คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : "ความบังเอิญ" - การเดินทางวันที่ 1
การเดินทางวันที่ 1
D-13
Next week
(baekhyun part)
ผมลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาภายในสนามบิน เดินตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์เพื่อเช็คอิน ยกนาฬิกาข้อมือขั้นมาดูเป็นระยะ จากตอนที่นั่งรถแท็กซี่มาจากบ้านก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว เวลาอีกครึ่งชั่วโมงผมควรจะทำอะไรดี?
มันควรจะเป็นผมที่ยิ้มแย้มและหัวเราะอย่างร่าเริงไปกับการเที่ยวทะเลครั้งนี้ เกาะหลีเป๊ะเลยนะ แถมยังบินไปต่างประเทศอีกต่างหาก ไม่เอาน่าแบคฮยอน…อย่าหงอยสิ
เมื่อเอากระเป๋าโหลดเข้าเครื่องแล้ว ผมก็เดินทอดน่องอย่างเอื่อยเฉื่อยเข้ามาภายในเกท หาที่นั่งว่างๆแล้วก็หยิบกระดานไม้คู่ใจขึ้นมา ก่อนจะคุ้ยหาดินสอที่ใส่ไว้ในกระเป๋าใบเล็กและหยิบมันขึ้นมาในที่สุด เงยหน้าและกวาดสายตามองเหยื่อที่จะตกมาเป็นแบบให้แก่งานอดิเรกยามว่างของผม และจู่ๆสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าสวยใสราวกับถูกบรรจงแต่งมาเป็นอย่างดี
อา..เธอคนนี้แหละ
ผมเริ่มลงมือวาดโดยใช้เธอเป็นแบบให้ทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง ถึงเธอจะนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่นิ่งๆ แต่ยังไงก็น่ามองอยู่ดีแฮะ..
โดยไม่รู้ตัว เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเป็นชั่วโมง พอเงยหน้าขึ้นอีกที..เธอคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว ผมขมวดคิ้วงงๆเพราะเพิ่งจะเห็นเธอนั่งอยู่แวบๆ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย เก็บกระดานและดินสอลงในกระเป๋าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมืออีกที
“ผู้โดยสารที่จะเดินทางไปที่…”
เสียงประชาสัมพันธ์ดังมาตามสายทำให้ผมรีบลุกขึ้นและกระชับกระเป๋าสพายใบเล็กให้แน่นขึ้น เหน็บกระดานไม้ไว้ที่ใต้วงแขนและเดินไปทางประตูทางขึ้นเครื่อง แต่จู่ๆแรงประทะบางอย่างก็เกิดขึ้นจนร่างผมต้องกระเด็นไถลไปตามพื้น
“เฮ้ย! คุณเป็นไรป่ะ”
เขาคนนั้นวิ่งวนกลับมาหาผม ก่อนจะชะโงกหน้ามาถาม โทนเสียงที่ติดหูเหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนทำให้รู้สึกตงิด ทันทีที่ผมลุกขึ้นยืนและถือของขึ้นมาจนครบแล้วก็เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่พอใจ และยิ่งไม่พอใจมากไปกว่าเดิมเมื่อผู้ชายตรงหน้าคือ…
“เชี้ย! มึงเป็นเจ้ากรรมนายเวรกูรึไงวะ!”
ผมพูดออกไปอย่างมีน้ำโห ไม่รู้โชคชะตาพาลิขิตอะไรให้ผมกับมันมาเจอกันอีกที่สนามบิน แต่ผมเองก็ไม่มีเวลามากพอที่จะมายืนเถียงกับเขา เพราะมันใกล้เวลาขึ้นเครื่องเต็มที และดูเหมือนว่าเราสองคนจะรีบพอๆกัน เลยทำให้พวกผมต่างแยกย้ายกันเดินไปตามทางของตัวเอง แต่ก็ยังทิ้งสายตาคาดโทษไว้เป็นระยะ
มันมีสองประตูที่จะนำไปสู่ทางออกคนละทาง ขณะที่กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ผมก็ภาวนาในใจตลอดว่าให้เราเข้ากันคนละประตู
แต่..นั่นแหละครับ โชคชะตาเล่นตลกกับผมอีกแล้ว
เขาเดินสพายกระเป๋าตุงๆเข้าเกทตามผมมาติดๆ ร่างสูงกำลังวุ่นอยู่กับการยื่นเอกสาร เขาเก็บมันลงและเงยหน้าขึ้นมาเจอผม สีหน้าของเขาที่เป็นเสมือนกระจกส่องตัวผมในตอนนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเราทั้งคู่กำลังเกลียดขี้หน้ากันแค่ไหน
“มึง..ไป..ทะเล?”
เมื่อความรู้สึกอคติที่มีมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เลยทำให้ประโยคหรือบทสนทนาระหว่างผมกับเขาดำเนินไปอย่างหยาบคาย ร่างสูงยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหูตัวเองเหมือนไม่อยากฟังคำตอบ ซึ่งผมก็พยักหน้านิ่งๆ ถอนหายใจช้าๆ
ที่เที่ยวก็มีเป็นหมื่นเป็นแสนทั่วโลก..ทำไมต้องไปที่เดียวกันด้วย!
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขาก็เช่นกัน เหมือนเราทั้งคู่จะมีความต้องการเดียวกันคือพยายามมองข้ามการมีตัวตนของกันและกัน เราเดินขึ้นเครื่องพร้อมกัน ร่างสูงเสียบหูฟังกับไอโฟนและเล่นเกมส์มาตั้งแต่เมื่อสักครู่ ส่วนผมก็ถือสมุดกับปากกาไว้ในมือเตรียมจะหาอะไรทำบนเครื่องเหมือนกัน
ผมเดินหาตำแหน่งที่นั่งของตัวเอง จนหยุดลงที่บริเวณกลางลำ ก้มมองดูที่นั่งในตั๋วอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองยังตำแหน่งที่นั่งติดหน้าต่าง ผมยิ้มออกมาบางๆ อี้ฟานรู้ใจผมเสมอ..
ผมเดินถดเข้าไปในสุดและทิ้งตัวนั่งลงทันที กำลังจะเอนหลังและดึงโต๊ะสำเร็จรูปที่ติดไว้กับพนักแขนออกมาเพื่อวาดรูปเล่น แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเงยหน้ามองคนที่เพิ่งทิ้งตัวนั่งบนเบาะถัดไปข้างๆผม
เราตีสีหน้าไม่ถูกใส่กันสักพัก ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปสนใจไอโฟนในมือต่อ เพราะที่ข้างๆผมต้องเป็นพี่คริสมันเลยถูกเว้นไว้ ผมเริ่มเห็นข้อดีจากการที่พี่คริสไม่ได้ยกเลิกตั๋วอีกใบ เพราะถ้ายกเลิก ไอ้หมอนี่ก็ต้องย้ายมานั่งข้างผมไปโดยปริยาย
เมื่อคนเริ่มทยอยขึ้นมาจนเกือบจะครบ แอร์ฮอทเตสก็แสดงวิธีใช้เสื้อชูชีพในกรณีฉุกเฉิน การใส่หน้ากากออกซิเจนเวลาที่จะเด้งลงมาจากด้านบน ผมไม่ค่อยสนใจฟังเท่าไหร่ หยิบหูฟังออกมาและเสียบกับไอพอด
“ที่ตรงนั้นว่างไหมคะ?”
ยังไม่ทันที่จะได้กดเล่นเพลง เสียงหวานใสของแอร์ฯสาวก็ดังขึ้น เครื่องบินลำนี้มีสามที่นั่งภายในหนึ่งแถว เมื่อผมนั่งอยู่ริมหน้าต่างและไอ้หมอนั่นนั่งอยู่ริมทางเดิน ที่ตรงกลางจึงว่าง
“เอ่อ..ว่างครับ” ผมตอบด้วยสีหน้าซึนๆ เธอจึงหันไปพูดกับเขาแทน
“ขอโทษด้วยนะคะ แต่พอดีว่าที่นั่งตรงนั้นชำรุดนิดหน่อย ทางเราขออภัยด้วยจริงๆค่ะ ผู้โดยสารช่วยเข้าไปนั่งแทนตรงนั้นได้ไหมคะ?”
เธอพูดพร้อมกับเรียกลุงคนหนึ่งให้เดินมานั่งแทนที่ไอ้หมอนั่น ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเป็นการบังคับดีๆนี่เอง ไอ้เจ้ากรรมนายเวรผมจึงต้องจำยอมลุกขึ้นและย้ายมานั่งข้างๆผมแทน
เราทำสีหน้าเอียนๆกันทั้งคู่และหันไปสนใจกับกิจกรรมในมือของแต่ละคนแทน ผมเริ่มวาดรูปไปเรื่อยๆ มองออกไปนอกหน้าต่างบ้าง มองค้างไว้อย่างนั้นแล้วนึกอะไรเรื่อยเปื่อย…
เหมือนกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าที่มีดาวรายล้อมรอบตัวเลยแฮะ…
ผมยิ้มออกมาเมื่อรู้สึกดีอย่างประหลาด คล้ายกับว่าภาพคนรอบๆตัวถูกตัดออกไปจากสายตา เหมือนว่าผมกำลังลอยเคว้งคว้างบนท้องฟ้าท่ามกลางหมู่ดาวและก้อนเมฆที่เลือนลาง..
“เฮ้ย ยิ้มไรอ่ะ”
แต่ภาพจินตนาการผมก็ขาดผึ่งลงทันทีเมื่อเสียงทุ้มๆดังเข้ามาแทรก อยากจะหันไปตะโกนใส่หน้าดังๆแต่ก็เกรงใจคนในเครื่องที่พากันนอนหลับใหลไปแล้ว
ผมชักสีหน้าใส่เขาและกระแทกสมุดปิดลงแรงๆ ร่างสูงยื่นแก้วน้ำที่แอร์ฯเอามาแจกให้ ผมยื่นมือไปรับและเจาะหลอดดื่มทันที
“เมื่อกี้ยิ้มไรวะ” คำถามที่ไม่ได้ประสงค์จะอยากรู้แต่แค่อยากกวนประสาทเฉยๆ ทำให้ผมตีหน้านิ่งและทำท่าจะสาดแก้วน้ำพลาสติกใส่เขา
“เรื่องของกูอีก” ผมตอบกวนโอ๊ยไปไม่แพ้กัน ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะ ควานหาที่ปิดตาขึ้นมาสวม เป็นการตัดบทสนทนาไปในที
“โห่ อุตส่าห์ชวนคุยนะเนี่ย เรื่องรถยังไม่เคลียร์นะเดี๋ยวก่อน”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นที่เหมือนจะจริงจังแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ดูเหมือนร่างสูงจะเก็บไอโฟนลงกระเป๋าไปแล้ว เขาเลยหันหน้ามาหาเพื่อนคุย นี่ถ้าคนข้างๆไม่ใช่คุณลุงอายุหกสิบ ไอ้บ้านี่คงชวนคุยเรื่องหนังเอ็กซ์ไปแล้วมั้ง
“มึงนั่นแหละเป็นคนผิด!” ผมเผลอพูดเสียงดังจนต้องรีบหดหัวตัวเองหลบสายตาตำหนิจากผู้โดยสารที่นั่งอยู่เยื้องๆ
“ชู่วว์ คนเขานอนอยู่ ไม่เห็นไง”
ผมถลึงตาใส่เขาอีกรอบอย่างไม่รู้จะพูดยังไงตอบกลับไปดี เอาเหอะ..เรื่องรถช่างมันไปก็แล้วกัน แต่เรื่องที่มันวิ่งมาชนผมวันนี้ยังไม่เคลียร์เหอะ!
“รู้สึกไหม พอเราเจอกันทีไร แม่งไม่เคยจะดีสักครั้งเลย” ผมเบ้ปากกับคำพูดเขา แหงล่ะ นี่มันไม่ใช่โชคชะตาหรือความบังเอิญแบบป็อบปี้เลิฟอะไรแน่ๆ ผมมั่นใจ
“ก็มึงมันตัวซวยเอง”
“กูว่า..เผลอๆลงโรงแรมเดียวกันอีกอ่ะ แน่ๆเลย”
“ไม่มีทาง” ผมหัวเราะแหยๆและส่ายหัวเป็นพัลวัน ไม่เอานะ ถ้าอย่างนั้นเราก็มีโอกาสเจอกันเกือบจะทุกเวลา ไม่เอาเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่มีทาง!
“กูว่ามีทางว่ะ เพราะโรงแรมเดียวที่ว่างตอนนี้คือเซเรนนิตี้”
ผมนึกถึงหลักความเป็นจริงก็แทบจะอยากยกมือขึ้นมากุมขมับ โรงแรมที่ว่างอยู่ที่ภูเก็ตตอนนี้มีแค่ที่นั่นที่เดียว จะปฏิเสธว่าผมไปเที่ยวที่อื่นก็ไม่ได้ และผมคงไม่ลงทุนดั้นด้นไปหาที่อยู่ใหม่เพียงเพราะเจอไอ้บ้านี่หรอก
“พูดแบบนี้ มึงอยากอยู่โรงแรมเดียวกับกูเหรอ” ผมยิ้มแปลกๆส่งให้เขา ซึ่งเขาก็ส่งยิ้มเจ้าเล่ห์คืนมาทันที
“ไม่เกี่ยง” แถมยังไหวไหล่ด้วยท่าทางยั่วตีนผมอีกต่างหาก
“เหอะ”
“ไม่เอาหรอก เจอกันวันเดียวยังเป็นแบบนี้เลย ถ้ามึงนอนกับกู โรงแรมได้ไฟไหม้กันบ้างแหละกูว่า”
เขาพูดติดตลกแต่ผมไม่ตลกด้วยเลยสักนิด ระหว่างทางที่เครื่องจะลงสนามบินที่ภูเก็ต เราก็พูดจากวนโอ๊ยกันไปมา มีบ้างที่ผมยั๊วะขึ้นมาจริงๆแต่ก็ไม่ได้เข้าไปประทุร้ายหมอนั่นอย่างวันแรก เพราะดูๆไป ไอ้หมอนี่ก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร..นอกจากกวนประสาท
ผมเตรียมตัวยืดเส้นยืดสายหลังจากนั่งมานานกว่าสองชั่วโมงเต็ม หันไปมองคนข้างๆที่นอนหลับไปแล้วเรียบร้อย เครื่องลงจอดอย่างนิ่มๆและผู้คนต่างก็ลุกขึ้นเพื่อเตรียมตัวลงจากเครื่องบิน คนทยอยลงเดินไปข้างล่าง ส่วนผมก็มีความคิดบ้าๆเกิดขึ้นในหัว
ไม่ปลุกแม่งดีไหม ให้แม่งนอนอยู่อย่างนี้แหละ
คิดได้ดังนั้นผมก็ระมัดระวังในการเดินออกไปมากกว่าเดิม พยายามไม่ให้เนื้อตัวโดนขายาวๆของเขาที่ใส่กางเกงยีนส์ยี่ห้อดังอยู่อย่างระมัดระวังที่สุด และจังหวะที่ผมกำลังจะรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วนั่นเอง..
พรึ่บ!
ฝ่ามือใหญ่คว้าเข้าที่ข้อมือของผมก่อนจะกระตุกแรงๆให้ร่างผมปลิวมานั่งบนตักเขา
“เฮ้ย” ผมร้องและดิ้นจะลุกออก แต่มือหนาก็ยังเกาะกุมข้อมือผมไว้แน่น
“โชคดีไป..ถ้าลงจากเครื่องแล้วมึงไม่ได้ไปที่เดียวกับกู”
เขากดเสียงและกระตุกยิ้ม ใบหน้าคมคายมองหน้าผมในระยะใกล้ชิด เรียกเสียงหัวใจของผมให้เต้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆเมื่อกลิ่นบลูเบอร์รี่จากหมากฝรั่งที่เขาเคี้ยวลอยมาเตะจมูกทันทีที่เขาส่งเสียงพูด..
“ไอ้เหี้ย ปล่อยกู!”
“และมึงตายแน่..ถ้าลงเครื่องแล้วเราไปที่เดียวกัน!”
Thailand Phuket,at hotel
ความรู้สึกตอนนี้..คือผมอยากจะเข้าวัดและบวชเป็นพระแบบไม่ต้องศึกตลอดชีวิตไปซะ
ทำไมมันซวย..ซวย ซวยและซวยแบบนี้วะเนี่ย!
“กูว่าแล้ว”
ผู้ชายแปลกหน้าที่รู้จักกันแบบบังเอิญและโคตรจะอภิมหาซวยยืนอยู่ข้างๆผมหน้าโรงแรมใหญ่ๆใจกลางย่านชุมชนนี่
ผู้ชายแปลกหน้าที่เจอกันแค่สองครั้ง..
ผู้ชายแปลกหน้าที่คุยกันมาเป็นพันคำแต่ไม่รู้ชื่อของกันและกัน..
ผู้ชายแปลกหน้าที่จะนำความซวยมาให้ผมทันทีที่เจอกัน เหมือนเราเป็นเครื่องจูนความโชคร้ายทั้งคู่
ผู้ชายที่เริ่มจะไม่แปลกหน้าเพราะมีบางอย่างทำให้ผมกับเขาโคจรเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้
“นี่ถามจริง..เราไปทำอะไรมาด้วยกันป่ะวะ”
ผมหันไปถามด้วยน้ำเสียงปลงๆ เหมือนไม่รู้จะพูดยังไงกับสถาณการณ์ตอนนี้ดี ซึ่งเขาก็เบ้ปากออกมาเหมือนช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน นอกเสียจากยอมๆไปเท่านั้น
ผมเดินดุ่มเข้าโรงแรมและตรงไปที่เคาน์เตอร์ทันที พนักงานต้อนรับส่งรอยยิ้มทักทายเป็นอย่างแรก ส่วนผมก็รีบเข้าเรื่องทันใด ผมพูดเป็นภาษาอังกฤษซึ่งทางพนักงานก็สื่อสารกลับออกมาได้อย่างดี
“มีห้องว่างกี่ห้องครับ?”
“ตอนนี้ก็…เอ่อ สักครู่นะคะ” เธอเช็คอะไรบางอย่างที่คอมพ์ฯ ส่วนผมก็ลุ้นใจจดใจจ่อภาวนาให้มีห้องเหลือเป็นสิบๆห้องด้วยเถอะ
ไอ้หมอนั่นมายืนข้างผมแล้ว เขาท้าวแขนลงกับเคาน์เตอร์และฉีกยิ้มหวานให้พนักงานสาวที่ใจเคลิ้มไปแล้วเรียบร้อย
“ตอนนี้เหลืออยู่สองห้องค่ะ ชั้นสามสองห้อง”
ผมแทบจะกรี๊ดออกมาให้ลั่นโรงแรม และนั่นอาจจะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมกับเขาหันหน้ามายิ้มให้กันแบบดีใจ
อยู่ที่เดียวกันก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ห้องเดียวกันล่ะนะ
“เอ่อ คุณลูกค้าคะ คือ..”
“ครับ/ครับ?”
เราสองคนหันขวับมามองพนักงานต้อนรับทันที พร้อมๆกับรอยยิ้มที่ค่อยๆเจื่อนลงทั้งคู่ เฮ้ย อย่าบอกนะว่า..
“เป็นห้องตรงข้ามกันนะคะ..แต่ว่าอีกห้องมันชำรุดนิดหน่อย มาด้วยกันหรือเปล่าคะ?”
ผมสตั๊นท์ไปนานหลายนาที จนพนักงานเริ่มทักท้วง โอเค..ตอนนี้ผมต้องรีบแย่งห้องที่ไม่ชำรุดมาจากมันเสียก่อน!
“เอ่อ มาด้วยกันหรือเปล่าคะ?”
“แล้วนอกจากที่นี่ มีบังกะโลหรืออะไรที่อื่นไหมครับ?”
เขาถามด้วยสีหน้าที่เหมือนอยากจะร้องไห้เต็มทน อย่างน้อยเราก็พยายามหาวิธีเลี่ยงออกจากกันโดยสุดความสามารถทั้งคู่
“เท่าที่ทราบมา..ก็เต็มหมดแล้วน่ะค่ะ ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลด้วย คนเลยจองเยอะหน่อยค่ะ”
“ไม่มี..จริงๆเหรอครับ”
เขาถามย้ำ ผมหันไปมองกดดันและพยายามส่งกระแสจิตให้พนักงานสาวคนนั้นเปลี่ยนคำตอบ มันมีต้องมีสิ มันต้องมี!
“ไม่มีจริงๆค่ะ หรือถ้ามีก็คงต้องเสี่ยงไปหาในเมืองเอา..แต่ก็ไกลโขเลยล่ะค่ะ ถ้าคุณลูกค้าสนใจ ทางเราจะให้เบอร์ติดต่อบังกะโลใกล้ๆ”
“ทำไงดีวะ” เขาหันมาปรึกษาผม ดูตลกนิดหน่อยที่เราสองคนปรึกษาเรื่องที่อยู่ใหม่เพราะไม่อยากอยู่ด้วยกัน
“ไม่มีทางเลือก…” ผมถอนหายใจออกมา
เอาก็เอาวะ ไหนๆก็ซวยขนาดนี้ละ ซวยอีกหน่อยจะเป็นไรไป
“’อย่างน้อยก็แค่ห้องตรงข้าม มึงคงไม่บังเอิญตื่นพร้อมกูหรอกมั้ง” เขาพยายามคิดแง่ดี
“เออ กูยอมลงทุนตื่นตีห้าออกมารอตรงล็อบบี้เลย แล้วห้องไหนไม่ชำรุดครับ?”
ผมหันไปถามพนักงานก่อนที่เธอจะยื่นกุญแจห้องที่สภาพดีมาให้ ผมรีบคว้าไว้ทันที และเขาก็โวยดังลั่น
“เฮ้ย! มึงก็ได้ห้องดีๆไปอ่ะดิ แล้วห้องนั้นอะไรมันชำรุดครับ?”
ผมอยากจะขำใส่หน้ามันดังๆ แต่ก็ต้องเก๊กหน้านิ่ง
“ก็แค่ห้องน้ำที่ฝักบัวเปิดไม่ค่อยได้ กลิ่นเหม็นๆนิดหน่อยเพราะมันเพิ่งปิดตายมาน่ะค่ะ แต่ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอจะนอนพักได้”
ผมอ้าปากค้างฟังห้องที่ยัยพนักงานบอกว่าไม่มีอะไรมากด้วยความอึ้ง โอโห..โชคดีนะที่ผมชิงกุญแจห้องดีๆมาก่อน
“เอ่อ..เตียงอาจจะโยกบ้าง แต่ก็พอนอนได้ครับคุณ” พนักงานชายหนุ่มอีกคนเข้ามาเสริมบทด้วย และนั่นแทบจะเรียกน้ำตาให้พรากลงที่ใบหน้าเขา
“เพิ่งปิดตายมาแล้วมึงจะเปิดทำเชี้ยอะไรวะครับ พนักงานที่นี่โคตรจริงใจเลยไอ้ห่า แม่ง ไม่โกหกห่าไรให้กูชื่นใจเลยสัด”
เขาพูดเป็นภาษาเกาหลี และมีเพียงผมคนเดียวที่เข้าใจ เมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องยื่นมือออกไปรับกุญแจห้องตรงข้ามผมมา จากนั้นก็เช็คอินเข้าที่พัก สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหมอนั่นทำให้ผมรู้สึกสะใจนิดหน่อย
“มึงจะอยู่ที่นี่กี่วัน” ผมถามเขา
“ก็ประมาณ..สองอาทิตย์ว่ะ” เขาตอบเสียงอ่อยพลางมองกุญแจในมือตาละห้อย
“หะ นอนโรงแรมสองอาทิตย์เนี่ยนะ มึงไปเอาเงินมาจากไหนเนี่ย”
ผมพูดออกไปอย่างช็อคๆ ก็โรงแรมนี่ออกจะหรู ส่วนใหญ่ก็มีแต่ฝรั่งมาพักด้วย ค่าพักจะแพงเป็นเรื่องธรรมดาก็ไม่แปลก
“จากบ้านกูไง ถามอะไรโง่ๆนะเนี่ยมึงอ่ะ แต่กูคงไม่ทนนอนเต็มสองอาทิตย์หรอก”
“ไปไวๆซะได้ก็ดีนะมึงนะ”
ผมกับเขาเดินขึ้นลิฟท์เพื่อมุ่งหน้าไปที่ชั้นสามก่อนจะเดินตามหาห้อง 604 ที่จะเป็นที่พักแรมของผมประมาณอาทิตย์กว่า จริงๆผมกะจะไปที่เกาะหลีเป๊ะเลยในวันพรุ่งนี้ รีบๆไปรีบๆกลับ ให้มันเสร็จความต้องการ
แต่พอลงเครื่องครั้งแรก..ผมชักอยากจะตะลอนไปตามที่ต่างๆอย่างเรื่อยเปื่อยซะงั้น บรรยากาศทะเลของประเทศนี้ทำเอาผมชักอยากจะเถลไถล
ผมกำลังไขกุญแจ ทว่าเสียงของคนข้างหลังก็ดังสะท้อนไปทั่วทั้งชั้น
“กูว่าเลขห้องคุ้นๆ”
ผมหันหลังไปมองเลขห้องของเขา ป้ายเหมือนๆกับห้องทั่วๆไปเขียนไว้ว่า ‘704’
“ระวังเจอคนมาลอยผ่านระเบียงนะ..”
“คนที่มาลอยก็คงจะเป็นมึงนั่นแหละ สาธุขอให้เจอ”
ผมแกล้งพูดให้เขากลัว มันได้ผลเพราะเขาหันขวับมาทันที ผมหัวเราะร่วนและรีบผลักประตูให้เปิดออก ก่อนจะเสียบคียการ์ดกับช่องเสียบข้างๆประตู
ภายในห้องจัดวางเฟอร์นิเจอร์แบบโรงแรมทั่วๆไป มีเตียงเดี่ยวกว้างๆตั้งอยู่กลางห้อง ส่วนห้องน้ำก็อยู่ข้างๆประตูเลย ผมวางสัมภาระเสร็จก็รีบเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายทันที
พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาพี่คริสทันที เอาจริงๆแล้ว เวลาที่เราอยู่ไกลๆกัน วันไหนที่ผมต้องไปนอนค้างคืนที่อื่น เราจะโทรหากันเพื่อให้ได้รู้สึกว่านอนข้างๆกันเสมอ จริงๆผมเป็นคนขี้เหงา..ผมนอนคนเดียวไม่ได้มาตั้งแต่เล็กๆแล้ว
ตอนที่พี่คริสสบายดี เราก็นอนด้วยกันทุกคืน เพราะพี่คริสมีคอนโดผมเลยไปอาศัยบ้างเป็นครั้งคราว แต่วันนี้ ทั้งๆที่ที่ว่างข้างๆผมต้องเป็นเขาที่นอนอยู่..มันกลับไม่มีใคร
ไม่น่าเกิดเรื่องแย่ๆแบบนี้กับเราเลย
“พี่คริส..ผมง่วงแล้วอ่ะ..” ผมพูดเสียงงัวเงียขณะที่ทิ้งตัวลงนอนฟุบหน้ากับหมอน
“(อื้ม ฝันดีล่ะไอ้ลูกหมา...)”
“อย่าเพิ่งวางนะ!” ผมร้องท้วง กะว่าจะรอให้เขาตัดสายไปตอนที่ผมหลับสนิทแล้ว
“(เปลืองตังค์น่าแบคฮยอน ฮ่าๆ เดี๋ยวก็หลับไปเองแหละ..)”
ผมไม่มีแรงจะพูด หนังตาเริ่มหย่อนหนักขึ้นจนไม่สามารถเปิดขึ้นได้ ผมไม่ได้กดวางสายพี่คริสเพราะตัวเองงัวเงียเกินกว่าจะทำอะไร
“…”
“(ฝันดีครับ..)”
“…”
“(หึๆ แสบจริงๆ..)”
ติ๊ด..
ผมที่กำลังจะด่ำดิ่งสู่ห้วงนิทราต้องผวาตื่นขึ้นมาอีกรอบเพราะ..
ก๊อกๆๆๆๆ
ปังๆๆๆๆ
อะไรวะ?
ผมลุกขึ้นจากการฟุบหน้าลงกับหมอน ตั้งสติอยู่สักพักก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์เต็มที่
ผ่าง!
“มึง น้ำไม่ไหลอะ ขอนอนด้วยนะ”
เขาวิ่งสวนเข้ามาในห้องผมทันทีที่เปิดประตูออก ไอ้หมอนั่นวิ่งเข้าไปในห้องน้ำๆพร้อมกับผ้าขนหนูและสารพัดของที่เตรียมจะมาชำระร่างกายเรียบร้อย มึงพร้อมไปไหม…
“เฮ้ย กูยังไม่ได้อนุญาติเลย”
ผมที่เพิ่งจะเข้าใจทุกอย่างรีบร้องท้วงและทุบประตูห้องน้ำปึงปังทันที อาการง่วงค่อยๆเลือนหายและเปลี่ยนเป็นการโวยวายแทน
“งั้นแลกห้องกันปะล่ะ มึงลองไปดูห้องกูดิ หลับไม่ลง” เขาตะโกนออกมาจากในห้องน้ำขณะที่เสียงเปิดฝักบัวก็ตามมา
ผมหันไปมองห้องตรงข้ามที่ปิดประตูสนิทเหมือนปกติ ส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจและเดินไปเช็คสภาพห้องอย่างที่เขาบอก
และทันทีที่เปิดห้องออก..ผมแทบจะสลบลงตรงนั้น
โคตรเหม็นเลย!
มันเป็นกลิ่นเหม็นเขียวยังไงแปลกๆ กลิ่นของอะไรสักอย่างที่เตะจมูกอย่างแรง โอเคๆ ยอม..ยอมแพ้แล้ว
ผมเดินกลับมาที่ห้องของตัวเองและนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง นั่งอยู่อย่างนั้นเพื่อรอให้มันอาบน้ำเสร็จ หายง่วงหมดแล้ว เวรกรรมจริงๆ ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรก!
“ห้องน้ำห้องมึงอาบแล้วโคตรสุนทรีย์อ่ะ” เขาใส่แค่กางเกงบ็อกเซอร์ออกมาเท่านั้น ใช้ผ้าขนหนูสีขาวพาดที่ลำคอก่อนจะเดินมาใกล้ๆผม ทำท่าจะนั่งลงบนเตียงด้วย
“นี่กะจะมานอนห้องกูเลย?”
“แฮะๆ”
หัวเราะแห้งๆและยิ้มแหยๆตามมาอีก ผมจ้องหน้าเขาสักพัก คิดลังเลอยู่นาน เพราะเริ่มเข้าใจว่าถ้าเป็นผมเองก็คงไม่ทนนอนในห้องเน่าๆนั่นแน่ๆ แต่จะให้เขามานอนห้องผมเลยเนี่ยนะ..มันง่ายไปหรือเปล่า
“เอาไง ค่าห้องก็ไม่ออก จะมาขอนอนห้องกูเลยสองอาทิตย์?”
“เฮ้ย ถ้าใจดีก็ออกให้กูก็ได้ แต่หน้าอย่างมึงคงไม่..เพราะฉะนั้นเดี๋ยวกูหารอาทิตย์ที่สองเอง” เขายิ้มแฉ่งและชูสองนิ้วพลางกระดิกนิ้วชี้กับนิ้วกลางลงดิกๆประกอบท่าทาง
“จริง?”
“จริง เดี๋ยวกูออกค่าห้องอาทิตย์ที่สองเองไง เนี่ย เดี๋ยวกูไปลากฟูกที่ห้องกูมาปูนอนในห้องมึงก็ได้”
ผมนิ่งไปสักพักก่อนจะโบกไม้โบกมือแบบปลงตก เออ เอาไงก็เอาเหอะ หมดอารมณ์จะโวยวายในความซวยของชีวิตเข้าทุกที
“ห้ามกรนนะไอ้ห่า กูไล่ออกไปนอนห้องเดิมจริงๆด้วย”
ผมพูดไปงั้นเหมือนเป็นการบอกอ้อมๆเพื่อให้เขาเข้ามาอยู่ด้วย แอบคิดลึกๆในใจว่าคงดีเหมือนกัน เพราะผมจะได้มีเพื่อนนอนด้วย..ถึงจะเป็นคนที่เกลียดขี้หน้าก็เหอะนะ
ความจริงก่อนมาที่นี่ ผมก็แอบคิดมากเอาการเลยล่ะ ผมนอนคนเดียวไม่ได้นานๆหรอกนะ เกือบจะร้องไห้แล้วตอนพี่คริสบอกให้ไปคนเดียว
“เออ”
เขากระแทกเสียงกวนๆ และขนสัมภาระเข้ามาในห้องจนครบ เราเริ่มแบ่งแยกอาณาเขตของกันและกันเหมือนเป็นสัญชาติญานของสัตว์ป่ายังไงยังงั้น เขาวางของของเขาที่ฝั่งขวา ส่วนของทั้งหมดของผมก็วางไว้ฝั่งซ้ายหมดเลย
เขาลากฟูกมาปูไว้ที่ข้างเตียงผม มันเตี้ยกว่าหน่อย เพราะมีแค่ฟูกนิ่มๆเท่านั้น เมื่อนอนไม่หลับอีกต่อไปผมก็ต้องลุกไปหาอะไรทำ โดยมีไอ้หมอนั่นที่เอะอะโวยวายอยู่กับการคุยเฟสทามกับเพื่อนหรือใครสักคน
“ตอนนี้อยู่ภูเก็ตแล้วนะ ห้องโคตรกว้างเลยอ่ะ จองไปเรียบร้อยสองอาทิตย์”
“จองหรือหารกับกูไม่ทราบ” ผมเอ็ดให้หลังเขาเบาๆ
ผมไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายตอบกลับมาว่ายังไง เพราะไอ้บ้านี่แม่งเล่นเดินไปทั่วห้องเลย เดี๋ยวก็แวบมานู่น เดี๋ยวก็เดินมานี่
“โอเค เดี๋ยวโทรหานะ บ๊ายบาย ดูแลตัวเองด้วยนะฮาคยอง”
ในที่สุดห้องก็เงียบลง ก่อนเสียงถอนหายใจที่ออกมาพร้อมๆกับรอยยิ้มจะตามมา ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนแผ่ไปทั้งเตียงด้วยความสบายใจ
“รู้สึกดีขึ้นมานิดนึงเลยนะเนี่ย เฮ้อ”
“ฮาคยอง กูนอนแล้วนะ” ผมแกล้งพูดเรียกชื่อผู้หญิงคนนั้นแทนตัวเขา ซึ่งนั่นก็เรียกให้ใบหน้าหล่อเข้มหันขวับมาทันที
“กูชื่อชานยอลโว๊ย” เขาเอื้อมตัวไปหยิบหมอนจะมาเขวี้ยงใส่ผม แต่ผมก็รีบวิ่งหนี ปีนขึ้นเตียงบ้าง ลงไปดักอีกทางบ้าง จนเราเริ่มหยุดแกล้งกันและกันเพราะรู้สึกเหนื่อย
ผมมองดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่ามันไม่ดึกเท่าไหร่ ก็กดโทรหาพี่คริสอีกรอบ เพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ ผมยังไม่ได้บอกฝันดีพี่คริสเลยนี่นา…
“(ฮัลโหล ไหนบอกง่วงแล้วไง หืม?)”
“ก็…ช่างเถอะ เดี๋ยวไว้เล่าให้ฟังนะ” ผมเกาคอไปด้วยขณะที่พูด เลือกจะไม่เล่าเพราะเกรงจะไม่ได้นอน เลยตอบปัดๆไปเมื่อพี่คริสยิงคำถามมา
“(อะไรอีกล่ะ)”
“ไม่มีอะไรหรอก จะโทรมาบอกฝันดี เดี๋ยวพรุ่งนี้โทรหาอีกนะ แบคนอนแล้วนะ”
“(อะไรของเราเนี่ยตัวเล็ก โอเคๆ ฝันดีนะครับ)”
“พี่คริส”
“(หืม..)”
“คิดถึงนะ..ฝันดีครับ..” ผมพูดไปด้วยความเก้อเขินที่ออกมาทุกครั้งเวลาอยู่กับพี่เขา ถึงจะคบมาเป็นปีแล้วแต่ก็ยังรู้สึกเขินอยู่ดี ไม่รู้ทำไม…
“(กำลังหน้าแดงอยู่แน่ๆเลย ฮ่าๆ..)”
“พี่คริส!”
“(ครับ)”
“อย่าล้อดิ!” ผมหน้ามุ่ยใส่โทรศัพท์อย่างทำอะไรไม่ได้
“(ฮ่าๆ ครับ ฝันดีครับผม)”
ผมกดตัดสายทันทีเมื่อได้ยินคำที่อยากฟัง ดิ้นพล่านไปมาจนชานยอลที่นอนเท้าแขนกับศรีษะซึ่งมองอยู่ก่อนแล้ว และแอบฟังพวกผมคุยกันตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ทักขึ้นด้วยสีหน้าแซวๆ
“พี่คริส กูจะนอนแล้วนะ” เขาล้อเลียนผมและแทบจะรีบหุบปากไปอย่างไวเมื่อผมปาหมอนใส่หน้าหล่อๆได้อย่างเหมาะเจาะ
“หุบปากไปเลย” ผมลุกขึ้นยืนบนเตียงและชี้หน้าไอ้เวรชานยอลอย่างคาดโทษ เขาหยิบหมอนที่ผมปาไปมากอด ก่อนจะกลิ้งตัวไปมาบนฟูกของตัวเอง
“เดี๋ยวพรุ่งนี้โทรหานะ..เหยดดด ฮ่าๆ มึงนี่ก็มีมุมน่ารักกับเขาเหมือนกันนะ”
“ยังไม่หยุดใช่ไหมไอ้ห่า!”
ผมกระโจนเข้าไปตะครุบตัวเขาและประทุษร้ายหมอนั่นทันทีอย่างมันมือ ทั้งเตะทั้งต่อย แต่ชานยอลก็ปัดป้องมันได้ทุกครั้งไป
เขายกแขนกันหน้าตัวเองไว้ จนผมได้โอกาสขึ้นคร่อมตัวร่างสูงที่ตอนนี้เปลือยท่อนบนและใส่แค่บ็อกเซอร์สีดำเท่านั้น
จะหยิกให้เขียวเลยแม่ง!
“โอ๊ย! อย่าหยิกหัวนมกูดิ”
เขาร้องโอดโอยและทำท่าจะคว้าข้อมือผมไว้ ผมเลื่อนมือไปหยิกตามตัวเขาหลายๆจุด จนสุดท้ายมือใหญ่ก็รวบรัดข้อมือผมไว้และเหวี่ยงให้ลงมานอนอยู่ใต้ร่างอย่างรวดเร็ว
ผมหยุดแรงกระทำทั้งหมดค้างไว้อย่างนั้นด้วยความอึ้งที่ไม่คิดว่าเราจะเล่นกันมาถึงขั้นนี้ ชานยอลหอบหายใจนิดหน่อยและตรึงข้อมือผมไว้เหนือหัว ร่างสูงนั่งคร่อมผมทั้งตัวจนหาโอกาสลุกไม่ได้เลย
พอดิ้น..เขาก็โน้มตัวลงมาและแกล้งด้วยการจั๊กจี๋เอวผมอีก โคตรจะทรมานเพราะมือก็ถูกตรึงไว้เหนือหัวไม่สามารถปัดป้องได้เลย
“พอๆๆ จะตายแล้ว”
สุดท้ายก็ต้องเป็นผมที่ร้องขอชีวิต ก่อนจะเรียกลมหายใจตัวเองกลับคืนและสบสายตากับดวงตาคมกริบที่แฝงไปด้วยความซุกซน
เขาหายใจหอบๆ เพราะเราปล้ำกันไปปล้ำกันมา ไหนจะสู้แรงอีกฝ่าย ไหนจะดิ้น ไหนจะตะโกน ใครไม่เหนื่อยก็บ้าแล้ว
ชานยอลปล่อยข้อมือผมออกแต่ก็ไม่ยอมลุกออกไป เขาจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น จนผมต้องดันไหล่กว้างออก
“ปล่อย”
ผมพูดและทุบอกกว้างไปด้วย เมื่อเขาไม่ยอมลุกไปอย่างที่ขอ ผมจึงต้องพยาพยามดึงตัวเองขึ้นมานั่งแต่ก็ยากลำบาก และจู่ๆชานยอลก็รวบข้อมือผมทั้งสองข้างไว้ ก่อนจะค่อยๆกดลงกับที่นอนช้าๆ ผมที่กำลังอึ้งเลยเผลอโอนอ่อนตามแรงไปอย่างไม่มีข้อแม้
“เฮ้ย ปล่อยๆ”
ผมร้องท้วงแต่ตัวกลับไม่ดิ้นอย่างที่ใจขอ ร่างผมนอนแน่นิ่งให้ร่างสูงกดอยู่สองสามนาทีโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา นอกจากจ้องหน้ากันนิ่งๆ
“มึงชื่อไรนะ” เขาถาม
“โอ๊ย ไอ้ห่า ใช่เวลามาถามชื่อไหมวะเนี่ย! แบคฮยอน!”
ผมตอบไปส่งๆและเริ่มดิ้นนิดๆ เพราะรู้ว่าดิ้นไปก็เท่านั้น รอให้เขาปล่อยเองดีกว่านะ เหนื่อยเปล่าๆ
“แบคฮยอน..”
“อะไร”
“เปล่า เดี๋ยวลืม” เขาทำหน้ากวนตีนอีกครั้ง นี่ถ้ากูไม่ถูกตรึงข้อมือไว้นะ หน้าหล่อๆอย่างมึงไม่เหลือแน่!!
“เดี๋ยวเหอะมึง ปล่อยดิวะ มันอึดอัดโว๊ย”
“มึง..ข้างล่างมันหนาวๆไงไม่รู้อ่ะ กูขอนอนบนเตียงด้วยดิ”
“โห พูดง่ายเนอะมึง ปล่อยก่อนดิ หนักเว้ย!”
ผมผงกหัวขึ้นจะไปกัดข้อมือเขาแต่ชานยอลก็ดึงข้อมือหลบเสียก่อน อะไรวะ ผมเสียเปรียบหมดเลย!
“นี่มึงกะจะลักหลับกูแล้วอ้างว่าหนาวหรือเปล่า” ผมพูดเล่นๆ แต่ไหงมันรับมุกซะงั้นวะ
“เออ อยากเอามึงใจจะขาดอ่ะแบคฮยอน ไหนๆก็ไม่ต้องเจอกันอีกแล้วไง จะเป็นไรไปว้า น๊าๆ”
ใครจะไปเชื่อ คนที่ขับรถชนกันโดยบังเอิญวันนั้นจะมานอนร่วมห้องกันในวันนี้ แปลกแต่จริง บ้าชะมัด
“เออๆ นอนก็นอน จะยังไงก็แล้วแต่มึงเหอะ แต่วันนี้มึงนอนข้างล่างไปเลย”
“เย้! โอเค นอนๆ”
เขาปล่อยข้อมือผมในที่สุดและพลิกกายลงนอน ก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบผ้าห่มจากเตียงผมมากองไว้ที่ฟูกเขา ชานยอลเอื้อมมือไปปิดไฟจนห้องทั้งห้องดับสนิทเหลือเพียงแค่แสงรำไรจากข้างนอกที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
เรานอนข้างกันเงียบๆแบบไม่น่าจะเป็นไปได้ ตอนแรกผมคิดแค่ว่าเราจะอยู่ด้วยกันเงียบๆ ต่างคนต่างอยู่ด้วยความมึนตึงและต่างก็ใช้ชีวิตไปตามยถากรรมด้วยซ้ำนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้
คิดอะไรไปได้สักพัก หนังตาก็เริ่มหย่อน ความง่วงคืบคลานเข้ามาในความรู้สึก ทำให้ผมต้องนอนหลับไปด้วยความเพลียส่วนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยว่ากันก็แล้วกันนะ…
และดูเหมือนว่าไอ้คนตัวสูงข้างล่างก็จะผล็อยหลับไปแล้วเหมือนกัน…
(baekhyun part end)
ความคิดเห็น