ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { exo } mischance in destiny (chanbaek feat.kris)

    ลำดับตอนที่ #2 : "ความบังเอิญ" - จุดเริ่มต้น ของเรื่องทั้งหมด

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 58








     

              mischance in destiny

     

    ผมจอดรถที่ลานจอดชั้นหนึ่ง เงยหน้ามองดูอาคารที่แยกประเภทผู้ป่วยเป็นตึกๆ ชั้นที่ผมต้องขึ้นไปคือชั้นห้าตึกหนึ่ง ชั้นนี้จะแบ่งโซนผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับสมองและเส้นประสาทไว้ทั้งชั้น

    ผมเดินไปขึ้นลิฟท์และกดชั้นห้าอย่างคุ้นเคย เนื่องจากมาบ่อยยิ่งกว่าบ้านตัวเอง ลิฟท์เปิดออกมาก็พบกับห้องโถงยาว เจอเข้ากับห้องประชาสัมพันธ์เป็นจุดแรกหลังจากที่เดินออกมาจากลิฟท์ ผมเดินมองเลขห้องไปเรื่อยๆ หยุดลงที่ประตูถัดจากห้องสุดท้าย

    ผมหมุนลูกบิดประตูช้าๆ ดันบานประตูออกเบาๆเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ป่วยที่นอนอยู่ข้างใน ไม่แน่ใจว่าเธอกำลังนอนหลับหรือทำอะไรอยู่

    ผมยิ้มบางๆ เมื่อหญิงสาวที่นอนชันหลังกับเตียงโรงพยาบาลที่สามารถปรับระดับได้หันมามอง เธอยิ้มให้ผม รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าสวยหวานยังเป็นที่น่าจ้องมอง

    เธอยังคงสวยสวยที่สุดสำหรับผม

    กินข้าวกินยาหรือยัง?

    ประโยคเดิมๆที่ผมมักจะเอ่ยปากถามทันทีที่เจอหน้ากัน เธอพยักหน้าลงและแย้มยิ้มสดใสให้ ผมเดินเข้าไปใกล้และยื่นมือไปไล้กับรูปหน้าเรียวที่เนียนใส

    เราคุยเล่นกันสักพัก เล่นเกมส์ด้วยกันบ้าง ดูหนังด้วยกันบ้าง ผมเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอมาให้เธอฟัง เล่าทุกๆอย่างที่เธอฟังแล้วจะต้องหัวเราะออกมาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

    ผมเคยได้ยินประโยคๆหนึ่ง ทำวันนี้ให้ดีที่สุด มันเป็นประโยคที่ค่อนข้างชินหูและน่าเบื่อสำหรับใครหลายๆคน แต่ผิดกับผู้ชายคนหนึ่งที่ตั้งใจยึดมั่นคำพูดนั้นเอาไว้ย้ำเตือนจิตใจทุกวัน..ผู้ชายที่มีหน้าที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างก่อนจะสูญเสียมันไป

    ผู้ชายคนนั้น..ก็คือผมเอง

    ห้าโมงเย็นแล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องออกไปทำธุระข้างนอกต่อ นั่นจึงทำให้ผมต้องจำใจบอกลาเธอ ทั้งที่ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะทิ้งให้เธออยู่คนเดียวสักเท่าไหร่นัก

    ฮาคยองผมเก็บถาดบิงโกมาไว้ที่โต๊ะเล็กๆข้างเตียงของเธอ นั่งลงบนเตียงคนไข้และคลี่ยิ้มบาง เราต้องไปแล้ว อยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?

    ต้องอยู่ได้สิ ก็อยู่มาตลอดอยู่แล้วนี่น่า เธอกลั้วหัวเราะ

    ผมมองหน้าเธอสักพัก ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้และจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนช้าๆ ดึงมือบางขึ้นมาบีบและแนบมันไว้กับแผ่นอกของผม จ้องตรงเข้าไปยังแววตาคู่สวย

    เธอเก่งอยู่แล้ว

    ผมผละออกมาช้าๆและยิ้มเป็นกำลังใจให้เธอ ก่อนจะโบกมือลา และเตรียมจะเดินออกจากห้อง ทว่า..ฮาคยองก็รั้งมือผมไว้และกระตุกเบาๆ

    หืม?”

    อยากไปทะเล…” เสียงเล็กแผ่วเบาเสียจนผมขมวดคิ้วเป็นปม ด้วยเพราะผมเกลียดทะเลและไม่เข้าในจุดประสงค์ของเธอ

    ทำไมจู่ๆก็..”

    ฉันอยากไปก่อนจะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคบ้าๆนี่ซะอีก แค่นหัวเราะ พร้อมหลุบตาลงต่ำ เธอหลับตาลงและเอนหลังราบไปกับที่นอน มือบางกุมมือผมไว้และบีบมันแน่น

    แล้วเธอจะไปยังไง..เอาแบบนี้ดีไหม ไว้รักษาจนเธอหายเมื่อไหร่ เราจะพาไปเอง

     ผมพยายามพูดโน้มน้าวใจเธอ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่ ฮาคยองคลี่ยิ้มบาง เธอส่ายศรีษะช้าๆ สายตามุ่งมั่นแบบนั้นทำเอาผมเถียงไม่ออก

    ไม่..มันไม่มีวันนั้นหรอก

    “…”

    ให้นายไป..แทนฉัน

    เราเนี่ยนะ?”

    อื้อ นายก็รู้ว่าฉันชอบทะเลนี่

    ก็รู้นะแต่…”

    ฉันไม่มีโอกาสไปแล้ว..”

     ตอนแรกที่ทำท่าว่าจะแย้ง พอได้ยินประโยคตัดพ้อด้วยน้ำเสียงแบบนั้นก็ทำเอาผมเงียบไปนานหลายนาที ใบหน้าและรอยยิ้มเศร้าๆของเธอ มันทำให้ผมรู้สึกแย่ตามไปด้วย

    ผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย..โอกาสที่จะได้เห็นโลกกว้างคงจะเป็นแค่เพดานสีขาวของโรงพยาบาลเท่านั้น

    “…”

    ฉันอยากถ่ายรูป อยากเดินบนทรายขาวๆที่ทะเล อยากสัมผัสแดดร้อนๆ อยากไปหมดทุกอย่าง แต่..”

    เธอร่ายยาว ฮาคยองเว้นช่วงไว้เพื่อสูดลมหายใจเข้า หน่วยตาใสมีน้ำตาเอ่อคลอ เหมือนๆกับผม..

    “…”

     แต่นายยังมีโอกาสอีกทั้งชีวิตนะชานยอล..ช่วยทำตรงนั้นแทนฉันได้ไหม?

    ผมได้แต่เงียบและหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้าตอบหรือให้คำมั่นสัญญาใดๆ

    ตอนที่ยังอายุไม่มากนัก อาจจะสักประมาณหกเจ็ดขวบเห็นจะได้ มันเป็นความหลังฝังใจตั้งแต่ตอนเด็ก พี่ชายแท้ๆของผมหายตัวไปในขณะที่เราเล่นน้ำด้วยกันอยู่บนริมหาด ทั้งๆที่เราเดินขึ้นฝั่งมาพร้อมกัน ทั้งๆที่พี่กำลังจะอุ้มผมขึ้นขี่หลัง แต่คลื่นลูกใหญ่ที่ซัดเข้ามากลับกลืนกินร่างของพี่ชายผมไปอย่างไร้ร่องรอย..

    ผมไม่ได้เจอพี่ชายอีกตั้งแต่วันนั้น ผ่านมาแล้วเกือบสิบปี แต่ความรู้สึกตอนที่ฝ่ามือของพี่พยายามจะเอื้อมมาจับผมไว้ยังคงอยู่เหมือนเดิม ผมรู้สึกเหมือนฝันร้ายทุกครั้งที่นึกถึงมัน

    ผมกลายเป็นคนขี้ขลาด กลัวทุกสิ่งทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าทะเล ทุกคนในครอบครัวเปลี่ยนไป พ่อผมกลายเป็นคนเงียบขรึมตั้งแต่วันนั้น บรรยากาศภายในบ้านเงียบเชียบและเปลี่ยนไปไม่เป็นเหมือนเดิม

    เราเริ่มแยกกันอยู่ หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็ฟ้องหย่ากับพ่อ เธอแต่งงานใหม่และย้ายไปอยู่ที่ลอนดอนเป็นการถาวร สามปีต่อมา พ่อก็เสียชีวิตลง พ่อทิ้งผมไว้กับกองมรดกมากมายมหาศาล สมบัติที่เคยเป็นของพี่ชายกลายมาเป็นของผมทั้งหมด

                ผมมีเงิน มีทุกอย่าง แต่ไม่เคยมีความสุข..ไม่เลย

                “เถอะน่า..นายเคยบอกว่าอยากให้ฉันยิ้มบ่อยๆไม่ใช่หรือไง?

    ผมกำลังจะส่ายศรีษะปฏิเสธ แต่พอเงยหน้ามาสบตาเข้ากับแววตาเว้าวอนของเธอ มันกลับทำให้ผมใจอ่อน

    ตอนนี้ความกลัวกับความกล้ากำลังต่อสู้กันอย่างสูสี..

    เอ่อ..ไงดีอ่ะ เราถ่ายรูปไม่เป็นนะ คงไม่มีรูปกลับมาฝากสวยๆหรอก”  ผมลังเล มันยากที่จะฝืนความรู้สึกตัวเอง

     “ถ่ายไม่ยากหรอก เดี๋ยวฉันสอนให้ก็ได้ อีกอย่าง..ฉันไม่อยากได้รูปที่มาจากกล้องคนอื่นหรือฝีมือคนอื่น นอกจาก..นาย

    เธอเอื้อมมือไปหยิบกล้องถ่ายรูปของเจ้าตัวมายัดใส่มือผม รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าสวยทำให้ผมเริ่มจะตัดสินใจไม่ถูก แต่จนแล้วจนรอดผมก็พยักหน้าลง

                "ไปเหนือแทนได้ไหม" ผมบึนปากเบะบึ้ง ต่อรองข้อตกลงเผื่อว่าจะได้ผล

                "อยากไปทะเลนี่นา..."

    แต่เราถ่ายรูปไม่เก่งนะ หามุมดีๆไม่ได้เหมือนเธอหรอก ถ่ายอย่างมากก็แค่ในไอโฟนอ่ะ

    ผมไม่ค่อยเล่นกล้องโปรอยู่แล้ว การถ่ายรูปจากกล้องใหญ่แบบนี้จึงถือว่าเป็นงานช้างสำหรับผมไม่ใช่น้อย คงต้องใช้เวลารื้อความจำสักพักเลยล่ะมั้ง เพราะตอนมัธยมก็เคยยืมของเพื่อนมาถ่ายเล่นอยู่สักพัก แต่ก็แค่ถ่ายเล่นน่ะนะ

    แต่ถ้าการทำอะไรบางอย่างเพื่อคนที่เรารักโดยหวังเพียงแค่ความสุขของเขาแค่ให้ฮาคยองมีความสุขในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นั้นก็เป็นเหตุผลที่มากพอจะทำให้ผมอยากจะไปทะเลมากกว่าเดิม

    สัญญานะว่าจะถ่ายรูปกลับมาให้ได้

    ไม่สัญญาได้ไหม

    สัญญาสิ..ผิดสัญญากินเข็มพันเล่มนะรู้ไหม เธอขยิบตา ก่อนจะยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้า ผมเบะปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ยอมยื่นนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวไว้และเขย่าเบาๆ

    ครับ สัญญา

    ถึงจะไม่ใช่คนทำเรื่องพรรค์นั้นได้เก่งขนาดเท่าคนมืออาชีพ..

    แต่ถ้าลองพยายาม..ก็ไม่เลวเท่าไหร่หรอกมั้ง

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    มาแล้ว

                ร่างเล็กเดินเข้ามาภายในห้องพักผู้ป่วยวีไอพีด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ชายร่างสูงที่นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียงจับสังเกตุได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่แบคฮยอนเดินเข้ามาภายในห้อง

    มีเรื่องอะไรอีกล่ะเรา

    ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาขยับริมฝีปากคลี่ยิ้มบางๆเมื่อเห็นท่าทางกระเง้ากระงอดของคนตรงหน้า ร่างเล็กลากเก้าอี้ข้างๆเตียงมานั่งคร่อมก่อนจะเท้าคางและเริ่มเล่าเรื่องต่างๆให้คนที่นอนฟังอยู่อย่างใส่อารมณ์

    ก็ระหว่างทางที่จะขับมาหาพี่คริส แบครถชนอ่ะ

    คริสหรืออู๋อี้ฟานขมวดคิ้วหลวมๆด้วยความตกใจ ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง อยากจะเอื้อมมือไปจับร่างเล็กมาหมุนไปมาเพื่อสำรวจ แต่สังขารก็ไม่เอื้อเท่าไหร่

    แล้วเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย” 

    ไม่เป็นอะไรหรอก แต่เจ็บใจเฉยๆ  เพิ่งถอยมาได้วันนี้เอง พอได้มาวันแรกก็เกิดเรื่องเลย ซวยชะมัด!”

    แล้วรถเป็นอะไรมากไหม

    แบคฮยอนกำลังจะโม้ แต่ก็พลันชะงักและส่งสายตาคาดโทษไปให้ร่างสูงที่นอนอมยิ้มอยู่บนเตียง

    ยังจะห่วงรถอีกนะ!”

    ล้อเล่น เราขับเร็วหรือเปล่า?

    ไม่ถึงแปดสิบด้วยซ้ำ

    แล้วขับเลนส์ไหน

    เลนส์ซ้าย แบคกำลังจะแซง แต่มันเป็นทางรถสว..”

     เหมือนจะไม่ทัน แต่ก็ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองและยิ้มแหยๆส่งคืน ชายหนุ่มส่งสายตาคาดโทษมาให้เพราะรู้นิสัยร่างเล็กดี ถ้ามีเรื่อง เจ้าตัวจะต้องโทษคนอื่นก่อนเสมอ

    โชคดีนะที่ไม่เป็นอะไร ให้หายดีก่อนเถอะ พี่จะทำโทษเรา

    อีกนานเลยแหละพี่คริส นอนรอไปได้เลย แบร่!”

    เดี๋ยวเถอะแบคฮยอน

     ถึงอยากจะลุกขึ้นมามะเหงกคนตรงหน้าสักเท่าไหร่แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะมือไม้ดันไม่มีแรงไปเสียดื้อๆ ร่างกายปวดร้าวไปหมดหลังจากประสบอุบัติเหตุร้ายแรงไม่กี่วันก่อน ทำให้ขาหักและกระดูกร้าวไปทั้งตัว ต้องใช้เวลาเยียวยาประมาณสามถึงสี่เดือนกว่าๆ ถึงจะหายดีเป็นปกติ

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น..ร่างกายช่วงล่างของเขาก็กลายเป็นอัมพฤกษ์ทำให้เดินเหินไม่ได้อย่างที่เคยเป็น..

    เฮ้อ..เมื่อไหร่เราจะได้กลับมาเดินด้วยกันอีกนะ เหงาเป็นบ้าเลย…”

    แบคฮยอนทิ้งเรื่องชวนหงุดหงิดไว้แค่นั้น ริมฝีปากแดงงุ้มงอ ก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้ๆอี้ฟาน จ้องมองดวงหน้าของอีกฝ่ายด้วยความรัก สายตาเรียวคมเหลือบมามองผิวหน้าของแบคฮยอน ใจพลันเต้นตึกตักเพราะดวงตาคู่สวยที่จ้องไม่กระพริบ

    นี่ยั่วพี่อยู่นะ รู้ตัวหรือเปล่า?

    ..ยั่วอะไรเล่า!” รีบถดหน้าตัวเองถอยกลับมาและโวยวายเสียเอง หน้าแดงลามไปถึงใบหูเพราะคำพูดกับเสียงนิ่งๆที่ล่อแหลมของอีกฝ่าย แบคฮยอน

    จะโวยวายทำไมวะ ไอ้เด็กบ้า

    แบคฮยอนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก  ด้วยความประหม่ากับคำพูดเมื่อกี้หรืออะไรไม่รู้ แต่ตอนนี้เขาทำเหมือนจะระเบิดตัวเองภายในสิบนาทีเพราะความเขิน

    เขินเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงล้อเลียน แถมยังยกยิ้มมุมปากเหมือนตั้งใจจะทำให้แบคฮยอนเขินตายไปตรงหน้า

    เขินอะไร ใครเขาเขิน อย่ามามั่วดิ!”

    ไม่เขินแล้วหน้าแดงทำไม

    ก็..ร้อน

    อี้ฟานรัวหัวเราะก่อนจะค่อยๆหยุดเมื่อมันสะเทือนไปถึงแผล คนหน้าคมนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกปวด นั่นจึงทำให้แบคฮยอนได้ที ร่างเล็กหัวเราะคืนจนเกร็งท้องไปหมด

    ไว้หายดีแล้วค่อยซ่านะ ฮ่าๆ

    หายแล้วพี่จะจับแบคฮยอนคนแรกเลย” ช่วงประโยคที่เว้นไว้ของร่างสูงทำให้แบคฮยอนรีบเบิกตากว้างๆเหมือนไม่เข้าใจ ทั้งๆที่ก็เข้าใจความหมายเป็นอย่างดี หมาย..หมายความว่าไงน่ะ!

    อะไรจับอะไรทำไมพี่อกุศลแบบนี้วะไอพี่คริสบ้า

    จับมือเว้ย พี่หมายถึงจะจับมือแบคฮยอนคนแรกเลย คิดไปไหนหล่ะ

    ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่ประโยคนี้แต่ก็อดใจเต้นไม่ได้

    ก็พูดให้คิดก่อนเองอ่ะ” คนหน้าหวานยื่นปากงุ้มปากงอก่อนจะแลบลิ้นใส่คนที่นอนอยู่อย่างน่าหมั่นเขี้ยว

    เอ้อ..แบคฮยอน จำทริปที่เรานัดไปทะเลด้วยกันได้ไหม?” จู่ๆก็พูดขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกออก แบคฮยอนพยักหน้าหงึกๆและเลิกคิ้วตามด้วยความสงสัย

    จำได้ดิ ทำไมเหรอ

    ยังอยากไปอยู่ไหม

    อยากนะ..แต่ถ้าไม่มีพี่คริสก็ไม่อยากแล้วล่ะพูดพร้อมส่ายหน้า

    เพราะทริปที่สัญญาไว้..จะต้องมีเขาสองคนเท่านั้นที่ไปด้วยกัน ถ้าขาดคนใดคนหนึ่ง นั่นก็หมดความหมายของการไปเที่ยวทะเลอย่างที่ตั้งใจไว้ พวกเขาตกลงจะไปกันอาทิตย์หน้า ตั๋วเครื่องบินก็จองไว้เรียบร้อยแล้วด้วย แต่ก็ดันมาเกิดเรื่องซะก่อน แถมจะยกเลิกเที่ยวบินก็ไม่ได้แล้ว

    แบคฮยอนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพิ่งจะมานึกขึ้นได้ก็ตอนที่อี้ฟานพูดเมื่อกี้

    แต่พี่อยากให้เราไป เราบอกว่าอยากไปไม่ใช่เหรอ

    ไม่อยากไปแล้ว เดี๋ยวค่อยไปพร้อมกันก็ได้ รอพี่คริสหายดีแล้วค่อยไปจองตั๋วใหม่ไง

    แบคฮยอนพูดยิ้มๆ อย่างที่วาดฝันไว้ว่าจะไปด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ไปเดินทะเลตอนเช้าๆด้วยกันอย่างมีความสุข แค่คิดก็ทำให้ยิ้มออกมาเหมือนกับคนไร้สติ

    แต่ก็คงเป็นแค่เพียงภาพในความคิดเท่านั้น

    แบคฮยอน..”

    หือ

    พี่เดินไม่ได้แล้ว..พี่ไปไหนมาไหนกับเราไม่ได้แล้ว ยอมรับสักที

    ประโยคนี้นี่เองที่เรียกรอยยิ้มแบคฮยอนให้หายไปจากใบหน้า..ถึงอยากจะหลอกตัวเองแค่ไหน แต่ความจริงก็ตอกย้ำพวกเขาสองคนอยู่ดี

    ความจริงก็คือความจริง ส่วนการและความต้องการมันคนละเรื่องสินะ..

    ไม่..แบคฮยอนจะพาพี่คริสไปเอง ไม่เห็นเกี่ยวเลยแบคฮยอนรั้น สายตามุ่งมั่นในความคิดตัวเอง

    พี่อยากไปทะเลกับเรามากนะตัวเล็ก..”

    “…”

    แต่ทำไงได้ล่ะ..พี่เดินไม่ได้แล้วนี่นา

    “…”

    น้ำตาพาลจะไหลออกมาแต่ก็รีบยับยั้งไว้เพราะกลัวคนตรงหน้าจะไม่สบายใจ

    พี่ดูแลแบคฮยอนไม่ได้แล้ว ถ้าเกิดแบคฮยอนถูกลักพาตัวไปต่อหน้า พี่จะไปตามเรากลับมายังไงล่ะ..ถ้ามันเกิดอะไรแย่ๆแบบนั้นขึ้นจริงๆ พี่ไม่ขาดใจตายเลยเหรอ

    มัน..ไม่เกิดขึ้นหรอก

    ไหนๆก็จองตั๋วไปแล้ว เสียเงินไปตั้งเยอะ ปะ ไปวาดรูปทะเลมาให้พี่หน่อยนะ

    เพราะแบคฮยอนชื่นชอบและถนัดการวาดรูปเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ เขาจะไม่พกกล้องดิจิตอลดีเอสแอลอาร์คุณภาพชั้นยอดไปเลยสักครั้ง จะพกก็แค่ดินสอและกระดานไม้เล็กๆพอให้วาดรูปได้เท่านั้น

    ด้วยความที่เขามีฝีมือเข้าขั้นบรมจารย์ ทำให้งานวาดจากสิ่งของธรรมดาเกือบจะกลายเป็นรูปภาพจากมุมดีๆแผ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้

    แบคฮยอนวาดรูปเก่งจะตาย ไม่ต้องพึ่งกล้องก็เหมือนถ่ายรูปออกมาเลย จริงไหม ฮ่าๆ พี่อยากเห็นภาพทะเลลงมาอยู่ในกระดาษของเรานะคนดี

    ไม่เอา..อยากไปกับอี้ฟาน..”

    คล้ายจะงอแงเมื่อสรรพนามถูกเรียกด้วยชื่อเดี่ยวๆ อี้ฟานรู้ทัน เขาวางมือลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน ขยี้เบาๆและส่งรอยยิ้มอ่อนโอนไปให้

    น่า..เดี๋ยวเราค่อยไปด้วยกันใกล้ๆก็ได้นี่ แต่ที่นั่นมันไกลไป..”

    งั้นก็ไปทะเลใกล้ๆ แถวนี้ก็ได้ ช่างตั๋วมันเถอะ

    พี่จริงจังนะ อย่าดื้อสิแบคฮยอน ให้เป็นของขวัญวันเกิดอาทิตย์ที่แล้ว ที่เราไม่มีอะไรให้พี่แล้วกัน

    ถึงอยากจะปฏิเสธแค่ไหน แต่ก็ต้องจำใจยอมตอบรับไปแต่โดยดี เพราะเมื่อคนอย่างอี้ฟานยอมลดตัวลงมาอ้อนวอน จะเอาเหตุผลร้อยแปดมาอ้างแค่ไหนก็แข็งแรงไม่พอคำพูดอี้ฟานอยู่ดี

    อื้อ..ก็ได้

    พออยู่ที่นั่นก็โทรหาพี่ตลอดเวลาก็ได้ จะได้เหมือนว่าเราอยู่ใกล้ๆกันไง

    อือ” แบคฮยอนถอนหายใจออกมา เหมือนความตั้งใจที่มีมาตั้งแต่แรกถูกทำลายลงด้วยอุบัติเหตุที่แสนโชคร้ายของคริส

                 มือบางโอบอุ้มมือหนามาแนบแก้มแน่นๆ ก่อนจะหลับตาลงช้าๆด้วยความเหนื่อยใจ..

    ไม่แย่หรอกน่า..แบคฮยอนเองก็อยากไปอยู่แล้ว โทรหาพี่ตลอดเวลาก็เหมือนว่าเราอยู่ด้วยกันแล้วแหละ เนอะ

    ถ้าไม่ขอ แบคไม่มีทางไปคนเดียวหรอกนะ

    แต่พี่รู้ว่าแบคฮยอนก็ต้องไป..ใช่มั้ยล่ะ

    รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้แบคฮยอน นิ้วยาวจิ้มแก้มนิ่มเพื่อหยอกล้อ แบคฮยอนจ้องตรงไปยังแววตาของคนที่นอนอยู่ พลางโน้มหน้าเข้าไปใกล้ ละล้าละลังเพราะมัวแต่ลังเลด้วยความไม่กล้า ลมหายใจรดอยู่ที่ปลายจมูด สายตามองเห็นแค่เพียงกลีบปากบาง

    แต่สุดท้าย..เจ้าตัวก็เป็นฝ่ายประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากของคนที่นอนอยู่นานๆ นานจนเหมือนว่าจะค้างไว้อยู่อย่างนั้นตลอดไปด้วยซ้ำ อี้ฟานยกมือขึ้นมาโอบท้ายทอยร่างเล็กไว้ กดลงมาให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม

    แล้วจะวาดรูปมาให้นะ…”

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×