้ยิน” สองพี่น้องแทบร้องอ้อขึ้นพร้อมกัน แบคฮยอนเห็นดังนั้นยิ่งขำเข้าไปใหญ่ ขณะที่เขาและคนใกล้ชิดต่างชินต่อการฟังและคุยกับพ่อเฒ่าในระดับเสียงเท่านี้จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ก็ยังมีคนไม่รู้จักอีกหลายคน เช่นพี่น้องตระกูลปาร์คเป็นตัวอย่างที่ต้องตกใจกับเสียงของพ่ออยู่สินะ…ทั้งน่ารักทั้งตลกเลย แบคฮยอนเพิ่งเคยเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของทั้งคู่ครั้งแรกก็วันนี้
“พ่อเฒ่า ชานยอลถามว่าอาการดีขึ้นแล้วใช่มั้ย แล้วเมื่อกี้เซฮุนก็บอกว่าอยากมาเยี่ยมเพราะได้ข่าวมาว่าพ่อเฒ่าไม่สบาย”
“อ่อ..ครับ”
“ฮ่ะๆ”
“ก็ดีขึ้นนิดหน่อย”
“ทนหน่อยนะครับ อีกไม่นานก็หาย” พ่อเฒ่าพยักหน้าให้เซฮุนที่ยืนเหงื่อตกตัวเกร็งอยู่ข้างๆพี่ชาย “ผมขออวยพรล่วงหน้าให้หายไวๆนะครับ แบคฮยอนเป็นห่วงพ่อเฒ่ามากๆเลย ก่อนหน้านี้ก็พูดถึงเรื่องคุณพ่อให้ผมได้ยินอยู่บ่อยๆ”
“อ่อ..”
“….”
“ครับ”
“พูดให้ยาวกว่านี้หน่อยสิ เพื่อนผมเกร็งพ่อเฒ่าไปหมดแล้วเห็นเปล่า”
“เพื่อนเอ็งตัวสูงรูปหล่อกันดีนะ เข้าใจเลือกคบนี่”
“เปล่า มีแค่เซฮุนคนเดียวที่เป็นเพื่อนผม ส่วนชานยอลเป็น…” เจ้าของชื่อขยับปากเป็นลมๆต่อท้ายประโยคให้สมบูรณ์ด้วยคำว่า ‘แฟน’ คนตัวเล็กเห็นแล้วต้องกัดปากกลั้นเขิน แสร้งหันไปมองทางอื่นที่ไม่ใช่หน้าชายหนุ่มทันที
“ชานยอลเป็นพี่ชายของเซฮุน” คนตัวสูงไม่ได้แสดงสีหน้าออกมาว่าไม่พอใจใดๆเมื่อถูกแบคฮยอนแนะนำแบบนั้น อีกฝ่ายแค่ไหวไหล่ไม่แคร์ได้อย่างน่าหมั่นไส้มาให้ ซึ่งแบคฮยอนก็เบะปากส่งคืนกลับไปเรียบร้อยแล้ว
ปฏิกิริยาที่มีต่อกัน…สื่อให้รู้กันเองแค่เพียงสองคน ไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างพวกเขา…เช่นเดียวกับพวกเขาที่ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกใครเค้าลอบสังเกตพฤติกรรมแปลกๆนี้อยู่
“เป็นพี่ของเพื่อนแล้วทำไมเอ็งถึงไม่เรียกเค้าว่าพี่ ไปเรียกชื่อเค้าเฉยๆแบบนี้ได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าพ่อเฒ่า ชานยอลไม่ถือสาผมหรอก”
“เคยว่าไปหลายครั้งแล้วครับ แต่ว่าเจ้าตัวก็ดื้อจนผมป่วยการที่จะบอกซ้ำๆอีก”
“ฟ้องหรอชานยอล”
“เค้าเรียกว่าพูดความจริง ไม่ใช่ฟ้อง”
“ก็ฟ้องอยู่ดีนั่นแหละ”
“เถียงคำไม่ตกฟากอีกตามเคย” แบคฮยอนกอดอก อมลมไว้จนเต็มแก้ม จ้องไอ้คนช่างดุที่ไม่เว้นแม้แต่ต่อหน้าพ่อเฒ่าอย่างไม่พอใจ ทว่าอีกคนกลับยังทำหน้าระรื่นได้อีก
แฟนเฟินอะไรกัน หาเรื่องมาให้เขาถูกดุซ้ำเป็นสองทบแบบนี้คนเป็นแฟนเค้าทำกันหรอ ถึงแบคฮยอนจะไม่เคยมีมาก่อนแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้นะ…ชานยอลนี่นิสัยไม่ดีจริงๆ
“อะฮะแฮ่ม!” เสียงกระแอมของคนป่วยทำให้คนตัวสูงและคนตัวเล็กละสายตาออกจากกันทันที “ยืนนานเดี๋ยวจะเมื่อย พากันไปนั่งก่อนก็ได้คุณ”
“ขอบคุณครับ”
“ตามสบายกันเลยนะ ขอบคุณสำหรับกระเช้าด้วย แต่คราวหน้าคราวหลังไม่ต้องลำบากซื้ออะไรมาให้หรอก แค่มาเยี่ยมผมก็ขอบคุณแล้ว”
“ไม่ลำบากครับ ถือซะว่ามันเป็นน้ำใจของเรา”
“แค่ให้ไอ้ตัวแสบไปรบกวนที่บ้านพวกเราก็ตอบแทนพวกคุณกันไม่หมดแล้ว ไหนจะที่คุณอุตส่าห์มานอนเฝ้าผมเป็นเพื่อนมันเมื่อคืนนี้อีก” เซฮุนหันขวับไปมองหน้าพี่ชายกับข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ทราบ
“ครับ” ชานยอลยิ้มให้อย่างสุภาพ “มันอาจจะดูเป็นเรื่องรบกวน แต่สำหรับผมไม่ได้คิดแบบนั้นหรอกครับ ผมยินดี”
พ่อเฒ่าเลิกคิ้วมองหน้าชายหนุ่ม แรกๆไม่ได้เข้าใจเลยสักนิด แต่พอได้เห็นแววตาบวกคำพูดแสนสุภาพที่ชายหนุ่มพูดด้วย วัยแก่อย่างเขาก็พอจะตีความได้ ถึงแม้ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยทว่าพ่อเฒ่าของแบคฮยอนคิดว่ามันต้องไม่ได้ผิดไปจากสิ่งที่ตัวเองเดาไว้นักหรอก…ระหว่างชายหนุ่มคนนี้กับเด็กตัวแสบลูกชายเขาคงมีอะไรมากกว่าที่เห็น
“เอาเถอะครับ จะยังไงก็ช่างไปนั่งกันก่อนเถอะ”
“ครับ”
“แบคฮยอน..เอ็งไปหาน้ำหาขนมผลไม้มาให้คุณๆเค้าสิ อย่ายืนเฉย”
“คร้าบ” คนตัวเล็กรับคำแล้วรีบเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเหยือกน้ำหวานสีแดงออกมารินใส่แก้วให้กับแขกผู้มาเยี่ยมไข้ ตามด้วยแตงโมอีกหนึ่งลูกที่เขาต้องนำเอามันไปหั่นก่อน
แบคฮยอนแยกตัวออกมาอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง เป็นมุมห้องครัวขนาดย่อมที่มีอยู่ภายในห้องพักฟื้นพิเศษ ระหว่างที่เขากำลังจดจ่ออยู่กับการหั่นแตงโมอย่างเก้ๆกังๆ เสียงคนคุยกันก็ดังลอดเข้าหูมาให้ได้ยินแล้วยิ้มตามตลอด...ได้ยินแต่เสียงดังๆของพ่อเฒ่ากับเสียงคุยขาดๆหายๆของเซฮุน ส่วนอีกคนเขาไม่ได้ยินแต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ ก็นะ..ชานยอลไม่ใช่คนคุยเก่ง แถมยังไม่ชอบคุยเสียงดังอยู่แล้ว ถ้าให้ตะเบ็งคุยกับพ่อเฒ่าแบคฮยอนคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากทำหรอก
“โอ้ย!”
“ซุ่มซ่ามอีกแล้ว”
แบคฮยอนหันไปมองเจ้าของเสียงทุ้มพลางเอานิ้วข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บกดแผลมีดบาดไว้ด้วย “ทำไม่เป็นก็ไม่เห็นต้องทำ ฉันกับเซฮุนไม่ได้หิว” ชายหนุ่มลากเขาไปที่อ่างล้างจาน จัดการเปิดก๊อกน้ำแล้วบังคับให้เขายื่นนิ้วออกไปล้างน้ำสะอาด
“โอ้ยชานยอล ผมแสบ”
“ทนหน่อยสิ”
“ก็มันแสบจริงๆนี่ ฮื่อ..พอแล้ว” น้ำตาตีตื้นขึ้นมาอัดกันอยู่บริเวณหัวตาทั้งสองข้าง แบคฮยอนอยากจะดึงมือหนีเหลือเกินแต่ก็สู้มือใหญ่ไม่เคยได้ ที่ทำได้ตอนนี้ก็แค่ทนยืนกัดปากระงับความเจ็บไว้เท่านั้น
“แผลนิดเดียวไม่ต้องร้อง”
“ผมไม่ได้จะร้อง แต่มันแสบแล้วน้ำตามันก็มาของมันเอง” ชานยอลฟังแล้วอมยิ้ม จัดการปิดก๊อกน้ำให้เรียบร้อยก่อนจะมองหาผ้าสะอาด แต่เพราะมันไม่มีเขาจึงใช้ชายเสื้อยืดแขนยาวสีครามของตัวเองเป็นผ้าเช็ดมือให้กับแบคฮยอนแทน
“....”
และยังจับนิ้วข้างที่เป็นแผลของแฟนตัวเล็กขึ้นมาเป่าลมเบาๆซ้ำอีก “เดี๋ยวก็หายแล้ว ไม่ต้องพึ่งยาเลยก็ได้”
“จะบอกว่าลมปากตัวเองวิเศษณ์กว่ายาของหมอหรอ”
“เพราะแผลมันเล็กต่างหาก” นิ้วใหญ่ดีดลงกลางหน้าผากมนอย่างหมั่นไส้ “ฉันไม่มีคำพูดเลี่ยนๆอะไรแบบนั้นให้นายหรอก”
“โธ่เอ้ย..”
“หวังหรือไง”
“ผมไม่หวังอะไรกับคนที่ไม่มีอะไรให้ผมหวังหรอก”
“เดี๋ยวเถอะ” ทั้งที่ปากขยับโต้เถียงกันไม่หยุดทว่ามือกลับจับกันไม่ปล่อย สายตามองลึกไปที่กันและกัน หัวใจพลันเต้นแรงไม่เป็นจังหวะพอๆกันอย่างไม่ให้ใครต้องน้อยหน้ากว่า
“แล้วตามผมมาทำไม ไม่อยู่คุยกับพ่อเฒ่าหรอ”
“ให้ไอ้เซฮุนมันคุยไป”
“เซฮุนคงเกร็งน่าดู”
“ก็เรื่องของมัน”
“นั่นน้องชานยอลนะ”
“รู้แล้วว่าน้อง ไม่ได้คิดว่ามันเป็นแฟนเหมือนที่นายเป็นอยู่แล้ว”
“ย…” แบคฮยอนพูดไม่ออก ไปต่อไม่ถูก ความเจ็บที่นิ้วถึงกับหายไปชั่วขณะเพราะคำพูดจู่โจมของคุณชายปาร์คชานยอล อีกฝ่ายพูดมันกับเขาคล้ายกับจะไม่สะทกสะท้าน แต่ว่าหูที่แดงเรื่อขึ้นนั้นก็ไม่ได้หลุดพ้นจากสายตาของเด็กช่างสอดรู้สอดเห็นอย่างเขาไปได้…แบบนี้ที่เค้าเรียกว่าพูดเองเขินเองหรือเปล่านะ
กระนั้นชานยอลก็ยังได้เปรียบแบคฮยอนอยู่ดี อีกฝ่ายเขินทว่ายังสามารถเก็บอาการได้เหมือนเดิม แต่แบคฮยอนนี่สิ..เก็บอาการไม่ได้ ซ่อนหน้าแดงๆของตัวเองไม่อยู่แล้วยังจะทำตาลอกแลกอยู่ไม่นิ่งให้อีกฝ่ายรู้ง่ายๆอีกทุกที
“เอ่อ ผมว่าเรา..”
“….”
“ผมว่าเราน่าจะ..”
“….”
“โธ่ชานยอล อย่าเอาแต่จ้องหน้าผมแบบนี้ซี่ผมนึกอะไรไม่ออกแล้ว”
“ก็ว่ามาสิ รอฟังอยู่”
“ไม่มีอะไรให้ฟังทั้งนั้นแหละ” แบคฮยอนจิ๊ปากใส่ “ผมพยายามหาเรื่องมาให้เราไม่อึดอัดต่อกันแต่ชานยอลก็ทำเสียเรื่องทุกที รู้ว่าผมเขินแทนที่จะช่วยนี่อะไรก็ไม่รู้…ทำผมเขินหนักกว่าเดิมอีก” แบคฮยอนพูดเสียงอ้อมแอ้มท้ายประโยค ชานยอลยืนมองพลางยิ้มเอ็นดู
“มีอะไรให้เขินล่ะ ความหล่อของฉันหรือไง”
“ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องเขินเซฮุนมากกว่า..อ้ะ!” แบคฮยอนถูกดีดหน้าผากอีกแล้ว “เจ็บนะ”
“ชมคนอื่นมากกว่าแฟนตัวเองเป็นเรื่องที่สมควรทำหรอ”
“งื้อ..ย..อย่าเอาแต่พูดคำนั้นสิ…”
“คำไหน”
“รู้แล้วยังจะถามอีก ต้องให้ผมเขินจนตายให้ดูก่อนใช่มั้ยชานยอลถึงจะเชื่อว่าผมเขินจริงๆ”
“นายเล่นเขินฉันแทบทุกคำแบบนี้แล้วฉันยังจะพูดคำไหนได้อีก บอกหน่อย”
“โอเคๆ ผมยอมแพ้ชานยอลแล้ว” แบคฮยอนยกมือขึ้นมายอมแพ้ได้แค่ข้างเดียว เนื่องจากอีกข้างยังถูกชานยอลจับไว้อยู่ “อยากพูดอะไรก็พูดเลย ผมจะไม่เถียง” ว่าพลางหันหนีไปจัดแตงโมที่ตัวเองหั่นทิ้งไว้แล้วบางส่วนใส่จาน
“จะไม่เถียงได้ซักกี่นาทีเชียว”
“ตอนคบกับซอรินชานยอลก็เป็นแบบนี้หรอ”
“แบบไหน”
“ขี้เล่นแล้วก็…อีกหลายอย่าง”
“คงงั้นมั้ง” มือเล็กชะงัก
“แล้วผมมีอะไรพิเศษบ้างในเมื่อชานยอลปฏิบัติกับคนที่ตัวเองคบแบบนี้ทุกคน”
“ฉันเคยคบจริงๆแค่สองคน เธอ..แล้วก็นาย”
“….”
“ฉันไม่เคยขอซอรินเป็นแฟน”
ไม่เคย...งั้นหรอ
“ไม่เคยแม้กระทั่งบอกชอบ”
“เป็นความสัมพันธ์ที่พิลึกดีนะ แต่ผมก็ว่าชานยอลเหมาะกับเธออยู่ดี สวยกับหล่อ เพอร์เฟคสุดๆ อื้อ” คนตัวเล็กถูกคนตัวสูงเข้ามาล็อคคอจากด้านหลัง..หรือจะเรียกว่ากอดคอก็ไม่ผิด เพราะชานยอลไม่ได้ทำรุนแรงต่อเขาเลยสักนิด
“ถ้ารู้ว่าพูดถึงเธอแล้วตัวเองจะหงุดหงิดก็อย่าไปพูดถึงสิ” กล้ามเนื้อใหญ่ๆที่แขนของชานยอลกำลังหนีบคอเขา แต่เขากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัด แบคฮยอนเอนหลังไปพิงอกแกร่ง ในขณะที่ชานยอลก็เอาคางมาเกยไว้บนหัวของเขาเหมือนกัน ส่วนมือที่ยังเหลือว่างอีกข้างชายหนุ่มเอาไว้ช่วยหยิบแตงโมใส่จานให้แบคฮยอน ท่าทางตอนนี้จึงไม่ต่างอะไรกับปาร์คชานยอลกำลังโอบกอดหลานคุณยายจากด้านหลังทั้งตัว
“ฉันไม่ได้คิดถึงเธอซักหน่อย ในหัวตอนนี้ก็มีแต่นาย”
“จริงหรอ” เพราะแบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมอง คางที่เคยวางแหมะอยู่บนศีรษะของเขาจึงแตะเข้ากับปลายจมูกน้อยแทน
“อืม” ชานยอลก้มลงจูบหน้าผากมนเบาๆ…ตามด้วยพื้นผิวระหว่างคิ้วบาง...ค่อยๆลากริมฝีปากผ่านลงไปเรื่อยๆจนกระทั่งมันจรดกับริมฝีปากเล็กๆของแบคฮยอน “มีแต่เรื่องของนายเต็มไปหมด” ขยับปากบอกเสียงพร่าทั้งที่ริมฝีปากยังชิดกันอยู่
สองสายตาประสานมองกันอย่างมีความหมาย คนตัวเล็กปิดเปลือกตาลงช้าๆ เงยหน้าขึ้นจนสุดคอเพื่อรับรสจูบจากเรียวปากอิ่มแสนอบอุ่น…ชานยอลอบอุ่นยิ่งกว่าทุกคนที่แบคฮยอนเคยเจอ
“พ่อเฒ่าเห็นรอยที่คอผมแล้วนะ ถามผมด้วย”
“หรอ ตอบว่าไงล่ะ”
“ยังไม่ได้ตอบ”
“อ้างไปเรื่อยอีกตามเคยสินะ”
“ผมถูกดุด้วยนะยังมาขำอีก ไม่สำนึกความผิดของตัวเองเอาซะเลย” ชานยอลผละออกจากการคลอเคลียริมฝีปากน้อยแล้วเปลี่ยนมาเกยคางบนศีรษะทุยเหมือนอย่างตอนแรกแทน สองแขนยาวโอบรอบคอคนตัวเล็กกว่าเอาไว้หลวมๆ แววตากำลังแย้มยิ้มคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวเช่นเดียวกับริมฝีปาก
“สำนึกทำไม มันเข้ากับนายไม่รู้หรอ”
“หยา…นี่มันผลักความรับผิดชอบกันชัดๆ”
“ฮ่ะๆ”
“คืนนี้ไม่ต้องมานอนเฝ้าพ่อเฒ่าเป็นเพื่อนผมแล้วนะ”
“ทำไม”
“บ่นปวดตัวไม่ใช่หรือไง”
“หายแล้ว”
“หายแล้วก็ไม่ต้อง”
“….”
“แม่ครูกับคยองซูจะมานอนแทน ส่วนผมกำลังคิดอยู่ว่าจะนอนด้วยหรือ..”
“กลับไปนอนที่บ้านด้วยกัน”
“….”
“โรงพยาบาลเค้าให้ญาติคนป่วยมานอนเฝ้าสองคนได้ก็ถือว่าเยอะเกินไปแล้ว นายน่ะ..”
“กลับไปนอนที่บ้านกับฉัน”
#ficmysscb
Talk:
- ยืมรูปรพ.ในไทยเป็นอิมเมจไปก่อนเนอะ ถึงไม่เป๊ะเท่าไหร่ก็เถอะ ถถถ
- ขออนุญาตใช้ข้ากับเอ็งคำไทยๆในการพูดกันของตัวละครเพราะมันให้ฟิลชาวชุมชนได้ดีกว่าคำอื่น
- รายละเอียดสภาพแวดล้อมเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะ เพราะไรท์คิดว่าในการใช้ชีวิตวันๆนึงของคนเรามันไม่ได้มีกันเพียงแค่คนสองคนเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายๆอย่าง แต่ตอนต่อๆไปคิดว่าชานแบคจะเยอะขึ้นล้าวว ไม่ได้มาแค่ท้ายๆเช่นหลายแชปที่ผ่านมา55
- เจอคำผิดบอกได้นะครัช
- ฝากอ่านหน้าถัดไปต่อจากแชปนี้ด้วย มีเรื่องมาทอล์คนิดหน่อย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่เอาไม่กลัวพ่อเพื่อนนะ