ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    note of life

    ลำดับตอนที่ #3 : บันทึกหน้าที่สอง

    • อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 57


     

                    ทุกวันดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งวันอาทิตย์นั้นมาถึง อลิสที่รู้แต่แรกและยืนยันว่ายังไงก็จะไปกลับงอแงไม่ยอมลุกจากที่นอน

                                    ไม่อยากไปแล้ววววว”  เธอโวยวายแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงเป็นครั้งที่5และฉันก็ดึงมันออกเป็นครั้งที่5

                                    “เธอบอกว่าจะไปนี่นา”  ฉันขมวดคิ้ว  นี่ก็ใกล้เวลาจะเข้าโบสถ์แล้วนะ เธอยังไม่ลุกจากที่นอนอีก

                                    “เบลไปอ่ะ อลิสไม่ไปแล้ว

                                    “อ้าวเหรอ งั้นฉันไปก่อนนะ”  พูดจบก็จะเดินออกไปทันทีเพราะฉันแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่1ชั่วโมงก่อน แล้วจู่ๆหมอนขนนกก็ถูกเหวี่ยงมากระแทกหัวฉัน

                                    จะทิ้งให้อลิส...อยู่คนเดียวรึไง ห๊ะ” 

                    คนที่อยู่ในสภาพชุดนอนพูดเสียงเย็นและยานคาง ฉันถอนหายใจ

                                    จะเอาไงกันแน่ จะไปก็รีบลุกขึ้นสิ” 

                                    “นั่งทำใจแปปนึง” 

                                    อะไรของเธอเนี่ยชักช้าเดี๋ยวก็เข้าโบสถ์ไม่ทันหรอก!!”  ฉันแหกปากแล้วตรงเข้าไปดึงชุดนอนสีฟ้าหมายจะถอดออกแต่อลิสยังคงดื้อไม่ถอดง่ายๆทั้งๆที่ปากบอกว่าจะไปแท้ๆ 

                                    ให้อลิสสสส ให้อลิสทำใจก่อน!!”

                                    “ปวดหัวกับเธอจริงๆเลย!” 

                                    เบล! เบลจะทำอะไรอลลิสอ้ะ!!”  อยู่ดีๆอลิสก็เปลี่ยนโทนเสียงกับลักษณะการพูดทำเอาฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่คิดจะสนใจอะไรเพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่15นาทีก็จะเริ่มพิธีสวดมนต์ของโบสถ์แล้ว มือฉันดึงชุดนอนผ้าขึ้นจนปิดหัวคนที่สวมอยู่ อีกนิดเดียวก็จะถอดออกได้แล้วแท้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น3ครั้งแล้วประตูก็ถูกเปิดออก เด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันสวมแว่นกรอบสีดำกลมโตที่แง้มประตูเข้ามามองฉันกับอลิสสลับกันแล้วทำหน้าอึ้งๆ ส่วนอลิสพอรู้ว่ามีคนเข้ามาในห้องก็ส่งเสียงต่ออย่างไม่อายอะไร

                                    เบลอ้ะ ทำเบาๆหน่อยสิอลิสเจ็บนะ!”

                                    “เฮ้ย เธอจะร้องทำไมเนี่ย!”

                                    ขอโทษนะ ไม่คิดว่าจะเข้ามาขัดพวกเธอแต่เห็นส่งเสียงดังก็นึกว่ามีอะไร”  เพื่อนที่บังเอิญเข้ามาเห็นพูดเบาๆช้าๆทำท่าจะถอดแว่นตัวเองออก  เอ่อ คิดซะว่าเมื่อกี้ฉันไม่เห็นอะไรก็แล้วกัน.. ไปโบสถ์ก่อนนะ พวกเธอก็รีบๆไปด้วยล่ะ เดี๋ยวเข้าสายซิสเตอร์ผู้ดูแลจะว่าเอา..

                                    “ไม่ใช่แล้วมอลลี่!! เธอกำลังเข้าใจผิดนะ!!”  ฉันรีบพูดขึ้นทันทีแต่ดูท่าจะไม่ทัน มอลลี่รีบปิดประตูทันที

                                    คิกคิก

                                    “หัวเราะอะไรเธอ เมื่อกี้จงใจใช่มั้ย”  ฉันลอบมองคนข้างๆที่ดึงเสื้อลงแล้วกำลังหัวเราะกับผลงานตัวเอง

                                    หัวเราะอะไร เปล๊า” 

                                    “เธอจงใจชัดๆอ่ะ!!” 

                                    ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ก็ดีแล้วนี่คนอื่นจะดู้ว่าเบลเป็นของอลิส  เนอะ”  เธอพูดแล้วขยิบตามาให้น้อยๆ

                                    เหออออ เป็นของใครอะไรกัน ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ ฉันชอบผู้ชาย

                                    “ฮ่าๆๆๆ พูดอะไร”  อลิสหัวเราะ หันหลังเพื่อจะถอดเสื้อ  เรากำลังจะเป็นซิสเตอร์ขั้นสูงนะปีนี้แล้วด้วย หลังจากนี้ไปต้องรับใช้พระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว เรื่องรักๆใคร่ๆอะไรนั่นน่ะพวกเราไม่มีสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ

                                    “..เออ จริงด้วย

                    พออลิสพูดมาก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ถึงหน้าที่จริงๆของตัวเองในอีกไม่ช้านี้

                                    เพราะงั้นเบลคงต้องอยู่กับอลิสไปจนตายนั่นแหละนะ”  เธอพูดติดตลกแล้วหัวเราะออกมา

                                    งั้นฆ่าฉันให้ตายตอนนี้เลยเถอะ” 

                                    “ใจร้ายชะมัด ดูทำหน้าเข้าสิ มืดมนขนาดนั้นเลยรึไงห๊ะอยู่กับอลิสน่ะ

                                    “รู้นี่นา โธ่วววว

                    ฉันหัวเราะออกมาก็ถูกหมอนอีกใบอัดเต็มๆหน้า คนปาหมอนทำหน้ามู่ทู่หันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

                                    ไม่อาบน้ำสินะ

                                    “ก็ไม่ทันแล้วนี่นา

                    ฉันถอยไปนั่งบนที่นอนของตัวเองรอรูมเมทที่เพิ่งถอดเสื้อออกเหลือแต่เพียงชั้นในเผยผิวขาวๆที่เห็นจนชินตา แต่ถึงจะเห็นทุกวันหรือตลอดเวลายังไง ผิวของตุ๊กตาคนนี้ยังคงน่าจับจ้องเสมอ

                                    เอ่อ.. เบลจ้องจนเลือดกำเดาจะไหลแล้วน่ะ”  อลิสพูดเสียงเรียบทว่ามุมปากยิ้มอย่างพอใจ ฉันผงะหลุดจากความคิดของตัวเอง

                                    บ้าใครจะไปจ้องเธอล่ะ!”

                                    “ไม่ต้องห่วงนะคืนนี้จะให้ดูทั้งตัวเลยล่ะ

                                    “เลิกพูดจาชวนเข้าใจผิดซักทีเถอะ”  ฉันล่ะอยากจะร้องไห้..เกิดมีคนอื่นมาได้ยินอีกคงถูกเอาไปพูดอะไรที่ไม่ใช่เรื่องจริงแน่ๆ... ยัยนี่ก็อีกคน ชอบทำอะไรให้ฉันดูเป็นพวกลามกอยู่เรื่อย... เธอคงจะสนุกมากเลยสินะ...

                    อลิสหัวเราะเบาๆกับสีหน้าของฉันในตอนนี้ ไม่นานนักก็จัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย  เรือนผมสีทองถูกเกล้าขึ้นอย่างเรียบร้อยชุดกระโปรงสีกรมท่ายาวพอดีเข่า เธอจัดแจงตัวเองอีกหน่อยแล้วหันมาฉีกยิ้มให้

                                    เสร็จแล้ว

                    ฉันพยักหน้าแล้วเดินจูงมือนำอลิสไปยังโบสถ์ ที่โบสถ์ทุกอย่างยังเหมือนเดิมทว่าหน้าประตูมีพวกชุดน้ำตาลยืนอยู่3-4คน ราวกับว่ามาคุมเหตุการณ์ในช่วงพิธีสวดมนต์ ฉันจับมืออลิสแน่นพาเดินเข้าไปข้างใน ซิสเตอร์ขั้นสูงที่ดูแลความเรียบร้อยให้เราไปนั่งอยู่ทางที่นั่งปีกซ้ายของโบสถ์ในขณะที่พวกชุดน้ำตาลอยู่ปีกขวา เราได้นั่งอยู่แถวหลังๆเพราะแถวหน้านั่งกันเต็มหมดแล้ว

                    สายตาฉันลอบมองอลิสที่นั่งลงข้างๆเล็กน้อย เธอดูเชิดและหยิ่งต่างจากตอนที่อยู่กันแค่2คน ถึงจะรู้ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเธอจะมีอีกบุคลิกนึงก็เถอะ แต่วันนี้มันไม่เหมือนเดิม

                                    “อลิส เป็นอะไรรึเปล่า

                                    “ไอ้บ้าที่นั่งฝั่งนั้นมันจ้องอลิส..”  เธอตอบเบาๆทำให้ฉันเหลือบตาไปมอง ชายวัย40กว่าๆในเครื่องแบบนั้นส่งสายตาโลมเลียมาให้อลิส ฉันเลยขยับตัวนั่งเบี่ยงๆเอาตัวบังอลิสไว้

                                    ไม่เป็นไร เขาไม่เห็นเธอแล้ว

                    ตุ๊กตาสาวเงยหน้ามองอย่างอึ้งๆแล้วค่อยๆยิ้มออกมา  “ฮึฮึ หวงอลิสเหรอ

                                    เฮ้ๆ เลิกพูดให้เข้าใจผิดซักที  เห็นเธอไม่ชอบหรอกนะถึงยอมทำแบบนี้น่ะ

                    อลิสฉีกยิ้ม ไม่นานเสียงสวดมนต์จากนักร้องประสานเสียงทางซ้ายบนเวทีก็ค่อยๆขับออกมาอย่างแผ่วเบาและดังขึ้นตามทำนอง ฉันหลับตาปล่อยให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลไปกับเสียงเปียโนที่ดังคลอเข้ามาเบาๆ

                    ตั้งแต่ตัดสินใจเข้ามาอยู่ที่นี่ ก็ได้รับการสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องของศาสนา การเป็นซิสเตอร์ และการสละทุกสิ่งอย่างเพื่อรับใช้พระผู้เป็นเจ้า จนถึงตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่เคยมีเรื่องอื่นเข้ามารบกวนการทำหน้าที่ของตัวเองเลย จนกระทั่งเมื่อเช้าที่อลิสพูดขึ้นมา.. หวังว่าตัวฉันในอนาคตคงจะไม่สติหลุดและทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำหรอกนะ..

                    เสียงบทสวดจบลง ฉันปรือตาขึ้นช้าๆหันไปสะกิดอลิสที่ยังคงหลับตาอยู่เบาๆ เธอลืมตาเหมือนจะงัวเงียซึ่งหวังว่าเมื่อครู่คงไม่แอบหลับไปหรอกนะ อลิสมองซ้ายมองขวาก่อนจะนั่งตัวตรงมองไปยังเวทีราวกับไม่อยากเห็นกลุ่มก้อนสีน้ำตาลทางขวามือถึงแม้ว่าจะมีฉันนั่งบังอยู่แล้วก็เถอะ นักร้องประสานเสียงทยอยลงจากเวทีจากนั้นก็มีซิสเตอร์ขึ้นมาแทน

                    ฉันกวาดสายตามองรอบๆ เป็นครั้งแรกที่เห็นทหารคารอสอยู่กันเยอะขนาดนี้ มีสีน้ำตาลเต็มไปหมด ไม่ชินเลยปกติจะเห็นก็แต่สีขาวกับสีกรมท่าเท่านั้น ฉันมองเรื่อยๆจนไปสบตากับชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่แถวถัดไปแต่ก็แค่แวบเดียวก็รีบหันกลับมาทันที

                    อลิสหันมาทำหน้าสงสัยฉันก็ได้แต่ส่ายหน้าและนั่งไปนิ่งๆต่ออยู่พักนึงก่อนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างกำลังจ้องมาที่ฉันทำให้ต้องก้มหน้างุดๆหันไปอีกรอบ ผู้ชายคนที่สบตาด้วยเมื่อครู่จ้องมาที่ฉันไม่กระพริบทว่าไม่มีรอยยิ้มหรืออารมณ์ใดๆปรากฏบนใบหน้านั่น

                                    เบลมองใคร”  จู่ๆอลิสก็สะกิดแถมยังกระซิบเข้าข้างหูทำเอาฉันสะดุ้งเฮือกหันกลับมาทันที

                                    อลิส อย่าทำแบบนี้สิ!”

                                    “เบลมองใคร”  เธอถามย้ำมาอีกไม่ได้สนใจที่ฉันพูดซักนิด

                                    รู้สึกเหมือนมีคนมองน่ะ”  ฉันตอบไปแต่เลี่ยงที่จะระบุคนเพราะไม่อยากให้อลิสไปโวยวายอะไรทีหลัง.. ผู้หญิงคนนี้ยิ่งชอบทำอะไรที่คาดไม่ถึงอยู่ด้วย

                                    “ใครเหรอ”                                           

                                    “ไม่รู้เหมือนกัน ช่างมันเถอะ”  ฉันรีบจับให้เธอหันกลับไปมองข้างหน้า หางตาแอบเห็นเธอทำหน้าบูดแต่ก็ช่างมันเถอะ

                    ถึงแม้ว่าระยะที่เห็นไม่ได้อยู่ใกล้นักแต่ก็พอจะจำหน้าได้ลางๆ ผมสั้นๆสีดำกับตาสีฟ้าๆ หน้าขาวๆจนคิดว่าไอ้หมอนี่มันทหารจริงๆเหรอ.. ไหงหน้าขาวได้ขนาดนี้ล่ะ..

                                    เบล..ใครมองเบลบอกอลิสมา อลิสจะไปกัดหัวมัน..”  คนข้างๆพูดเสียงเย็นแต่หน้ายังจ้องซิสเตอร์บนเวที บนหัวเริ่มมีออร่าทะมึนผุดออกมา

                                    “เฮ้ยๆ เธอเป็นคนนะ อย่าไปกัดเขาซี่!”  ฉันกระซิบตอบกลับไป

                                    อลิสกัดทั้งนั้นแหละใครบังอาจมาจ้องเบลของ...

                                    “พอๆ เลิกพ่นคำเข้าใจผิดซักทีเถอะ ขอร้องล่ะ” 

                    ฉันเอามือปากปิดก่อนที่อลิสจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เพื่อนคนที่นั่งข้างอลิสมองอย่างงงๆสลับกับหน้าฉันแล้วหันไปซุบซิบกับเพื่อนที่มาด้วยกันและก็พากันมองเรา2คนเหมือนตัวประหลาด

                                    อ้าเอลไอ้อ่อยออิส ออิสอะอัดอือเอลอ้ะ (ถ้าเบลไม่ปล่อยอลิส อลิสจะกัดมือเบลนะ)

                    ฉันชักมือกลับทันที

                    จนจบพิธีในโบสถ์ ทุกคนต่างทยอยกันออกมาถึงจะมีคนจำนวนมากแต่ก็ไม่ได้วุ่นวายอย่างที่คิดเพราะหัวหน้าซิสเตอร์และซิสเตอร์ผู้ดูแลให้นักเรียนของพวกตนออกไปทางประตูเล็กทางหลังโบสถ์จากเสียงส่วนมากของนักเรียนที่ไม่ต้องการจะเข้าใกล้ชุดน้ำตาล ส่วนคนพวกนั้นก็ออกทางประตูใหญ่ตามปกติ

                    ฉันออกมายืนรออลิสหน้าโบสถ์หลังจากที่ถูกซาร่าเรียกตัวไปเทสเสียงเปียโนจนได้

                                    ไม่กลับไปพร้อมคนอื่นๆเหรอ”  เสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลัง ฉันหันหน้ามองน้อยๆ ค่อยๆไล่สายตาจากรองเท้าขึ้นจนถึงใบหน้าแล้วก็ชะงักไปวูบนึง

                                    อ่ะ

                                    “รอเพื่อนอยู่เหรอ”  เขายิ้มเมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ตอบอะไร

                    ฉันหันทั้งตัวเพื่อที่จะได้มองชัดๆ ผู้ชายคนที่เข้ามาทักฉันคือคนเดียวกันกับที่นั่งจ้องฉันข้างในโบสถ์ พอได้ดูใกล้ๆแล้วฉันก็เห็นว่าผมของเขามันไม่ได้ดำสนิท แต่ออกสีน้ำตาลเข้มๆด้วย รูปร่างสูงดูสมส่วน

                                    เธอ?

                                    “เอ่อ ขอโทษ”  ฉันพูดอย่างนึกได้ที่ลืมตอบคำถามของคนๆนี้  ใช่ รอเพื่อน

                                    “น่าแปลกนะที่เธอคุยกับฉัน เห็นเงียบไปก็นึกว่าไม่อยากคุยด้วย”  เขาพูดแล้วยิ้มบางๆ คงจะหมายถึงเรื่องของชาติที่นับเป็นศัตรู  ฉันชื่อวิลเลียม เจ ยินดีที่ได้รู้จัก

                                    “เรย์เบล ฮันเตสท์ ยินดีที่ได้รู้จัก..”  ฉันมองเขาด้วยสายตาที่แปลกใจ  ฉันเห็น.. นายจ้องฉันตอนอยู่ในโบสถ์

                                    “อืม.. ก็คงงั้น

                    ห๊ะ... หมายความว่าไงน่ะ  นายจ้องฉัน

                                    “ใช่ คงจะจ้องล่ะมั้ง

                                    “กำลังล้อเลียนเหรอ”  ฉันขมวดคิ้ว

                                    ก็แค่มอง..คนที่หันไปหันมาในขณะที่คนอื่นเขาสงบนิ่ง”  วิลเลียมยักไหล่ ขยับยิ้มออกมาที่มุมปาก

                                    ที่มองก็เพราะไม่เคยเห็นชุดน้ำตาลเยอะขนาดนี้ต่างหาก

                    คนฟังไม่พูดอะไร เอาแต่มองหน้าฉันแล้วยิ้มสวนกลับมา เป็นเชิงถามว่า จริงเหรอ ฉันไม่ได้ตอบคำถามของสายตานั่น ในหัวกำลังคิดว่าผู้ชายคนนี้จะมาแนวไหน ต้องการอะไรถึงได้เข้ามาคุย

                                    “ว่าแต่มีอะ..

                                    “เจ ทำอะไรอยู่!!”

                    ฉันที่กำลังจะอ้าปากถามต้องกลืนคำเข้าไปทันทีเมื่อเห็นว่าชุดน้ำตาลอีกคนเดินโบกไม้โบกมือมายังวิลเลียมแถมยังตะโกนขึ้นซะดังทำเอากลบเสียงฉันหายไปกับสายลมเลย วิลเลียมหันไปมองแวบเดียวแล้วก็หันกลับมาเมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร

                                    เปล่า

                                    “โห ไรวะ เผลอแปปเดียวมาคุยกับสาว..”  ผู้ชายคนนั้นกอดคอวิลเลียมพูดแซวก่อนจะหันมามองฉันแล้วชะงัก  “ซิสเตอร์นี่

                    ฉันพยักหน้านิดๆ เขามองเพื่อนตัวเองแล้วถามเสียงเบาแต่ฉันได้ยิน

                                    รู้จักกันเหรอ?

                                    “เมื่อกี้”  วิลเลียมตอบ  นี่ฮันเตสท์ ส่วนนี่เคิร์ธเพื่อนฉันเอง

                                    “เรย์เบล ฮันเตสท์” 

                    ฉันมองผู้ชายที่ชื่อเคิร์ธ เขาสูงกว่าวิลเลียมนิดหน่อย หน้าตาหล่อคมแบบกวนๆ ผมสั้นสีทองนัยน์ตาสีน้ำทะเลคล้ายเพื่อนของตน ผิวไม่ได้คล้ำแต่ก็ไม่ขาวอย่างวิลเลียม

                                    โฮลว์ เคเธอร์จะเรียกง่ายๆว่าเคิร์ธก็ได้”  เขาแนะนำตัวเองพลางยื่นมือมาจะทักทายแต่ถูกมือเล็กปัดออกไปอย่างแรง ทั้งเจ้าของมือ ทั้งวิลลียมและฉันหันมองอย่างตกใจเมื่อเห็นว่ามือเล็กที่พุ่งเข้ามาปัดนั้นคืออลิสที่ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไร

                    อลิสจ้องเคิร์ธเขม็งเอาตัวเข้ามาขวางฉันไว้  จะทำอะไรน่ะ

                                    “อ่ะ”  เคิร์ธพูดไม่ออกเพราะยังอึ้งไม่หาย สายตามองอลิสอย่างงงๆและมองฉัน  ขอโทษนะ ไม่คิดว่าทักทายแล้วจะทำให้น้องสาวเธอโกรธ

                                    “อลิสไม่ใช่น้องของเบล!!”  เธอโวย

                                    อ้าว ไม่ใช่น้องเหรอ ก็เห็น...”  เคิร์ธยังพูดต่อพร้อมกับมองส่วนสูงของอลิสที่ในตอนนี้ตัวเตี้ยที่สุด คนโดนเทียบความสูงกัดริมฝีปากล่างของตนแล้วจับมือฉัน

                                    ไม่ใช่!!”

                                    “น่า อลิสใจเย็นๆ”  ฉันพูด

                                    กลับห้องกันเถอะ!”  ตุ๊กตาสาวพูดเสียงแข็ง นัยน์ตาเขียวแก่เขม็งมองเคิร์ธอย่างไม่ไว้ใจสุดๆ อาจเพราะเรื่องที่เคิร์ธยื่นมือมา ส่วนวิลเลียมก็ยืนมองนิ่งๆแต่เหมือนกับกำลังยิ้มอยู่ด้วยนิดๆ  มองอะไรไอ้หน้าขาว!!”

                                    “อลิส!”  ฉันปรามเธอหลังจากที่เธอพูดใส่วิลเลียมไปแบบนั้น

                                    ก็มันมองอ่ะ!! ยังไม่เลิกมองอีก เดี๋ยวต่อยตาแตกเลยนี่!!”

                    ฉันส่ายหัว ขมับซ้ายเริ่มกระตุกปุๆ  เอาน่า ก็แค่มองอีกอย่าง2คนนี้เข้ามาคุยเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก

                    อลิสไม่พูดอะไรเพียงแค่หันไปมองก่อนจะฉุดมือฉันให้เดินไปจากตรงนั้นซึ่งฉันก็เดินไปเพราะไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้ไปเถียงกับใครอีก โชคดีที่คนอื่นๆกลับกันไปหมดแล้วเหลือแค่เราที่อยู่หน้าโบสถ์เลยไม่ค่อยมีอะไรให้อายซักเท่าไร... คิดว่างั้นน่ะนะ..

                                    โห.. น้องสาวโหดจัง”  เคิร์ธพูดแล้วหัวเราะออกมาหลังจากที่ซิสเตอร์ตัวเล็ก2คนเดินไป

                                    เจ้าตัวบอกแล้วนี่ว่าไม่ใช่น้อง

                                    “รู้น่า ตัวเล็กแต่ใจกล้าชะมัด แถมยังเรียกนายว่าไอ้หน้าขาว เจ๋ง!”

                    วิลเลียมส่ายหัวยิ้มๆ ความจริงที่ถูกเรียกแบบนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร

                                    ว่าแต่นึกยังไงไปคุยกับซิสเตอร์น่ะ เดี๋ยวก็โดนกัดหัวขาดหรอก พวกชไนสล์เกลียดขี้หน้าพวกเราจะตาย

                                    “ก็สมควรเกลียดอยู่หรอก”  คนหน้าขาวตอบ  เราทำสงครามกับเขา เข้ายึดเมืองอีก ใครไม่เกลียดก็บ้าแล้ว

                                    “เออ แต่นายบ้ากว่าว่ะ วันไหนโดนกัดหัวแหว่งมาจะขำให้ตายเลยคอยดู ฮ่าๆๆๆ”  เคิร์ธหัวเราะลั่นกอดคอเพื่อนตัวเองเดินกลับไปยังค่ายทหารรวมกับคนอื่นๆ

    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×