คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่11 โลกใบใหม่(1)
ตอนที่11 โลกใบใหม่(1)
(ยูคยอม)
หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมก็เหมือนตกเป็นเชลยที่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนในโรงเรียนก็ต้องมีสายตาหลายคู่คอยจับจ้องมองผมเหมือนผมเป็นตัวประหลาด ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เจอกับชินโจวอีกเลยเพราะเขาไม่ได้มาโรงเรียน จะไปหาที่บ้านผมก็ไม่มีความกล้าพอ ไม่กล้าพอแม้จะก้าวเข้าห้องเรียน
“เฮ้อ...”
ผมถอนหายใจเมื่อสองขาของผมมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียน
“เฮ้อ...”
ผมหันไปหาต้นเสียงเมื่อครู่ปรากฎว่าเป็นเจ้าเปี๊ยกแบมแบมที่ยืนอยู่ข้างผม...ท่าทางเจ้านี่คงจะไม่อยากเข้าไปเหมือนกันล่ะสิ...หลังจากยืนหน้าห้องได้ซักพักแบมแบมก็เดินเข้าไปในห้อง ผมได้แต่ยืนมองตามแผ่นหลังเล็กๆนั่นไป แบมแบมยังคงทำตัวเป็นปกติแม้ว่ารอบข้างจะมองเข้าเป็นตัวประหลาดเช่นเดียวกับที่มองผม ผมเดินเข้าไปในห้องเรียนแล้วตรงไปยังที่นั่งของตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ
“แบมแบม...นายโอเคมั้ย”
จีมินเป็นคนแรกที่เดินเข้ามาทักทายแบมแบม ก็แน่ซิ...เพราะเจ้านี่มีเพื่อนแค่คนเดียวนี่น่า
“ฉันโอเค...ไม่เป็นอะไรหรอก”
ถึงแม้จะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ใครฟังก็รู้ว่าน้ำเสียงของเจ้านี่ไม่โอเคอย่างที่พูดแน่นอน
“ฉันเชื่อนายนะ”
คำพูดของจีมินดูหนักแน่น จนทำให้ผมต้องหันไปมอง ถึงเจ้านี่จะมีเพื่อนเพียงคนเดียวแต่กลับเป็นเพื่อนที่เรียกว่าเพื่อนแท้จริงๆ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรผมก็มักจะเห็นสองคนนี้อยู่เคียงข้างกันเสมอ ต่างกับผมที่ถึงแม้จะมีคนห้อมล้อมแต่ดูตอนนี้ซิ...ขนาดเพื่อนที่คิดว่าจะเข้ามาทักทายกลับทำเมินเฉย ผมหันกลับมาแล้วมองไปยังกลุ่มเพื่อนที่มักจะเข้ามาทักทายผมก่อนเสมอซึ่งตอนนี้พวกเขาทำเหมือนกับไม่รู้จักผม ไม่มีใครเข้ามาคุยกับผมหรือถามว่าผมเป็นอะไรไหมเลยซักคน
“นักเรียนเงียบกันได้แล้ว”
เสียงของครูที่เพิ่งเข้ามาพูดขึ้นทำให้บรรยากาศที่ดูวุ่นวายอยู่เมื่อครู่สงบลง
“วันนี้เดี๋ยวจับกลุ่มกันแล้ววิเคราะห์บทความที่ครูให้นะ เอาล่ะ...จับกลุ่มแล้วหันโต๊ะเข้าหากันเลยนะ”
หลังจากครูพูดจบทุกคนก็ต่างพากันจับกลุ่มแล้วทำตามที่ครูบอก ไม่นานนักทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเรียบร้อย...คงมีแค่ผมซินะที่อยู่คนเดียว..
ครืด ครืด
ผมหันไปมองด้านข้างของตัวเองทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีโต๊ะขยับเข้ามาใกล้ เมื่อผมหันไปก็พบกับเจ้าเปี๊ยกแบมแบมที่ขยับโต๊ะมาชิดกับผม ตามมาด้วยจีมิน
“ทำอะไรของนาย”
ผมถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“ก็จับกลุ่มไง ครูเขาสั่งไม่ได้ยินหรอ”
แบมแบมตอบกลับมาด้วยท่าทีกวนๆ ส่วนจีมินหลังจากที่ขยับโต๊ะจนเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็หันมามองหน้าผม
“อะไรของเธอ”
“ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าเพื่อนนายไปไหนหมด”
คำพูดตรงๆของเธอทำให้ผมชะงักไปนิด แล้วหันไปมองทางพวกนั้นที่ตอนนี้จับกลุ่มกันเรียบร้อยตั้งนานแล้ว โดยที่พวกเขาไม่แม้จะหันมามองผมเลยซักนิด
“ขออยู่ด้วยคนสิ”
เสียงหนึ่งพูดขึ้นทำให้เราสามคนหันไปมอง...เยรินงั้นหรอ...
“เธอมาทำไมเนี่ย”
เป็นจีมินที่เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เยรินเพื่อนผู้หญิงในห้องนั่งลงในที่ว่างข้างๆเธอซึ่งอยู่ตรงข้ามกับผม
“กลุ่มอื่นเต็มหมดแล้ว”
เยรินพูดเสียงนิ่งๆ แล้วเปิดหนังสือเพื่อที่จะทำงานตามที่ครูสั่ง
“มองอะไรล่ะ ช่วยกันทำสิ”
เยรินพูดขึ้นเมื่อเธอรู้สึกว่าพวกเรากำลังมองเธออยู่
“ชิส์...เธอนี่มันมนุษย์ต่างดาวชัดๆ”
จีมินไม่วายจะหันไปจิกกัดคนข้างๆโดยที่อีกฝ่ายไม่สนใจ ส่วนเจ้าแบมแบมที่ตอนแรกดูงงๆกลับเอาแต่ยิ้มร่า แล้วก้มลงดูหนังสือเพื่อที่จะทำงานต่อให้เสร็จ
“ยากชะมัด ฉันล่ะเกลียดที่สุดเลยการวิเคราะห์อะไรเนี่ย”
หลังจากนั่งทำไปซักพักจีมินก็ผลักหนังสือออกห่างตัวแล้วบ่นขึ้น
“แต่เธอไม่มีทางเลือก เพราะเธอต้องทำมันต่อไป”
เยรินสวนกลับแล้วดึงหนึงสือที่จีมินผลักไสไปกลับมาที่เดิม
“ยัยมนุษย์ต่างดาว...เธอนี่มันวุ่นวายชะมัด”
“เธอวุ่นวายกว่าฉันอีกนะ...ยัยมนุษย์กลายพันธ์”
ทั้งจีมินและเยรินต่างเถียงกันโดยไม่มีใครยอมใคร จนผมเริ่มรำคาญหูฟังที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อถูกหยิบขึ้นมาสวมที่หูทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงนกระจอกของทั้งคู่
“ขอฟังบ้างสิ”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ให้คำตอบหูฟังที่อยู่อีกข้างก็ถูกคนข้างๆดึงไปใส่หูตัวเอง
“นายกลายเป็นคนกวนประสาทอย่างนี้เมื่อไหร่”
ผมพูดออกไปพอให้ได้ยินกันสองคน
“แล้วเมื่อก่อนฉันเป็นแบบไหนหรอ”
แบมแบมถามกลับโดยที่ไม่เงยหน้ามองผม
“เด็กน้อย”
คำพูดของผมทำให้แบมแบมถึงกลับหยุดชะงักแล้วเงยหน้างขึ้นมามองผมด้วยสีหน้าขัดใจ
“ได้ข่าวว่าฉันอายุเท่านาย”
“งั้นเหรอ...ทำไมฉันไม่คิดอย่างนั้นล่ะ”
ผมกวนเขาต่ออีกจนเจ้าแบมแบมกัดปากด้วยความไม่พอใจ...สนุกดีแฮะแกล้งเจ้านี่...
“คิม ยูคยอม...เจ้าเด็กยักษ์”
“อะไรเหรอ...เจ้าหนูแบมแบ๊ม”
ผมทำเสียงล้อเลียนเจ้าเปี๊ยกออกไป จนทำให้เจ้าตัวเริ่มควันออกหู...ท่าทางเจ้านี่จะไม่ชอบคำว่าเด็ก...
“ฉันจะบีบคอนาย...เจ้ายักษ์”
พูดจบแบมแบมก็ตรงเข้ามาบีบคอผมทันทีจนผมที่ไม่ทันตั้งตัวเซจนหล่นเก้าอี้ ส่วนแบมแบมที่ได้แกล้งผมสำเร็จก็นั่งหัวเราะร่วนเสียงดัง เมื่อผมลุกขึ้นได้ก็ตรงไปล็อคคอเจ้าตัวแสบเพื่อเป็นการแก้แค้นทันที
“โอ๊ย!...ยูคยอมมันเจ็บนะ”
แบมแบมร้องเสียงหลงแล้วพยายามจะทำผมกลับ กลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนเล่นกันเสียงดังจนคนทั้งห้องหันมามองเป็นตาเดียว รวมทั้งครูที่กำลังพูดอธิบายอยู่หน้าห้องด้วย
“กันพิมุกต์ คิมยูคยอม! ออกไปยืนนอกห้องเดี๋ยวนี้”
สิ้นเสียงคำสั่งของครูทั้งผมและแบมแบมก็ถูกไล่ออกมายืนสำนึกผิดอยู่หน้าห้อง ถ้าถามถึงจีมินกับเยรินสองคนนั่นก็เกือบจะโดนเหมือนกันแหละครับเพราะเอาแต่เถียงกันตลอด ขนาดว่าผมกับแบมแบมออกมายืนหน้าห้องแล้วสองคนนั้นก็ยังไม่หยุดเถียงกันเลย ผมมองพวกนั้นขำๆแล้วหันกลับมามองแบมแบมที่ตอนนี้ไม่มีสีหน้าเศร้าแบบเมื่อเช้าแล้ว จะว่าไปผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นเหมือนกันนะที่ได้พูดคุยกับเจ้านี่ จะเรียกว่าพูดคุยก็ไม่ถูกเรียกว่าแกล้งแหย่กันจะถูกซะกว่า เราสองคนยืนอยู่หน้าห้องโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร แต่ทำไมเพียงแค่นี้มันกลับทำให้ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูกนะ
(เจบี)
“นี่เจบี....ถ้าซักวันฉันไม่อยู่แล้วนายจะทำไงหรอ”
“พูดอะไรของเธอ...ฉันจะอยู่ได้ไงถ้าไม่มีเธอน่ะ”
“นาย...ทำทุกอย่างได้เพื่อฉันจริงหรอ”
“ใช่สิ ทุกอย่างเลย”
เฮือก
ผมสะดุ้งตื่นหลังจากคิดว่าจะพักสายตานิดหน่อยกลับกลายเป็นว่าดันหลับจนฝันถึงเรื่องเก่าๆ ผมใช้สองมือยกขึ้นมาลูบหน้าตัวเอง เมื่อรู้สึกดีขึ้นผมจึงลุกขึ้นเดินไปยังริมระเบียง ตอนนี้ผมอยู่บนดาดฟ้าของโรงเรียนครับ ที่ผมมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อที่จะหลีกหนีความวุ่นวายและสายตาของผู้คนที่มองมาที่ผมด้วยความสงสัย ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้นทั้งผม จูเนียร์ และยูคยอมก็ไม่ได้คุยอะไรกันเพิ่มเติมเลย ด้วยความที่ทุกคนต่างก็เหนื่อยจนไม่อยากที่จะพูดอะไร และอีกอย่างผมว่ายูคยอมก็คงยังไม่พร้อมที่จะเล่าอะไรให้ใครฟังด้วย
“นายมาทำอะไรที่นี่”
ผมหันไปหาต้นเสียงที่พูดขึ้นมา ก็พบว่าเป็นเจ้าจูเนียร์ที่ยืนกอดอกมองจ้องมาทางผม
“นี่เวลาเรียนไม่ไช่หรอ...”
ผมถามเขากลับ จูเนียร์ยังไม่พูดอะไรแต่กลับเดินมายืนข้างๆผมกลายเป็นว่าตอนนี้เราสองคนยืนอยู่ริมระเบียงดาดฟ้าแล้วมองไปทิวทัศน์ข้างหน้า
“นายโดดเรียนเพื่อที่จะมามองวิวบนนี้น่ะหรอ”
จูเนียร์ถามออกมาโดยที่ไม่มองหน้าผม
“นายก็กำลังทำอยู่เหมือนกันไม่ไช่หรอ”
“ฉันไม่เคยคิดที่จะโดดเรียนมาก่อนเลยนะเนี่ย”
จูเนียร์พูดกลับมา นั่นซินะตั้งแต่ที่ผมรู้จักเพื่อนคนนี้มาเจ้านี่ไม่เคยจะทำผิดกฎโรงเรียนหรือคิดที่จะโดดเรียนเลยซักครั้ง
“เจบี...นายคิดว่าพวกเราจะเป็นไงต่อไป”
คำถามของจูเนียร์ทำให้ผมหันไปมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย
“การที่พวกเรากลายเป็นผู้ต้องสงสัย ทุกคนเขาก็พากันมองว่าพวกเราเป็นตัวประหลาด บอกตรงๆนะฉันไม่ชินเลยว่ะ”
“ก็แค่ไม่สนใจก็หมดเรื่อง”
ผมพูดออกไปอย่างที่ใจคิด ทำให้จูเนียร์หันมามองหน้าผมทันที
“นายทำได้จริงๆเหรอ”
“ฉันก็กำลังทำอยู่นี่ไง”
คำพูดของผมทำให้จูเนียร์มีสีหน้าเปลี่ยนไปนิด แต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้น
“นั่นซินะ...เพราะเป็นนายถึงทำได้ แต่รู้ไหมฉันน่ะทำไม่ได้หรอกนะ การที่มองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างไปเพื่อทำให้ตัวเองสบายใจขึ้น ฉัน...ทำไม่ได้จริงๆ”
“ฉันว่าบางทีนายก็สนใจคนอื่นมากไปนะ ความจริงตอกแรกถ้านายไม่ไปที่นั่นทุกอย่างรอบตัวนายมันก็จะเหมือนเดิม จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจนายเลยจริงๆว่าทำไมวันนั้นนายถึงโดดเรียนไปที่นั่นได้”
ผมพูดสิ่งที่ค้างคาในใจมาตลอด เพราะผมสงสัยจริงๆทั้งๆที่จูเนียร์ไม่ไช่คนที่จะหนีเรียนหรือเกเรอะไรเลยแต่ทำไมวันนั้นหมอนี่ถึงได้ไปที่นั่นได้นะ
“เพราะสิ่งที่ฉันสนใจไม่ไช่คนอื่น...แต่เป็นเพื่อนคนสำคัญต่างหาก”
ผมชะงักทันทีที่ได้ฟังสิ่งที่จูเนียร์พูด แม้เขาจะไม่ได้หันมามองทางผมแต่ผมก็รู้ว่าเจ้านี่พูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรออกไปจูเนียร์ก็หันหลังเดินออกไป ผมมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทค่อยๆไกลออกไป อยู่ๆผมก็รู้สึกอยากจะคว้าไหล่นั้นไว้ หรือเอ่ยปากเรียกให้หยุดก่อน มันเหมือนกับภาพซ้อนทับของใครบางคนที่เคยเดินหันหลังให้ผมแล้วจากไป
“จูเนียร์....อย่าเพิ่งไป”
ผมพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา พูดออกไปทั้งๆที่เขาเดินออกไปแล้ว ความรู้สึกแบบนี้มันแย่มากเลยมันเหมือนว่าเรากำลังจะโดนทอดทิ้ง ผมหันกลับมาทางระเบียงอีกครั้งแล้วค่อยๆหลับตาเพื่อให้ลืมภาพเรื่องราวต่างๆไปให้หมดสิ้น
“อิมแจบอม”
เสียงจูเนียร์ซินะ...นี่ผมนึกถึงเสียงของเจ้านี่ได้ยังไงกัน
“แกจะยืนเป็นปลาตากแห้งจนถึงพรุ่งนี้เลยรึไง”
ผมลืมตาขึ้นทันทีเมื่อรับรู้ได้ว่าเสียงนั้นไม่ได้ดังอยู่ในความคิดแต่เป็นเสียงที่ดังอยู่ข้างตัว เมื่อผมหันไปก็ผมกับจูเนียร์ที่ยืนทำหน้าหงุดหงิดนิดหน่อยคงเพราะจากการที่เขาเรียกผมเมื่อครู่
“นาย...ทำไมถึงกลับมาล่ะ”
คำถามที่ผมถามไปทำให้จูเนียร์ถอนใจออกมาเบาๆ
“ก็เห็นว่าเขาเลิกเรียนกันแล้ว เลยกลับมาถามว่าจะกลับบ้านเลยไหม แต่ถึงนายตอบว่าไม่ฉันก็จะลากคอนายกลับไปอยู่ดีน่ะแหละ หัดกลับไปดูแลเจ้าเด็กยักษ์นั่นบ้างซิปล่อยให้ฉันเลี้ยงมันคนเดียว เหนื่อยนะเว้ย”
จูเนียร์พูดยืดยาวจนโยงไปถึงยูคยอม แต่ไม่ว่าเขาจะโยงไปเรื่องไหนผมก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่เขากลับมาในตอนที่ผมต้องการคนอยู่ข้างๆ จูเนียร์ก็ยังคือจูเนียร์ที่ยังคอยสนใจคนรอบข้าง ตอนแรกที่ผมคิดว่าไม่อยากให้เจ้าเพื่อนคนนี้สนใจอะไรมาก ตอนนี้ผมชักไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นแล้วล่ะครับ เพราะถ้าวันไหนที่จูเนียร์เลิกสนใจคนรอบข้างขึ้นมาจริงๆ ผมคงเป็นคนแรกที่รู้สึกแย่ที่สุด
“กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวรถเมล์ก็มาแล้ว”
ผมพูดแล้วกอดคอจูเนียร์เดินไปด้วยกัน แม้ตอนแรกเจ้านี่จะโวยวายไปบ้างแต่ซักพักก็อยู่นิ่งๆเดินไปพร้อมกับผมได้ ผมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้หรือวันข้างหน้าจะต้องเจอกับปัญหาอะไรอีกบ้าง แค่ผมรู้และมั่นใจว่าเพื่อนคนนี้จะคอยอยู่ข้างๆผมก็พอแล้ว
เราสองคนขึ้นมาบนรถเมล์คันเดิมที่ขึ้นประจำ แล้วก็เจอคนขับคนเดิมที่ชอบทำตัวแปลกๆ อันที่จริงผมจำชื่อเขาไม่ได้หรอกนะเพียงแต่ผมเจอเขาบ่อยจนจำหน้าได้ก็เท่านั้น พอขึ้นมาบนรถจูเนียร์ก็เดินตรงไปยังเบาะหลังที่ว่างอยู่ทันที พอผมจะเดิมตามไปกลับมีใครคนหนึ่งเดินแซงผมไปซะก่อนแล้วไปนั่งข้างเจ้านั่น ผมไม่ได้สนใจอะไรจึงเดินไปนั่งฝั่งหนึ่ง
“หวัดดี”
จูเนียร์เริ่มทักคนข้างๆ อีกฝ่ายได้แต่พยักหน้าแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่าน
“รู้จักเขาด้วยหรอ”
ผมสะกิดถามจูเนียร์ ซึ่งพอจูเนียร์ฟังจบก็กลอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ
“นี่นายจำเขาไม่ได้หรอ”
ผมส่ายหน้ากลับไปแทนคำตอบ
“เขาก็อยู่กับพวกเราตอนที่เกิดเรื่องไงล่ะ...นายนี่มันจริงๆเลย”
“งั้นหรอ”
ผมได้แต่พูดแค่นั้นแล้วชะโงกหน้าไปมองคนอีกฝั่ง ท่าทางของผมคงทำให้จูเนียร์รำคาญเจ้านี่เลยดึงคอเสื้อผมเพื่อให้กลับมานั่งดีๆ
“แกนี่มันมองไม่เกรงใจชาวบ้านเลยนะ เจบี”
“ก็ฉันจำหน้าไม่ได้นี่”
แล้วผมกับจูเนียร์ก็เถียงกันซักพักจนรู้สึกว่าคนอีกฝั่งจะเริ่มรำคาญลุกขึ้นไปเรียกเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งแล้วลงรถไปด้วยกัน
“โอ๊ะ นั่นยูคยอมนี่”
ผมชี้ให้จูเนียร์ดูเมื่อเห็นว่าเจ้ายูคยอมนั่งอยู่กับเจ้าเด็กที่ลุกไปเมื่อครู่
“นี่นายเพิ่งเห็นรึไง”
“นี่นายเห็นนานแล้วหรอ”
จูเนียร์ถอนหายใจแล้วหันมามองผมอย่างเซงๆ
“นายเห็นแล้วทำไมไม่เรียกเจ้านั่นมานั่งนี่ล่ะ”
ผมถามเขาอีกครั้ง
“ก็ฉันเห็นว่าเจ้านั่นกำลังคุยกับเพื่อนสนุกอยู่ก็เลยไม่อยากขัด”
“เพื่อนหรอ...เจ้านั่นน่ะเหรอ”
ผมถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะปกติแล้วแม้เจ้านั่นจะมีเพื่อนอยู่บ้างแต่ก็เหมือนเป็นแค่คนรู้จักซะมากกว่าเจ้าเด็กนั่นไม่เคยจะคุยกับใครแบบที่เพื่อนเขาคุยกับเลยด้วยซ้ำ
“ยูคยอมน่ะ...เขามีเพื่อนแล้วนะ เป็นเพื่อนที่ไม่ไช่แค่คนรู้จัก แต่เป็นเพื่อนจริงๆ”
คำพูดของจูเนียร์ทำให้ผมหันไปมองเจ้าเด็กยักษ์อีกครั้งแม้คนที่ได้ชื่อว่าเพื่อนจะลงจากรถไปแล้วแม้เจ้านั่นจะนั่งคนเดียว แต่ภาพที่ผมเห็นมันไม่ไช่ยูคยอมที่ผมเคยเห็น แต่เป็นยูคยอมกำลังยิ้มอย่างมีความสุขให้กับตัวเอง
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้านั่นนะ”
“หืม...ยูคยอมน่ะเหรอ”
จูเนียร์ถามผมทันทีเมื่อผมพูดขึ้น
“ใช่...ปกติเจ้าเด็กนั่นน่ะ ไม่ไช่แบบนี้...ไม่ได้เห็นเจ้านั่นยิ้มได้แบบนี้มานานแล้วนะ”
ใช่ว่าผมจะไม่รู้จักยูคยอมเลย ถึงผมจะไม่ค่อยสนใจใครแต่ผมก็พอรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของผมคนนี้เป็นแบบไหน เจ้าเด็กยูคยอมน่ะ...ไม่ค่อยเข้าหาใครหรือพูดคุยกับใครแบบนี้หรอก
“ยูคยอมน่ะ...อาจกำลังจะก้าวเข้าโลกใหม่ของเขาอยู่ก็ได้นะ”
คำพูดของจูเนียร์ทำให้ผมละจากความคิดตัวเองแล้วหันไปมอง
“โลกใหม่...ในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ...ของอย่างนี้ต้องดูกันไปอีกยาว บางทีนะ...การที่พวกเราเจอกับเรื่องแบบนี้มันอาจจะไม่ไช่เรื่องบังเอิญก็ได้”
ผมขมวดคิ้วจนเจ้าจูเนียร์ถึงกลับกลั้นขำ
“นี่นายไม่เข้าใจจริงๆหรอเจบี”
“ก็ไช่น่ะสิ...นายก็รู้ฉันเป็นพวกเข้าใจยาก ช่วยพูดอะไรที่มันเข้าใจง่ายๆหน่อยได้ไหม”
ผมบอกแล้วหันกลับมานั่งตามปกติ
“โชคชะตา”
โชคชะตา...คำนี้ทำให้ผมหันไปมองหน้าจูเนียร์อีกครั้ง
“โชคชะตา...อาจกำหนดให้พวกเราพบกันก็ได้”
“ไม่อยากจะเชื่อว่านายจะเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย”
ผมพูดไปตามที่คิด เพราะผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
“เมื่อก่อน...ฉันก็ไม่เชื่อหรอกนะ..แต่ตอนนี้หลายอย่างมันทำให้ฉันเริ่มอยากรู้ว่าโชคชะตาที่ว่าจะกำหนดให้พวกเราเจออะไรอีก”
แม้ผมจะรู้จักกับเพื่อนคนนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่บางครั้งผมก็เริ่มรู้สึกว่าผมยังไม่รู้จักเขาในบางมุม บางครั้งจูเนียร์ก็เหมือนคนที่อ่านง่ายว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่บางครั้งผมก็ไม่รู้จริงๆว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เหมือนกัน
(ปาร์ค จินยอง)
วันที่อากาศเย็นแบบนี้มันทำให้ผมไม่อยากที่จะลุกขึ้นจากเตียงซักเท่าไหร่ แต่เพราะมีบางสิ่งที่ผมต้องไปเจอทุกวันมันทำให้ผมมีแรงที่จะลุกขึ้นมาอีกครั้ง...นักเรียน...คำสั้นๆคำนี้มันทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมาในแต่ละวันแล้วต้องไปเจอกับพวกเด็กๆที่น่ารัก ผมชื่อ ปาร์ค จินยอง ครับเป็นคุณครูแสนน่ารักของเด็กๆ ผมที่งานที่โรงเรียนนี้มาหลายปีแล้วครับ ตอนนี้ผมกำลังเดินไปยังห้องพักครู ระหว่างทางผมมองบรรยากาศอันเงียบเชียบของโรงเรียน ก็แหงล่ะ...ตอนนี้ยังเช้ามากๆอยู่เลยครับ จะมีนักเรียนมาเรียนซักกี่คน แต่ที่ผมต้องมาเช้าแบบนี้ก็เพราะได้รับข้อความจาก ครูใหญ่ให้มาประชุมด่วน
“สวัสดีครับ”
ผมกล่าวทักทายพร้อมโค้งตัวเล็กน้อยให้กับทุกๆคนที่ตอนนี้เหมือนจะมากันครบแล้ว
“เชิญนั่งค่ะ ครูปาร์ค...เอาล่ะ ถ้ามากันครบแล้วฉันขอพูดเรื่องที่เรามาประชุมกันเลยนะคะ”
หลังจากที่ครูใหญ่พูดกับผมจบ เขาก็หันไปพูดกับทุกคนต่อ
“อย่างที่ทราบกันดีว่า เมื่อไม่กี่วันมานี้เกิดเรื่องกับนักเรียนของเราที่นัม ชินโจว ตอนนี้ชินโจวยังพักฟื้นอยู่ในห้อง ไอซียู หมอบอกร่างกายของเขาได้รับการกระทบกระเทือนจนบาดเจ็บสาหัส และไม่รู้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่”
ครูใหญ่หยุดพูด เมื่อมีครูคนหนึ่งยกมือขึ้นเพื่อที่จะถาม
“ถ้างั้น...ทางโรงเรียนต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นไช่ไหมคะ”
“เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่โรงเรียนควรทำอยู่แล้วค่ะ...แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ มีผู้ปกครองจำนวนมากโทรมาร้องเรียนให้ทางโรงเรียนจัดการกับนักเรียนที่ได้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด”
นักเรียนที่กระทำผิดเหรอ...นี่ทางโรงเรียนจับคนทำผิดได้แล้วหรอทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย
“เอ่อ...เราจับคนทำผิดได้แล้วหรอครับ”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ซักพักผมจึงยกมือถาม
“ก็นักเรียนเจ็ดคนนั่นไงคะ ครูปาร์ค”
ครูท่านหนึ่งที่นั่งข้างๆผมหันมาบอก
“แค่นักเรียนพวกนั้นอยู่ในเหตุการณ์...เราก็ตัดสินว่าเขาเป็นคนผิดแล้วเหรอครับ ผมว่ามันเกินไปหน่อยนะครับ”
ผมค้านออกไปทันทีเพราะรู้สึกไม่เห็นด้วย
“จริงอย่างที่ครูปาร์คพูดนะคะ...เด็กพวกนั้นอาจจะแค่บังเอิญเข้าไปในนั้นก็ได้”
ครูซอนที่เหมือนจะเห็นด้วยกับผมพูดขึ้นอีกคน
“แต่ตามประวัติที่รวบรวมมา เด็กพวกนี้ต่างก็มีปัญหากันทั้งนั้นเลยนะคะ ทั้งเด็กเก็บกด เด็กเกเร ถ้าขืนเรายังไม่ทำอะไร พวกผู้ปกครองของเด็กคนอื่นๆ ต้องพากันย้ายลูกหลานของเขาออกจากโรงเรียนเราแน่เลยค่ะ”
รองครูใหญ่พูดขึ้นมา ทำให้ครูหลายคนต่างก็พยักหน้าเหมือนจะเห็นด้วย รวมทั้งครูใหญ่เองก็ด้วย
“ถ้างั้นเราคงปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้แล้วซินะ...ทางเดียวที่พอจะช่วยแก้ปัญหาได้คงต้องให้เด็กพวกนี้แยกออกจากเด็กคนอื่นๆ”
คำพูดของครูใหญ่ทำให้ทุกคนต่างก็เห็นด้วย โดยเฉพาะรองครูใหญ่
“เราควรให้เด็กพวกนี้พักการเรียนไปก่อนดีไหมคะ”
“ไม่ได้นะครับ รองครูใหญ่”
ผมพูดขึ้นทันทีเมื่อรองครูใหญ่พูดจบ
“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะคะครูปาร์ค ในเมื่อมันเป็นทางเดียวที่จะแยกเด็กพวกนี้ออกมาจากเด็กคนอื่น”
“ทางเดียวที่ไหนกันล่ะครับ...เราแยกให้เด็กพวกนั้นเรียนอีกห้องหนึ่งก็ได้นี่ครับ เด็กๆจะได้ไม่เสียการเรียนด้วย อีกอย่างถ้าขืนเราทำแบบนั้นกับพวกเขา เด็กๆคงเกลียดโรงเรียนไปตลอดชีวิตแน่ๆเลยครับ”
เพราะผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ผมจึงพูดออกไป ผมไม่อยากให้เด็กๆต้องเกลียดโรงเรียนหรือไม่อยากที่จะมาโรงเรียนอีกเลย
“ฉันเห็นด้วยกับครูปาร์คนะคะ...ถ้าเกิดเราพักการเรียนพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่มีความผิด ฉันคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยค่ะ เด็กๆน่ะถึงทำผิดอย่างไรก็ต้องมาโรงเรียน”
ผมหันไปมองครูซอนทันทีที่เขาพูดจบอย่างรู้สึกขอบคุณที่ยังมีคนเห็นด้วยกับผม ผมสังเกตว่าครูใหญ่เริ่มจะมีท่าทีเห็นด้วย ผมจึงพูดเสริมขึ้นอีกครั้ง
“ให้พวกเขามาโรงเรียนเหมือนเดิมเถอะครับ...ให้พวกเขาได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองด้วยเถอะครับ”
“เอางั้นก็ได้”
ครูใหญ่พูดออกมาหลังจากครุ่นคิดอยู่ซักพัก
“จะไม่เป็นไรแน่เหรอคะครูใหญ่...ถ้าแยกห้องออกมาแล้วใครจะดูแลเด็กพวกนี้ในเมื่อครูคนอื่นๆต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำกันทั้งนั้น”
รองครูใหญ่เริ่มโน้มน้าวครูใหญ่อีกครั้ง ซึ่งผมหวังว่าครูใหญ่คงจะไม่เปลี่ยนใจ
“ก็ให้ครูปาร์คไงคะ...ตอนนี้ครูปาร์คแค่สอนวิชาประวัติศาสตร์ทั่วไปเพิ่มหน้าที่ครูประจำชั้นเข้าไปอีกอย่างคงไม่เป็นไรมั้งคะ”
ครูซอนเป็นคนเสนอขึ้นมา ผมเนี่ยนะครูประจำชั้น...ถึงผมจะงงๆอยู่บ้างแต่เพื่อทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้นผมจึงพยักหน้าตอบรับไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้...ครูปาร์คฝากด้วยนะ”
ครูใหญ่พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปตามด้วยครูคนอื่นๆ
“ทำไมถึงเสนอชื่อผมล่ะครับ”
ผมเดินเข้าไปถามครูซอนที่กำลังจะเดินออกไปจากห้อง เธอจึงหันมายิ้มให้ผม
“ก็ฉันเห็นว่าไม่มีใครเหมาะเท่าครูปาร์คแล้วนี่คะ”
“ผมเหรอครับเหมาะสม”
ผมชี้ที่ตัวเองอย่างสงสัย ครูซอนได้แต่ยิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่เพียงคนเดียว อะไรกันผู้หญิงคนนี้ เอาล่ะ...จากนี้ผมคงต้องเตรียมหลายๆอย่างเพื่อที่จะเป็นครูประจำชั้นแล้วล่ะ ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ ผมได้แต่ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อคิดขึ้นเมื่อก่อนนานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้ทำหน้าที่นี้
ความคิดเห็น