ตอนที่ 14 : Shining XIII :: kindness
Shining XIII.
“เฮ้ย! ทำอะไรกัน!!”
เสียงอุทานแกมตั้งคำถามตกอกตกใจของผู้มาใหม่ทำเอาเจ้าของห้องรีบผละตัวออกจากเด็กดื้อโดยเร็ว สองพี่น้องร่วมสายเลือดมองหน้ากัน ฝั่งปาร์คคนน้องหน้าตาเต็มไปด้วยร้อยแปดคำถามที่อยากยิงถามพี่ชายให้หายขุ่นข้องหมองใจซะตรงนี้ เดี๋ยวนี้! ขณะที่ฝั่งปาร์คคนพี่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเหลือเกิน สมองกำลังคิดหาเหตุผลดีๆซักข้อเพื่อมาบอกกับน้อง แต่ก็ยังนึกไม่ออก
“เซฮุน”
เจ้าของชื่อเห็นใบหน้าน่ารักของเพื่อนตัวเล็กที่ค่อยๆเงยขึ้นมาแล้วรู้สึกปวดจี๊ดเหมือนมีใครเอาไฟฟ้ามาช็อตข้างใน ตอนแรกแบคฮยอนหน้าซีด แต่ตอนหลังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อนั่นมันหมายความว่ายังไง! ก่อนเซฮุนจะเข้ามาในห้องนอนแห่งความชั่วร้ายนี้ ซาตานในคราบพี่ชายเขาทำอะไรกับแบคฮยอนไปแล้วบ้าง! ไอ้ที่ก้มหน้าเข้าไปหาเมื่อกี้ล่ะคืออะไร?! พี่ชานยอลได้สัมผัสปากเล็กๆนั่นแล้วใช่มั้ย!!!!!
“พี่ทำอะไรแบคฮยอนวะ!”
ย่างสามขุมเข้าไปหาพี่ชายด้วยแววตาเดือดดาล
“พี่มันไอ้คนไว้ใจไม่ได้! ชอบลักกินขโมยกินของคนอึ..โอ้ย!!!”
“เซฮุน!” คนตัวเล็กเบิกตาโตตกใจพลางรีบคลานเข่าดุ๊กดิ๊กไปอยู่ขอบเตียง ก้มลงมองเท้าเพื่อนที่น่าจะโดนเศษแก้วบาดด้วยความเป็นห่วง ทว่า..
“ใครมาทำแก้วแตกตรงนี้ ดีนะที่ใส่สลิปเปอร์” เด็กหนุ่มยกเท้าข้างที่ใส่สลิปเปอร์และมีเศษแก้วปักติดอยู่บนพื้นรองเท้าขึ้นมาดูอย่างเซ็งๆ “ซุ่มซ่ามชะมัด”
“เราทำเอง”
“….”
“เซฮุนไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย ร้องซะเราตกใจหมดเลย”
นึกว่าเพื่อนจะถูกแก้วบาดเท้าซะแล้ว ที่ไหนได้ ใส่รองเท้าอยู่ก็ไม่บอก
“เราก็ตกใจเลยร้องไปก่อน”
ปาร์คชานยอลส่ายหน้าเอือมระอาให้กับน้องชาย ไม่โกหกว่าเมื่อครู่ตัวเองก็แอบใจหายเหมือนกันที่อีกฝ่ายร้องลั่น แต่พอรู้ว่ามันสวมรองเท้าอยู่เท่านั้นแหละ ความเป็นห่วงเมื่อครู่ถึงกับมลายหายไปในพริบตา ไม่เข้าใจว่ามันจะแหกปากลั่นเหมือนตัวเองเจ็บไปก่อนทำไม ทั้งที่ยังไม่โดนบาดแม้แต่ปลายเล็บ
“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นใส่ผมเลยนะ”
“ถ้าออกจากห้องแล้วช่วยลงไปบอกแม่บ้านให้ขึ้นมาเก็บกวาดให้ฉันด้วยแล้วกัน”
“ผมยังไม่ออกง่ายๆหรอก เราต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่องก่อน”
คนพี่ถอนหายใจ
“ไม่มีอะไร”
“ไม่มีได้ยังไงในเมื่อผมเห็นกับตาว่าพี่จะ..” เซฮุนจะลั่นก็ลั่นไม่สุดเมื่อหันไปเจอดวงตาแป๋วๆใสซื่อเหมือนลูกหมาของเพื่อนเข้าพอดี
“เราวานอะไรแบคฮยอนหน่อยได้มั้ย”
“อะไรหรอ”
“ช่วยลงไปตามแม่บ้านข้างล่างให้ขึ้นมาทำความสะอาดห้องพี่ชานยอลทีสิ ถือซะว่าแลกกับที่ทำแก้วบ้านเราแตกนะ”
แบคฮยอนรู้สึกว่าเพื่อนดุขึ้น สายตากับน้ำเสียงดูจริงจังกว่าทุกทีจนไม่กล้าถามซอกแซก อีกอย่างมันก็จริงอย่างที่เพื่อนว่า เขาเป็นคนทำแก้วแตกเอง ให้ลงไปตามแม่บ้านขึ้นมาแค่นี้สบายอยู่แล้ว หรือจริงๆจะให้เขารับผิดชอบโดยการเป็นคนเก็บกวาดทำความสะอาดเองแบคฮยอนก็ไม่เกี่ยงหรอก แต่ในเมื่อเจ้าของบ้านบอกอย่างนี้แล้วก็คงต้องทำตามนั้น
“โอเค เดี๋ยวเราลงไปตามให้”
เมื่อแบคฮยอนออกจากห้องไปแล้ว ความเป็นส่วนตัวที่จะคุยกันตามประสาพี่น้องก็มีมากขึ้น เซฮุนไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา รีบถามเข้าประเด็นที่ตัวเองข้องใจทันที
“เมื่อกี้หมายความว่ายังไง”
“ฉันบอกนายไปแล้วว่าไม่มีอะไร”
“อย่าทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็งไปหน่อยเลย ผมเห็นนะว่าพี่โน้มหน้าเข้าไปหาแบคฮยอนเหมือนจะจูบน่ะ!”
“เปล่านี่”
“พี่ชานยอล”
“ฉันแค่แกล้งเพื่อนนายเล่น ไม่ได้จะจูบ”
“เป็นลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับไม่ใช่หรอ ใครกันที่ชอบพูดกรอกหูผมด้วยประโยคโคตรจะแมนแบบนั้น สุดท้ายตัวเองก็ทำไม่ได้ซะเอง หึ..”
คนเป็นพี่ฟังแล้วได้แต่ใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มตัวเองเล่น ความรู้สึกที่กำลังถูกน้องชายแท้ๆหยามหน้าด้วยการเอาคำพูดที่เขาเคยสั่งสอนมาเป็นเครื่องมือช่วยนี่มันน่าเจ็บใจสิ้นดี คุณชายกระเถิบตัวขึ้นไปนั่งกอดอกพิงหัวเตียงพลางถอนหายใจ
“ใช่ ฉันจะจูบ”
สุดท้ายก็ต้องยอมบอกความจริงอย่างช่วยไม่ได้
“ทำไม พี่ชอบแบคฮยอนหรอ”
“ไม่รู้”
ตุ่บ! น้องชายทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนพร้อมกับทุบกำปั้นลงไปบนผ้าห่มด้วยความคับแค้นใจ “จะไม่รู้ได้ยังไง!”
“ก็ฉันไม่รู้จริงๆจะให้บอกว่ายังไงล่ะ”
“ทั้งที่คิดจะจูบแต่บอกไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงมันฟังขึ้นหรอ อย่าพูดเหมือนตัวเองอ่อนประสบการณ์กับเรื่องอย่างนี้สิ”
“จะให้ฉันบอกว่าชอบให้ได้เลยใช่มั้ย”
“ก็แล้วถ้าไม่ชอบพี่จะจูบทำไม”
“อารมณ์มันพาไปเอง”
“งั้นก็ควรจะรู้จักยับยั้งชั่งใจบ้างเซ่! ผมรู้ว่าแบคฮยอนน่ารัก น่ารักมากด้วย! เพราะแบบนั้นถึงจะรู้สึกทนไม่ไหวพี่ก็ต้องทนให้ได้เพราะแบคฮยอนน่ะของผม!”
“อยู่ใกล้กันแค่นี้จะเสียงดังทำไมวะ”
“พี่จะได้ได้ยินมันชัดๆไง! ผมรักผมหวงของผมมาตั้งนาน การที่พี่กล้ามาทำอย่างนี้มันเหมือนกำลังเหยียบหน้าผมอยู่รู้บ้างมั้ย”
“ฉันยังไม่ได้ทำไหมล่ะ”
“ลองผมเข้ามาช้ากว่านี้สิ! นี่ยังไม่รวมก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามาเห็นอีก”
“น้อยๆหน่อย อย่ามาปรักปรำฉันให้มาก”
“เลิกวางท่าแล้วพูดกันตรงๆเลยดีกว่าว่าจะเอาไง พี่คิดกับแบคฮยอนแค่ไหนพูดมาให้ชัดๆเลยผมจะได้เคลียร์ให้ถูก”
ชานยอลรู้สึกเหมือนไข้จะกลับมาสูงขึ้นอีกรอบเพราะปวดหัวที่ต้องมาคุยกับน้องชายจอมไร้สาระ รู้ว่าเซฮุนหลงใหลได้ปลื้มแบคฮยอนมาก แต่ไม่มั่นใจว่ามันใช่ในรูปแบบความรักของคนรักมั้ย
เซฮุนเป็นเด็กขี้งอแง ขี้หวงของของตัวเองทุกอย่างโดยเฉพาะกับพี่ชายอย่างเขา เจ้าเด็กนี่ยังไม่เคยมีแฟนจริงๆจังๆ ไม่เคยเอาใครคนไหนมาอวดให้ฟังว่าปลื้มเป็นพิเศษ แบคฮยอนเป็นคนแรก
“ว่าไง”
“แล้วนายล่ะ”
แต่เพราะมันแสดงออกมากเกินไป หลายครั้งเลยอดนึกไม่มั่นใจไม่ได้ว่าตกลงแล้วเจ้าน้องชายมันชอบของมันแบบไหนกันแน่ แบบที่อยากได้เป็นแฟนจริงๆหรือแค่เพื่อนที่หวงมากเท่านั้น
“จริงจังกับเด็กนั่นหรอ”
“ใช่ ผมจริงจัง”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องถามความเห็นฉันหรอก ฉันไม่มีนิสัยชอบแย่งของของใคร”
“มันเสียสละกันได้ด้วยหรอของแบบนี้ พูดใครก็พูดได้ แต่ความรู้สึกเนี่ยสิมันจะฟังเราด้วยหรือเปล่า”
“….”
“ถ้าพี่บอกมาตรงๆอย่างน้อยผมจะได้ระวัง ดีกว่าปิดบังเพื่อให้ผมสบายใจแล้วต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ให้หัวเสียทีหลังอีก”
“นายโตขึ้นกว่าที่ฉันคิดนะ”
“พี่มีพี่ซอรินแล้วนะพี่ชานยอล”
“ฉันกับซอรินตกลงเป็นเพื่อนกันแล้ว”
เซฮุนถึงกับชะงักกับข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ฟังไป
“แสดงว่าพี่คิดจะประกาศศึกกับผมจริงๆสินะ”
“ฉันก็แค่พูดให้ฟัง ไม่ได้หมายความว่าจะแย่งคนของนาย”
“พี่ไม่ชอบให้ใครขึ้นมาอยู่บนเตียงโดยเฉพาะเตียงที่บ้าน ผมยังแทบจะนับครั้งได้ว่าตัวเองเคยมีโอกาสมานั่งตรงนี้ซักกี่ครั้ง ขนาดเพื่อนมาค้างด้วยพี่ยังต้องให้พวกเค้าแยกห้องนอนเลย”
“….”
“พี่รักความเป็นส่วนตัวขนาดนี้แต่แบคฮยอนกลับขึ้นมาอยู่ได้ง่ายๆ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมคิดได้ยังไง”
“….”
“พี่ไม่เถียงผมซักคำ”
พี่ชายไหวไหล่โดยไม่ปริปากออกความเห็นใดๆ ก็ไม่รู้จะเถียงอะไรในเมื่อสิ่งที่เซฮุนพูดมามันถูกทุกอย่าง แต่เขาก็พูดได้ไม่เต็มปากจริงๆว่าชอบแบคฮยอนอย่างที่หลายคนพยายามถาม
ชอบหรือเปล่ายังไม่รู้ ที่รู้คือมันเป็นความรู้สึกเอ็นดู อยากเจอหน้าอีกฝ่ายบ่อยๆ พอเจอแล้วก็อยากยิ้ม อยากมองไปเรื่อยๆ อยากฟังเสียงเจื้อยแจ้วที่เคยรำคาญจนกว่าตัวเองจะเบื่อ และก็อยากลองสัมผัสปากเล็กๆที่มักขยับเถียงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั่นดูซักครั้ง..
แบบนี้เรียกว่าชอบหรือเปล่า
“พี่ยิ้มอะไร!”
“ฉันยิ้มหรอ”
คนฟังทำปากคว่ำ ทุบกำปั้นลงบนที่นอนของพี่ซ้ำแล้วซ้ำอีก “ปาร์คชานยอล ต่อไปนี้ชื่อพี่จะอยู่ในแบล็คลิสลำดับที่หนึ่งของผมแล้ว!”
“….”
“ยินดีด้วย!”
ยินดีด้วยจริงๆปาร์คเซฮุน! มีคู่แข่งหัวใจเป็นพี่ชานยอลชีวิตช่างน่ารักอะไรขนาดนี้... น่ารักกับผีน่ะสิ!! บัดซบที่สุดแล้วต่างหากเล่า! ฮื่อ!
สองวันให้หลัง
ชีวิตแบคฮยอนเริ่มกลับสู่สภาวะปกติหลังจากสอบเก็บคะแนนย่อยวิชาที่สามผ่านพ้นไปด้วยดี คะแนนยังไม่ออกมาให้เห็นแต่แบคฮยอนค่อนข้างพอใจกับผลงานการทำข้อสอบของตัวเองครั้งนี้พอสมควร มั่นใจว่าหลายข้อน่าจะเขียนเข้าเป้าอาจารย์ เพราะคำถามมันตรงกับที่เซฮุนเก็งไว้ให้ซ้อมเขียนบรรยายเยอะเลยทีเดียว
พูดถึงเพื่อนคนนี้แล้วเจอกันอีกทีคงต้องบอกขอบคุณอีกซักรอบ หรือไม่ก็พาไปเลี้ยงไอศกรีมอร่อยๆตอบแทนความมีน้ำใจที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ช่วยติวให้ จะว่าไปว่ามาสองสามวันมานี้เซฮุนดูแปลกไปนิดหน่อย ความจริงก็ตั้งแต่เหตุการณ์ในห้องนอนชานยอลวันนั้นแหละ
แบคฮยอนไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญเรื่องความรักนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เดียงสา ซื่อจนบื้อไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แบคฮยอนรู้ว่าวันนั้นชานยอลอยากแกล้ง ไม่ได้ตั้งใจจะทำเลยเถิดอย่างที่เซฮุนเป็นกังวลจนมางอแงใส่ว่าห้ามเข้าใกล้ชานยอลแบบนั้นหรอก
แบคฮยอนว่าชานยอลออกจะเป็นคนสุภาพนะ ท่าทางรักซอรินมากด้วย อีกอย่างแบคฮยอนก็แค่เด็กชนบทคนหนึ่ง เป็นผู้ชายอีก ไม่มีทางที่ชานยอลจะมาสนใจแน่ๆ
ในส่วนของความรู้สึกของตัวเองแบคฮยอนก็ไม่รู้เหมือนกัน อาการใจสั่นเต้นแรงโครมครามและหน้าร้อนบ่อยๆตอนที่อยู่กับชานยอลน่ะ แบคฮยอนไม่ค่อยชอบเลย มันรู้สึกขัดเขินจนควบคุมตัวเองลำบาก บางทีก็คิดว่าชานยอลอาจจะหล่อเกินไป กลิ่นตัวหอม นิสัยดี ตัวสูงแบบที่แบคฮยอนนึกอิจฉาสุดๆ เพราะความเพอร์เฟคทั้งหมดนี้เลยทำให้แบคฮยอนเขินชานยอลบ่อยล่ะมั้ง.. รึเปล่า...
ปรี๊น ปรี๊น!
เสียงบีบแตรรถทำแบคฮยอนรู้สึกหลอนจนไม่กล้าหันกลับไปมอง มันเริ่มเป็นแบบนี้ตั้งแต่เหตุการณ์เฉียดตายคราวก่อน เขาไม่กล้าคุยโทรศัพท์ตอนเดินอยู่ริมถนนหรือลงไปเดินด้านล่างฟุตบาธอีกเลยเนื่องจากกลัวจะมีรถใครพุ่งเข้ามาหาอีก
ปรี๊น ปรี๊น!
“ไม่ได้ยินเสียงแตรรถฉันหรือไง”
แต่เพราะเสียงทุ้มต่ำแสนคุ้นเคยนั้นดังขึ้นมา ใบหน้าน่ารักจึงหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ “ชานยอล” เมื่อเห็นชัดๆแล้วว่าเป็นใคร แบคฮยอนไม่ลังเลที่จะก้าวเข้าไปหาผู้ที่อุตส่าห์โผล่หน้าออกจากรถเพื่อทักทายคนเดินถนน(ในมหาวิทยาลัย)อย่างเขา
“เลิกเรียนแล้วหรอ”
“อื้อใช่ ชานยอลล่ะ”
“อืม เพิ่งเลิก ไม่มีเรียนต่อแล้ว”
“เหมือนกันเลย”
“แล้วเซฮุนล่ะ” คนตัวสูงสอดส่องสายตาหาน้องชายแต่ก็ไม่พบ “หรือมันกำลังไปเอารถมารับนาย” คนตัวเล็กส่ายหัวพลางยิ้มบอกเสียงสดใส
“เปล่า วันนี้เซฮุนต้องไปถ่ายรูปโปรโมทให้คณะน่ะ ผมเลยจะกลับเอง”
“แล้วไม่ไปด้วยกับมันล่ะ”
“ไปทำไม วันนี้ผมไม่มีซ้อมวิ่งตอนเย็นเลยกะจะใช้เวลาว่างที่เหลือทำอะไรที่อยากทำบ้าง” ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเคร่งเครียดอ่านหนังสือสอบ ซ้อมวิ่ง หรือเรียนมารยาทน่ะ
“ทำอะไรที่อยากทำ? คงไม่ไปเล่นพิเรนทร์ที่ไหนอีกนะ”
“ชานยอลก็พูดอย่างกับผมเป็นเด็กนิสัยไม่ดีไปได้ นี่โตแล้วนะ จะยี่สิบแล้ว นิสัยดีด้วย” ท่าทางการกอดอกนำเสนอตัวเองด้วยความภาคภูมิใจทำคนตัวสูงเบะปากใส่ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ อยากเอื้อมมือไปบีบจมูกน้อยให้สาแก่ใจตัวเองซักทีแต่ก็ตัดใจไม่ทำ
“แล้วอะไรล่ะที่นายอยากทำ”
“กลับไปนอนตีพุงอยู่บนเตียงเฉยๆก็น่าสนดีนะ”
“อ้อ”
“แต่ผมว่าจะทำมันหลังจากที่ตัวเองไปหาของอร่อยๆกินจนพอใจแล้วน่ะ ฮ่ะๆ”
“ไม่เคยพ้นเรื่องกิน”
คำพูดเหน็บแนมไม่ได้สร้างความสะเทือนให้เด็กดื้อเลยแม้แต่น้อย ปลายนิ้วเรียวเคาะลงไปบนคางตัวเอง ดวงตาเล็กกลอกไปมาพร้อมขยับปากบ่นพึมพำถึงสิ่งที่อยากจะกิน ชานยอลมองอยู่นานสองนานก่อนจะดีดนิ้วดับฝันเสียงดัง เป๊าะ! ข้างๆหูของผู้ใหญ่วัยใกล้ยี่สิบ
“ตะกละคิดถึงแต่ของกินน้ำลายไหลหมดแล้ว”
“ฮะ?!” ถามอย่างงงๆขณะใช้แขนเสื้อนักศึกษาของตัวเองเช็ดปากลวกๆ พอรู้ว่าถูกหลอก ไม่มีน้ำลายเลอะออกจากปากเลยซักหยดแบคฮยอนเลยแยกเขี้ยวใส่คนช่างแกล้งทันที ชานยอลหลุดขำอย่างอารมณ์ดีกับปฏิกิริยาที่ได้รับ
“แกล้งผมอีกแล้วอะ ไม่คุยกับชานยอลและ ไปดีกว่า”
“อ้าวเดี๋ยวสิ”
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้ขี้งอนแต่จะไปหาของกินแล้ว”
“เปล่า จะบอกว่าจะไปด้วย”
“ฮะ?”
“ไม่ได้หรอ”
“เอ่อ เปล่า ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วอย่างไหนล่ะ นายทำหน้าเหมือนไม่อยากให้ฉันไปด้วย” คนโดนปรักปรำรีบส่ายหน้าปฏิเสธจนผมสวยๆปลิวไสวตาม
“อยากให้ไปสิ” แบคฮยอนส่งยิ้มตาหยีให้ชานยอลแล้ววิ่งอ้อมขึ้นไปนั่งบนที่นั่งข้างคนขับอย่างไม่มีการรอฟังคำเชิญ ความสนิทสนมที่เพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ทั้งคู่กลายเป็นคนคุ้นเคยต่อกันไปแล้ว
“ถ้าชานยอลไม่ไปด้วยผมก็ต้องไปคนเดียว ไม่ได้กลัวตัวเองเหงานะ กลัวหลงมากกว่า หะหะ” กำปั้นใหญ่ๆทุบลงกลางหัวเด็กดื้อ
“แล้วอยากไปกินที่ไหน”
“ผมอยากเดินกินของอร่อยริมถนน ชานยอลกินได้มั้ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“ง่ะ.. งั้นเราไม่ไปด้วยกันแล้วก็ได้นะ เดี๋ยวผมไปเอ..”
“ลองดูหน่อยก็ไม่มีอะไรน่าเสียหายนี่ ตอนนี้ฉันว่างไม่รู้จะไปไหนพอดี ไปกับนายนั่นแหละ” ชายหนุ่มพูดแล้วหักพวงมาลัยรถเพื่อขับออกไปจากมหาวิทยาลัยทันที แบคฮยอนนั่งจ้องหน้าคนขับตาปริบๆ
“ถามจริง ชานยอลไม่เคยกินมันเลยหรอ”
“กำลังจะเคยนี่ไงล่ะ”
“เคยกินแต่อาหารดีๆราคาแพงๆทั้งนั้นเลยสินะ”
“อาหารแบบไหนก็กินได้ทั้งนั้นแหละ แค่ทำสะอาดก็พอ”
ชานยอลไม่เคยคิดอยากเอาตัวเองเข้าไปเบียดกับผู้คนเยอะๆเพื่อแย่งกันต่อคิวซื้ออาหารเลยสักครั้ง ไม่ชอบยืนหรือเดินกินไม่เป็นที่ไม่เป็นทางด้วย แต่พอแบคฮยอนบอกว่าอยากไป ความคิดอยากเปลี่ยนใจลองไปสัมผัสกับอะไรแบบนี้ก็เกิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ชานยอลคิดว่ามันน่าจะสนุก ได้ลองอะไรใหม่ๆที่ยังไม่เคยลอง ได้ลงไปคลุกคลีกับสิ่งที่ห่างไกลจากตัวเองดูบ้างก็น่าจะดีเหมือนกัน ภายนอกและหลายๆอย่างในตัวเขาอาจดูเป็นคุณชายมากๆ จับต้องยากเอาใจยากก็จริง แต่หากใครได้มารู้จักตัวตนจริงๆแล้วจะรู้ว่าชานยอลไม่ใช่คนถือตัวเองสูงส่งขนาดนั้น
คงต้องขอบคุณนิสัยใจเย็นและความเย่อหยิ่งของตัวเองด้วย เพราะชานยอลไม่ชอบให้ใครมาดูถูกว่าเขาเป็นคุณชายไม่เอาไหน ทำตัวอ่อนปวกเปียกสู้ความลำบากไม่ได้ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนแบบนั้น ชานยอลถึงต้องพยายามฝึกตัวเองให้สามารถทำอะไรได้หลายๆอย่างมาตั้งแต่เด็ก หนักเอาเบาสู้ มีความอดทน อะไรที่คนทั่วๆไปเค้าทำกันได้คุณชายอย่างเขาก็อยากทำให้ได้ด้วย
“ชานยอลดูสิ! มีแต่ของน่ากินเต็มไปหมดเลย!”
ชานยอลพาแบคฮยอนมาทานของอร่อยที่ย่านโคเรียนสตรีทฟู้ด เพิ่งเคยมีโอกาสมาครั้งแรกเหมือนกัน ผู้คนละลานตาจนน่าปวดหัว ทั้งยังแอบอึดอัดเพราะมีแต่คนเหลียวมองเขาราวกับมีสปอร์ตไลท์คอยส่องตามตัวอยู่ตลอดเวลายังไงยังงั้น
“ชานยอลไปกินร้านนั้นกัน!”
แต่ความสดใสเจื้อยแจ้วของแบคฮยอนก็ช่วยได้
“ว้าว.. น่ากินสุดๆ!!!”
ชานยอลชอบมองแววตาเปล่งประกายเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ของแบคฮยอนตอนเจออาหาร มันทั้งน่าส่ายหัวให้และน่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน เขาไม่รู้ว่าบนโลกใบนี้จะมีคนแบบแบคฮยอนอีกซักกี่คน คนที่เต็มไปด้วยความสดใสเหมือนแสงอาทิตย์ในเช้าวันใหม่แบบนี้จะมีอีกกี่คนนะ แล้วถ้ามีอีกเยอะ คนเหล่านั้นจะชอบเผื่อแผ่ความสดใสไปถึงทุกคนเหมือนที่แบคฮยอนชอบทำด้วยหรือเปล่า…
“อันนี้เรียกว่าอะไรอะ”
“ไม่รู้ นายจะซื้ออีกแล้วหรอ”
“ก็มันน่ากิน”
“จะซื้อทุกอย่างที่เห็นว่าน่ากินหมดเลยหรือไง ทานที่ซื้อมาให้หมดก่อนสิ เลอะมือหมดแล้วน่ะเห็นมั้ย” ไม่ใช่แค่มือแบคฮยอน ตอนนี้ซอสจากอาหารมันเลอะมาจนถึงมือชานยอลที่อุตส่าห์มีน้ำใจช่วยถือแล้วด้วย
“ชานยอลช่วยผมกินบ้างสิ ผมจะได้ซื้ออันอื่นชิมอีก”
“นายนี่มัน…”
“อะ อ้าปากเร็ว” ไส้กรอกอันใหญ่เบ้อเริ่มจ่อชิดริมฝีปากคนตัวสูง หากขัดขืนไม่ยอมช่วยแบคฮยอนกินเมื่อไหร่ล่ะก็มันได้เลอะหน้าหล่อๆนี่แน่ แบคฮยอนวางแผนมาดีแล้ว คึคึ!
“อ้าม~”
“เด็กนิสัยเสีย”
“เรามาด้วยกันก็ต้องช่วยกันกินสิถูกแล้ว ไม่ใช่เอาแต่เดินตามต้อยๆชวนให้กินอะไรก็ไม่ยอมกิน เนี่ยอร่อยจะตาย อ้าปากกินอีกคำเร็วเดี๋ยวผมป้อน”
“อย่ามายัดเยียะ.. อื้ม!”
“ฮ่ะฮ่าๆๆๆๆ”
ไส้กรอกชิ้นโตๆชิ้นสุดท้ายถูกยัดเข้าปากคนตัวโตอย่างกะทันหัน ความเผ็ดร้อนตีกันเสียจนชานยอลอยากจะคายมันออกมาให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ไม่กล้า ใบหน้าและหูเริ่มเปลี่ยนสี บวกกับน้ำใสๆที่ปริ่มขึ้นมาในตาคู่สวยของคนตัวโตทำแบคฮยอนรู้สึกผิด รีบมองหาร้านขายน้ำและวิ่งไปซื้อมันกลับมาให้ทันที
“อะแค่กๆ!”
“ชิ้นเมื่อกี้รสเผ็ดอะ ผมไม่รู้ว่าชานยอลกินเผ็ดไม่ได้”
แบคฮยอนชอบกินเผ็ดเลยแวะแต่ร้านที่มันขายอาหารหน้าตารสจัดๆ ถึงว่าทำไมชานยอลไม่ยอมทานด้วย ที่แท้กินเผ็ดไม่ได้นี่เอง “ขอโทษ อย่าโกรธกันนะ”
“อืม” กระดกน้ำเปล่าขึ้นดื่มอีกรอบจนเกือบหมดขวด “คราวหน้าคราวหลังจะยัดเยียดอะไรให้ใครทาน นายต้องถามเค้าก่อนว่าเค้าทานได้มั้ย ไม่ใช่..”
“ขโมย!!!!!! ใครก็ได้ช่วยจับไอ้เด็กหัวขโมยนั่นให้ที!!!!”
เสียงแม่ค้าร้านขายหมั่นโถวซาลาเปาโหวกเหวกโวยวายดังมาแต่ไกล ไม่เพียงแต่จะสามารถขัดบทสนทนาระหว่างชานยอลแบคฮยอนได้เท่านั้น ทว่าใครก็ตามที่กำลังทำอะไรอยู่จำเป็นต้องหยุดการกระทำโดยอัตโนมัติ หันไปให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นด้วยความตกใจเหมือนๆกันหมด
“จับมันที! ช่วยจับไอ้เด็กหัวขโมยนั่นที!!!”
เด็กหัวขโมยที่ว่าวิ่งผ่านหน้าชานยอลและแบคฮยอนไปหมาดๆ เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือดังขึ้นอีกหลายครั้งแต่ผู้คนแถวนี้กลับลังเลกับการช่วยเหลือ ชักช้าน่าขัดใจจนแบคฮยอนทนดูไม่ไหว ตัดสินใจวิ่งตามเด็กหัวขโมยคนนั้นซะเองโดยไม่มีการปรึกษาถามความเห็นจากชานยอลก่อน
“แบคฮยอน!”
เอาอีกแล้วนะไอ้เด็กดื้อ! จะอยู่นิ่งๆเฉยๆไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้ซักวันไม่ได้เลยใช่มั้ย! ชานยอลส่ายหัว พร่ำบ่นอีกฝ่ายในใจหากก็ยังวิ่งตามหลังไปดูด้วยความเป็นห่วง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเด็กหัวขโมย!”
ตึกตั่กๆๆ!
เสียงฝีเท้าแบคฮยอนดังไล่หลังเด็กชายตัวเล็กไวจนน่ากลัว เด็กหัวขโมยเหงื่อตก หันหน้ากลับไปมองผู้ที่วิ่งตามใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้วยิ่งต้องออกแรงวิ่งหนีสุดชีวิต
“อย่าตามผม!!”
“อย่าต้องให้เหนื่อยกันทั้งคู่ดีกว่า หยุดวิ่งแล้วเอาของกลับไปคืนเค้าดีๆซะ!”
“ไม่เอา! ป้าคนนั้นต้องพาผมส่งตำรวจแน่!”
“ไม่อยากถูกจับส่งตำรวจแล้วขโมยของเค้าไปทำไม”
“พี่ไม่ใช่ผมพี่ไม่เข้าใจ!”
“เชื่อฉันเถอะว่ายังไงนายก็หนีไม่พ้น”
“แฮ่กๆๆ!”
‘แบคฮยอน!’
เสียงเรียกชื่อจากชานยอลที่วิ่งตามหลังมาไม่ได้ดึงความสนใจของแบคฮยอนให้ออกจากเด็กหัวขโมยตรงหน้านี้ได้เลย “ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้ายังไม่หยุดนายได้เจอไม้ตายฉันแน่”
“อย่ามาขู่ผมหน่อยเลย!”
“หนึ่ง!”
“ผมไม่กลัวพี่หรอก”
“สอง!”
“คิดจะทำอะไร บอกอย่าตามมาไงเล่า!”
“ให้โอกาสคิดใหม่อีกครึ่งวิ”
“บอกว่าไม่ก็ไม่สิว่อยไอ้หน้าเต้าหู้!!!!”
“หึ เดี๋ยวรู้เรื่อง!”
แบคฮยอนหยุดวิ่งก่อนจะรีบถอดรองเท้าผ้าใบข้างนึงของตัวเองออก ง้างแขนเล็งเป้าหมายอยู่ไม่กี่อึดใจก็จัดการเขวี้ยงรองเท้าข้างนั้นออกไปอย่างสุดกำลัง! ถ้าไม่โดนแบคฮยอนยอมให้ไอ้เด็กนั่นเอารองเท้าข้างนั้นไปเหยียบขี้หมาแฉะๆแล้วเอามาปาหน้าแบคฮยอนกลับได้เลย จะไม่มีการขยับหนีแม้แต่น้อยสาบานได้!
ฟิ้วววว!~
พลั่ก!!!!
“โอ้ยยย!”
เพราะแบคฮยอนมั่นใจมากว่าตัวเองจะไม่มีวันพลาด มันไม่เคยพลาดเลยสักครั้งรวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน!
“โอ้ย…”
“ฉันเตือนนายให้หยุดดีๆแล้วอยากเจ็บตัวเอง”
แบคฮยอนเดินเข้าไปหาเด็กหัวขโมยพร้อมกับก้มลงเก็บรองเท้าขึ้นมาสวมต่อ “ยังโชคดีที่เจอแค่รองเท้า ถ้าเป็นหนังสติ๊กนายเจ็บกว่านี้แน่” แบคฮยอนจะใช้ก้อนหินยิงขาให้วิ่งไม่ได้ไปหลายวันเลยคอยดู เอาให้เหมือนกับที่พ่อเฒ่าชอบสอยเขาลงจากต้นไม้น่ะ เจ็บขนาดไหนเขาที่ผ่านมันมาแล้วย่อมรู้ซึ้งดี
“คิดว่ารองเท้ามันไม่ทำผมเจ็บหรือไง! โหดร้ายกับเด็กชะมัด..”
“เด็กหัวขโมยสมควรโดนหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ” บุคคลที่สามเดินเข้ามาสมทบ ย่อตัวนั่งยองๆลงตรงหน้าเด็กขี้ขโมยที่กำลังนั่งกุมท้ายทอย โอดครวญกับความเจ็บปวดที่เพิ่งได้รับอย่างหมดสภาพ
“เอาไงต่อดีชานยอล” แบคฮยอนย่อตัวนั่งยองๆตาม หยิบถุงกระดาษบรรจุของกลางที่เด็กคนนี้ขโมยติดมือมาด้วยขึ้นมาเปิดดูข้างใน
“เดี๋ยวพวกเจ้าทุกข์คงตามมา จะจัดการยังไงต่อก็ให้เป็นเรื่องของเค้าไปแล้วกัน”
“ขโมยซาลาเปา?”
เด็กหัวขโมยมองหน้าแบคฮยอนแล้วเม้มปากแน่น “นายเพิ่งหัดเป็นหัวขโมยครั้งแรก?”
“พี่รู้ได้ยังไง”
“คนที่มีนิสัยขี้ขโมยเค้าไม่ทำอะไรโจ่งแจ้งให้คนอื่นมาจับได้กันง่ายๆแบบนี้หรอก ไม่ทำหน้าเหมือนที่นายกำลังทำตอนนี้ด้วย” ไม่ต้องเค้นถามหน้าตาก็สารภาพหมดเปลือกแล้วว่าไปขโมยของเค้ามาจริงๆ “ขโมยของเค้ามาหน้าด้านๆเลยล่ะสิ”
“….”
“ยังอ่อนหัดนะ ฉันรู้เพราะฉันเคยผ่านมันมาหมดแล้ว” ชานยอลหันขวับไปที่แบคฮยอนแทบจะทันที คนที่กำลังจะถูกเข้าใจผิดจึงรีบแก้ตัว “ผมไม่ได้ขี้ขโมยจนติดเป็นนิสัยนะ”’
คนฟังหรี่ตามองอย่างจับผิด
“จริงๆ! ในชุมชนมีเด็กแบบนี้อยู่หลายคนและผมก็จับเด็กพวกนั้นได้บ่อยๆก็เลยรู้ต่างหาก ชานยอลอย่ามองผมอย่างนั้นสิ”
“เคยเป็นหัวโจกทำเรื่องแบบนี้มาก่อนก็บอก”
“เปล่านะ”
“หรอ”
“วัตถุประสงค์การทำความผิดของคนเรามันต่างกันน่า”
“ข้ออ้างของเด็กนิสัยเสียทั้งนั้น”
“ตอนนี้ผมไม่ได้ทำแล้วซักหน่อย”
“ให้แน่เถอะ”
“แนะ..”
“เลิกจีบกันแล้วสนใจผมก่อนได้มั้ย!”
“หยา”
“จะปล่อยไปหรือจะยังไงรีบบอกก่อนที่คนพวกนั้นจะมาจับผมเถอะ” แบคฮยอนโบกท้ายทอยเด็กชายให้ร้องโอดครวญขึ้นมาอีกรอบ
“เอาล่ะ เคยได้ยินใช่มั้ยว่าเด็กนิสัยไม่ดีมีโอกาสไม่มาก”
“….”
“ฉันได้ยินมันมาเกือบทั้งชีวิตเลยล่ะ เพราะงั้นฉันจะให้โอกาสนายสารภาพบาป”
“พี่จะช่วยผมหรอ”
“ถ้ามีความจำเป็นอย่างอื่นที่ทำให้นายต้องทำแบบนี้ทั้งที่ไม่ได้อยากทำ ฉันอาจจะช่วย แต่นายต้องพูดความจริงเท่านั้นนะ”
“แบคฮยอน!” ชานยอลไม่เข้าใจ ทำไมแบคฮยอนต้องจะช่วยเด็กนิสัยไม่ดีแบบนี้ด้วย
“ว่าไง หรืออยากถูกจับส่งตำรวจจริงๆ”
“ไม่! คือผมหนีออกจากบ้านมาหลายวันแล้ว เงินหมดไปกับร้านเกมส์จนไม่มีปัญญาซื้อข้าวกิน ผมรู้ว่ามันไม่ดี แต่..”
“….”
“ผมทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่มีอะไรตกถึงท้องผมมาสามวันแล้ว ผมหิว ผม…”
“มันไม่ใช่นิสัยจริงๆของนายใช่มั้ย ก่อนหน้านี้นายเป็นเด็กดีหรือเปล่า”
“ผม...”
“เป็นเด็กไม่ดีมาก่อนหรอ”
เด็กชายส่ายหน้าพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า ยังไม่ทันได้พูดกันให้เคลียร์ กลุ่มคนนับสิบเดินเอะอะโวยวายถือไม้มุ่งตรงเข้ามาทางนี้อย่างเอาเรื่อง
“ผมไม่เคยทำเรื่องแย่ๆกับใคร! นี่เป็นครั้งแรกของผมจริงๆนะ! ผมหิว ผมไม่รู้จะทำยังไง พี่เชื่อผมนะ อย่าให้พวกเค้าพาผมส่งตำรวจเลย อย่าให้พวกเค้าตีผม ผมผิดไปแล้ว! ผมผิดไปแล้ว!” แบคฮยอนกับชานยอลผละตัวหลบแทบไม่ทันตอนที่เด็กชายโค้งหัวสำนึกผิดลงมาแทบเท้าพวกเขานับครั้งไม่ถ้วน
“ได้โปรดเถอะ! ช่วยผมด้วย ผมผิดไปแล้ว อย่าให้พวกเค้าทำอะไรผมเลยนะ”
“ชานยอล..” คนตัวโตเบือนหน้าหนีสายตาเว้าวอนของคนตัวเล็ก “ช่วยเถอะ” มือเรียวเขย่าแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามหลายๆทีเพื่อให้อีกคนยอมใจอ่อน ยิ่งกลุ่มคนพวกนั้นทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่แบคฮยอนยิ่งกลัวไปด้วย ถึงเด็กคนนี้จะทำผิดจริง ไปขโมยของเค้ามาจริงๆแต่ก็อดเห็นใจไม่ได้
แบคฮยอนเข้าใจความรู้สึกคนที่อดอยากดี ตอนยังเด็กเขาเองก็เคยแอบขโมยกินของบ้านคนอื่นประทังชีวิตเพราะเลือกไม่ได้เหมือนกัน ถ้าไม่ทำก็ต้องอดตาย ถึงแม้ที่ไปที่มาของการทำผิดจะต่างกันแต่แบคฮยอนก็ยังอยากให้โอกาสเด็กชายได้กลับตัวกลับใจใหม่เหมือนที่ผู้ใหญ่เคยให้เขา
“ชานยอลช่วยเด็กคนนี้เถอะนะ”
“คนทำผิดก็ต้องได้รับโทษ เราช่วยทุกคนไม่ได้นะแบคฮยอน”
“แต่เด็กคนนี้ไม่ได้ตั้งใจชานยอลก็ได้ยินแล้ว”
“มีทางเลือกอื่นตั้งเยอะแยะ ไม่มีเงินจะกินอย่างน้อยก็เรียกรถกลับบ้านสิ ไม่เห็นต้องมาทำตัวเป็นขโมยแบบนี้” แบคฮยอนเหลียวหลังไปมองกลุ่มคนด้วยใจเต้นระส่ำ ก่อนจะหันกลับมามองเด็กชายที่ยังคงโค้งหัวขอความเมตตาไม่หยุดอีกรอบ
“ผมเชื่อว่าเด็กคนนี้ไม่ได้อยากขโมยของใคร ผมเข้าใจความรู้สึกจนตรอกนี้ดีชานยอล จะว่าผมนิสัยไม่ดีช่วยคนผิดเพราะเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้งก็ได้ แต่ขอร้องล่ะ ช่วยเขาเถอะ ช่วยเขานะชานยอลผมขอร้อง”
‘นั่นไง มันอยู่ตรงนั้นไอ้เด็กหัวขโมย!!’
“ได้โปรด! ผมจะไม่ทำอีกแล้วผมสัญญา”
“ชานยอล”
“….”
“ช่วยนะชานยอล”
“นายนี่มันตัวกวนใจฉันจริงๆเลยแบคฮยอน” ตัวเองอยากช่วยเองแท้ๆ แล้วเรื่องอะไรมาผลักภาระให้เขาต้องลำบากช่วยอีกทอดอย่างนี้ล่ะ มันน่าตีจริงๆเลยให้ตาย
“น๊า..”
“เฮ้อออ”
ปาร์คชานยอลทำหน้าตึง แผ่บรรยากาศแห่งสงครามเย็นเข้าสู่ทุกพื้นที่ภายในรถหรูซูปเปอร์คาร์คันนี้ เด็กชายผู้อาศัยรถคนใหม่แทบไม่กล้าหายใจดัง ทั้งเกร็งทั้งกลัว ดีหน่อยที่ได้เสียงพี่ชายหน้าตาน่ารักช่วยผ่อนคลายบรรยากาศให้ดีขึ้น
หลังจากตัดสินใจช่วยเด็กนิสัยเสียทั้งสองคนไว้ ชานยอลต้องยืนรับฟังคำด่าทอสาปแช่งเด็กต่างๆนาๆ ทั้งยังออกหน้าช่วยเจรจาและจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายไปจำนวนหนึ่งเจ้าทุกข์เค้าถึงจะยอมหุบปากดีๆ
ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาช่วยคนทำผิดแบบนี้ เงินก็เสียไปฟรีๆทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แถมยังต้องพาไอ้เด็กพวกนี้ไปเลี้ยงข้าวต่อและยังต้องเหนื่อยขับรถมาส่งเด็กชายเจ้าปัญหาคนใหม่ให้ถึงบ้านอีก เป็นความคิดใครคงไม่ต้องให้บอก
หมู่บ้านของเด็กชายเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ต้องจอดรถไว้ตรงถนนด้านล่างและพากันเดินขึ้นเนินไปอีกหลายสิบเมตรถึงจะถึงที่หมาย ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกมาพร้อมหญิงวัยกลางคนบทดราม่าระหว่างแม่ลูกก็เกิดขึ้นไปร่วมๆครึ่งชั่วโมง
ชานยอลและแบคฮยอนได้ฟังเรื่องราวต่างๆแล้วอดดีใจไม่ได้ที่เลือกช่วยคนไม่ผิด ผู้เป็นแม่ยืนยันเองว่าเด็กชายไม่ใช่เด็กไม่ดี แค่มีปัญหากับแม่เรื่องฐานะทางการเงินที่บ้าน เด็กชายไม่อยากเรียนต่อ ไม่อยากเป็นภาระเลยหนีออกมา แต่ด้วยวัยเพียงสิบสามปี ติดเกมส์ติดเพื่อน และรู้เท่าไม่ถึงการณ์เลยทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็โดนไม้เรียวไปหลายทีแต่แบคฮยอนก็อดยิ้มตามไม่ได้ที่แม่ลูกปรับความเข้าใจกันดีแล้ว
ก่อนกลับเด็กชายได้ให้ของบางอย่างตอบแทนน้ำใจพี่ชายใจดีทั้งสองคนด้วย ซึ่งแบคฮยอนก็ได้เล่นกลโดยให้กุหลาบแดงหนึ่งดอกไว้กับเด็กชายคนนั้นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกัน ก่อนจะบอกลากันในที่สุด
“มันเรียกว่าอะไรนะชานยอล”
ระหว่างพากันเดินกลับไปที่รถ เด็กดื้อชูเจ้าเครื่องดนตรีประเภทเป่าชิ้นเล็กในมือพลิกดูไปมาด้วยความสนอกสนใจ เด็กชายคนนั้นให้ของสำคัญชิ้นนี้มา บอกว่าเป็นของขวัญวันเกิดชิ้นแรกที่พ่อซื้อให้ อยากให้ผู้มีพระคุณอย่างพวกเขาเก็บมันไว้เป็นที่ระลึก แบคฮยอนฟังแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำความดีอันแสนยิ่งใหญ่ไว้มากมายจนยิ้มไม่หุบเลยล่ะ
แต่คิดๆแล้วก็อยากเอามันกลับไปคืนให้เจ้าของอีกแล้วเพราะมันดูมีค่าเกินไป อีกทั้งพ่อของเด็กชายคนนั้นก็เสียไปแล้วด้วย ต้องประทับใจกันแค่ไหนถึงกล้าให้ของสำคัญกับเขามาแบบนี้
“ชานยอลผมจำชื่อมันไม่ได้”
“ฮาโมนิก้า”
“เอ้อ ใช่! ฮาโมนิก้านี่เอง ว่าแต่มันเป่ายังไงอะ”
“….”
“ชานยอลว่าเราควรเอามันกลับไปคืนให้น้องมาร์คหรือเปล่า” ใช่ แบคฮยอนรู้จักชื่อเด็กคนนั้นแล้ว ให้เบอร์ติดต่อไว้อีกต่างหาก ฮี่ๆ
“หรือควรเก็บไว้ดีแล้ว”
“….”
“ชานยอล” มือเรียวคว้าข้อแขนแกร่งไว้ ขมวดคิ้วจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างต้องการคำตอบ “ชานยอลยังไม่หายโกรธเรื่องที่ผมช่วยมาร์คไว้อีกหรอ” คนตัวโตถอนหายใจพลางแย่งฮาโมนิก้ามาเป่าเล่น สองเท้าขยับเดินหนี ทำเมินเสียงเจื้อยแจ้วทั้งที่ในใจไม่ใช่แบบนั้นเลย
“เราทำความดีนะชานยอล เราให้โอกาสเด็กคนหนึ่งได้กลับตัวกลับใจใหม่เลยนะ แล้วเด็กที่เราช่วยก็ไม่ใช่คนไม่ดีด้วย”
แบคฮยอนได้ยินเพียงเสียงจากเครื่องดนตรีที่อีกฝ่ายเป่าเล่นเท่านั้น ชานยอลขายาวมาก ก้าวทีเดียวเดินนำหน้าแบคฮยอนไปตั้งเยอะ ลำบากให้ต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปอีก
“ผมรู้ว่าชานยอลไม่ชอบอะไรแบบนี้ แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ผมก็จะขอให้ชานยอลช่วยทำเหมือนเดิมอีกอยู่ดี” ชายหนุ่มหยุดเท้ากะทันหัน ส่งผลให้คนที่เร่งเดินตามมาหน้าชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างดัง ปั่ก!
“นายมันไม่เคยเปลี่ยน ดื้อ!”
“งื้อ..”
“ฉันควรจะจัดการกับนิสัยเอาแต่ใจจนเคยตัวของนายยังไงดี”
“ชานยอลอ่า”
“ช่วยคนทำความผิดก็ไม่ต่างอะไรจากเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยหรอก ถ้าวันนี้เจ้าทุกข์เค้าไม่ยอมง่ายๆ ทั้งนายทั้งฉันก็ต้องเดือดร้อนไปด้วยรู้หรือเปล่า”
“ผมรู้ว่าชานยอลไม่ปล่อยให้เรื่องมันบานปลายแบบนั้นหรอก ชานยอลเก่งจะตาย ยังไงก็จัดการปัญหาได้อยู่แล้ว” นิ้วหนาดีดลงไปบนกลางหน้าผากมนอย่างเหลืออด
“อ้าก! เจ็บ!”
“หัวหมอแต่กับเรื่องแบบนี้”
ปากอาจจะดุ แต่การกระทำกลับสวนทางกันโดยสิ้นเชิง ตอนลมพัดมาจนผมหน้าของเด็กดื้อเปิด เผยให้เห็นรอยแดงที่น่าจะมาจากฝีมือการดีดหน้าผากของเขาเองชานยอลก็รู้สึกผิดขึ้นมา นิ้วหนาลูบคลำสัมผัสมันเบาๆ เปลี่ยนความแข็งกระด้างให้เป็นความอ่อนโยนได้ง่ายราวกับพลิกหน้ามือหลังมือ แบคฮยอนตามอารมณ์แทบไม่ทัน..
“ทำไมมันแดงอย่างนี้ล่ะ”
“ก็ชานยอลมือหนัก”
“เจ็บมากหรือเปล่า”
“เริ่มหายแล้ว”
“หรอ”
“ชานยอลชอบปากร้ายแต่ใจดีกับผมแบบนี้อยู่เรื่อย...”
“….”
“ถึงวันนี้ชานยอลจะไม่ได้เต็มใจ แต่ก็ขอบใจนะที่สุดท้ายก็ยอมตามใจผมอีกแล้ว”
“มันจะไม่มีอีก”
“ผมเชื่อว่าถ้ามีอีกชานยอลก็จะช่วยผมเหมือนเดิม” เด็กดื้อดึงมือชานยอลขึ้นมาพลางประกบมือข้างหนึ่งของตัวเองลงไป มันเป็นเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อมือน้อยปล่อยออกก็มีสิ่งใหม่เข้ามาแทนที่ ดอกหญ้าหนึ่งดอกวางอยู่กลางฝ่ามือของปาร์คชานยอล นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่แบคฮยอนให้มันกับเขา
“ให้แทนคำขอบคุณสำหรับวันนี้และที่ผ่านๆมานะ”
“เด็กคนนั้นได้ดอกกุหลาบ แต่ฉันกลับได้ดอกหญ้าอีกแล้ว”
“ชานยอลอยากเปลี่ยนหรอ”
“ทำไมนายถึงชอบมัน”
“ไม่รู้เหมือนกัน ผมว่ามันน่ารักดี อาจจะดูไม่มีค่าเท่าไหร่แต่ก็ชอบไม่รู้ทำไม”
“อืม”
“แต่ถ้าชานยอลไม่ชอบเดี๋ยวผมเปลี่ยนให้ก็ได้”
“ไม่ต้อง” คนตัวสูงรีบเบี่ยงตัวหลบ ไม่ให้เจ้าของมันได้เอากลับคืนไปได้ “ฉันพอใจแล้ว ไม่ต้องเปลี่ยน”
“จริงน่ะ”
“เมื่อก่อนฉันไม่ได้สนใจที่จะมองมัน พอตอนนี้เริ่มได้มองไปเรื่อยๆก็รู้สึกว่ามันน่ารักจริงๆนั่นแหละ”
“ใช่มั้ย ดอกหญ้านี่น่ารักจะตาย ผมว่าถ้าทุกคนไม่มองข้ามมันไปซะก่อนก็คงได้เห็นความสวยของมัน”
“นั่นสิ”
“ดีจังที่ชานยอลชอบมันด้วย”
คนตัวโตหลุบตาลงมองดอกไม้ในมือ “ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน แต่มันก็...” และค่อยๆเลื่อนสายตากลับขึ้นมามองหน้าคนตัวเล็ก
“น่าจะชอบเข้าแล้วจริงๆ”
#ficmysscb
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พิชาน ชอบน้องจริงๆ
พี่ชานชอบน้องแล้ว วุ้ยยยย
แหมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!