ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Short Fic - KiHae] For Special Day

    ลำดับตอนที่ #3 : [SF] The Bus Stop [The Heart Stop] , KiHae Forever

    • อัปเดตล่าสุด 31 ต.ค. 51


    คำเตือน :: ใครที่กลัวจะเป็นเบาหวาน งดอ่านฟิคเรื่องนี้ค่ะ
    user posted image




    Rainy Day 1

    “ฝนตกอีกแล้วเว้ย!~ แม่งเอ๊ย! ร่มก็ไม่ได้เอามา ฉิบหายต้องเปียกอีกละ คิบอมกูฝากมึงปิดห้องแล็บด้วยนะเว้ย
    วันนี้กูนัดกับซองมินไว้ต้องไปก่อนว่ะ .... เออ ยืมร่มของมึงหน่อยนะ ^^ กว่ามึงจะกลับฝนก็คงซา มึงทำหน้าอย่างงี้
    แปลว่าให้ใช่มั้ยมึง!? ขอบใจมากนะเว้ย!”


    ผมยังไม่ได้ตอบอะไรมันซักคำนอกจากถอนหายใจหลายตลบ ใบหน้าจืดๆของผมมันบ่งบอกอะไรงั้นหรือ ถึงทำให้โจ คยูฮยอน
    บัดดี้ทำแล็บเคมีของผมเข้าใจว่าผมอนุญาติให้มันเอาร่มไปได้ และถ้าคืนนี้ฝนไม่ยอมหยุดตกหรือแม้กระทั่งซามันก็ยังไม่อยากจะ
    ซาล่ะ ผมไม่ต้องเดินตัวเปล่าตากฝนกลับบ้านรึไง ?


    “จะกี่ฝนก็ยังเหมือนเดิม”

    น้ำเน่าจริงๆครับ . . พูดออกมาเองก็ยังนึกขำ ก็สายฝนไม่หลงฤดูที่นอกหน้าต่างนั่นมันมักจะทำให้ผมคิดถึงประโยคนี้ทุกทีนี่ครับ
    เพราะไม่ว่าจะผ่านไปซักกี่ฤดูฝน ผมคิม คิบอมนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ที่มักจะซ่อนความมีตัวตนอยู่ในโลกของวิทยาศาสตร์
    แว่นตาที่หนาเตอะ ตำหรับตำราภาษาอังกฤษ และมีเพื่อนตายเป็นเครื่องแก้วอย่างเช่น บีกเกอร์ และหลอดทดลอง
    ก็ยังไม่เคยมีคนรักหรือแม้กระทั่งความรักกับเขาเลยเสียที . . ก็ได้แต่หวัง . . หวังว่าลมที่พัดพาเอาฤดูฝนที่ชุ่มฉ่ำครั้งนี้มา
    จะช่วยหอบเอาความรักและคนรักมาให้ผมเสียที . .


    “เฮ้อ~ ต้องเปียกจริงๆเหรอเนี่ย?”

    ผมบอกกับตัวเองอย่างปลงตก ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบๆจะสี่ทุ่มแล้วแต่ฝนเจ้ากรรมก็ยังคงเทลงมาโครมๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
    เลยซักนิด ไอ้ครั้นจะนั่งรออยู่ในห้องแล็บมันก็ใกล้จะได้เวลาปิดตึกเสียแล้วด้วยสิ และถึงผมจะดื้อเพ่งไม่ยอมออก ยังไงอีกซักพัก
    คุณลุงยามประจำคณะก็ต้องมาสาดลำแสงไฟฉายพลังอัลคาไลน์ของแกไล่ผมออกไปอยู่ดี ฉะนั้นก็คงต้องกลับแบบเปียกๆนี่แหละครับ


    ตึก ตึก ตึก . .


    ผมวิ่งเหยียบน้ำที่พื้นถนนจนกระจายอย่างไม่สนความเปรอะเปื้อนออกมาจากมหาวิทยาลัยโดยใช้แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีดำขนาด
    พอเหมาะที่ผมเผอิญไปค้นเจอเข้าในลังเก็บของในห้องแล็บใช้บังศรีษะ ถึงจะช่วยได้ไม่มากนักแต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมมาถึง
    ป้ายรถเมล์ในสภาพที่ใกล้เคียงกับสภาพเดิมหน่อย


    มีคนอยู่ดึกเหมือนกันเหรอเนี่ย? . .


    และเมื่อผมมาถึงป้ายรถเมล์ ผมก็พบว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ตรงนั้น แต่ก็เพราะฝ้าที่มันจับหนาอยู่บนเลนส์แว่นจึงทำให้ผมมองเห็น
    อะไรไม่ค่อยสะดวกนัก และจากนั้นผมจึงผมค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้โดยทิ้งระยะห่างจากเขาไว้ซักสองม้านั่งแล้วจึงค่อยหย่อนตัว
    ลงนั่ง แม้ว่าจะมองเห็นไม่ถนัดแต่ผมก็พอจะรับรู้ว่าเขาหันมามองหน้าผมและยังเหลือบๆมองแผ่นบังฝนยุ่ยๆในมือของผมด้วย
    ผมจึงต้องรีบสลัดมันทิ้งลงส่งๆแม้ว่าในใจของผมอยากจะพามันขึ้นรถเมล์กลับไปใช้บังฝนต่อจนถึงบ้านก็ตามที


    หน้าตาคุ้นๆนะ . .

    ผมพยายามจะเก็บอาการอยากรู้อยากเห็นของตัวเองภายหลังจากการเช็ดแว่นสายตาให้ใสสะอาด เพราะทุกครั้งที่ผมใช้หางตา
    เหลือบมองเขาผมจะรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้หน้าคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับว่าเขาสวยหรอก
    ครับ ใช่ครับ ผมพูดไม่ผิดหรอกว่า ’เขา . . ผู้ชายคนนั้นน่ะสวย’ เพราะดูจากการแต่งกายที่ไม่มีผิดแผลกไปจากผม เรือนผม
    สีน้ำตาลเข้มที่ซอยสั้นละต้นคอขาวจัด เขาก็คงจะเป็นพวกผู้ชายประเภทที่มีใบหน้าสวย เอ๊ะ ! หรือว่าจะเป็นทอม ? ผมสะบัดหัว
    ไล่ความคิดแปลกๆทิ้งไป และแน่นอนครับ ท่าทีการคิดเองเออเองแบบประหลาดๆของผมมันคงจะทำให้เขาประหลาดใจและ
    ตกใจอยู่ไม่น้อย และก็สบโอกาสพอดีครับ เมื่อเขายอมละสายตาจากหนังสือเล่มหนาในมือของเขาหันมามองผม
    ประจวบเหมาะกับที่ผมหันไปสบนัยต์ตาสีสวยของเขา แทบจะหยุดหายใจครับ ผมรับรู้ได้ถึงจังหวะหัวใจของตัวเองที่มันสะดุดกึก
    ราวกับเครื่องยนต์ดีเซลที่ถูกสารละลายผสมในน้ำมันเกรดต่ำเล่นงานเอา


    เขายิ้มให้ผม . .
    ลี ทงเฮ . ..เดือน (ดาว) มหาวิทยาลัยปีเดียวกับผม . . !



    ไม่อยากจะเชื่อในความโชคร้ายยังมีเรื่องดีๆ คืนนี้ผมติดฝนอยู่ที่ป้ายรถเมล์กับลี ทงเฮ สองต่อสอง! ดีใจจนเนื้อเต้นเป็นยังไงก็เพิ่ง
    รู้จักจริงๆก็วันนี้แหละครับ แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาแห่งความสุขมันมักจะหมุนไปเร็วเสมอ เพราะดูเหมือนรถเมล์สายที่ทงเฮ
    ต้องการจะขึ้นมาถึงพอดี และยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งสติยิ้มตอบไปอย่างที่ใจต้องการ เจ้าของรอยยิ้มสวยเขาก็จากไปเสียแล้ว


    จะว่าผมบ้าหรือเปล่า . .
    จะหาว่าผมไม่เจียมตัวหรือเปล่า . .
    ที่ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะโชคชะตาและความปรารถนาของพระพิรุณที่ทำให้เรามาพบกัน






    Rainy Day 2

    เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็สโหลสเหลมาเรียนราวกับคนไร้สติ เมื่อคืนผมนอนแทบจะไม่หลับ เพราะเมื่อผมหลับตา ภาพของทงเฮก็จะลอยมา
    กวนจิตใจผมไม่ได้ต่างจากตอนตื่น ทำให้วันนี้ผมไม่มีสมาธิที่จะเรียนหรือแม้แต่จะทำแล็บ ผมเทสารหก ผสมสารเคมีผิดจนหลอด
    ระเบิดไปหลายหลอดจนบัดดี้คู่ใจของผมอย่างโจ คยูฮยอนต้องไล่ให้ผมไปซื้อข้าวกลางวันแทนที่หน้าที่ของมัน ผมยังไม่รู้เลยว่า
    แค่ซื้อข้าวกล่องผมจะสั่งผิดและมีสตินับเงินจ่ายเขาถูกหรือเปล่า และในระหว่างที่ผมจะเดินไปยังโรงอาหารกลาง สายตาของผม
    ก็พลันเหลือบไปเห็นแผ่นหลังคุ้นตา เรือนผมสีน้ำตาลนุ่มที่พริ้วไหวตามแรงลมของคนที่ผมจำได้ขึ้นใจหายเข้าไปยังหอสมุดกลาง
    สมองกับหัวใจมันสั่งการให้ผมเดินตามทันทีครับ เส้นทางที่จะไปยังโรงอาหารถูกเปลี่ยนในทันที ผมไม่รีรอที่จะพาตัวเองเลี้ยวตาม
    ทงเฮเข้าไปในหอสมุดติด ๆ


    หายไปไหนแล้ว ? . .

    ผมถามตัวเองในใจว่าหอสมุดกลางที่กว้างใหญ่ไพศาลขนาดนี้ ทงเฮคนสวยจะไปอยู่ที่ไหน และผมก็ได้คำตอบเมื่อภาพเมื่อคืน
    มันฉายชัดขึ้นมาราวกับกดรีโมทสั่งให้ย้อนกลับได้ ‘หนังสือภาษาจีน’ ผมจำได้คับคล้ายคับคราตอนที่ผมเหลือบมองเขาหลาย
    หนเมื่อคืนวาน หนังสือที่เขาถืออยู่ในมือน่าจะเป็นดิกชันนารีที่แปลจีนเป็นไทย และผมก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าทงเฮนั้นอยู่คณะมนุษศาสตร์
    เอกภาษาจีน เพราะฉะนั้นก็คงจะมีอยู่ที่เดียวเท่านั้น ‘มุมภาษาศาสตร์ชั้นสาม’ ไม่ชักช้าให้เสียเวลาครับ ผมแทบอยากจะวิ่งก้าว
    กระโดดทีเดียวให้ถึงที่ถ้าไม่ติดว่าคุณบรรณารักษ์จอมเฮี๊ยบจ้องผมอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ผมจึงต้องค่อยๆเดินขึ้นบันไดไป
    อย่างปกติ แม้ว่าหัวใจของผมจะลิงโลดมากก็ตามที


    ‘มุมภาษาศาสตร์’


    พอขึ้นมาถึงชั้นนี้แล้วยังไงดีล่ะครับ ผมมองชั้นหนังสือสูงลิ่วที่ตั้งตระหง่านเรียงกันเป็นตับแล้วก็นึกท้อแท้ใจ ไม่น่าเชื่อว่าจำนวน
    หมวดของมันจะกำหนดให้มีจำนวนชั้นวางหนังสือได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ ขอสโคปเข้ามาให้แคบหน่อยแล้วกันนะครับ
    ผมรีบเร่งฝีเท้าและไล่สายตาตามหามุมของภาษาจีน



    ฝรั่งเศส . . เยอรมัน . . สเปน . . . . . . จีน!
    บิงโก!




    ดีใจไปอีกเปาะหนึ่งครับ ว่าแต่ชั้นหนังสือภาษาจีนนี่ก็เยอะไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่เลย แต่รักแท้แพ้ความพยายามใช่มั้ยครับ ?
    ต่อให้ผมต้องเดินตามหาเขาไล่ตั้งแต่ชั้นหนังสือต้นแถวจนถึงปลายแถวที่เห็นริบๆนั่นผมก็จะทำ และผมก็เดินตามหาเขาไปเรื่อยๆ
    จากซอกมุมนั้นมาซอกมุมนี้ จากส่วนของหนังสือที่เกี่ยวกับสถานที่ที่สำคัญในประเทศ โผล่มายังโซนของประวัติศาสตร์ของประเทศจีน


    ไม่พบครับ . .


    หรือการคาดเดาของผมจะผิดพลาด บางทีวันนี้เขาอาจจะไม่ได้ต้องการมาศึกษาหาความรู้ในเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาเรียนของเขา
    ก็เป็นได้ เฮ้อ . . ผมถอนหายใจเบาๆ ยิ้มเยาะในความโง่เขลาของตัวเอง อยากจะหยิบตำราจีนเอาสันแหลมทื่อนั่นมาเคาะ
    กระโหลกหนาๆซักทีสองที คนธรรมดา ๆ อย่างผม . . คนที่มีชีวิตสุดแสนจะน่าเบื่ออย่างคิม คิบอม ริอาจมาวิ่งตามหาคนที่เพียบ
    พร้อมทุกอย่างอย่างลี ทงเฮ . . เพ้อเจ้อไปรึเปล่า



    ฝนตกอีกแล้ว . .
    และเมื่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่เป็นกระจกใสผมก็พบว่าเม็ดฝนกำลังทยอยโปรยลงมา ก็ได้แต่คิดในใจ
    ‘อดกินข้าวกลางวันซะเถอะนะ ไอ้คยู กูคงไม่ตากฝนออกไปซื้อให้มึงหรอก’
    และระหว่างที่ผมยังไม่เลิกความพยายามเพราะยังไงเสียก็ติดฝนออกจากที่นี่ไปไม่ได้อยู่ดี
    คนที่ผมอยากจะพบนักหนาเขาก็ปรากฎตัวขึ้นแทบจะไม่ให้ผมได้ตั้งตัว



    “ขอโทษนะ อย่าเพิ่งขยับได้รึเปล่า เราจะหยิบหนังสือเล่มนั้น”

    ผมไม่เคยรู้สึกอยากจะขอบคุณคนที่วางผังหอสมุดเท่ากับวันนี้เลยให้ตายสิ ด้วยความที่ชั้นวางหนังสือแต่ละชั้นมันอยู่ห่างกันไม่
    เกินที่คนๆหนึ่งจะเข้าไปได้ จึงทำให้ผมกับทงเฮตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สภาพที่ทำให้ผมแทบจะหมดเรี่ยวแรงทรุดลงไปเสียเดี๋ยวนั้น
    ทงเฮยืนซ้อนอยู่ที่ด้านหลังผมในขณะที่มือบางๆนั่นถือวิสาสะทาบลงที่ไหล่ของผม แผ่นอกของเขาแนบสนิทลงกันแผ่นหลังของผม
    ยามที่เขาเอื้อมมืออีกข้างสุดแรงเพื่อหยิบหนังสือที่อยู่เหนือศรีษะของผม กลิ่นหอมอ่อนๆของเขา น้ำเสียงชวนฟังที่เป็นเอกลักษณ์
    ของเขามันติดตรึงในประสาทสัมผัสจนผมไม่อาจจะหยุดคิดถึงได้ แม้ว่าเขาจะทิ้งรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนและเดินจากไปแล้วก็ตาม
    แต่ทุกอย่างที่รวมเป็นเขานั้นยังคงชัดเจนในความรู้สึก ตัวลอยครับ ผมรู้สึกตัวเองเหมือนกับลูกโป่งที่ลอยได้ หลังจากเที่ยงของวัน
    นั้นแม้ว่าผมจะโดนคยูฮยอนสาบส่งที่ไม่ได้ซื้ออาหารกลางวันไปให้มัน หรือจะโดนอาจารย์ด่าในคราสเพราะไม่ตั้งใจฟัง หรือโดน
    กรดไฮโดรคลอริก 15% หกรดมือ ผมก็ไม่สนใจอยู่ดี


    ขอบคุณหอสมุดและสายฝนที่ทำให้เราได้พบกันอีกครั้ง . .





    “กลับได้แล้วไอ้หนู ลุงจะปิดตึกแล้ว!”

    เป็นเวลาสี่ทุ่มนิดๆแล้ว ผมรีบกระวีกระวาดออกจากห้องแล็บเพื่อมายังป้ายรถเมล์ ถ้าไม่เป็นเพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ
    ผมก็คงไม่เผลองีบและสะดุ้งตื่นมาผิดเวลาอย่างนี้หรอก ก็ตอนแรกผมตั้งใจไว้ว่าวันนี้ผมจะไปที่ป้ายรถเมล์ให้ตรงกับเวลา
    เมื่อวานที่พบทงเฮแต่แล้วก็พลาดจนได้ ช้าไปแค่ไม่กี่นาทีป้ายรถเมล์ก็มีเพียงความว่างเปล่า ผมเดินเข้าไปนั่งตรงที่ที่ทงเฮเคย
    นั่งเมื่อวานด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิดตัวเองอย่างสุดๆ แต่เมื่อวานมันอาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้ ทงเฮอาจจะมีธุระถึงได้อยู่
    มหาวิทยาลัยแล้วกลับดึก วันนี้เขาอาจจะกลับในเวลาเลิกเรียนปกติก็ได้ใครจะไปรู้ ฉะนั้นก็เลิกหวังลมๆแร้งๆแล้วก็รอรถเมล์
    สาย 129 ของนายไปเถอะคิม คิบอม


    เปาะแปะ . . เปาะแปะ . .
    “อืม ก็บอกแล้วไงว่ากลับเองได้!!”

    และในระหว่างที่ผมกำลังนั่งคอตกหมดอาลัยตายอยาก เสียงเปาะแปะของเม็ดฝนก็ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงใสที่ดูจะไม่สบอารมณ์
    นิดๆของใครบางคนที่กำลังเดินตรงมายังป้ายรถเมล์ ร่างกายของผมมันทำงานเร็วกว่าใจครับคราวนี้ จู่ๆขาของผมมันก็พาตัวผม
    วิ่งไปหาทงเฮที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งหมายจะตรงมาหลบฝนในชายคาของที่รอรถโดยสาร ผมรีบกลางร่มคันสีดำที่เผอิญว่าวันนี้ไอ้โจ
    คยูฮยอนเพื่อนของผมมันเอามาคืนเพื่อออกไปรับทงเฮ คนสวยยิ้มหวานพลางพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณให้ผมและขยับตัวเข้ามาอยู่
    ภายใต้ร่มกันฝนคันเดียวกับผมอย่างไม่มีทีท่านึกรังเกียจ เราสองคนเดินไปด้วยกันแม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ
    แม้ช่วงเวลาที่ผ่านไปจะเร็วเหมือนกับหนึ่งลมหายใจก็ตามที แต่ก็เพราะความชิดใกล้ และเพราะคนๆนั้นเป็นลี ทงเฮ ผมจึงรู้สึกว่าเวลาที่ผมมีอยู่บน
    โลกนี้มาเกือบทั้งชีวิตมันช่างไร้ความหมายถ้าเทียบกับการได้อยู่กับทงเฮแม้แค่เสี้ยววินาที และเราก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก
    เพราะเมื่อเราทั้งสองก้าวเข้ามาอยู่ภายใต้หลังคา รถโดยสารประจำทางคันเดิมที่ทงเฮต้องการจะขึ้นก็มาถึงพอดิบพอดี ทงเฮกล่าว
    ขอบคุณกับผมเบาๆ ยิ้มให้กับผมอย่างที่ผมรู้สึกว่ามันหวานมากกว่าครั้งไหนๆ และเขาก็โบกมือให้ผมแม้ว่าตัวเขาจะเคลื่อนไป
    ตามรถที่ออกตัวไปแล้วก็ตามที


    ขอบคุณฤดูฝน ขอบคุณร่มคันเล็ก ขอบคุณป้ายรถเมล์ที่ทำให้ผมได้รับรอยยิ้มจากทงเฮอีก . .






    Rainy Day 3


    "~*You are my everything, nothing your love won't bring
    My life is yours alone, the only love I've ever known...."

    “แหม อารมณ์ดีนะมึงไอ้คิบอม ไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้หน้าจืดอย่างมึงจะมีอารมณ์สุนทรีย์กับเค้าด้วย”
    “น้อยๆหน่อยไอ้คุณโจปากหมา ถ้าไม่อยากให้เกล็ดโซเดียมบึ้มเขาหน้าหล่อๆก็ช่วยเอามันออกห่างจากน้ำด้วย!”

    เป็นอีกวันที่ผมต้องขลุกอยู่แต่ในห้องแล็บ ทั้งๆที่สัญญาณรัก ? . . อ่า ไม่ใช่สิ ทั้งที่วันนี้ฝนตกแท้ๆ แทนที่ผมจะได้ออกไปตาม
    หาช็อตกับทงเฮดังใจหวังก็กลับต้องมานั่งทำแล็บกับไอ้คนปากหมาอย่างโจ คยูฮยอนทั้งวัน ผมก็ได้แต่ฮัมเพลงไปเรื่อยๆ มองดู
    เม็ดฝนเม็ดเล็กที่เกาะอยู่ด้านนอกหน้าต่าง และก็คิดถึงเรื่องราวระหว่างเรา สำหรับผม ผมขอเรียกว่าระหว่างเรา แต่สำหรับทงเฮ
    ผมไม่อาจจะรู้ได้ สำหรับตัวผมนั้นทงเฮของผมเขาเหมือนกับหยาดน้ำฝนที่ตกลงมาให้ความชุ่มชื่นกับหัวใจ แต่สำหรับทงเฮแล้ว
    ผมอาจจะเป็นแค่ความเฉอะแฉะในฤดูฝนที่สร้างความลำบากให้กับเขาก็เป็นได้ แต่จะคิดไปทำไมกัน เท่าที่เป็นอยู่นี้ ผมก็มี
    ความสุขดีครับ เพราะผมรู้ดี . . ผมรู้ดีว่าลมฝนครั้งนี้ได้นำเอาความรักมาให้ผมได้รู้จักไม่ใช่พาคนรักมามอบให้ผม
    ถ้าใครถามผม ผมก็คงต้องบอกว่าลึกๆผมก็แอบหวังว่าผมจะได้รับทั้งความรักและคนรัก . . สองสิ่งที่รวมอยู่ในตัวลี ทงเฮอยู่
    เหมือนกัน แต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ เราสองคนคงจะเหมือนท้องฟ้ากับเมฆฝนอาจมีวันพบเจอกันบ้าง แต่ก็มีวันที่จะลา
    จากกันไปอยู่ดี . .


    “เดี๋ยวกูไปส่งที่บ้าน ฝนตั้งเค้าทะมึนมาแล้ว มึงไปกับกูเถอะ!”
    “ไม่เป็นไรๆ กูกลับเองได้ มึงไปกับซองมินเหอะ ไม่ต้องห่วง โชคดีๆ!”

    ไอ้คยูฮยอนคงสงสัยในความพิรุธของผมเต็มแก่ ทั้งๆที่จะสี่ทุ่มแล้วแต่ผมก็ยังอ้างว่าจะกลับเองแม้ว่ามันจะสะดวกที่จะอาสา
    ขับรถไปส่งผมที่บ้านก็ตามที ก็เพราะฝนตั้งเค้านี่แหละครับ ก็เพราะว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มนี่แหละครับ . . และก็เพราะว่าผมอยากจะเจอ
    ทงเฮของผมนี่แหละครับ จึงทำให้ผมอยากจะกลับเองมากถึงเพียงนี้ ผมเดินออกมาตามถนนเส้นหลักที่จะมุ่งสู่ประตูใหญ่
    ของมหาวิทยาลัย อีกไม่กี่ก้าวก็จะพ้นประตูและถึงป้ายรถเมล์ และหัวใจของผมที่มันเริ่มระรัวเมื่อเข้าใกล้ป้ายรถเมล์
    มันก็เต้นแรงขึ้นจนแทบจะทะลุออกมานอกอก เป็นทงเฮจริงๆครับ คนสวยของผมเขานั่งอยู่ตรงนั้น นั่งอยู่ลำพังกับหนังสือเล่ม
    ที่ต่างออกไปในมือเช่นเคย ผมพยายามปรับการเดินของผมให้ตรงทางมากที่สุด ผมจำไม่ได้ว่าผมเสยเส้นผมสีดำสากที่ขาดการ
    บำรุงของตัวเองไปกี่ครั้ง ขยับแว่นสายตาบนจมูกไปกี่รอบกว่าจะเดินเข้าไปถึง และกว่าจะรวบรวความกล้าเข้าไปนั่งด้านข้างทงเฮได้


    “เอ่อ.....”
    “อ้าว คุณ ...”

    เจ้าของใบหน้าสวยจัดหันมามองผมในทันทีเลยก็ว่าได้ ผมดีใจที่เขาทำท่าว่าจำผมได้จนผมนึกอยากจะดึงเขาเข้ามากอดให้เต็มแรง
    เพราะอย่างน้อยไอ้คนธรรมดาๆอย่างผมก็พอจะไปอยู่ในสายตาของทงเฮ ติดอยู่ในความทรงจำของทงเฮได้บ้างนั่นแหละนะ



    “ขอบคุณนะเมื่อวาน^^”
    “อะ..อืม..ครับ”

    ผมตอบเบาๆอย่างที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาของทงเฮเลยซักนิด นัยต์ตาคู่สวยที่มองมานั้นมันกำลังหลอมละลายหัวใจของผม
    พาให้ร่างกายมันอ่อนปวกเปียกไปทั้งตัว ทงเฮเลิกสนใจหนังสือที่เขาอ่านอยู่เมื่อครู่ และหันมาคุยกับผมอย่างเต็มตัว เขาแนะนำ
    ตัวกับผมด้วยรอยยิ้มและท่าทีที่เป็นมิตรที่ผมคิดว่าน่ารักเหลือเกิน เขาชวนผมคุย เขาซักถามผมถึงคณะวิทย์ที่แตกต่างจากคณะ
    ของเขาโดยสิ้นเชิงด้วยความสนอกสนใจ ผมไม่รู้ว่าเขาได้ทันสังเกตุหรือเปล่าว่ารถเมล์สายประจำของเขาน่ะมันผ่านไปหลายคัน
    แล้ว และผมก็อยากจะขอโทษเขาเหลือเกินที่ผมทำให้เขาพลาดไปเพียงเพราะผมเลือกที่จะเงียบไว้ ก็มันผิดด้วยหรือที่ผมอยากจะ
    อยู่กับเขานานๆน่ะ



    “จริงๆแล้วเราว่าคิบอมเป็นคนน่ารักมากเลยนะ ถ้าคิบอมจะลองถอดแว่นแล้วเปลี่ยนไปใส่คอนแท็คเลนส์น่ะ”

    สาบานให้ดิ้นตายตรงนี้ครับว่าเมื่อครู่ทงเฮขยับเข้ามาจ้องหน้าผม ใกล้จนปลายจมูกรั้นๆนั่นชนเข้ากับปลายจมูกของผม เล่นเอาชา
    ไปทั้งแถบ ผมเหมือนเป็นใบ้รับประทาน คนสวยของผมเขามีสัมพันธไมตรีที่ดีกับคนที่เพิ่งรู้จักอย่างนี้ทุกคนหรืออย่างไรกัน
    ผมพูดอะไรไม่ออก ทงเฮส่งยิ้มหวานมาอีกแล้ว ได้โปรดเถอะ ทั้งๆที่ผมถอดใจทั้งใจไปให้เขาแล้ว และแม้แต่กระทั่งแว่นตาเขาก็ยัง
    ไม่คิดจะเหลือไว้ให้ผมเลยหรือนี่ และในที่สุดมือเล็กๆแสนซนก็ดึงแว่นสายตากรอบหนาออกไปจากใบหน้าของผมจนได้

    มันพร่ามัวไปหมดครับ . . ผมอยากจะเห็นใบหน้าของทงเฮที่เปื้อนยิ้มเพราะพึงพอใจกับผลงานของเขาจัง ผมมองอะไรไม่ชัดเลย
    ได้ยินแต่เสียงหัวเราะใสๆที่ดูจะถูกใจเอาการอยู่



    “น่ารักจริงๆด้วย”

    สนุกเขาล่ะครับ คนสวยของผมหัวเราะร่าไม่หยุดจนผมนึกเขินจึงต้องรีบฉวยแว่นในมือนิ่มกลับมาใส่ตามเดิม



    “คิบอมโกรธเราเหรอ?”

    ดูคนน่าเอ็นดูเขาเอียงคอมองผมเพื่อรอคำตอบสิครับ ถ้าจะให้ผมโกรธทงเฮสู้ให้ผมกระโดดลงไปให้รถเมล์ทับตายดีกว่าครับคนสวย
    ผมส่ายหน้าเบาๆเป็นการปฎิเสธ ทงเฮหรี่ตามองผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อซักเท่าไหร่นักจนผมต้องยืนยันคำตอบด้วยการถอดแว่น
    ออกอีกครั้งแล้วบอกกับเขาว่า ‘ผมไม่ได้โกรธทงเฮครับ’ และเราก็เล่นกันต่อ พูดคุยกันเพิ่มไปมาเพลิน จนผมนึกอยากจะถาม
    กับทงเฮว่า ‘ไปต่อที่บ้านผมมั้ยครับคนสวย?’ แต่ก็ดูจะเป็นเพย์บอยเกินตัวไปสำหรับไอ้หน้าจืดถามคำตอบคำอย่างผม ใจจริงผม
    อยากจะนั่งคุยกับทงเฮอย่างนี้ยันเช้า แต่ถ้าไม่ติดว่านี่มันก็ดึกมากแล้วและที่บ้านทงเฮจะเป็นห่วงล่ะก็ ถึงไหนถึงกันครับ และใน
    ที่สุดผมก็ตัดสินใจเอ่ยปากไปส่งอย่างน้อยก็เป็นการต่อเวลาการสนทนา และอีกอย่างผมก็ไม่อยากให้เขานั่งรถเมล์กับดึกๆดื่นๆ
    อย่างนี้คนเดียว ถึงเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนกันกับผม แต่หน้าตาสวยจัด รูปร่างตัวเล็กบอบบางแบบนี้ใครจะปล่อยไปไหว และก็
    สมใจอยากครับ ผมอาสานั่งแท็กซี่มาส่งเขาถึงหน้าบ้าน บ้านที่ผมไม่อาจจะแน่ใจได้ว่านี่เรียกว่าบ้านไม่ใช่คฤหาสน์


    “ขอบคุณคิบอมนะที่มาส่ง เราดีใจมากเลยที่ได้รู้จักคิบอม”

    คนตัวเล็กรีบดึงหนังสือกองโตจากมือผมไปถือด้วยกลัวว่าผมจะลำบาก อยากจะร่ำลาให้นานกว่านี้อีกซักหน่อย อยากจะจดจำ
    รอยยิ้มและใบหน้าสวยอย่างนี้ให้นานอีกซักหน่อยแต่ก็ทำไม่ได้ ไม่ใช่กลัวว่าแท็กซี่จะรอนานหรอกนะครับ แต่ติดตรงที่ว่าฝนได้เริ่ม
    เทลงมาอีกแล้ว เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ผมนึกไม่พอใจสายฝน ทั้งๆที่ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นมันสลายตัวไปแล้วแท้ๆแต่ก็กลับกลั่น
    ตัวตกลงมาอีกจนได้ ไหนๆก็ช่วยผมมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้จะให้ผมบอกลากับทงเฮให้ฉ่ำใจอีกซักนาทีไม่ได้เชียวหรือ และใน
    ระหว่างที่ทงเฮกำลังระรัวกดทั้งกริ่งและโทรศัพท์มือถือเพื่อเรียกให้คนในบ้านมาเปิดประตู ด้วยความที่ไม่ถนัดจึงทำให้หนังสือที่เจ้าตัวดื้อ
    จะเอาไปจากมือผมก่อนหลุดร่วงตกลงไปกับพื้น


    “อ๊ะ!~”

    ประจวบเหมาะในองศาและจังหวะที่พอดี ทงเฮรีบก้มตัวลงเร็วๆในขณะที่ผมก็รีบก้มลงเพื่อช่วยเก็บหนังสือให้เช่นกัน และในระยะ
    ที่เรายืนอยู่ใกล้ประกอบกับการที่ลดตัวลงพร้อมๆกันในทิศทางที่หันหน้าเข้าหากันนั้น จึงทำให้ริมฝีปากของผมประทับเข้าที่แก้ม
    นิ่มของทงเฮโดยไม่ได้ตั้งใจ และหนังสือเล่มเดียวกันที่เราจับไว้ก็กลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวของเราทั้งคู่ไปโดยปริยาย ผมจำอะไรไม่
    ค่อยได้นัก นอกจากสายตาเชื่อมหวานที่มองมาราวกับจะเชิญชวนให้ผมทำมากกว่านั้นที่ทำให้ผมสั่นไหว ลมหายใจอุ่นร้อน
    ที่ปะทะใบหน้าของผมและริมฝีปากนิ่มนั่นที่ผมเผลอใจขโมยจูบไปอย่างแทบจะไม่รู้ตัว มันเนิ่นนานนักที่เราสองคนจูบกัน
    ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา ความหวานของทงเฮเหมือนจะดึงดูดให้ผมเพียรตอกย้ำความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองอย่างไม่มี
    วันจบสิ้น จนเมื่อประตูรั้วบ้านของทงเฮเปิดออกเท่านั้น เราสองคนจึงได้สติผละออกจากกันในทันที ทงเฮมองหน้าผมชั่วอึดใจ
    เขากัดปากนิดๆอย่างน่ารักด้วยความเขินก่อนจะวิ่งเข้าไปในบ้านโดยที่ไม่ร่ำลากับผมเลยซักคำ


    ผมฝันไปรึเปล่า ? . . ผมฝันไปรึเปล่าที่ผมได้จูบกับทงเฮ . . และที่สำคัญ . . เมื่อครู่ถ้าผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองทงเฮเองก็เต็มใจที่
    จูบตอบผมเช่นกัน



    คงจะไม่มีคำไหนที่ผมจะบอกกับสายฝนในค่ำคืนนี้ได้ดีไปกว่าคำว่าขอบคุณครับ . . ขอบคุณจริงๆ . . 





    user posted image





    Rainy Day 4




    ป้อก...ป้อก

    “เชี่ย! เป็นอะไรวะไอ้คิบอม กูเห็นมึงนั่งเคาะปากกากับโต๊ะอย่างนี้มาชั่วโมงแล้วนะมึง จะสรุปผลก็เอาซักทีดิวะ
    กูรอจะลอกจนเมื่อยแล้วเนี่ย!”
    “กูไม่มีอารมณ์ มึงทำเองดิ”
    “อุแหม่! สองสามวันมานี้มึงชักจะทำตัวให้กูแปลกใจขึ้นเรื่อยๆนะเนี่ย คนอย่างคิม คิบอมผู้รักการเรียนวิทยาศาสตร์
    และชอบทำการทดลองเป็นชีวิตจิตใจเกิดเบื่อการเรียนขึ้นมากระทันหัน และดู๊ ....ดู รักษาคอนเซ็ปนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
    ด้วยการใส่แว่นตาหนาเตอะมานาน ดอดจะมาถอดแล้วใส่คนแท็คเลนส์เอาตอนนี้ ....ถามจริง...ไปเห็นสาวที่ไหนดีกว่าFlaskเข้าวะ!”
    “ซักเรื่องได้มั้ยไอ้คุณโจ?”
    “เรื่องไหนอะ บนเตียง หรือว่า ...”
    “พอเลยมึง! เสื่อมว่ะ มึงลองดูเปเปอร์นี้คร่าวๆไปก่อนละกัน กูขอออกไปเดินเล่นแป๊บ”
    “เออ ๆ ฝากซื้อขนมมาให้แด๊กด้วย!”

    ผมอยากจะบ้าตายครับ เรื่องเมื่อคืนวานที่เกิดขึ้นมันไม่อาจจะทำให้ผมกลับมาเป็นคิม คิบอมผู้รักการเรียนคนเดิมได้
    ผมอยากจะเจอทงเฮ อยากจะถามเขา อยากจะรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ถ้าเขาโกรธ ผมก็อยากจะขอโทษเขา แต่ผมก็ไม่รู้จะติดต่อ
    เขาได้อย่างไร นอกจากไปเดินตามหาเขาที่คณะมนุษศาสตร์ แต่เพื่อนของทงเฮก็บอกว่าวันนี้ทงเฮมีเรียนบ่ายๆอาจจะเข้ามาตอน
    เที่ยง ก็มันอีกตั้งสองชม.นี่ครับ สองชม.ที่เหมือนกันสองพันปีสำหรับผม ครั้นจะไปรอที่หน้าบ้านผมก็ละอายเกินกว่าจะไป
    เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกที่จะนั่งรอเขาอยู่ที่ลานหน้าตึกคณะของเขา และพอมานั่งนึกๆดูแล้วการที่เพิ่งพบเจอกันไม่กี่ครั้ง และ
    พูดคุยกัน ไม่ถึงวันมันมากเกินไปสำหรับเรื่องแบบนี้ คิดแล้วก็ปวดหัวครับ ผมอยากจะเอาหัวทุยๆของผมกระแทกลงกับโต๊ะม้าหิน
    ที่นั่งอยู่ซักทีสองที . . และนั่นฝนเจ้ากรรมที่เป็นตัวแปรสำคัญตกลงมาอีกแล้วครับ . . ทำไมต้องมาตกลงมาในตอนที่ผมตั้งใจจะมา
    นั่งเฝ้ารอทงเฮด้วยล่ะ และก่อนจะได้เปียกปอนจนหมดสภาพก่อนจะได้เจอทงเฮนั้น ผมจึงย้ายตัวเองมาหลบฝนยังใต้ตึกคณะมนุษยศาสตร์ . .


    “นั่นพี่ทงเฮกับพี่ซีวอนนี่นา โอ้ย~!...อย่าบอกนะว่ากำลังคบกันอยู่ ดูๆ ....ใกล้ชิดใต้ร่มคันเดียวกันสุดจะโรแมนติกเลยแก”
    “เฮ้อ~ …………..เค้าเหมาะสมกันดีจังเนอะ .... โธ่~ แห้วแล้วสิเรา”


    แค่เพียงสิ่งเดียวที่เห็นก็สามารถตอบโจทย์ของผมได้หมดทุกอย่าง ภาพที่ทงเฮยิ้มให้กับเขาคนนั้น เขา . . คนที่เดินอ้อมมา
    เปิดประตูรถคันงามพร้อมกับประคองให้ทงเฮลงมาอย่างห่วงใย เขา . . คนที่ถือร่มเคียงข้างเดินมากับทงเฮ โดยที่ทั้งคู่หัวร่อต่อ
    กระซิกกันดูจะสนิทสนมมากกว่าคำว่าเพื่อน ภาพเหล่านั้นมันทำให้ผมเลิกความคิดทั้งหมดทั้งมวลที่ตั้งใจจะมาคุยกับทงเฮ
    ในตอนแรก มันเจ็บปวดจนแทบจะทนอยู่ดูต่อไปอีกไม่ไหว . .



    ไม่อยากจะยอมรับว่ารอยยิ้มสวยนั่น รอยยิ้มที่ผมเก็บไว้ด้วยหัวใจ จะเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มีไว้เพื่อผมเพียงคนเดียว เสียงหัวเราะ
    คำพูดชวนฟังนั่นก็ไม่ได้มีไว้เพื่อผมเพียงคนเดียว . . ทุกๆอย่างทำให้ผมพาลคิดไปว่าจูบแบบนั้นก็อาจจะไม่ได้มีให้ผมเพียงคนเดียวอีก
    เช่นกัน ผมยังรู้จักทงเฮไม่ดีพอ ไม่ใช่สิ . . ผมยังรู้จักตัวเองไม่ดีพอ คนอย่างผมน่ะหรือ ที่ทงเฮจะใส่ใจ คนที่หน้าตาธรรมดา คนที่
    ฐานะปานกลาง คนที่ไม่มีอะไรเทียบเท่าชเว ซีวอนได้นอกจากความรักที่มีให้ทงเฮ คนอย่างนี้คงไม่ใช่คนที่ทงเฮต้องการหรอก . .



    ผมเกลียดสายฝน . .



    “เฮ้ย!~ ไอ้หนูนี่ลงมาจากตึกตั้งนานแล้วยังไม่ไปอีกเหรอ!?”
    “ขอนั่งอย่างนี้อีกซักพักแล้วกันนะลุง”

    แม้ว่าทงเฮอาจจะไม่อยากพบผมแล้วโดยเขาอาจจะกลับไปกับคนของเขาตั้งนานแล้วก็ตามที แต่ผมก็ยังไม่อยากจะเสี่ยงอยู่ดี
    ผมขอคุณลุงยามนั่งเงียบๆอยู่ตรงขั้นบันไดตึกเพื่อรอให้เวลาเดิมๆที่เราเคยพบกันผ่านพ้นไป ผมหวังว่าถ้าผมก้าวดินออกไปใน
    เวลาห้าทุ่มผมจะไม่เจอเขาอีก ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะทรมานหัวใจของตัวเอง หน้าฝนครั้งนี้ทำให้ผมเรียนรู้ที่จะรัก และ
    สอนให้ผมได้รู้จักกับความเจ็บปวดได้รวดเร็วดีจริงๆ บางทีสายฝนคงกลัวว่าจะทำให้ผมเป็นไข้รักเรื้อรังยาวนานจนรักษาไม่หายก็ได้


    ขอบคุณครับ . . ขอบคุณที่ช่วยให้ผมถอนตัวได้เร็วหน่อย . . แต่จะขอบคุณมากเลยถ้าสายฝนจะช่วยหยุดโปรยลงมาซักวัน
    ให้ผมที่กำลังเศร้าน้ำตาตกในได้เดินกลับบ้านยามวิกาลได้สะดวกกว่านี้อีกซักหน่อย



    “คนบ้า ....! เห็นไฟห้องแล็บปิดตั้งนานแล้วนี่ ทำไมยังไม่ออกมาอีกนะ!!”

    บีกเกอร์หลายใบที่หอบหิ้วใส่ถุงมาด้วยในมือแทบจะหลุดมือตกแตก ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่าเสียงใสๆดูอารมณ์ขุ่นเมื่อครู่ที่ผม
    ได้ยินนั้นมันไม่ใช่เสียงของลี ทงเฮ . . ผมสาวเท้าเข้าไปหาคนที่แทบจะฉีกหนังสือเล่มโตบนตักอย่างเงียบเชียบเพื่อรอฟังว่าเขาจะ
    พูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้วเมื่อความตื่นเต้นของผมที่ไม่ทุเลาลงมันไม่อาจจะคุมสติตัวเองให้เดินเบากว่านี้ได้ ทงเฮหันมา
    มองผมด้วยสายตาที่ตกใจในทีแรก และไม่นานพอเขาแน่ชัดว่าผมเป็นคนที่เขาต้องการจะเจอ คนสวยของผมก็สะบัดหน้าหนีพรืด
    ด้วยความแง่งอนทันที ตัวผมนี่อ่อนเป็นขี้ผึ้งรนไฟเลยครับ ทงเฮงอนผม ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างผมมีค่าเพียงพอให้ทงเฮรอคอย
    คนที่ทำเชิดหน้าไม่มองผมเขาจะรู้ตัวบ้างมั้ยว่าการที่ผมจะเดินเข้าไปหาเขาในแต่ละก้าว ผมต้องใช้กำลังใจมากมายแค่ไหน และ
    เมื่อผมไปหยุดยืนที่ตรงหน้าเขาได้ ผมก็ไม่มีคำพูดใดๆที่จะบอกเขาอีกแล้วนอกจาก





    “ผมรักคุณทงเฮ . . “


    ผมดึงตัวทงเฮเข้ามากอดไว้แน่นอย่างไม่ต้องการจะสูญเสียเขาไปจากใจอีก ทั้งวันที่ผมคิดจะตัดใจนั้นมันทำให้ผมทรมาน
    และทุรนทุราย ผมไม่สนว่าสิ่งที่ผมเห็นเมื่อกลางวันนั้นคืออะไร และไม่สนว่าทงเฮจะรู้สึกแบบเดียวกันกับผมบ้างหรือเปล่า
    แต่ผมต้องบอก ผมแค่อยากจะบอกให้ทงเฮรับรู้ไว้ก่อนที่ความรู้สึกของผมในอนาคตจะเปลี่ยนไป ผมอยากให้เขารับความรัก
    ทั้งหมดในตอนนี้ของผมไว้ . .




    “ฉันก็รักคิบอมเหมือนกัน”

    และก็เป็นคำตอบที่เหนือจากความคาดหมาย ทงเฮกระชับมือกอดตอบผมไว้แน่น คำว่ารักที่ผ่านริมฝีปากเล็กๆนั่นผ่านเข้ามาใน
    โสตประสาทและชัดเจนไปถึงกลางใจ ผมคลายวงแขนออกเล็กน้อยเพื่อให้เราทั้งสองสามารถสบตากันได้ ผมมองเข้าไปยังดวงตาคู่สวย
    ที่กำลังวูบไหวด้วยความไม่เข้าใจ ผมถามเขาด้วยแววตาและสีหน้าสงสัยว่าเพราะอะไรถึงเป็นผม และดูเหมือนคนในอ้อม
    กอดของผมจะรับรู้ ทงเฮทำในสิ่งที่ผมไม่มีวันจะคาดเดาได้ คนสวยหยัดใบหน้าขึ้นและประทับจูบที่ริมฝีปากของผมเบาๆ



    “คิดว่าที่ฉันนั่งรอรถเมล์ดึกๆมาสองสามวันเป็นเพราะความบังเอิญงั้นเหรอ?”
    “.........”
    “จริงๆคนที่เอาแต่เคร่งกับตำรา วันๆเดินก้มมองแต่พื้นก็มีเสน่ห์จะตายนะ”
    “แล้ว ..ซีวอนนั่น”
    “แค่แฟนของพี่สาวน่ะ”



    สาบานกับผมทีเถอะฟากฟ้าว่าท่านไม่ได้ประทานฝนเหล่านี้ให้หลงฤดูเหมือนกับที่ไม่ให้ส่งให้ทงเฮมาหลงงมงายกับคนอย่าง
    คิม คิบอมผิดคน ทงเฮสารภาพกับผมว่าเขาแอบชอบผมตั้งแต่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนตอนที่ผมเป็นผู้อธิบายโครงงานวิทยาศาสตร์ใน
    งานสัปดาห์วิทย์ที่จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าชมได้และตอนนั้นเขาก็เข้ามาฟังผมบรรยายด้วย ทำไมผมไม่
    เคยรู้เลยนะว่ามีคนแอบสนใจอยู่ คงอาจจะเป็นเพราะวันๆผมเอาแต่เดินก้มมองพื้นอย่างที่ทงเฮบอกก็เป็นได้ แต่ต่อจากนี้ผมคง
    ไม่มีต้องเดินก้มมองพื้นถนนและมีชีวิตที่แสนน่าเบื่ออีกต่อไป ในเมื่อผมมีลี ทงเฮคนที่ผมรักมากที่สุดอยู่เคียงข้างกายแล้วนี่ . .





    ขอบคุณสายฝนอีกครั้ง . . . ที่ทำให้เราได้พบกัน . . และรักกัน
    และหวังว่าฤดูฝนของทุกๆปี . . จะทำให้คิม คิบอม . . และลีทงเฮรักกันมากขึ้นเรื่อย ๆ . . ขอให้เราสองคนรักกันตลอดไปเลยนะครับ!






    อ๊ะ ๆ ไม่ใช่สิ ต้องขอบคุณป้ายรถเมล์ด้วย . . คุณเป็นสถานที่ที่โรแมนติกและยอดเยี่ยมที่สุดในฤดูฝนเลย !!!










    THE END 







    Girl '기범동해' ShiNe
    You are my everything

    user posted image user posted image

    http://kihaetown.9.forumer.com/index.php?act=idx
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×