คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บันทึกหน้าแรก
พวกเราอาศัยอยู่ในช่วงสงครามระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อมานับ10ปี ผลการสงครามครั้งนี้ทำให้เมืองของเราถูกยึดโดยทหารของประเทศคารอสซึ่งเป็นฝ่ายศัตรู ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ความสูญเสีย ความยากลำบากทุรกันดาร ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุด บางครอบครัวย้ายพื้นที่ในการอยู่อาศัยเพราะไม่อยากตกเป็นเชลย ไม่ก็อพยพไปต่างเมือง บ้างก็หลบหนีออกจากประเทศ
ฉันชื่อเรย์เบล ฮัสเตนท์ ทุกคนเรียกฉันสั้นๆว่าเบล ผมประบ่าสีน้ำตาลและมีนัยน์ตาสีน้ำตาลแก่ ฉันกลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ตอนที่หมู่บ้านเล็กๆของเราถูกโจมตีเมื่อ5ปีก่อนซึ่งตอนนั้นฉันอายุ11ปีและได้รับการช่วยเหลือจากเอ็มม่า แต่ฉันปฏิเสธที่จะไปอยู่กับแม่ยายของเธอและขอมาอยู่ที่โรงเรียนหญิงล้วนที่เคร่งทางศาสนาในตัวเมือง ในตอนแรกเอ็มม่าดึงดันจะพาไปด้วยให้ได้แต่สุดท้ายก็ยอมให้ฉันอยู่ที่นี่
โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนประจำที่ไม่ใหญ่มากนักซึ่งอยู่ติดกับโบสถ์เก่าแก่ประจำเมือง แต่ถ้าจะพูดให้ถูกมันก็ไม่ต่างจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าซักเท่าไรเพราะนอกจากฉันแล้ว เด็กคนอื่นอีกซะเกือบครึ่งก็ล้วนแต่เป็นเด็กกำพร้าทั้งนั้น นี่ก็ผลจากสงครามเช่นกัน
แต่ถึงจะมีสงครามอยู่ภายนอก แต่ทางโรงเรียนยังจัดการเรียนการสอนตามปกติและสวดมนต์ในโบสถ์ทุกสุดสัปดาห์ มีบ้างที่ทหารชุดน้ำตาลจะเข้ามาข้างในโรงเรียนแต่น้อยครั้งเนื่องจากเป็นโรงเรียนหญิงล้วนล่ะมั้งบรรดาหัวหน้าซิสเตอร์เลยไม่ค่อยจะอนุญาตให้เข้ามาตรวจค้นอะไรมากมาย
“เบล ถ้ายังไม่กินขนมปังชิ้นนั้นอีกอลิสจะแย่งเบลแล้วนะ” เสียงใสๆดังขึ้นพร้อมนัยน์ตาสีเขียวแก่ที่มองทอดมายังฉัน “มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ เดี๋ยวก็ไม่ทันเข้าเรียนคาบต่อไปกันพอดี”
ฉันยิ้มนิดๆ “จ้า จะรีบยัดเดี๋ยวนี้แหละ”
“กินช้านะเบล”
“จ้าๆ ใครจะไปความเร็วแสงอย่างเธอล่ะ” พอพูดเหน็บเพื่อนแล้วก็กัดขนมปังต่อ
“กัดอลิสรึไง”
“เปล่านี่ คิดมากน่า” ฉันพูดไปแอบหัวเราะกับสายตาเหลือกที่เธอส่งมาให้ก่อนจะท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม
อลิสเป็นรูมเมทและเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่ฉันเข้ามาที่นี่ เพราะอยู่ก่อนหน้าฉันหลายปีเลยแนะนำอะไรหลายๆอย่างให้กับฉันในช่วงแรกๆ
ฉันมองตั้งแต่ใบหน้าที่หันข้างจรดปลายเส้นผมลอนทองของคนข้างๆ ผู้หญิงคนนี้น่ารักราวกับตุ๊กตา ตัวเล็ก แถมยังขาวด้วย นิสัยดีถึงจะติดห้าวไปใบบางครั้งก็เถอะ ถ้าเกิดที่นี่มีผู้ชาย เชื่อเลยว่าคงมีคนมาจีบอลิสเยอะแน่ๆ ทว่าว่าหน้าตาน่ารักๆแบบนั้น คำพูดแทนตัวเองแบบนั้น จริงๆแล้วเธอก็แรงเอาเรื่องอยู่...
“นี่ อลิสยัดให้เอามั้ยขนมปังนั้นน่ะ นั่งมองหน้าอลิสอยู่ได้เกิดพิศวาศขึ้นมาเหรอจ๊ะ”
ฉันส่ายหัวยิ้มๆกินขนมปังต่อจนหมดก่อนจะลุกขึ้นเดินต่อไปยังห้องเรียนรวมกับคนอื่นๆ เรา2คนมักจะเลือกนั่งแถวหลังสุดริมหน้าต่างเพื่อที่จะสามารถมองออกไปข้างนอก ทิวทัศน์ที่เห็นก็เหมือนเดิม ท้องฟ้า อาคารบ้านเรือน ชาวบ้านแล้วก็ทหาร..
‘หือ’ ฉันเอะใจเล็กน้อยยกมือขึ้นยันคางมองผ่านกระจกใสบานใหญ่ตรงหน้าไป เด็กชายตัวเล็กๆกำลังยืนร้องไห้แล้วอยู่ๆชายในชุดเครื่องแบบทหารสีน้ำตาลก็เดินออกมาจากซอกอาหาร เขายืนมองอยู่ครู่นึงก่อนจะนั่งคุกเข่าหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อตัวเองแล้วยื่นให้เด็กคนนั้น ‘อะไรน่ะ’ ฉันขมวดคิ้วยิ้มบางๆอย่างสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เด็กนั่นหยุดร้องแล้วค่อยๆยิ้ม มือหยิบอะไรซักอย่างจากทหารคนนั้นก่อนที่แม่ของเด็กจะวิ่งมาแล้วรีบพาเด็กออกทันทีโดยที่หล่อนแทบจะไม่มองหน้าทหารนั่นเลย แต่ก็นะ ทหารฝ่ายตรงข้าม ไม่มีใครอยากยุ่งด้วยหรอก
“ดูอะไรน่ะ” อลิสละสายตาจากกระดานดำไกลๆ เอี้ยวตัวมามองให้มุมของฉัน
“ชุดน้ำตาล”
คนถามเบ้ปากพอได้ยินคำตอบ หันกลับไปสนใจหน้าชั้นเรียนต่อ “อีกแล้วเหรอ จะมาทำไมกัน”
ฉันไม่พูดอะไรหันมามองชุดน้ำตาลต่อ ทุกคนในเมืองเรียกทหารของคารอสว่า ชุดน้ำตาล จากสีเครื่องแบบของพวกเขา
“เบลจะมองทำไม ไอ้พวกชุดน้ำตาลนะช่างมันเถอะ”
“เอาน่า ที่เห็นเมื่อกี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาทำให้เด็กหยุดร้องนะ”
“เออ ทำให้เด็กหยุดร้องแค่คนเดียว แต่ทำให้เด็กกำพร้าพ่อแม่เป็นร้อย เบลเองที่เป็นแบบนี้ก็เพราะพวกมันไม่ใช่เหรอ!” เธอพูดกระแทกเสียงจนเพื่อนข้างๆหันมอง จากที่รู้จักกันมาอลิสเกลียดชุดน้ำตาลเข้าไส้..
หลังเหตุการณ์นั้นถึงตอนนี้ฉันจะไม่ได้คิดโกรธแค้นอะไรพวกชุดน้ำตาลก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายอะไรกับคนพวกนั้น
แต่เหตุผลที่ทำให้อลิสเป็นแบบนี้ ร้ายแรงกว่าฉันเยอะ..
“มันก็จริงหรอก.. แต่ฉันไม่คิดอะไรแล้ว”
“ปล่อยวางได้นี่ดีจังเนอะ” ตุ๊กตาสาวเม้มปากแล้วเงียบไปตั้งใจฟังซิสเตอร์สอนต่อ ส่วนฉันพอหันมาอีกทีทหารคนนั้นก็หายไปแล้ว
“….” ฉันเลิกสนใจทิวทัศน์ภายนอกแล้วหันมองเพื่อนสาวคนข้างๆที่นั่งทำหน้าตาบึ้งตึงอยู่ “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ไม่สวยเลย”
“หงุดหงิด..”
“ก็ไม่ต้องมองสิ”
“แล้วเบลมองทำไมล่ะ” อลิสพูดอย่างเคืองๆ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบอะไรซิสเตอร์ผู้สอนก็ทักขึ้นมาซะก่อนทำให้สายตาของทุกคนเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เรา2คนแทน ฉันได้แต่ยิ้มแหะๆให้ซิสเตอร์แล้วก้มหน้าหลบสายตาคนอื่นส่วนอลิสยังอารมณ์ค้างจากเรื่องเมื่อครู่ เธอกอดอกเบี่ยงหน้าไปอีกทาง
พอคนสอนเห็นเรา2คนเลิกคุยกันในคาบของเธอก็หันกลับไปสอนตามปกติแต่ไม่วายส่งสายตาห้ามปามมาให้เป็นระยะที่ฉันกำลังจะอ้าปากแก้ตัวกับเพื่อนสนิท เลยต้องเงียบไป
“นี่ ฟังฉันก่อนสิอลิส”
ทันทีที่หมดคาบอลิสเก็บของอย่างรวดเร็วแล้วเดินแทรกตัวออกไปพร้อมกับนักเรียนคนอื่นๆ ฉันรีบเก็บหนังสือบนโต๊ะแล้วรีบวิ่งตาม เธอเพียงแค่เหลือบตาแล้วลดความเร็วลงให้ฉันเดินตามทัน
“เธอจะงอนอะไรฉันเนี่ย แค่ฉันมองชุดน้ำตาลเองนะ”
“เบลก็รู้ว่าอลิสไม่ชอบ”
“ไม่ชอบก็เรื่องของเธอสิ ฉันไม่ได้บังคับให้เธอมองด้วยนี่นา” ฉันขมวดคิ้วกับความเอาแต่ใจของอลิส
“ใช่สิ! ไม่เกี่ยวกับอลิสนี่!” อลิสงอนหนักกว่าเมื่อกี้เดินกระแทกส้นเท้าจนถึงห้องพักแล้วไขกุญแจเปิดอย่างเร็ว
“อลิส!” ฉันเอื้อมไปจับข้อมือ แต่เธอบิดออกแล้วเดินเข้าไป ฉันส่ายหน้านิดๆ “คุยให้รู้เรื่องก่อนสิ อลิสจะงอนทำไมก็แค่ฉันบังเอิญหันไปเห็นแล้วก็มองเนี่ย”
“ก็มองไปสิ ไม่เกี่ยวกับอลิสไม่ใช่เหรอ”
“เธอกำลังไร้เหตุผลนะ!!”
อลิสชะงักไปนิดนึง วางของลงบนโต๊ะอ่านหนังสือของตัวเองแล้วนั่งลงบนเตียงขนนก นัยน์ตาสีเขียวแก่นั่นจ้องมายังฉันนิ่งๆแต่แฝงไปด้วยความไม่ยอม
“อลิสไม่ชอบที่เบลไปมองคนอื่น โดยเฉพาะพวกชุดน้ำตาล” เธอพูดเสียงเรียบ
“ฉันก็แค่มอง เมื่อไรเธอจะเลิกหวงฉันซักที”
“ไม่ได้หวง! แต่ไม่ชอบ!!”
ฉันเสยผมขึ้น ปวดหัวจริงๆคุยกับผู้หญิงคนนี้ “โอเคๆ ขอโทษที่ไปมองคนอื่น พอใจรึยัง”
ตุ๊กตาสาวฟังที่ฉันแล้วไม่พูดอะไรต่อ แต่มุมบางๆนั้นเผยยิ้มอยู่ชั่วครู่แล้วก็ตีหน้ากลับไปบึ้งเหมือนเดิม ฉันถอนหายใจและเดินไปเก็บของของตัวเองบ้าง
อลิสจะเอาแต่ใจและทำตัวเป็นเด็กเฉพาะกับฉันเท่านั้น เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นจะทำตัวเป็นพวกห้าวๆ ไม่ค่อยแคร์อะไร ถึงมันจะไม่เข้ากับหน้าตาของเธอเองก็เถอะ แล้วยังเป็นพวกไม่ค่อยยอมใครซะด้วย ไม่ว่าจะทะเลาะกันเรื่องอะไรสุดท้ายฉันก็ต้องเป็นฝ่ายยอมอยู่ดี ไม่งั้นเรื่องไม่จบ... ความจริงฉันคิดว่าเธอแค่อ่อนแอแต่ใช้ความแข็งกร้าวกลบไว้เท่านั้น เพราะเรื่องอะไรนั้นฉันรู้ดี เป็นรูมเมทที่ชวนปวดหัวจริงๆ...
“แต่ฉันก็มองอยู่ดีนั่นแหละ”
เท่านั้นแหละ อลิสหันควับ “ยังจะมองอีกเหรอ”
“ก็มันตาของฉัน”
“เออ โกรธ!!”
ฉันเป็นรูมเมทหรือเป็นเมียเธอเนี่ย หา... ฉันนึกขำไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรอีก เพื่อนสนิทเหลือบตามองอย่างเคืองๆแล้วทิ้งตัวลงนอนแผ่ไปกับเตียง
“อลิส อย่าลืมทำการบ้านด้วยล่ะ” ฉันพูดพลางเริ่มทำการบ้านของตัวเอง
“...” ไม่มีเสียงอะไรจากคนที่ฉันพูดด้วย ฉันเหลือกตาก่อนจะหยิบลูกกวาดในโถแก้วใสที่มุมโต๊ะแล้วโยนไปกระแทกหน้าคนที่นอนอยู่ อลิสกำลังจะโวยวายแต่พอเห็นว่าเป็นลูกกวาดเลยยอมเงียบไป
อลิสชอบลูกกวาด...
“ถ้าเธอหายงอนฉันจะให้2เม็ด” ฉันยื่นข้อเสนอให้ เธอเด้งตัวขึ้นนั่งทำทีก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“หายก็ได้”
“ทันทีเลยนะ” ฉันส่ายหน้าแล้วหยิบให้เธออีก2เม็ด “ทำการบ้านซะด้วย”
“มีด้วยเหรอ”
ฉันเลิกคิ้ว “มีสิ ไม่ได้จดเลยเหรอวันนี้น่ะ”
“ไม่รู้สิ ไม่ได้ฟังซิสเตอร์”
“เฮ่อออออ มานี้ซิ” ฉันกวักมือ อลิสยอมลุกขึ้นมาแต่โดยดี ฉันยื่นมือไปใกล้ๆแล้วดีดหน้าผากอย่างแรงจนอลิสหลุดโวยวายออกมา
“ทำอะไรน่ะ!!” เธอยกมือกุมหน้าผากที่เริ่มแดง
“ไม่ตั้งใจเรียน มั่วแต่งอน เป็นไงล่ะถ้าไม่บอกพรุ่งนี้ก็ไม่มีงานส่งเดี๋ยวก็โดนซิสเตอร์ว่าอีก”
“ยุ่งน่า เพราะใครล่ะ เอาสมุดเบลมาดูเลย”
“ให้ฉันทำเสร็จก่อนแล้วกัน”
อลิสพยักหน้างึกงักเดินกลับไปนอนอย่างเดิมแล้วผล็อยหลับไป ฉันเรียกให้ลุกขึ้นมาทำงานก็งอแงจะนอนจนกระทั่งถึงเวลาสวดมนต์และรับประทานอาหารมื้อค่ำเลยยอมลุกแล้วทำงานต่อจากนั้นจนดึก
วันต่อมาทั้งๆที่ไม่มีวิชาเรียนในช่วงเช้าแท้ๆแต่อลิสกลับลากฉันลงจากที่นอนเพราะจะให้ไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำด้วยกัน ฉันจำใจแหกขี้ตาลุกไปทำธุระส่วนตัวจากนั้นก็โดนอลิสลากไปกินข้าวที่โรงอาหาร ที่โรงอาหารมีเด็กพลุกพล่านเหมือนเช้าวันอื่นๆเพราะชั้นเรียนของซิสเตอร์ขั้นสูงปี1เรียนช่วงเช้า
เรา2คนนั่งบนโต๊ะไม้แถวยาวใกล้ๆทางออก ไม่นานนักก็มีซิสเตอร์ขั้นสูง3คนมานั่วลงข้างๆ
“ซิสเตอร์ขั้นต้น ตื่นมาทำอะไรตอนเช้าๆจ๊ะ”
“คะ?” ฉันมองถาดข้าวที่ถูกตั้งลงใกล้ๆตัวและเลื่อนสายตาขึ้นมองคนที่วางถาดนั้น “พี่เอมิเลีย”
“วันนี้มาซักผ้า” อลิสตอบพลางยัดมื้อเช้าเข้าปากก่อนจะส่งยิ้มนิดๆให้รุ่นพี่
“ซักผ้าเหรอ ขยันจังนะ” เอมิเลียพูดต่อ “ไม่มีชั้นในใส่แล้วสินะ”
อลิสยิ้มน้อยๆ “รู้ได้ไง”
“ตรรกะของเด็กวัยนี้ ไม่มีใส่จริงๆถึงจะซัก”
“แทงใจเลย” ตุ๊กตาสาวพูดกรัวหัวเราะ
“อลิส ได้ข่าวมาว่าเธอเล่นเปียโนเก่งเหรอ” อยู่ๆเอมิเลียก็ถามขึ้นมา อลิสยิ้ม
“อลิสเล่นได้”
ทุกคนเลิกคิ้วกับคำว่า ‘เล่นได้’ ของเธอซึ่งมันไม่ตรงคำตอบ ยกเว้นฉันที่ที่ชินเพราะอยู่กับอลิสตลอดเวลา และมักคำตอบเลี่ยงๆเสมอเมื่อโดนถามแบบนี้
“เล่นได้นี่เก่งมั้ยล่ะ”
“แล้วแต่คนจะฟังค่ะ” เธอตอบและกินข้าวต่อ นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงคิดว่าผู้หญิงคนนี้น่าหมั่นไส้ชะมัด..
“แหม ถ่อมตัวไปได้ ฉันเคยฟังแล้วเล่นเก่งนะ เรียนอยู่คลาสเปียโนด้วย” มอร์แกนเพื่อนของเอมิเลียพูดขึ้น
“จริงเหรอ น่าสนใจจัง” ซาร่า รุ่นพี่ที่นั่งข้างๆอลิสพูดแล้วมองคนข้างๆเต็มๆตา “สนใจจะมาลองเล่นคัดตัวกับฉันมั้ย ทำหน้าที่ในช่วงเวลาเข้าโบสถ์สวดมนต์หรือมีพิธีน่ะ”
ทันทีที่ซาร่าพูดจบทั้งเอมิเลียและมอร์แกนเตรียมจะแย้งอะไรบางอย่างแต่ซาร่าห้ามเอาไว้
อลิสมองรุ่นพี่ทั้ง3สลับกันอยู่ครู่นึงแล้วก็ส่ายหัว “ไม่เอาล่ะค่ะ”
หญิงรุ่นพี่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ “ทำไมล่ะจ๊ะ?”
“อลิสเห็นคนทำหน้าที่นี้อยู่แล้วนี่ อลิสไม่อยากไปอะไรกับผู้หญิงคนนั้นมากเดี๋ยวจะวุ่นวาย พี่เอมิเลียกับพี่มอร์แกนคงจะพูดเรื่องนี้เหมือนกันใช่มั้ย”
2คนที่ถูกพาดพิงเงียบ ซาร่าเลยพูดต่อ
“แค่มาลองเล่นให้ฉันฟัง”
“ไม่เอาอ่ะ”
พอเห็นว่ายังไงก็ยังปฏิเสธ รุ่นพี่คนนั้นก็ถอนหายใจ “แล้วแต่ล่ะกัน ยังไงเกิดเปลี่ยนใจก็มาหาฉันได้ที่ห้องเปียโน”
“อื้อๆ” อลิสพยักหน้าแล้วเริ่มกินข้าวต่อและไม่เงยหน้าจากถาดอาหารอีกเลย
รุ่นพี่ซาร่าเป็นหัวหน้าชมรมประสานเสียงในโรงเรียน เธอดูแลทุกอย่างในชมรมไม่ว่าจะเป็นเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องและเครื่องดนตรี แล้วยังคอยทาบทามเด็กที่มีความสามารถต่างๆในด้านนี้ให้เข้าชมรมอีกด้วย คงจะด้วยบุคลิกเรียบๆนิ่งๆของเธอทำให้คนอื่นมักจะค่อนข้างเกรงใจและยินดีจะร่วมมือ เพื่อนฉันคงจะเป็นคนแรกล่ะมั้งที่ปฏิเสธไป
ดูจากแววตาของเธอในตอนนี้แล้ว คงรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่อลิสไม่ยอมดีดเปียโนให้ฟังหลังจากที่รู้ว่าเด็กคนนี้เล่นเก่ง
“แล้วจะทำอะไรต่อหลังจากซักผ้า” ฉันที่เอาแต่นั่งฟังคนอื่นพูดอยู่นานเอ่ยถามอลิส เธอยังคงสนใจแต่สิ่งตรงหน้า ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ฉันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหรอก
“ไม่รู้อ่ะ นอน”
“ตอนบ่ายมีเรียน จะนอนทำไมอีก”
“งั้นไปบ่อน้ำกัน”
“อีกแล้วเหรอ” ฉันทำแก้มป่องยัดลูกชิ้นเข้าปาก
“แหนะ จะไปบ่อน้ำเหรอ เดี๋ยวก็เจอซิสเตอร์มากาเร็ตหลอกเอาหรอก” มอร์แกนพูดติดตลก
“แหม พี่มอร์แกน ถ้าซิสเตอร์จะมาหลอกนะ เบลโดนหลอกไปนานแล้วล่ะ” อลิสตอบ แต่ เดี๋ยวสิ!
“เฮ้ ทำไมต้องเป็นฉันที่โดนหลอกด้วย แล้วเธออยู่ไหน”
“อลิสก็วิ่งสิ จะอยู่ทำไม” เธอตอบทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
ซาร่าหัวเราะน้อยๆเหมือนคนอื่นๆ ไม่นานนักเรากับรุ่นพี่ก็แยกย้ายกันไป ฉันกับอลิสเดินกลับมาที่ห้องเอาผ้ากองใหญ่ที่หมกอยู่มุมห้องใส่ตระกร้าไม้ เรามักจะถอดเสื้อผ้ากองไว้กองเดียวกัน ตอนแรกก็เนื่องมาจากขี้เกียจแยกไหนๆก็ผ้าเน่าเหมือนกัน หลังๆมาเลยกลายเป็นเรื่องปกติ
กว่าจะจัดการกับผ้าพวกนั้นเสร็จก็เกือบ10โมง แดดจ้ากำลังดีเลยทีเดียว... ฉันเสนอความคิดว่าบางทีเราควรจะอยู่ในห้องเพราะข้างนอกนั่นเริ่มจะร้อนแล้ว อลิสดื้อจะไปแต่พอมองออกไปข้างนอกก็พบแสงแดดเลยยอมนั่งอยู่เฉยๆ
บ่อน้ำที่ว่าเป็นบ่อตักน้ำแบบมีรอกชักน้ำที่ก่อด้วยอิฐ สร้างพร้อมโบสถ์เลยเก่าแก่พอสมควรอยู่บริเวณหลังโบสถ์ติดกำแพงอิฐเตี้ย ปกติเวลาไม่มีอะไรทำก็จะไปนั่งกันที่นั้นเป็นประจำเพราะมีวิวสวยแล้วอากาศก็ดีด้วย ส่วนเรื่องซิสเตอร์มากาเร็ตที่ว่าคือซิตเตอร์ที่พลัดตกบ่อน้ำตายไปเมื่อ7ปีก่อน หลายคนบอกว่าเฮี้ยนกันพอควร แต่เวลาที่เราไปก็ไม่เคยโดนหลอกอย่างที่คนอื่นๆเขาโดนกันเลยซักครั้ง
ฉันเสยผมม้าขึ้นน้อยๆจ้องมองตัวอักษรเล็กๆในหนังสือแต่สมองนึกถึงเรื่องอื่นๆก่อนจะหมุนตัวหันไปหาอลิสที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆและเอ่ยปากพูด
“เออนี่”
อลิสนั่งตรวจสมุดเงยหน้ามอง “อะไรเหรอ”
“อาทิตย์นี้เธอจะไปโบสถ์มั้ย”
“ก็ไปต้องสิ” เธอเลิกคิ้ว “ปกติก็ต้องไปอยู่แล้วนี่”
“ก็ที่ซิสเตอร์บอกในคาบเรียนเมื่อวานไง” ฉันตอบแต่เมื่อเห็นตุ๊กตาสาวยังทำหน้างง ฉันเลยพูดต่อ “เออลืม ว่าเมื่อวานเธอไม่ได้ฟังอะไรเลย”
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ?”
“เรื่องที่ชุดน้ำตาลจะมาสวดมนต์ที่โบสถ์พวกเราอ่ะ”
คนฟังขมวดคิ้ว “จริงเหรอ”
“ก็ซิสเตอร์เป็นคนพูดเอง คงจะจริงนั่นแหละ”
“ทำไมหัวหน้าซิสเตอร์ถึงยอมให้พวกนั้นเข้ามาทั้งๆที่รู้อยู่ว่าพวกเราไม่ชอบคนพวกมัน”
“พระเจ้าองค์เดียวกัน ยังไงก็ต้องยอมให้สวดมนต์ด้วยเพราะคำสอนล่ะมั้ง”
เธอพึมพำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ซักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีก “แล้วเบลจะไปมั้ย”
“ก็ไปแหละ ยังไงซิสเตอร์คงแยกฝากที่นั่งอยู่แล้ว”
“เหรอ...”
“แล้วเธอล่ะ”
“ถ้าเบลไป อลิสก็ไป...”
“ไม่ได้บังคับนะ ถ้าเธอจะไม่ไปก็สวดมนต์อยู่ที่ห้องนี่แหละ”
“จะทิ้งให้อลิสอยู่คนเดียวรึไง” เธอทำหน้าเคือง
“ไม่ได้ทิ้งซักหน่อย แค่ไม่อยากให้เธอไปทำหน้าตูดตอนสวดมนต์ต่างหาก”
อลิสทำท่าฮึดฮัด “เออๆ อลิสไป”
“เธอนี่น้า.. อยู่แบบปกติก็น่ารักดีอยู่หรอกทำตัวเป็นเด็กไปได้” ฉันบ่นออกมาเบาๆ
“พูดมากจริง เอาลูกกวาดให้อลิสด้วย”
“จ้าๆ”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตัดจบตอน1ค่ะ!! /จบห้วนซะอย่างนั้น
ฝากด้วยนะคะ
ความคิดเห็น