คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทเริ่มต้นและจุดจบของสงคราม
บทเริ่มต้นและจุดจบของสงคราม
“แพนโทล่า”เป็นชื่อของมหานครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกมนุษย์ที่รวบรวมเหล่ามนุษย์ที่แปลกแยกแตกต่างออกมาจากมนุษย์ธรรมดาทั่วๆไปเป็นเพราะมนุษย์ธรรมดาทั่วๆไปไม่อาจยอมรับพวกเขาเหล่านั้นได้อาจจะเพราะความขลาดกลัวต่อพลังที่พวกเขาไม่รู้จักพลังที่พวกเขามองว่าอาจเป็นอันตรายต่อพวกเขาในอนาคตได้ดังนั้นใครก็ตามที่มีพลังที่ว่านี้จะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดและถูกรังเกียจรังแกจากผู้คนจนรอบข้างถึงแม้พวกเขาเหล่านั้นจะไม่ได้ใช้พลังที่ว่านั้นทำร้ายใครเลยก็ตามกลับตรงกันข้ามพวกเขากลับพยายามปรับตัวอยู่ร่วมกับทุกคนอย่างคนธรรมคนหนึ่งแต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามปรับตัวแค่ไหนพยามทำดีกับทุกคนยังไงพวกมนุษย์ธรรมดาก็ยังไม่ยอมรับพวกเขาเหมือนเดิมซ้ำยังถูกมองว่าเป็นการเสแสร้งแกล้งทำเพื่อให้พวกตนไว้เนื้อเชื่อใจแล้วคิดทำร้ายพวกตนในภายหลัง ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นที่ถูกคนทั่วไปมองเป็นตัวประหลาดที่น่ารังเกียจสำหรับคนธรรมดาจึงได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่แต่ในป่าลึกหรือที่ๆห่างไกลจากผู้คนที่มองพวกเขาว่าเป็นตัวอันตราย แต่ก็มีบางคนที่รวมกลุ่มกันเฉพาะคนที่มีพลังแปลกประหลาดที่ว่านั่นช่วยกันฝึกฝนพัฒนาความสามารถของตนและของคนในกลุ่มจนพวกเขามองว่าพลังที่พวกเขามีนั่นเป็นพลังที่ได้รับมาจากเทพเจ้าอีกทั้งบางคนยังสามารถใช้พลังได้มากกว่าอีกหนึ่งชนิดด้วยซ้ำและพวกเขาได้ออกเดินทางไปทั่วโลกมนุษย์เพื่อที่จะรวบรวมพวกที่มีพลังพิเศษต่างๆที่เหมือนพวกเขาแต่ก็ใช่ว่าเมื่อพวกเขาแยกตัวออกมาอยู่อย่างต่างหากพวกมนุษย์ธรรมดาจะเลิกหวาดกลัวกลับกันพวกนั้นกลับขลาดกลัวและระแวงยิ่งกว่าเดิมพวกมนุษย์ธรรมดาจึงได้รวมตัวกันเพื่อที่จะกำจัดพวกที่มีพลังแปลกประหลาดที่น่ากลัวในสายตาของพวกเขานั้นให้หมดไปจากโลกมนุษย์ซะเมื่อพวกผู้มีพลังพิเศษถูกทำร้ายมากๆเข้าพวกเขาจึงจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องตัวเองจากการถูกทำร้ายแต่ผู้เขาก็ไม่เคยทำร้ายใครจึงกับตายมาก่อนแต่พวกเขายิ่งถูกมองว่าเป็นตัวอันตรายและเภทภัยยิ่งกว่าเดิมเพราะพลังของพวกเขามีอำนาจการทำลายล้างและการโจมตีรุนแรงกว่าอาวุธของมนุษย์ธรรมดาจะต้านทานได้ พวกมนุษย์ธรรมดาจึงได้สร้างอาวุธที่มีพลังในการทำลายล้างที่สูงกว่าเดิมโดยเรียกกระบวนการสร้างอาวุธนั้นว่า “สรรพาวุธวิทยา” ซึ่งมีกระบวนการสร้างที่สลับซับซ้อนผ่านการคิดวิเคราะห์หลักเหตุและผลในตามเป็นไปได้ที่จะให้เกิดอาวุธชิ้นนั้นๆขึ้นมาเช่น จากดาบธรรมดาๆเล่มหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยการใช้พลังจากแร่ธาตุที่มีอยู่ตามธรรมชาติมากมายที่ภายในเมืองต่างๆนำมาใช้ในการให้พลังงานด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นแสงสว่าง ความร้อน (ไฟ) เป็นต้น ได้นำเอาแร่ธาตุต่างๆที่ให้พลังงานที่แตกต่างกันในแต่ละชนิดมาสกัดด้วยการใช้พลังงานความร้อนหลอมละลายแร่ธาตุพร้อมกับดาบไปพร้อมกันและใส่ผงหลอมรวมแร่ธาตุให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับธาตุเหล็กที่เคยเป็นดาบมาก่อนแล้วค่อยนำมาใส่ในแม่แบบเพื่อขึ้นรูปร่างของดาบเล่มใหม่แล้วใส่ผงแช่แข็งที่สกัดมาจากผลึกน้ำแข็งและต้นเมร่าที่ช่วยในการคงสภาพคุณสมบัติของผลึกน้ำแข็งให้คงที่หลังการสกัดเรียบร้อยแล้ว พอเนื้อดาบเริ่มแข็งตัวได้ที่แล้วจึงนำดาบออกจากแม่พิมพ์แล้วทำการตีดาบให้เป็นรูปเป็นร่างพอตีดาบเป็นรูปเป็นร่างเสร็จจึงนำลงแช่น้ำเย็นเพื่อให้เนื้อแข็งและเป็นเนื้อเดียวกันหลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนในการทำด้ามและปลอกดาบขึ้นมาจึงเป็นอันเสร็จ ดั้งนั้นดาบและอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จึงมีอานุภาพและพลังในทำลายล้างมากกว่าเดิมหลายเท่านัก ดังนั้นสงครามระหว่างผู้ใช้พลังพิเศษและมนุษย์ผู้ใช้อาวุธที่สร้างและเสริมแร่ธาตุเข้าไปให้มีพลังในการทำลายมากขึ้นจึงได้อุบัติขึ้นมาอย่างที่มันควรจะเป็นไปตามสัญชาตญาณของมนุษย์ที่หวาดกลัวต่อสิ่งที่พวกเขาไม่รู้จักจึงได้คิดแต่จะทำลายกวาดล้างไปให้สิ้นซากก่อนสิ่งที่พวกตนกลัวจะเกิดขึ้นจริง
สงครามระหว่างผู้ใช้พลังพิเศษและมนุษย์ผู้ใช้อาวุธและฝีมือที่ได้รับการฝึกฝนจากทางกองทัพมาอย่างดี ได้ดำเนินมาเป็นเวลาแรมปีโดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับความเสียหายผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก “ไรอา เลสเชส “ ผู้นำของผู้ใช้พลังพิเศษซึ่งเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงามรักพวกพ้องและลูกน้องของตนเป็นอย่างมากจึงไม่อยากให้พวกพ้องและลูกน้องของตนต้องสูญสิ้นไปมากกว่านี้ เขาจึงได้มีคำสั่งเรียกเหล่าแม่ทัพและขุนพลทั้งหมดเข้าประชุมหารือหาทางออกให้กับสงครามครั้งนี้ที่แม้แต่ตนก็ยังไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำเพราะเขาเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะไม่ให้เกิดสงครามในครั้งนี้ตั้งแต่แรกแต่เขาก็ไม่อาจทำสำเร็จแต่ในครั้งนี้เขาต้องทำให้สำเร็จให้จงได้ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลกก็ตาม
สองนาฬิกาเป็นเวลาที่ทั้งสองฝ่ายได้ถอยทัพกลับเข้าไปในอาณาเขตที่ตั้งทัพของแต่ละฝ่าย ที่กระโจมแก้วทึบที่มองเข้ามาจากภายนอกจะมองไม่เห็นภายในแต่ถ้ามองจากภายในจะเห็นภายนอกอย่างชัดเจน เพราะกระโจมหลังนี้สร้างขึ้นจากนักเวทย์ชั้นสูงของกองทัพผู้ใช้พลังพิเศษ ภายในกระโจมแก้วตรงกลางกระโจมแก้วมีโต๊ะตัวใหญ่และเก้าอี้ที่ตั้งอยู่รอบๆโต๊ะเป็นจำนวนมากตามมุมกระโจมมีแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนแท่งหินส่งกลิ่นหอมชื่นใจให้ผู้ที่อยู่ในกระโจมได้ผ่อนคลายจากความเครียดจากสงครามที่เกิดขึ้น บนกลางโต๊ะมีแผนที่เส้นทางการทำศึกอยู่ ส่วนรอบๆโต๊ะตอนมีร่างของผู้เข้าร่วมประชุมนั่งอยู่อย่างครบถ้วนทุกคน
“เอาละในเมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้วข้าจะได้เข้าเรื่องที่จะพูดสักที “ เฮ้อ” ข้านึกว่าต้องรอให้พวกเจ้าพูดคุยนินทากันเสร็จซะก่อนถึงจะได้เริ่มการประชุมซะอีก เสียงไรอาแกล้งถอนหายใจเสียงดังและพูดแซวทุกคนในห้องประชุมดังขึ้นเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของทุกคนขึ้นมาได้หลังจากเคร่งเครียดจากการทำศึกมานาน
“ ท่านไรอาก็พูดเกินไปพวกเราไม่ได้นินทาใครกันสักหน่อยแค่พูดคุยกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ชายร่างใหญ่มีหนวดเคราอยู่ตามใบหน้าพอสมควร ผมสีดำ สวมใส่ชุดเกาะทั่วทั้งร่างมีป้ายหยกห้อยอยู่บริเวณเอวพูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย
รานอส เจ้านะเป็นถึงแม่ทัพแห่งกองทัพผู้ใช้พลังพิเศษนะหัดทำตัวให้ลูกน้องมันเคารพซะบ้าง ไม่ใช่ว่างทีไรเอาแต่ชวนลูกน้องจับกลุ่มนินทาอยู่นั่นแหละ ไรอาพูดตำหนิรานอสถึงจะไม่จริงจังนักแต่ก็ถึงกับทำให้รานอสหน้าจ๋อยลงได้
“ใช่ครับๆ เจ้าบ้ารานอสนะชอบจับกลุ่มนินทาข้ากับลูกน้องตัวเองอยู่เรื่อย”เสียงผู้ชายที่นั่งตรงข้ามกับรานอสดังขึ้นถึงกับทำให้รานอสถลึงตามองทันที
“เจ้าว่าไงนะ เจ้าบ้าเทโน ข้าไปจับกลุ่มนินทาเจ้าเมื่อไรกัน” รานอสพูดแยกเขี้ยวใส่เทโนเพื่อนของตนที่ชอบทะเลาะมีปากเสียงกันประจำจนทำให้ทุกคนในกองทัพต่างปวดหัวกับสองคนนี้กันประจำ
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเปิดศึกน้ำลายขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ไรอาที่กำลังมองทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่ได้ยกมือขึ้นพร้อมกับพูดขัดสองคนนี้ก่อนที่ทุกคนจะปวดหัวไปมากกว่านี้และทำให้การประชุมไม่ได้เริ่มซะที
“เอาละเรื่องที่ข้าเรียกพวกเจ้าเข้ามาพบในวันนี้ เพราะข้าอยากจะหาทางยุติศึกที่ไร้สาระและไม่มีประโยชน์นี้ซะที ข้าสูญเสียพวกพ้องไปกับศึกนี้มากเกินพอแล้วข้าจะไม่ยอมให้ใครต้องมาสังเวยชีวิตในศึกนี้อีกอันขาด” ไรอาพูดด้วยสีหน้าท่าทางที่เด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวในเวลาเดี่ยวกันราวกับคนที่ตัดสินใจแล้ว
แล้วท่านไรอามีความคิดเห็นประการใดที่จะทำให้สงครามในครั้งนี้ยุติลงได้ด้วยดีโดยที่ไม่ต้องมีใครต้องสังเวยชีวิตอีกแล้ว
แม่ทัพคนหนึ่งที่นั่งร่วมฟังการประชุมมาตั้งแต่แรกได้ถามขึ้นมา พร้อมกับแม่ทัพและขุนพลคนอื่นๆต่างพยักหน้าเบาๆอย่างเห็นด้วยกับคำถามนี้และต่างรอฟังคำตอบของผู้นำของตนอย่างใจจดใจจ่ออยู่
“ข้าจะขอท้าประลองกับ “ท่านเซนอล คาเตอร์” ผู้นำของอีกฝากหนึ่ง” คำตอบของไรอาเรียกเสียงฮือฮา ตกใจและตลึงกับคำตอบของผู้นำของตน
ข้าไม่เห็นด้วยครับท่านไรอา มันเสี่ยงเกินไปหรือป่าวครับถ้าพวกนั้นคิดเล่นไม่ซื่อขึ้นมาท่านไอราจะเป็นอันตรายได้นะครับ ที่ปรึกษาส่วนตัวของไรอากล่าวห้ามขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วยและได้รับเสียงสนับสนุนเห็นด้วยกับที่ปรึกษาของไรอาจากเหล่าแม่ทัพและขุนพลทุกคนที่อยู่ในที่ประชุมแห่งนี้
“ขอบคุณท่านเซโน่และทุกคนมากที่เป็นห่วงข้าแต่ท่านอย่าได้กังวลไปนักเลยครับ ข้าดูแลตัวเองได้” ไรอาพูดด้วยรอยยิ้มสบายๆให้กับเซโน่ที่ปรึกษาชราและทุกคนเพื่อให้ทุกคนในที่ประชุมสบายใจขึ้นได้ว่าเขาสามารถดูแลตัวเองได้
แต่ว่า……..
ไม่มีแต่ข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าข้าจะขอท้าประลองกับ ท่านเซนอล ตัวต่อตัว ไรอาส่งเสียงห้ามทุกคนที่กำลังจะคัดค้านไม่เห็นด้วยกับเขาและพูดด้วยเสียงเด็ดขาดจนทำให้คนที่กำลังจะค้านเงียบเสียงลงไปทันที
สิ่งที่ข้าจะให้พวกเจ้าทุกคนทำก็คือจัดกองทัพย่อยมือดีสักหนึ่งร้อยนาย ให้เฝ้าระวังบริเวณค่ายของเราคอยระวังพวกมันคิดตีตลบหลังในตอนที่ข้ากำลังประลองตัวต่อตัวอยู่และจัดทหารมือดีที่ใช้พลังจิตได้คอยเฝ้าระวังสอดส่องทหารของฝ่ายตรงข้ามว่ามีท่าทีที่ผิดปกติหรือป่าว
“รับทราบครับ” หลังจากที่ทุกคนพยามแล้วแต่ไม่เป็นผล จึงทำได้แค่รับคำและจะทำตามคำสั่งที่ได้รับมาอย่างดีที่สุด
และจำเอาไว้ด้วยว่าการประลองในครั้งนี้จะต้องบริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด และไม่ว่าผลการประลองจะออกมารูปแบบใดก็ขอให้ทุกคนยอมรับและยุติสงครามลงในทันที เข้าใจมั๊ย
“เข้าใจครับ” ทุกคนขานรับเสียงดังพร้อมกัน
ส่วนข้อตกหลังจากรู้ผลแพ้ชนะแล้วก็คือ…..ไรอาได้บอกข้อตกลงที่ผู้ชนะสามารถยื่นเงื่อนไขให้ผู้แพ้ต้องทำตามเงื่อนไขของผู้ชนะทุกอย่างๆโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
แม่ทัพรีนอฟเจ้าจงไปบอกกับพวกทหารและนักรบของเราทุกคนถึงเรื่องที่ข้าจะประลองกับผู้นำฝ่ายโน่นตัวต่อตัวและอธิบายเหตุผลให้พวกเขาเข้าใจว่าเหตุใดที่ข้าต้องทำแบบนี้ให้พวกเขาฟังรวมถึงเรื่องข้อตกลงด้วย ไรอาหันไปกล่าวกับรีนอฟซึ่งเป็นแม่ทัพอีกคนหนึ่งของกองทัพผู้ใช้พลังพิเศษ
รับทราบครับ แม่ทัพรีนอฟรับครับแล้วรีบเดินออกไปทำตามคำสั่งทันที
ส่วนเจ้าขุนพลกลาเรียลจงรับสารฉบับนี้ไปส่งให้ส่งมือของท่านเซนอล คาเตอร์ ไรพูดพร้อมกับแบมือขวาของตนขึ้นมาปรากฏเป็นสารฉบับหนึ่งอยู่บนมือขวาและได้ส่งสารต่อให้กับขุนพลกลาเรียลและสั่งให้ขุนพลกลาเรียลนำสารไปส่งทันที
ส่วนพวกเจ้าแยกย้ายไปทำงานที่ข้าสั่งเอาไว้ให้พร้อมก่อนวันพรุ่งนี้จะมาถึง ถ้าเตรียมพร้อมงานเสร็จแล้วให้แยกย้ายไปพักผ่อนได้
รับทราบครับ ทุกคนรับคำและเดินออกไปจากกระโจมเพื่อทำงานตามที่ได้รับมอบหมายไว้และจะได้ไปพักซะทีหลังจากทำศึกมาทั้งวัน
……………………………………………………………………………………………………………………..
ที่ค่ายพักของฝั่งมนุษย์ธรรมดา
ภายในกระโจมตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยพวกผู้นำระดับสูงต่างๆได่แก่ แม่ทัพ ขุนพล นายกองต่างๆนั่งอยู่บนเก้าอี้รอบโต๊ะไม้วงกลมขนาดใหญ่หน้าตาของแต่ละคนต่างแตกต่างกันออกไป บ้างก็ตลึง บ้างก็โกรธ บ้างก็เคร่งเครียด บ้างก็ดีใจ
“พวกเจ้าคิดว่าไงกับข้อเสนอของ ท่านไรอา เลสเชส” เซนอลถามทุกคนที่นั่งอยู่ในที่ประชุมแห่งนี้
พวกข้าคิดว่าขอเสนอของท่านไรอา ฟังดูไม่เลวเหมือนกันแต่พวกข้ายังติดใจสงสัยอยู่ว่านี้อาจจะเป็นแผนตลบหลังพวกเราหรือป่าว แม่ทัพราเฟล ได้พูดขึ้นแทนทุกคนหลังปรึกษากันอยู่พักใหญ่
ที่จริงแล้วพวกเขาทุกคนก็อยากให้สงครามในครั้งนี้ยุติลงได้แล้วเพราะการทำศึกที่ผ่านมาพวกเขาต้องทนเห็นเพื่อนพ้อง น้อง พี่ ที่พวกเขารัก เคารพ เหมือนญาติสนิทคนหนึ่ง เพราะได้ทำศึกร่วมกันมาอย่างยาวนาน ต้องล้มหายตายจากไปเป็นจำนวนมาก พวกเขาจึงพึ่งคิดได้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาทำศึกกันไปทำมั๊ยพวกเขาจะทำไปเพื่ออะไรกัน ทั้งที่ความจริงสาเหตุของการเกิดสงครามครั้งก็แค่มาจากความหวาดกลัวของมนุษย์ธรรมดาส่วนใหญ่แค่นั้นเอง
“ ข้าตัดสินใจแล้วข้าจะเปิดโต๊ะเจรจากับฝ่ายโน่น เพราะดูแล้วท่าทางฝ่ายโน้นคงจะต้องการยุติสงครามครั้งนี้อยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งสารฉบับนี้มาหรอก” เซนอล ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
“แต่ข้าว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ ท่านเซนอล” แม่ทัพใหญ่ของเซนอลเสนอความคิดเห็นขึ้นมา
“ทำไมรึท่านแม่ทัพใหญ่ฟอลโต้” เซนอลถามแม่ทัพใหญ่ฟอลโต้อย่างสงสัย
“คือข้าคิดว่าพวกเราหลายคนยังคงไม่อาจยอมรับผู้ใช้พลังพิเศษพวกนั้นได้นะครับ” แม่ทัพใหญ่กล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด
“จริงสินะ ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะข้าก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าข้าจะเปิดโต๊ะเจรจากับท่านไรอา” เซนอลยังคงยืนยันคำพูดเดิม
“นั้นข้าจะเป็นคนไปพูดอธิบายให้พวกนั่นเจ้าใจเรื่องที่ท่านเซนอลจะเปิดโต๊ะเจรจากับผู้ใช้พลังพิเศษเองนะครับ” แม่ทัพใหญ่เสนอตัวช่วยงานอย่างกระตือรือร้น เพราะมีความต้องการให้สงครามครั้งนี้จบลงโดยเร็วที่สุด
“อืม ขอบใจเจ้ามากนะฟอลโต้” เซนอลหันไปพูดกับฟอลโต้พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“ทุกคนจงฟังสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ให้ดีและจงนำไปปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดและให้นำไปบอกต่อลูกน้องของพวกเจ้าทุกคนซะ “ ข้าเซนอล คาเตอร์” ในนามของผู้นำการศึกของพวกเจ้าในครั้งนี้ขอประกาศว่าข้ามีความประสงค์ที่จะยุติสงครามครั้งนี้กับผู้ใช้พลังพิเศษ ข้าจึงจะขอเปิดโต๊ะเจรจาเพื่อพวกเราจะได้ไม่ต้องเกิดการสูญไปมากกว่านี้อีกแล้ว จงนำความนี้ไปบอกต่อทุกคนซะ” เซนอลพูดจบมีเสียงตอบรับดังกระหึมไปทั่วกระโจมที่ใช้เป็นที่ประชุม
……………………………………………………………………………………………………………
รุ่งเช้าอากาศแจ่มใสเสียงนกร้องโบยบินออกหาอาหารแต่รุ่งเช้า มีหมอกลงปกคลุมพื้นที่ในการทำศึกสงครามอยู่อย่างเบาบาง และมีหยดน้ำค้างเกาะอยู่ตามใบไม้ยอดไม้จากการที่ฝนตกเมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้รุ่งเช้าวันมีอากาศหนาวเย็นกว่าปกติที่ควรจะเป็นแต่ถึงจะมีอากาศที่หนาวเย็นน่านอนอยู่ในผ้าห่มซะขนาดไหนแต่ในช่วงของการทำศึกสงครามอย่างนี้คงไม่มีใครที่จะนอนหลับอย่างสนิทใจอย่างแน่นอนฉะนั้นในตอนนี้พื้นที่ที่ใช้ในการตั้งค่ายพักแรมในการศึกของทั้งสองฝ่ายต่างเต็มไปด้วยเสียงดังอึกกะทึกคึกโครมของเหล่าทหารและนักรบที่ต่างเตรียมพร้อมรับมือกับการทำศึกและเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
แต่เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นเหมือนทุกวันที่เคยเป็นมากลับไม่เหมือนเดิมเมื่อในวันนี้ทางผู้นำฝ่ายมนุษย์ธรรมดาออกมาประกาศต่อหน้าทหารและนักรบของตนทุกคนในข่าวที่ในวันนี้ช่วงเย็นจะมีการเปิดโต๊ะเจรจากันเพื่อหาทางยุติศึกที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานถึงแรมปี ข่าวที่ประกาศออกมานั้นทำให้ทุกคนแตกตื่นวุ่นวายกันไปทั่วทั้งกองทัพดีที่ว่าข่าวนี้พวกทหารและนักรบพวกนี้พอรู้มาบ้างแล้วไม่นั้นละก็คงจะต้องวุ่นวายแตกตื่นกว่านี้เป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่นอนและแน่นอนว่าข่าวนี้ย่อมสร้างกระแสออกมาหลายทิศทางทั้งดีและไม่ดีมีทั้งพวกที่เห็นดีด้วยและไม่เห็นด้วย บางคนโกรธแค้นไม่พอใจในการยุติสงครามครั้งนี้ บางคนดีใจและพอใจเป็นอย่างยิ่งที่สงครามอันยาวนานจะสิ้นสุดซะที และบางคนก็เฉยๆไม่ยินดียินร้ายอะไรเพราะคนกลุ่มนี้ที่เข้าร่วมสงครามก็เพื่อเงินทองที่จะได้จากการทำสงคราม ส่วนคนที่ไม่พอใจก็ทำอะไรไม่ได้จะโวยวายก็กลัวโทษทางอาญาและที่สำคัญจะถูกมองได้ว่าเป็นคนเลวชาติชั่วไม่รักพวกพ้องของตัวเองเพราะเหตุผลที่นำมาสู่การเปิดโต๊ะเจรจาครั้งนี้เพราะความเป็นห่วงในชีวิตของพวกพ้องที่เหลือไม่อยากให้พวกพ้องคนใดต้องมาสังเวยชีวิตในสงครามครั้งนี้อีกแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………
ทางฝั่งของผู้ใช้พลังพิเศษก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่แตกต่างกันนักนั้นก็คือเมื่อช่วงเช้ารุ่งย่างเข้าช่วงเที่ยงวันได้มีผู้นำสารจากฝ่ายมนุษย์ธรรมดาได้นำสารมาให้กับไรอาในตอนแรกทางทหารที่ยืนเฝ้ายามอยู่จะไม่ให้เข้าแต่เมื่อเห็นธงสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งสันติภาพจึงรู้ว่าคนที่กำลังตรงเข้ามาไม่ได้มาร้ายจึงลดอาวุธลงและเข้าไปตรวจสอบและสอบถามสาเหตุที่เข้ามาที่นี้พอรู้ว่าเป็นคนส่งสารจึงให้เข้าไปได้โดยมีทหารเดินนำทางไปและขนาบข้างอีกสองนายเพื่อเข้าไปพบกับไรอา
เมื่อไรอาได้รับสารมาและได้เปิดอ่านจึงได้รีบเรียกประชุมพวกแม่ทัพและขุนพลทันทีและเมื่อทุกคนได้รับรู้ข้อมูลในสารฉบับดังกล่าวจึงได้ปรึกษาหารือกันเป็นเวลาหลายชั่วยามจึงได้ข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ว่าจะเข้าร่วมการเปิดโต๊ะเจรจาในครั้งนี้ไรอาจึงให้ขุนพลคนเดิมที่นำสารไปส่งให้ครั้งแรกไปส่งสารตอบตกลงในการเข้าร่วมการเจรจาในครั้งนี้และเมื่อประกาศเรื่องนี้ออกไปให้ทุกคนในกองทัพรับรู้เสียงส่วนมากจะเห็นด้วยกับการเจรจาในครั้งนี้เพราะไม่อยากเห็นพวกพ้องและมนุษย์ด้วยกันเองต้องมาเข็นฆ่ากันล้มหายตายจากอีกแล้วส่วนอีกพวกหนึ่งแม้จะยังโกรธแค้นกับการกระทำของพวกมนุษย์ธรรมดาแต่ความโกรธเหล่านั้นก็ไม่เทียบเท่ากับการที่ไม่ต้องการให้ใครต้องตายในสงครามครั้งนี้อีกแล้ว
…………………………………………………………………............
เวลายามเย็น
ณ.ตรงกลางสนามรบที่เคยเป็นพื้นที่ในการรบราฆ่าฟันกันเพื่อชิงชัยชนะให้กับฝ่ายของตัวเองแต่ในตอนนี้ตรงกลางพื้นที่กับมีโต๊ะตัวใหญ่ตัวหนึ่งพร้อมกับเก้าอี้สองตัวที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันรอบๆโต๊ะห่างอออกไปประมาณ30เมตรมีคนของแต่ละฝ่ายต่างยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะของผู้นำตนเองที่นั่งประจันหน้ากันอย่างคอยคุมเชิงและคุ้มครองผู้นำของตน
“สวัสดี ข้าไรอา เลสเชส ผู้นำของพวกเวริสเซิสหรือที่พวกท่านเรียกกันผู้ใช้พลังพลังเศษ และต่อไปนี้ขอให้พวกท่านเรียกพวกเราว่าเวิรสเซิสจะดีกว่าเพราะสั้นดีจะได้ไม่ต้องเรียกลำบากนัก และข้ามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เจอท่านเซนอลในการเปิดโต๊ะเจรจาไม่ใช่ในสงคราม” ไรอากล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตรอย่างจริงใจ
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ข้าเซนอล คาเตอร์ ผู้นำของพวกออเตอร์หรือที่พวกท่านเรียกว่ามนุษย์ธรรมดาและก็เช่นกันข้าอยากให้พวกท่านเรียกพวกเราว่าออเตอร์จะไม่ได้ไม่ต้องเรียกลำบากนัก” เซนอลกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตรที่จริงใจเช่นกัน
หลังจากนั้นผู้นำของทั้งสองฝ่ายต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องการยุติสงครามในครั้งนี้อยู่หลายชั่วยามและผลจากการเจรจาของสองผู้นำก็ได้รับการประกาศออกมาจากปากของทั้งคู่ที่กล่าวออกมาอย่างพร้อมเพียงกัน
ข้าไรอา เลสเชส และข้าเซนอล คาเตอร์ หลังจากที่ พวกเราได้ทำการพูดคุยกันอยู่หลายชั่วยามจึงได้มีความเห็นที่ตรงกันในเมื่อพวกเราต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกันถึงจะแตกต่างในบางเรื่องกันไปบ้างแต่ก็ใช่ว่าเพราะความแตกต่างจะทำให้พวกเราอยู่ร่วมกันไม่ได้ซะหน่อยพวกข้ารู้ว่าแค่คำพูดของพวกข้าสองคนถึงจะยุติสงครามในครั้งนี้ได้แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเราทั้งหมดที่อยู่ ณ ที่นี้ จะยอมรับซึ่งกันและกันได้อย่างสนิทใจนัก แต่พวกข้าขอเถอะถ้าใครไม่ชอบใครก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่อย่ารบราฆ่าฟันกันอีกเลยจะได้ไม่ ไรอากับเซนอลถามทุกคนออกมาพร้อมกัน
เงียบไปพักใหญ่จึงมีเสียงขานรับที่ดังขึ้นพร้อมกันของทุกคนที่สะท้อนเข้าไปในใจของสองผู้นำของแต่ละฝ่ายและทุกผู้คนที่อยู่ ณ ที่นี้ที่ดังขึ้นว่า ได้ครับ/ค่ะ ดังขึ้นสะเทือนถึงท้องฟ้าด้วยพลังเสียงของคนนับล้านคน ณ ที่ นี้
ไรอา และเซนอล ต่างหันมายิ้มให้กันกับภาพดังกล่าวที่พวกเขาไม่นึกมาก่อนว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นภาพนี้ภาพที่ผู้คนของพวกตนต่างมีรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าและต่างคนถึงขนาดกระโดดกอดพวกเดียวกันและต่างพวกกันด้วยความดีใจและโล่งใจที่สงครามแรมปีได้จบลงซะที แต่พอคิดอีกทีก็รู้สึกเศร้าและเสียใจที่พวกตนได้ก่อสงครามครั้งนี้ขึ้นมาจนทำให้มีผู้สูญเสียเป็นจำนวนจากสงครามครั้งนี้
“เอาละในเมื่อทุกคนเห็นด้วยนั้นพวกข้าก็ขอประกาศว่าสงครามในครั้งนี้ได้จบลงแล้วและขอให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี่จงจดจำสงครามครั้งนี้เป็นบทเรียนในชีวิตที่สำคัญอย่าลืมเลือนเด็ดขาดเพื่อที่จะเตือนใจพวกเรามนุษย์ทุกคนไม่ให้ก่อสงครามแบบนี้ขึ้นมาอีก” ไรอาและเซนอลกล่าวขึ้นมาอย่างพร้อมเพียงกัน
หลังจากที่สงครามสิ้นสุดลงพวกออเตอร์หรือมนุษย์ธรรมดาก็ได้เดินกลับบ้านเมืองของตนที่ได้จากมานานและยังได้กลับไปหาคนที่รักที่รอคอยอยู่ที่บ้านเมืองของแต่ละคนซึ่งอยู่ที่มหานครเทพานอสซึ่งเป็นมหานครที่รวมวิทยาการต่างๆมากมายที่สุดของโลกมนุษย์และยังมีเมืองต่างๆในปกครองหลายสิบเมืองด้วยกัน
ส่วนพวกเวริสเซิสก็ได้เดินทางไปยังทางทิศเหนือไปจนสุดทิศใต้เพื่อสร้างที่อยู่ของพวกตนขึ้นโดยอิงตามธรรมชาติที่อยู่รอบๆตัวในตอนแรกๆสร้างเป็นหมู่บ้านที่อยู่กระจัดกระจายกันไม่เป็นหลักเป็นแหล่งจนกระทั้งไรอาได้ค้นพบเหมืองแร่ทองคำเข้าพวกเขาจึงได้ทำการติดต่อซื้อขายกับพวกออเตอร์ในวัสดุบ้างอย่างที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้เพราะวิทยาการยังไม่เทียบเท่ากับพวกออเตอร์แต่การติดต่อซื้อขายก็มีข้อดีอยู่เหมือนกันนั้นคือทำให้ความสัมพันธ์และมิตรภาพดีขึ้นมากมาอีกนิดหนึ่ง ในตอนนี้พวกเวริสเซิสได้สร้างเมืองที่มีลักษณะที่อิงอาศัยอยู่ตามแบบธรรมขึ้นมาอีกหลายเมืองด้วยกัน และแล้วเวลาก็ได้ดำเนินมาถึง 3ปีให้หลัง ภายใน 3ปีมานี้ชาวเวริสเซิสได้ทำการก่อสร้างมหานครอันยิ่งใหญ่ขึ้นมาภายใต้ชื่อว่า แพนโทล่า มหานครมนตรา
…………………………………………………………………………………..
เวลาเดียวกันในตอนที่สงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว
บริเวณชายป่าใกล้กับที่ทั้งสองฝ่ายทำสงครามกันอยู่มีเงาร่างของบุรุษสองคนได้แอบซ่อนตัวอยู่ในป่าพร้อมใช้มนต์พลางตัวเพื่อไม่ให้ใครพบเห็นพวกเขาจนถึงตอนที่ทั้งสองฝ่ายได้ยุติสงครามกัน
“บ้าจริงพวกมันดันยุติสงครามกันลงได้แบบนี้แผนของนายท่านก็เสียหายกันหมดพอดี” เสียงสบภอย่างหงุดหงิดดังขึ้นจากหนึ่งในสองร่างที่หลบซ่อนตัวอยู่ในป่า
“เอานานายอย่าหงุดหงิดไปนักเลยเดียวพวกนั้นก็รู้กันพอดีว่ามีพวกเราหลบซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ เก็บรังสีอำมหิตหน่อย” เสียงพูดดังขึ้นมาจากชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างกัน
โทษทีข้าหงุดหงิดไปหน่อยที่แผนของนายท่านที่วางเอาไว้พังไม่เป็นท่าแบบนี้ ชายคนแรกพูดขึ้นมาอย่างระงับอารมณ์ของตนเองลงเองได้แล้ว
อืม ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าเพราะข้าเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเจ้าเท่าไรนัก แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจำเป็นต้องอยู่ที่นี้อีกแล้วเพราะหน้าที่ของเรามีแค่คอยสังเกตการณ์แล้วกลับไปรายงานนายท่านเท่านั้นซึ่งตอนนี้มันก็ได้หมดหน้าที่ของพวกเราในคราวนี้แล้วเพราะฉะนั้นข้าว่าพวกเราควรกลับกันได้แล้ว ชายคนที่สองพูดขึ้นพร้อมกับแตะไหล่ของชายคนแรกและแล้วร่างของชายทั้งสองนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไปกับความมืด
……………………………………………………………………………………........................................
จบบทเริ่มต้นแล้วครับ
ความคิดเห็น