คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : "ความบังเอิญ" - การเดินทางวันที่ 2
การเดินทางวันที่ 2
D-12
(chanyeol part)
ผมตื่นขึ้นพร้อมๆกับแบคฮยอน รู้สึกขนลุกแปลกๆที่เห็นเรานอนข้างกันโดยไม่มีหายนะตามมาหลังจากตื่นขึ้น
วันนี้ผมวางแพลนไว้ว่าจะไปถ้ำพุงช้าง ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่ผมจะตามถ่ายรูปให้ฮาคยองจนกว่าจะนั่งรถไปกระบี่และใช้เวลาสองอาทิตย์ที่เหลือต่อจากนี้ตระเวนเที่ยวเพื่อเก็บภาพตามจังหวัดอื่นๆให้ครบ
“ไอ้เชี่ย! กูแปรงฟันอยู่ แล้วมึงเข้ามาเยี่ยวเนี่ยนะ!”
“ก็กูปวดอ่ะ จะให้อั้นแล้วฉี่รดที่นอนไหม”
ผมไม่สนใจ วิ่งอย่างรีบร้อนเข้าไปปลดกางเกงและปล่อยทุกข์ออกมาทันที แบคฮยอนยกขาขึ้นถีบผมเบาๆและจิ๊จ๊ะปากนิดหน่อย ก่อนจะหันไปแปรงฟันหน้ากระจกและล้างหน้าล้างตาตามปกติ พอต่างคนต่างทำภารกิจเสร็จแล้ว ผมก็ออกมาเตรียมของ
ผมเตรียมกล้องของฮาคยองมาคล้องไว้ที่คอตัวเองเรียบร้อยหลังจากหยิบเงินจำนวนหนึ่งติดกระเป๋ามาด้วยเผื่อจะฉุกเฉิน เหลือบไปมองแบคฮยอนที่ถือกระดานไม้ไว้ในมือ มีกระเป๋าเป้หนึ่งใบที่ใส่อะไรสักอย่างเยอะพอสมควร
“มึงจะไปไหนวะ”
ผมถามเพราะอยากรู้ เอาจริงๆผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันมาที่นี่ทำไม และเราก็ดันบังเอิญมาที่เดียวกันพอดี ทั้งๆที่มันก็มีที่เที่ยวทั่วประเทศไทย มึงจะขึ้นเหนือขึ้นเขาอะไรก็ไม่แปลก..
ดั๊น..มาจบลงที่ทะเลเหมือนกันซะงั้น
“ไปพังงาอ่ะ” ผมหันขวับไปมองมันทันที มองอย่างอึ้งๆ อึ้งในโชคชะตาและความบังเอิญที่เหมือนความตั้งใจแปลกๆ
เฮ้ย มึงจะไปกระบี่ ไประนอง ไประยาไปห่าไปเหวอะไรก็ได้ กูจะไม่แคลงใจอะไรเลย ทำไมเสือกไปที่เดียวกันอีกวะ!!
“เหมือนกันว่ะ”
เรามองหน้ากันนิ่งๆ มันนิ่งมากจนกลายเป็นผมที่หลุดหัวเราะออกมาด้วยความตลกของโชคชะตา
“กูว่าเราสะบัดกันไม่หลุดแล้วจริงๆว่ะ”
แบคฮยอนทำหน้าเหยเกเหมือนไม่อยากจะยอมรับ คิดว่าทริปนี้จะมีแค่ผมคนเดียวซะอีก ได้ศัตรูพ่วงมาเป็นเพื่อนร่วมเดินทางเฉยเลยเว้ย
“ไปพังงา? แล้วมึงจะไปที่ไหน” ผมถามอีก ขณะที่ดึงคีย์การ์ดออกมาและเดินไปที่ลิฟท์พร้อมๆกับแบคฮยอน
“ถ้ำ” ตอบสั้นๆเพราะเจ้าตัวกำลังเหลาดินสอหลายๆแท่งใส่ลงไปในกระเป๋า ผมแหวออกมาอย่างดังและถามด้วยสีหน้าหวาดๆ
“อย่าบอกกูนะว่าถ้ำพุงช้าง…”
กูล้อเล่นนะ อย่ารับมุขกูล่ะ..
“เออ กูไปถ้ำนั้นแหละ ที่เดียวกันอีกดิ?”
ผมตบหน้าผากตัวเองแรงๆก่อนจะยอมทำใจ เอาเหอะ ไปกับมันคงไม่มีอะไรแย่เท่าไหร่หรอก นอนข้างกันมาทั้งคืน ถึงจะไม่ใช่เตียงเดียวกัน ดีแค่แล้วไหนที่แม่งไม่กลิ้งลงมาทับผม
“เออ” ผมขานตอบ
“เฮ้อ..กูก็ว่าหนีไม่พ้นแล้วจริงๆ”
เราต่างทำสีหน้าปลงตกกันทั้งคู่ ที่ไม่โวยวายเพราะโวยมาจนเหนื่อยแล้วต่างหาก แย้งไปก็ไม่ช่วยอะไร ถึงจะไม่อยากมีอีกฝ่ายร่วมทางไปด้วยแต่นั้นก็ต้องจำยอม เพราะผมคงจะเปลี่ยนแผนไปที่อื่นไม่ได้แล้วด้วย
ตลกดีเหมือนกัน คนที่ขับรถชนกันและทะเลาะกันจะเป็นจะตาย กลับต้องมานั่งรถไปเที่ยวด้วยกันแถมยังพูดคุยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก โคตรจะไม่ใช่เรื่องปกติของคนสองคนเลยเหอะ
ผมนั่งรถไปพังงาร่วมชั่วโมง โชคดีที่วันนี้อากาศเย็นๆไม่ร้อนมาก เลยทำให้การนั่งรถตากลมไปพังงาของผมค่อนข้างโอเคอยู่พอสมควร
“มึงแวะกินอะไรกันก่อนปะ” ผมชวนและเริ่มมองหาร้านอาหาร แบคฮยอนส่ายหัวและเพยิดหน้าไปทางข้างหน้าแทน
“ถึงแล้วนั่นน่ะ บ่นมากจริงๆเลยนะมึง”
ผมขมุบขมิบปากตามอย่างหมั่นไส้ เราลงจากรถและเดินเข้าไปหน้าถ้ำ ตอนนี้ผมทำตัวเหมือนนักท่องเที่ยวที่อยากออกมาตระเวนหาอารมณ์สุนทรีย์ แต่จริงๆแล้วโคตรไม่ใช่ กูมาทำภารกิจครับ
เราเดินเข้าไปในถ้ำพุงช้าง มันจะต้องนั่งเรือแคนูเข้าไปเพราะที่นี่เป็นถ้ำที่ล้อมรอบไปด้วยน้ำทะเล หลังจากนั้นก็ต้องต่อด้วยการนั่งแพไม้ไผ่ที่ผมโคตรจะเสียว โว๊ย!! ฮาคยองนะฮาคยอง!
พอลงจากแพไม้ไผ่แล้วก็ต้องเดินทางเท้าต่ออีกเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เดินไปพักไป ดีที่มีไกด์ทัวร์นำอยู่ข้างหน้า พวกผมเลยเข้าไปเนียนๆบ้างอะไรบ้าง พอเขาแจกน้ำก็แอบไปจิ๊กมาดื่ม ทำตัวชั่วในยามนี้จะดีที่สุดครับ
ภายในถ้ำมีหินย้อย หินงอก หินสารพัดหินที่ห้อยเป็นรูปร่างต่างๆ ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบๆตัวเพราะไม่เคยมาสถานที่จำพวกนี้เลยสักครั้ง คิดได้อย่างนั้น มือก็รีบหยิบกล้องของฮาคยองขึ้นมากดถ่ายรัวๆ วางอยู่ในมุมที่พอเหมาะ ไม่รู้ว่ามุมไหนเป็นมุมไหนบ้าง..ก็กดถ่ายแม่งไปเหอะครับ
แต่ผมก็พยายามจับกล้องด้วยความทุลักทุเลเต็มที่…เพื่อเก็บภาพสวยๆราวกับช่างภาพฝีมือดี(?)ไปฝากผู้ป่วยที่รออยู่
แบคฮยอนเดินมองอะไรไปรอบๆนานแล้ว เราไม่ได้พูดอะไรกันสักพัก เหมือนกำลังตกอยู่ในความคิดและโลกของตัวเอง จนมาถึงจุดพักเล็กๆและผมก็เริ่มเมื่อยขา
“เหนื่อยว่ะ โคตรไกลเลย”
ผมบ่นและหยิบขวดน้ำออกมาราดหน้าตัวเองให้หายร้อน เมื่อรู้สึกว่าน่าจะเก็บภาพไปเยอะพอสมควรแล้วผมก็หาทางออกทันที แต่แบคฮยอนยังคงนั่งอยู่นิ่งๆ มือไม้พลิ้วไหวไปตามดินสอที่เขาบรรจงวาด
ผมแอบชะเง้อหน้าไปดูภาพวาดที่ร่างเล็กละเมียดละไมอยู่นาน แอบตกใจนิดหน่อยที่มันออกมาเพอร์เฟ็คมากจนผมทึ่ง ลายเส้นอะไรต่างๆขีดเขียนลงไป มันดูลงตัวทำให้กลิ่นไอธรรมชาติลอยออกมาทันทีที่มอง
โคตรเซียนเลยนี่หว่า
“เฮ้ย มึงวาดรูปเก่งอ่ะ เดี๋ยววาดให้กูหน่อยดิ จ้างเลย”
แบคฮยอนหันมาเบะปากใส่แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาก้มๆเงยๆอยู่สักพักก็เก็บกระดานวาดรูปลงก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินมายืนข้างๆผม
“กลับเหอะ สี่โมงล่ะ”
ผมว่าภาคใต้ของประเทศไทยน่าเที่ยวมากเลย แหล่งธรรมชาติดีๆที่มนุษย์ไม่ไปก้าวก่ายจะเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดสำหรับผม และมันก็น่าจะเป็นชายฝั่งทะเลอันดามันและเกาะต่างๆแถวนี้แหละ
ผมมองนาฬิกาข้อมือสลับกับผู้คนที่เริ่มทยอยเดินกลับออกมาจากในป่า แบคฮยอนยื่นปากล่างออกมานิดหน่อยขณะที่ชะโงกหน้ามาดูนาฬิกาบนข้อมือผม เหมือนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะเขาชอบทำหน้าแบบนี้เวลาเงียบๆและคิดอะไรในหัว
แล้วผมไปรู้เรื่องมันดีได้ไงวะ
“มึงจะแยกกับกูเลยไหม?” แบคฮยอนถาม ขณะที่เราก็พากันเดินออกจากถ้ำพุงช้างเหมือนๆกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
“แล้วแต่มึงอ่ะ” ผมไม่ได้มองหน้ามัน เพราะกำลังระมัดระวังในการเดินออกจากถ้ำเป็นอย่างมาก เมื่อออกมาได้แล้ว ผมก็หันกลับไปหาแบคฮยอนที่กำลังเดินตามออกมาช้าๆ
เขาเดินมายืนข้างๆผมและจ้องหน้าด้วยความกวนตีน
“งั้นกูแยก..ไปละ บาย” เขาเดินดุ่มๆนำหน้าผมไปและทำท่าจะแยกไปอีกทาง ผมเห็นแบบนั้นก็ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง คิดอะไรได้ก็เลยเดินตามไปกระชากแขนเล็กๆนั่นมาใกล้ตัว
คิดไปคิดมา มีมันไปด้วยก็ไม่แย่อะไรเท่าไหร่ อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยระหว่างเดินทางด้วย แบคฮยอนมองผมงงๆ และพยายามสะบัดแขนออก
“ปล่อยดิเฮ้ย”
“ไม่ต้องหรอก ไปๆด้วยกันแม่งนี่แหละ”
“นี่ต้องไปด้วยกันอีกเหรอ?”
“เออ ไหนๆก็มาถึงขนาดนี้ล่ะไอ้ห่า”
“อยากอยู่กับกูเหรอ?” มันยิ้มล้อก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ผมทำท่าจะถุ้ยน้ำลายใส่หน้าแม่งแต่ตีหน้านิ่งๆตอบกลับไป
“สุดๆ“
“อุ๊ย ดีใจจัง”
“ดูหน้ากูนิดนึง ไปได้แล้วไอ้ห่า”
ผมผลักหัวมันจนกระเด็น ก่อนจะรีบวิ่งหนีพร้อมหัวเราะร่วน เพราะแบคฮยอนกำลังวิ่งเอากระดานไม้แข็งๆนั่นจะมาฟาดหัวผมให้แตกกันไปข้าง
เราเดินออกมาจากเขตอุทยานสักพักแล้ว สายตาผมเหลือบไปเห็นที่เช่ารถเช่าเรือต่างๆนาๆอยู่อีกฝั่ง นั่นจึงเป็นสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจของผมทันที
“เฮ้ยๆ ไปเช่ารถมาขี่เล่นกัน” ผมพูดด้วยความสนอกสนใจ ส่วนแบคฮยอนก็เบ้หน้า
“ไม่เอาอ่ะ มึงขับเร็วแบบนั้น ถ้าพากูไปชนใครเขาอีกล่ะ”
“โอ๊ยย คงไม่มีใครโง่ขับเลนส์ซ้ายเหมือนมึงหรอกครับ” ผมหัวเราะล้อเลียนเลยทำให้แบคฮยอนต้องยกเท้าขึ้นมากระทืบนิ้วตีนผมจนต้องร้องจ๊ากออกมาดังๆ
“มึงจิตปะวะ ไอ้สัด เจ็บตีน!”
“ก็มึงชอบกวนตีนอ่ะ!”
ผมขมุบขมิบปากตามก่อนจะวิ่งข้ามฝั่งโดยลากแขนเล็กให้ตามมาด้วย ผมยืนคุยกับเจ้าของร้านสักพักก่อนจะตัดสินใจเช่ารถตู้โฟล์คสวาเกนมาขับเล่น ตกลงราคาเสร็จเรียบร้อยผมก็รับกุญแจมาทันที
ผมเข้าไปนั่งประจำที่คนขับและเช็คสภาพรถนิดหน่อย จากนั้นก็พารถตู้โฟล์คสวาเกนสีฟ้าอ่อนคลาสสิคโลดแล่นไปตามริมถนนข้างๆชายฝั่งทะเลทันที
ผมผ่อนแรงฝ่าเท้าไม่ให้เหยียบคันเร่งจนมิด เพราะมีแบคฮยอนนั่งอยู่ข้างๆและคอยจำจี้จำชัยอยู่ไม่ห่างนั่นเอง
“นี่มึงจะไปไหนอ่ะ”
เขาถามและมองบรรยากาศรอบๆไปด้วย เนื่องจากเริ่มเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์ก็กำลังจะลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆ ส่วนลมเย็นๆที่พัดมาจากชายฝั่งทะเลทำให้การขับรถชมวิวของผมเป็นไปด้วยความสุข
“ว่าจะไปเขา แต่ไม่ทันละ”
ผมขับไปตามถนนเรื่อยๆ ชักเริ่มตงิดใจเมื่อปลายเส้นทางเริ่มมืดเข้าทุกทีๆจนแสงไฟฟ้าข้างทางค่อยๆเลือยหายไปทีละต้น..
“นี่มึงจะไปไหนเนี่ย!?”
ผมเกาหัวแกรกๆเมื่อรู้ชะตาตัวเองว่าเข้าขั้นวิกฤติซะแล้ว อย่างแรกผมจะตายเพราะแบคฮยอน และอย่างที่สองผมอาจจะหาทางยูเทิร์นไม่เจอและคาดว่าจะต้องนอนค้างในรถก็เป็นได้
แต่ผมว่า..ผมจะตายเพราะอย่างแรกเป็นแน่แท้ แม่งต้องด่ากูจนหูดับตับไหม้แน่นอน!
“ที่กลับรถอยู่ตรงไหนวะ”
ผมเอี้ยวตัวหันไปมองรอบๆข้างทางที่ตอนนี้มีแต่ต้นไม้ขึ้นรกร้าง รอบข้างมืดสนิทมีก็แต่แสงไฟหน้ารถของผมที่สาดส่องพอให้คลำทางไปได้เท่านั้น ตอนนี้ผมหยุดรถก่อนจะคิดหาทางวนรถกลับ แต่เพราะมันเป็นถนนสายเดียว เหมือนจะให้ขับมุ่งหน้าไปเรื่อยๆโดยไม่มีทางวนกลับงั้นเหรอ...?
ผมคิดว่าจะลองขับไปเรื่อยๆ เมื่อเจอทางแยกให้เลี้ยวไปถึงตัวเมืองได้ก็จะวนกลับตรงนั้นเลย
“เฮ้ยมึง..กูขอโทษ กูหลงทางว่ะ”
“เฮ้ยยยยยยยย ไม่หลงตรงนี้ดิ นี่ป่านะเว้ย!”
แบคฮยอนถดขาตัวเองมากอดไว้ทันที ก่อนจะรีบหมุนกระจกปิดอย่างไว เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องวีดวิ้วกันระงมไปทั่วบริเวณ ถึงผมจะแอบกลัวอยู่นิดๆแต่ก็ต้องแข็งแกร่งเข้าไว้
“โห่ ไม่หลงง่ายๆหรอก อย่างน้อยก็แค่รอ..”
“รอเชี้ยไร!”
“รอถึงเช้าแล้วค่อยออกไง” ผมยกแขนขึ้นกันหัวตัวเองทันทีเหมือนรู้ว่าพอพูดจบ จะต้องโดนประทุษร้ายจากคนข้างๆ
“กูไม่เล่นนะเว้ย ขับไปเหอะ เดี๋ยวก็เจอเองอ่ะ”
เสียงเขาสั่นๆพลางมองไปรอบๆและปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ผมตัดสินใจขับรถไปเรื่อยๆ แถวนี้แม่งไฟฟ้าเข้าไม่ถึงหรืออะไรวะ ไอ้ห่า นี่กูมาล่าท้าผีหรือเปล่า เชี่ยเอ๊ย..
"พี่ป๋องผมไม่ไหวแล้วพี่ เอาทีมงานมารับผมที โฮกกกกกก"
ป๊าบ!
"พี่ป๋องพ่อง!! ยังจะเล่นอีกนะมึง!!!" ผมลูบหัวตัวเองปอยๆและตั้งหน้าขับรถต่อไป กูอุตส่าห์ทำให้บรรยากาศแม่งดีขึ้นแท้ๆ โดนตบจนหัวสั่นเลย
ยิ่งเห็นบรรยากาศแบบนี้ หัวผมก็พาลนึกไปถึงหนังผีที่ตัวเองชอบดูบ่อยๆ ถ้าแม่งมีคนมายืนโบกข้างทางนี่ใช่เลย..
“ชานยอลๆ”
แบคฮยอนตีไหล่ผมรัวๆและพเยิดหน้าไปทางด้านซ้ายมือของตัวเอง ผมเหลือบตาไปมอง ก่อนจะพบผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่นิ่งๆริมถนน เขาคนนั้นมีท่าทางมอมแมม ไม่มีของติดตัวมาสักชิ้น ท่าทางผอมโซดูไม่มีแรงแถมยังยืนก้มหน้าอีกต่างหาก สงสัยว่าจะยืนอยู่นานแล้วด้วย..
ห่าเอ๊ย! มายืนเหี้ยไรตอนนี้ครับพี่..
“อย่าเรียกแม่งขึ้นรถนะไอ้ห่า..”
“เรียกก็เหี้ยละ”
ผมร้องเตือนและบังคับใจตัวเองไม่ให้สั่นไปตามมือไม้ แบคฮยอนดึงประตูรถไว้และถอยร่างตัวเองมาอยู่ใกล้ๆผม ผมไม่กล้ามองหน้าผู้ชายคนนั้น เพราะกลัวจะเจอช็อตที่แม่งเงยหน้าขึ้นมาแล้วจะเป็นแบบที่ตัวเองจินตนาการไว้
ตอนนี้เรากำลังขับรถใกล้เขาเรื่อยๆแล้ว…
“พอทีอย่างนี้แล้วก็ไม่ขับเร็วๆล่ะวะไอ้สัด!”
แบคฮยอนดึงประตูไว้แน่น ผมก็อยากจะเหยียบสักร้อยแปดสิบแม่งไปเลย แต่ก็อย่างที่รู้ รถรุ่นนี้ความเร็วมันได้แค่นี้เท่านั้น
“นี่กูเร็วสุดแล้ว มันเร็วได้เท่านี้อ่ะ!”
ผมรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก เมื่อขับเข้าใกล้ผู้ชายคนนั้นเข้าทุกที มือไม้ชื้นแฉะไปด้วยเหงื่อ ก่อนจะแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองอย่างกดดัน
และอย่างที่คิด..ไอ้ผู้ชายคนนั้นแม่งเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระโดดมายืนกลางถนน!
“เหี้ย!” เราอุทานออกมาพร้อมๆกัน แบคฮยอนเกี่ยวแขนผมไว้และพึมพำท่องบทสวดไม่หยุดปาก ผมกำพวงมาลัยแน่นและพยายามบีบแตรไล่
“พ่อมึงเหอะ! บีบแตรไล่ผีเนี่ยนะ ชานยอลทำไรสักอย่างดิ!”
แบคฮยอนกอดผมแน่น ส่วนผมก็ได้แต่คิดลนลานทำอะไรไม่ถูกยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขาคนนั้นเดินลากข้อเท้าของตัวเองมายืนข้างๆฝั่งผม
“ไอ้เหี้ยแม่งเดินมาแล้วอ่ะ….” ผมรีบดึงประตูไว้ จะเลื่อนมือไปหมุนกระจกปิดก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะผู้ชายคนนั้นมายืนก้มหน้าข้างๆกระจกรถผมนิ่งๆ ผมได้กลิ่นเหม็นอับโชยขึ้นมาทันทีจนต้องย่นจมูก
“มึงกูกลัวอ่ะ..” แบคฮยอนถดตัวไปติดกับประตูอีกฝั่ง ผมขเยิบตัวหนีและกลืนน้ำลายลงคออึกๆ พยายามตั้งสติให้ตัวเอง
“ต้..องการอะไรครั..บ”
"เขาอยากได้บุญไงไอ้เหี้ย ถามห่าไรวะน่ะ..ทำไงดีอ่ะ.." แบคฮยอนเสียงสั่นเลยพาลให้ผมใจแป้วไปด้วย
“ผ..มหาวัดไม่ค่อยเจอ นอกจากบุญแล้วอยากได้อะไรไหมครั..บ”
ผมถามเสียงสั่น รีบกดปลดล็อคประตูและถอยมือตัวเองกลับมา เขาคนนั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ แต่สภาพหน้าเขายังดูดีกว่าที่ผมคิดไว้ตอนแรก ทว่าริมฝีปากที่ฉีกกว้างของเขาที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าขาวซีดนั่นเกือบจะทำให้ผมหงายตึง
“ไอ้เหี้ย…”
ผมถอยตัวไปติดกับแบคฮยอนจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียว ส่วนผู้ชายคนนั้นก็ค่อยๆหุบยิ้มลง ก่อนจะยกมือขึ้นกุมท้องตัวเองไว้และทำหน้าโอดโอย
“โอย…หิวข้าว…”
และเท่านั้นผมกับแบคฮยอนก็อ้าปากค้างก่อนจะหันมองหน้ากันงงๆ ผมค่อยๆพาร่างตัวเองมานั่งบนเบาะคนขับดีๆและเจรจากับเขาใหม่
เฮ้ย! แม่งไม่ใช่ผีนี่หว่า..คล้ายๆคนบ้าอะไรทำนองนั้น
“เฮ้ย อะไรวะเนี่ย”
“แฮ่..โทษที คิดว่าจะหลอกไม่ได้ผล”
“เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ”
ผมห้ามไม่ทัน เพราะไอ้บ้านั่นมันวิ่งขึ้นมานั่งเบาะหลังซะแล้ว นี่คือสรุป..?
ผมกับแบคฮยอนมองหน้ากันสักพักก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปมองผู้ชายคนนั้นที่ตอนนี้กำลังซุกซนอยู่กับรถโฟล์คสวาเกนของผม
“นี่มึง..ไม่ใช่ผี?”
“..มั้ง”
“เฮ้ย!!!!"
หรือแม่งเป็นผีแต่แกล้งเป็นคนแล้วให้ผมพาไปส่งจุดที่มันตายวะ..โอ๊ย กูนี่ก็บ้าตามแม่งไปด้วยแล้วเนี่ย!
“คือแม่งบ้าใช่ปะวะ?” แบคฮยอนถามและปาดเหงื่อที่ไหลตามใบหน้าออก ผมส่ายหน้าพรึ่บๆและเกาหัวงงๆ ก่อนจะตัดสินใจออกรถเพื่อหาทางออกจากถนนเส้นนี้ให้ไวที่สุด
“ไม่รู้ว่ะ กูว่ารีบไปส่งแม่งแล้วทิ้งไว้ข้างทางเหมือนเดิมเหอะ ไอ้เหี้ยเมื่อกี้กูเกือบตาย”
สุดท้ายผมก็ขับออกมาจนเจอทางออกจนได้ เราเลี้ยวมาตรงถนนเส้นใหญ่ที่จะตัดเข้าไปภายในเมืองและหยุดลงที่หน้าร้านกับข้าวร้านหนึ่ง ผมหันไปบอกไอ้คนบ้าแปลกหน้านั่น
“ลงไปเลย อย่างด่วนครับ” ผมหัวเราะแค่นๆและเอื้อมตัวไปเปิดประตูให้มันด้วย มันยื่นหน้ามาจุ๊บแก้มผมและยิ้มกว้างๆออกมา ก่อนจะกระโดดลงไปทันที
“ยี๋!!! ไอ้เหี้ย โดนใครหอมแก้มไม่โดนนะไอ้สัด!!” ผมรีบถูแก้มตัวเองแรงๆจนกลายเป็นริ้วรอยแดงพรืด แบคฮยอนรัวหัวเราะและชี้ไม้ชี้มือมาที่แก้มผมอย่างล้อเลียน
“ควาย สมน้ำหน้า ฮ่าๆๆ”
ผมเอามือที่ถูแก้มตัวเองยื่นไปป้ายหน้าแบคฮยอนบ้างจนมันต้องถดหัวหนี พอจะเอาไปแตะขามันมันก็รีบยกหนีอย่างไว ผมหัวเราะหึๆก่อนจะคว้าท้ายทอยแบคฮยอนและรั้งหน้าเขาเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะเอียงหน้าตัวเองให้ซีกแก้มข้างขวาที่โดนไอ้บ้านั่นหอมแก้มตรงกับริมฝีปากแบคฮยอนพอดี
“กูจะร้องไห้ ฮืออออ”
แบคฮยอนยื้อหน้าไปมาจนผมผ่อนแรงที่มือและปล่อยคอเขาออกในที่สุด เมื่อผ่อนแรงโดยที่เจ้าตัวไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากเขาก็โน้มมาแตะลงที่แก้มผมเบาๆ..
จุ๊บ..
เราอึ้งกันไปพักใหญ่ๆก่อนที่ผมจะกลบเกลื่อนด้วยการหันมาขับรถแทน..
ตึก..ตัก…ตึก..ตัก
ภายในความเงียบของถนนและภายในรถ..มีแต่เสียงแบบนี้ลอยวนเวียนให้ผมได้ยิน
“มึงเล่นไรเนี่ย” แบคฮยอนถูปากตัวเองแรงๆและหันเหหน้าไปทางอื่น
“ก...ก็ไม่ได้กะจะให้โดนนี่หว่า”
ห้องพัก
“มึงจะไปไหนอีกเนี่ย”
“ไม่ไปละ”
แบคฮยอนพยักหน้าหงึกๆเหมือนรับรู้ หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย เหมือนไม่มีเรื่องมาเปิดประเด็นมากกว่า เนื่องจากเราอึ้งกับสถานการณ์ที่เพิ่งเจอมาทั้งหมด และอึ้งกับฉากสุดท้ายที่เล่นกันในรถด้วย...
ถึงห้องแล้ว ผมรู้สึกเมื่อยล้าตามตัวอย่างที่ควรเป็น ก็เล่นเดินทั้งวันไม่หยุดแบบนี้ ใครไม่ล้าแม่งก็โคตรดีดเลยเหอะ ผมกระโดดลงบนเตียงนุ่มๆของโรงแรมระดับห้าดาวและนอนค้างอยู่ท่านั้นราวๆสิบนาทีได้ มันเมื่อยจนไม่อยากลุกเดินไปไหน
แบคฮยอนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดธรรมดาๆแต่ดึงดูดผมแปลกๆ ความจริงแบคฮยอนตัวเล็กมาก เขาผิวขาวแถมยังหน้าหวานอีกด้วย นี่ถ้าไว้ผมยาวระต้นคออีกนิด ผมเด็ดมาเป็นกิ๊กเลยนะเนี่ย
แบคฮยอนเดินอย่างอ่อนแรงตรงมาทางผม เขานั่งลงบนเตียงก่อนจะเอนตัวพิงกับหลังผมนอนไปทั้งอย่างนั้น จนผมต้องกระทุ้งศอกเพื่อสะกิดแบคฮยอนเบาๆ
“เฮ้ย กูยังไม่ได้อาบน้ำเลย”
“ก็ไปอาบดิ”
“ก็มึงนอนทับอยู่อ่ะ กูลุกมึงล้มเลยนะสัด”
ผมชันตัวขึ้นและพลิกร่างเปลี่ยนให้ตัวเองกลับมานอนหงาย มันเลยทำให้แบคฮยอนที่กำลังเอนหลังพิงผมอยู่ ต้องล้มตัวลงนอนบนอกผมอย่างช่วยไม่ได้
เรานอนค้างไว้อย่างนั้น เขาคงเหนื่อยเกินไปที่จะลุกขึ้นมาด่าผมฉอดๆเหมือนปกติ..
“โคตรเกย์เลยว่ะ กูกับมึงเนี่ย"
ผมพูดติดตลกและขำเสริมไปด้วยเบาๆ แบคฮยอนค่อยๆพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนจะถีบผมให้หล่นจากเตียง ส่วนเจ้าตัวก็เข้าไปยึดอาณาเขตซะเอง ร่างบางสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนหนาและคุดคู้ร่างนอนคลุมโปงอยู่อย่างนั้น
ผมขยี้เส้นผมนุ่มๆจนยุ่งเหยิงด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพราะขาเรียวๆนั่นทำท่าจะยกขึ้นถีบผมอีกรอบ
แต่ทำไมพออาบน้ำเสร็จ แล้วมันหายง่วงเป็นปลิดทิ้งเลยวะ..
ผมนอนไม่หลับ ถึงแม้เพลียขนาดไหนก็ตาม คิดได้อย่างนั้นจึงพาตัวเองเดินลงมาชั้นล่างเพื่อดูภูเก็ตยามค่ำคืน มันก็เหมือนทั่วๆไปแหละครับ แค่ที่นี่จะดูครึกครื้นกว่า ถนนคราคร่ำไปด้วยชาวต่างชาติมากหน้าหลายตา พูดง่ายๆ แถวนี้ก็ย่านหลอกแดกฝรั่งดีๆนี่เองแหละ
ผมเดินไปเรื่อยๆและสอดส่องสายตาไปทั่วๆ จะเที่ยงคืนแล้ว ร้านเหล้ายังเต็มขนัดอยู่เลย คอเหล้านี่มันทั่วโลกเลยจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นชาวชาติอะไรก็ตาม
หรือจะทำเหล้าปั่นขายที่รถดีวะ ก็เจ๋งดีนะ หารายได้ระหว่างมาเที่ยวซะเลย!!
Rrrrrrrrrrrrrrrrrr
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เบอร์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอวอลโฟนไม่คุ้นเอาเสียเลย
“ฮัลโหล”
แล้วกูจะกดรับทำไมวะเนี่ย
“(..มึง)”
เป็นเสียงของแบคฮยอนที่งัวเงียเต็มที่ ผมเบิกตากว้างนิดหน่อยเหมือนตกใจที่เป็นไอ้หมาแบคในปลายสาย ไปเอาเบอร์กูมาจากไหนว่ะนั่น
“มีไร แล้วเอาเบอร์กูมาได้ไงอ่ะ”
“(นามบัตรมึงในรถไง)”
“อ้าว! แอบจิ๊กของกูไปตอนไหนวะ อันตรายห่าๆเลยนะเนี่ยมึงอ่ะ”
ผมนึกไปถึงสภาพข้าวของในรถตัวเอง มันมีนามบัตรเสียบไว้ที่หน้าคอลโซนรถจริงๆ และเขาคงจะแอบหยิบไว้กันเรื่องรถล่ะมั้ง เผื่อมีปัญหา..คงกะจะโทรจิกให้ผมมารับผิดชอบเต็มที่
“(เออ..แต่ตอนนี้มึงอยู่ไหนอ่ะ..)” เสียงเหมือนคนฝืนตื่นขึ้นมาคุยยังไงยังงั้น ผมขำให้กับปลายสายนิดๆก่อนจะชะงักขาที่ก้าวเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย
ทำไมผมต้องหยุดเดิน..?
“กูออกมาเดินเล่น”
“(มึง)”
“เหี้ยไรอีกครับเพื่อน” ผมกลั้วหัวเราะเพราะรู้สึกตลกในน้ำเสียงงัวเงียของมัน ปกติแบคฮยอนจะตั้งหน้าตั้งตาแว๊ดใส่ผมตลอดเวลา พอมาได้ยินน้ำเสียงเหมือนคนไม่มีแรงแบบนี้มันเลยรู้สึกจี้ๆไงไม่รู้
“(กลับมาเหอะ..)”
“อะไรของมึงวะ นอนไปเหอะ อีกสักพักเดี๋ยวกูก็กลับ หรืออยากแดกไร เดี๋ยวกูซื้อขึ้นไปให้” ผมกำลังจะออกเดินต่อ แต่ประโยคถัดมากลับเป็นสิ่งที่ทำให้ผมต้องหันหลังกลับและเดินย้อนกลับไปทางเดิมทันที
“(กูนอนคนเดียวไม่ได้อ่ะ…กูเหงา)”
ไม่รู้ทำไมความรู้สึกกำลังบอกผมว่าให้รีบๆเดินกลับไปห้องพักซะเดี๋ยวนี้ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกแปลกๆกับน้ำเสียงอ้อนวอนนั่นด้วย
“อ่ะโด่ว..พอทีแบบนี้ล่ะมาคิดถึงกู ปล่อยให้นอนคนเดียวแม่งเลย”
“(ไม่เอา….)”
ใจผมเต้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม ไม่รู้และไม่เข้าใจตัวเองอย่างแรงว่าผมจะรีบเดินกลับไปที่ห้องเพื่อใคร ก็แค่แบคฮยอน แค่ผมกำลังทิ้งแบคฮยอนไว้ที่ห้องแค่นั้น
จากตอนแรกที่เดิน..กลับกลายเป็นวิ่งเร็วๆแทน
ผมยังไม่วางสาย แบคฮยอนก็เช่นกัน ตอนนี้ผมกำลังเดินไปที่ห้องด้วยอาการหอบหนักๆเพราะวิ่งมาไกลเกิน ถึงอย่างนั้นเสียงเล็กๆอู้อี้ๆก็ดังตามมาในปลายสายอีก
“(กลับมายัง ถ้าอีกห้านาทีมึงไม่กลับมา ก็กลับไปนอนห้องมึงเลย)”
“ยังไม่ถึงไหนเลยเนี่ย นอนไปเลยๆ ไม่ต้องรอๆ”
ผมแกล้งพูดทั้งๆที่ยืนอยู่หน้าห้องแล้วแต่ยังไม่เปิดเข้าไป แอบหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินเสียงกระเง้ากระงอดดังมาจากในห้องจริงๆและสะท้อนอีกรอบจากโทรศัพท์
“(ไม่เอาแบบนี้ดิ..กลับมาได้แล้ว กูเหงาอ่ะ กูนอนไม่ได้ ปกติกูไม่เคยนอนคนเดียว ไม่เอาๆๆ กลับมาๆๆ)”
ผมกลั้นขำและตัดสินใจเปิดประตูห้องเข้าไปก่อนจะกดตัดสายทิ้ง ยืนมองแบคฮยอนที่ลุกขึ้นมานั่งกอดหมอนข้างทั้งที่ตายังปรือๆ
“ไอ้เหี้ย…หลอกกู..”
“นอนไปมึงอ่ะ”
ผมหัวเราะเสียงขึ้นจมูกและดันหน้าผากเล็กนั่นเบาๆ ร่างแบคฮยอนโอนอ่อนไปตามแรงผลักผมอย่างง่ายดายเพราะเจ้าตัวก็แทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นมานั่งอยู่แล้ว
“มึงก็นอนด้วยดิ..”
“ยั่วกูอีก”
ผมพูดขำๆ ขณะที่เดินไปปิดไฟในห้องและทิ้งตัวนอนลงข้างๆเขาบ้าง พอกลับมาถึงห้องก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกันเว้ยเฮ้ย เออดีเหมือนกัน ถือโอกาสนอนข้างบนแม่งเลย อุ่นด้วย มีคนนอนข้างๆด้วย…ถึงจะเป็นผู้ชายก็เหอะครับ
ผมเริ่มเคลิ้มจะหลับ เอาเท้าเขี่ยผ้าห่มขึ้นมาห่มตัวเองบ้างเพราะเริ่มหนาว ขยับกายให้พอเหมาะพอเจาะก่อนจะดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา ทว่าเสียงเล็กๆที่ดังอู้อี้ข้างๆก็ทะลุเข้ามาในโสตประสาทผมก่อนที่มันจะดับไป
“อย่าไปไหนอีกนะมึง…อย่าทิ้งกู…”
(chanyeol part end)
ความคิดเห็น