คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : "ความบังเอิญ" - Intro
เขาว่ากันว่า
เรื่องบังเอิญที่เหตุการณ์เดิมๆจะเกิดขึ้นซ้ำๆ
มีเพียงสองครั้งในโลก
บทนำ
“ความบังเอิญ ทำให้รถฉันเสีย ฉันเลยต้องยืนข้างเธอ เนื้อตัวแสนเปียก”
บทนำ
เอี๊ยดดดดดดด…..ด!!!
โครม!!!
รถสปอร์ตสีดำเอี่ยมเบรคกระทันหัน ล้อรถเบียดกับถนนจนเกิดเสียงดังน่าหนวกหู แรงเบรคที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกระทันหันทำให้ศรีษะของเจ้าของรถกระแทกเข้ากับพวงมาลัยอย่างแรง ความสับสนเข้ามาแทนที่อาการปวดหัว..
ปัง!!
ขายาวก้าวลงจากรถทันทีที่ตั้งสติได้ พร้อมๆกับเจ้าของรถคู่กรณีเช่นเดียวกัน แว่นกันแดดถูกเหน็บไว้ที่กระเป๋าเสื้อเชิ๊ต ร่างสูงโปร่งเดินอ้อมมาที่หน้ารถของตนอย่างเร่งรีบ ยิ่งหงุดหงิดขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นรอยเสียดสีอย่างแรงบริเวณกันชน
เขายกมือขึ้นขยี้ท้ายทอยด้วยความหัวเสีย กระฟัดกระเฟียดหันไปทางคู่กรณีที่นั่งยองๆเช็คสภาพรถของตัวเองอยู่เหมือนกัน
“ขับอะไรของคุณวะ”
เจ้าของรถฮิลเมนสุดคลาสสิครีบสาวเท้าเดินตรงเข้ามาหาร่างสูงทันที ประโยคเปิดบทสนทนาดูไม่ค่อยน่าพิศมัยเท่าไหร่ มันเต็มไปด้วยอารมณ์โทสะไร้การควมคุม
ถ้าย้อนไปเมื่อสิบนาทีก่อนหน้านี้..ก่อนที่รถฮิลเมนจะขับตีคู่รถสปอร์ตสีดำเอี่ยมอ่องและแซงตัดหน้า ก่อนที่รถทั้งสองคันจะเสียจังหวะในการประคองความเร็ว และก่อนที่รถฮิลเมนจะเบียดเข้าข้างหน้าโดยที่เจ้าของรถสปอร์ตก็ไม่ยอมง่ายๆ
รัศมีในการตีคู่ที่เกือบจะทำให้รถชนจึงเป็นเหตุให้เจ้าของรถสปอร์ตต้องเหยียบเบรคด้วยความรวดเร็ว และด้วยเหตุผลนั้นเองที่ทำให้เจ้าของรถฮิลเมนเสียหลัก หมุนพวงมาลัยจนรถหมุนติ๊วและชนเข้ากับเกาะกลางถนน โชคดีที่เจ้าของรถไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่สภาพรถนี่สิ…
“แล้วคุณจะแซงเพื่อไรวะ? รู้ทั้งรู้ว่าถนนมันแคบ” ร่างโปร่งสวนกลับ แววตาเอาเรื่องเหมือนๆกับเจ้าของรถฮิลเมน สีหน้าที่ไม่สบอารมณ์ของทั้งคู่พอจะเดาออกว่าเรื่องแค่นี้คงไม่จบลงง่ายๆ
“ถ้าคุณไม่ขับรถเร็วเหมือนจะรีบไปตายขนาดนั้นมันก็คงไม่ชนหรอก” สีหน้าอวดดีทำให้ร่างสูงเริ่มรู้สึกหมั่นไส้
ร่างสูงกำลังจะอ้าปากเถียง แต่ฝีปากของร่างเล็กก็เอาแต่พูดฉอดๆ จนเขาทำได้แค่เพียงขยับปากพึมพำเท่านั้น
“คุณผิด” พูดขณะที่กดโทรศัพท์หาประกันรถยนต์
“ผิดอะไรวะ..ผมก็ขับของผมมาปกติอยู่แล้วหรือเปล่า คุณเองมั้งที่ดิ้นหาที่ตาย”
สายตาเอาเรื่องตวัดมามองอย่างไม่เป็นมิตร เตรียมจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็รีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ขณะที่พูดสายตาก็เหลือบไปมองรถของตัวเองและคู่กรณีตัวสูงเป็นครั้งคราว
“ครับ ใช่ครับ นานไหมครับกว่าจะมาถึง? โอเคครับ”
ร่างเล็กเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม ขยี้หัวตัวเองด้วยความหัวเสียไม่แพ้คนข้างๆ เขาเดินกลับไปที่รถเพื่อจะเข้าไปเอาของสำคัญในนั้น ดึงประตูให้เปิดออก แต่ก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง คนตัวเล็กมองส่องเข้าไปภายในรถ กระทืบเท้าด้วยความขัดใจเมื่อพบกุญแจรถเสียบคาไว้ เพราะอย่างนี้จึงเปิดประตูไม่ได้สินะ…
ร่างเล็กหันไปมองอีกฝ่ายที่ยื่นกดโทรศัพท์ ก่อนจะกระแทกเท้าเข้าไปยืนใกล้ๆแบบไม่มีทางเลือก ร่างสูงหันมามองอีกฝ่ายด้วยระดับสายตาที่ต่ำลง เป็นเพราะส่วนสูงของเจ้าของรถฮิลเมนเสมอแค่หัวไหล่เขาเท่านั้น
“ทำไมช้าแบบนี้วะ” คนตัวเล็กบ่นพึมพำ กอดอกยืนจ้องนาฬิกาข้อมืออย่างใจจดใจจ่อ
ร่างสูงเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากเห็นสีหน้าชวนหงุดหงิด ความจริงแล้วเขาอยากจะกวนประสาทหมอนี่เล่นๆอยู่หรอก แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงเลือกที่จะเงียบแทน
“ช้าชิบหาย คนเขารีบไม่รู้เหรอวะ” บ่นกับตัวเอง ร่างเล็กอยู่ไม่สุข เขาโทรไปเร่งประกันทุกห้านาที จนทำให้คนที่มองดูอยู่ข้างๆอดจะออกปากออกเสียงวิจารณ์ไม่ได้
“ใครจะไปรู้กับแม่งวะ”
ร่างสูงพูดเบาๆและหันหน้าไปทางอื่น ก่อนจะหยิบไอโฟนขึ้นมาเล่นเกมส์ฆ่าเวลาและไล่รายชื่อดูในคอนแทค เตรียมจะโทรหาบุคคลสำคัญที่กำลังจะเดินทางไปหา จู่ๆก็ต้องชะงักเพราะเสียงตะโกนข้างๆ
“พูดอะไร!”
”ก็ไม่ได้พูดไร" ไหล่กว้างยักขึ้นอย่างไม่แยแส
“กูได้ยิน” นิ้วเรียวชี้หน้าร่างสูงอย่างโกรธกริ้ว ปลายนิ้วชี้อยู่ตรงกับลูกกะตาดำของร่างสูงพอดิบพอดี เขาหดศรีษะถอยเล็กน้อย เบือนสายตาจากปลายนิ้วไปมองดวงหน้าขาวใสอย่างเฉยชา
“ได้ยินแล้วจะถามทำไมวะ?” กลั้วหัวเราะแค่นๆขณะที่พูด
“เฮ้ย มึงเอาไงวะ!?” มือเล็กทั้งสองข้างผลักอกคู่กรณีอย่างแรง ร่างสูงยืนนิ่ง ไม่มีผลใดๆสำหรับการผลักเมื่อสักครู่ ร่างสูงคลี่ยิ้มหวานก่อนจะยักคิ้วให้อีกฝ่ายด้วยท่าทางกวนประสาท
“ผลักให้ล้มก่อนแล้วค่อยหาเรื่องดิน้อง”
ผลั๊วะ!!
หมัดเล็กๆซัดเข้าที่มุมปากอย่างเต็มกำลัง กลิ่นคราวเลือดในปากลอยโชยผ่านขึ้นมาทางจมูก เขารู้สึกว่าริมฝีปากชาหนึบ จนต้องยกมือขึ้นมากุมปากตัวเองไว้เมื่อความรู้สึกค่อยๆกลับคืนสู่ร่างกาย ร่างเล็กแค่นหัวเราะ
“กูเอาเรื่องแน่”
มือหนากระชากคอเสื้อของคนตัวเล็กเข้ามาประชิดลำตัวอย่างแรง ตัวบางปลิวมาชนร่างสูงโดยไม่ต้องใช้แรงมากนัก เตรียมจะง้างหมัดคืนใส่ดวงหน้าหวาน แต่ก็ทำไม่ลง จึงได้ปล่อยคอเสื้อลงแรงๆและผลักร่างเล็กให้ออกไปไกลๆ
จู่ๆฟ้าฝนก็เทลงมาแบบไม่ได้นัดหมาย ความจริงก่อนหน้านี้ไม่นานบรรยากาศก็อึมครึมผิดปกติมาสักพักแล้ว ลมพัดแรงบ่งบอกว่าอีกไม่กี่นาทีเม็ดฝนเล็กๆจะตามลงมา ร่างสูงรีบวิ่งไปหยิบร่มมาจากในรถ ความจริงอยากจะนั่งรอข้างใน แต่ดันติดตรงที่ต้องรอประกัน เขากางร่มออกได้ทันก่อนที่เม็ดฝนจะโถมลงใส่ตัว
เขาพยายามมองหารถของประกันภายใต้สายฝนที่ห่ากระหน่ำตกลงมา แปลกที่รถสัญจรผ่านขึ้นมาบนนี้น้อยกว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะอยู่บนหน้าผา ถนนสายนี้จึงลูกหลีกเลี่ยงในการใช้เวลาเข้าสู่ฤดูฝน
ร่างเล็กเงียบไป เขาเข้าไปเอาร่มไม่ได้เนื่องจากรถถูกล็อคจากด้านใน ทำได้แค่เพียงกอดอกและยืนตากฝนอย่างถือดี ร่างสูงมองอีกฝ่ายได้สักพักก็เกิดความรู้สึกเห็นใจ
เขาก็ไม่ได้ใจร้ายไส้ระกำอะไรขนาดนั้น…
ชานยอลเขยิบเข้าไปใกล้แบคฮยอน ยืนให้ร่มคันใหญ่กำบังเม็ดฝนได้ทั้งคู่ เสื้อผ้าของแบคฮยอนแนบลู่ติดไปกับร่างกาย แขนของทั้งสองฝ่ายแตะกันเล็กน้อยเนื่องจากยืนอยู่ในระยะใกล้ชิด แบคฮยอนกระเถิบห่างออกไปเพราะไม่อยากอยู่ใกล้ร่างสูงขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจของชานยอลถึงกับออกไปยืนนอกร่ม
ชานยอลหันไปมองอีกฝ่ายที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาประกันอีกรอบ มันเปิดไม่ติดแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้โดนน้ำฝนเล่นงานไป แบคฮยอนหลับตาลงแน่น อดกลั้นโทสะที่พร้อมจะประทุทุกเมื่อ มีแต่เรื่องชวนโมโห อะไรก็พาลห่วยแตกไปเสียทุกอย่าง
แก้มสีขาวจัดกลายเป็นสีชมพูระเรื่อเบือนหน้าหนีไปทางอื่นและยืนลูบแขนตัวเองด้วยความหนาวที่เริ่มเกาะกุม เขาถอดแบตออกและถือโทรศัพท์ไว้ในมือ ชานยอลมองตามทุกการกระทำพร้อมถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็งไม่แพ้กัน
เป็นเวลานานหลายนาทีกว่าที่รถประกันของทั้งคู่จะมาถึง และดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกซ้ำซาก ฝนหยุดตกทันทีที่รถประกันมาถึง จงใจไปแล้ว มันชักจะตลกเกินไปแล้ว…
ร่างเล็กรีบเดินห่างจากร่างสูงทันทีเหมือนไม่อยากจะอยู่ใกล้อยู่แล้ว เขาเดินไปหาประกันและเคลียร์เรื่องรถของตัวเอง ชานยอลก็เช่นเดียวกัน ทางประกันจะรับรถของเขาไปซ่อมวันนี้ แต่ชานยอลขอเลื่อนวันออกไปก่อน เนื่องจากรถมีแค่รอยถลอกนิดหน่อย
ร่างสูงจึงตัดสินใจค่อยเอามันไปซ่อม เขาเดินกลับเข้าไปในรถหลังจากเซ็นเอกสารเสร็จ ได้ยินเสียงโวยวายจากอีกฝ่ายแว่วๆแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจะฟัง
รถฮิลเมนถูกบรรทุพ่วงไปกับรถลากที่ทางประกันนำมา เจ้าของรรถฮิลเมนนำของสำคัญทุกอย่างออกมาจากในรถ และยืนมองรถลากของทางประกันที่นำรถของเขาขับออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงคนตัวเล็กที่ดูท่าทางจะหัวเสียไม่ใช่น้อย
ชานยอลขับรถไปเทียบข้างๆร่างเล็ก พร้อมกับลดกระจกข้างคนขับลง
“คุณจะไปไหน ถ้าทางเดียวกัน ผมไปส่งก็ได้”
ชานยอลเริ่มพูดกับอีกฝ่ายด้วยความเป็นมิตรก่อน พยายามลืมเรื่องก่อนหน้านี้ที่อาจจะเริ่มด้วยจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยดีนัก เขาไม่ชอบเห็นใครตกอยู่ในความลำบากโดยที่ตัวเองไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเลยสักอย่าง ถึงคนๆนั้นจะชกหน้าเขาด้วยความไร้เหตุผลหรือเป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็ตามเถอะ..
“ไปเอง” พูดห้วนๆ จากนั้นก็มองหารถแท็กซี่ที่กว่าจะผ่านมาทีก็ค่อนชั่วโมง
“คิดว่ารถแท็กซี่จะผ่านมาตอนนี้รึไง?”
แบคฮยอนไม่ได้สนใจจะตอบคำถาม จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาใครสักคนก็ทำไม่ได้ ชานยอลมองตามการกระทำของอีกฝ่ายแล้วก็พูดต่อ
“ยืนรอรถ? ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อ? ด้วยตัวเปียกๆและของที่หอบเต็มไม้เต็มมือแบบนั้นน่ะนะ?”
แบคฮยอนหันกลับมามองหน้าชานยอลด้วยสีหน้ากวนประสาท ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางก่อนจะเปิดประตูรถและสอดตัวเข้าไปนั่ง ดึงสายเซฟตี้เบลท์มาคาดลำตัวเตรียมพร้อมจะออกเดินทาง
“ถ้าอยากไปส่งขนาดนั้น ก็ขอบใจ”
ชานยอลมองอีกฝ่ายด้วยสายตางงๆ ก่อนจะเปลี่ยนเกียร์และเหยียบคันเร่งในระดับความเร็วไม่มากไม่น้อย แปลกคนดีแฮะ นึกจะไปก็ไป หุนหันพลันแล่นอย่างบอกไม่ถูก
“จะไปไหนอ่ะ?”
“ไปโรงพยาบาลคังนัม”
“ก็ที่เดียวกันอ่ะดิ”
แบคฮยอนเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะและกอดอก พลางเบือนหน้ามองไปนอกกระจก ฝนตกลงมาอีกรอบ แต่ไม่หนักมากเท่าตอนแรก ชานยอลลดความเร็วลงเนื่องจากถนนค่อนข้างลื่น
ภายในรถตกอยู่ในความเงียบ ชานยอลเหล่ไปมองแบคฮยอนบ้างเป็นครั้งคราว เห็นสีหน้าคนตัวเล็กที่ดูเหนื่อยหน่ายใจอย่างบอกไม่ถูก ร่างสูงเบือนสายตากลับมายังท้องถนนและเหลือบขึ้นไปมองกระจกมองหลังเพื่อสำรวจแผลบนมุมปาก
ตัวเล็กแต่ต่อยหนักชะมัด…
ชานยอลใช้ลิ้นแตะที่แผลเบาๆ เลิกใส่ใจและหันกลับมาจับจ้องภาพถนนเบื้องหน้า มือยาวเอื้อมไปแตะปุ่มเปิดวิทยุ เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนเจอคลื่นที่ถูกใจ เพลงร็อคจังหวะหนักๆดังกระหึ่มทั่วทั้งคันรถ อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขาข่มอารมณ์หงุดหงิดลงได้นิดหน่อย
แต่จู่ๆเพลงร็อคหนักหูก็เปลี่ยนเป็นจังหวะบอสซ่า เป็นเจ้าของมือเล็กที่เอื้อมมาหมุนเปลี่ยนไปคลื่นอื่น แบคฮยอนกดล็อคคลื่นและหันหน้าไปมองวิวทิวทัศน์ข้างทางเหมือนเดิม ไม่ได้สนใจเจ้าของรถที่กำลังตีสีหน้างงงวย
ชานยอลหมุนวิทยุกลับมาคลื่นเดิม เช่นเดียวกับแบคฮยอนที่ต่อต้านไม่แพ้กัน แข่งกันเปลี่ยนคลื่นอยู่อย่างนั้นจนชานยอลต้องเป็นฝ่ายยกธงขาวเสียเอง รู้สึกจะรถกูนะครับเนี่ย…
“ฟังเสียงดังขนาดนั้นจะมีสมาธิขับรถได้ยังไง อ๋อ..เพราะแบบนี้นี่เอง” แบคฮยอนพยักหน้าเหมือนจงใจจะกวนประสาทอีกฝ่าย กำลังจะบอกว่าที่ขับรถชนกันก็เพราะความผิดเขาสินะ?
“ผิดแล้วก็ไม่รับ คนเรา” ชานยอลส่ายศรีษะราวกับเอือมระอา เอาคืนร่างเล็กที่พูดจาไม่เข้าหูก่อน
“แล้วมึงจะทำไมวะ!”
“เฮ้ย!”
คอเสื้อเชิ๊ตของร่างสูงถูกมือเล็กกระชากเข้าหาแรงๆ มันทำให้รถเสียการทรงตัวไปวูบหนึ่ง เนื่องจากตัวของร่างสูงถูกกระชากไปด้านข้าง จึงทำให้มือที่กำพวงมาลัยอยู่หักเลี้ยวไปด้านขวาเล็กน้อย ชานยอลชักสีหน้าใส่แบคฮยอนด้วยความไม่พอใจ ดึงข้อมือเล็กออกจากเสื้อตัวเอง ก่อนจะรีบเลี้ยวเข้าสู่โรงพยาบาลคังนัมเพื่อแยกย้ายกับอีกฝ่ายโดยเร็ว ขืนอยู่ด้วยกันนานกว่านี้ เขาคงมีชีวิตอยู่รอดไม่ครบสามสิบสองแน่..
รถจอดนิ่งสนิทอยู่ที่ลานจอดรถชั้นเอ ชานยอลถอนหายใจทิ้งแรงๆกับสถาณการณ์เสี่ยงตายเมื่อสักครู่ เขาจะต้องใจเย็นให้ได้มากที่สุด เพราะรู้ตัวเองดีว่าถ้าหลุดโมโหจะเป็นยังไง..
“ขอบใจ”
แบคฮยอนกระแทกประตูปิดลงเสียงดัง ไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่ายให้นานไปกว่านี้ รีบเดินก้าวยาวๆเพื่อไปให้พ้นจากรถของร่างสูง เป็นอย่างแรกที่ทั้งคู่คิดตรงกัน ต่างก่นด่าและคิดแต่เพียงว่า…ขออย่าให้ได้พบเจอกันอีกเลย
แต่เคยได้ยินไหม?
เกลียดอะไรมักจะได้อย่างนั้น
ความคิดเห็น