ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Tragic Prince ราชันย์มิคสัญญี (ภาค ๑)

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 1 คืนชีพปีศาจนักรบ

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 48


    บทที่ 1 คืนชีพปีศาจนักรบ

    ...................................



    บริเวณทะเลทรายโกบี ประเทศมองโกเลีย คนกลุ่มหนี่งพร้อมด้วยอุปกรณ์สำรวจครบครัน กำลังเดินมุ่งหน้าลงไปสู่หลุมทรายขนาดย่อมอันหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นเหมือนบันไดวนลงไปยังด้านล่าง และที่สุดทางเดิน คือประตูศิลาที่ถูกจารึกด้วยอักขระโบราณ ซึ่งถอดใจความได้ว่า



    “มันผู้ใดล่วงล้ำอาณาเขตแห่งข้า มันผู้นั้นจักต้องสังเวยด้วยเลือดเนื้อและวิญญาณเตมูจิน”



    หลังจากที่ทุกๆ คนได้เห็นข้อความนี้แล้ว บ้างก็แสดงความกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด บ้างก็พยายามซ่อนอาการของตนไว้ ต่างจากคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของทั้งกลุ่มที่ยังคงมีท่าทีเฉยชาต่อคำเตือน และจากนั้นประตูนั้นก็ถูกเปิดออก ไม่ใช่ด้วยกลไก แต่ด้วยพลังเท้าของผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม



    “กว้างกว่าที่คิดไว้อีก” น้ำเสียงนั้นบ่งบอกถึงเพศของผู้พูดได้อย่างชัดเจน ในทันทีที่ก้าวผ่านประตูนั้นเข้ามา เบื้องหลังของประตูคือห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งถูกตกแต่งไว้ตามแบบของชาวมองโกลในยุคโบราณ เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างคือทุกอย่างทำจากทองคำแท้ๆ ทั้งสิ้น และที่ด้านในสุดคือ โลงศพที่สร้างจากทองคำ ตกแต่งประดับประดาอย่างดีวางอยู่บนหนังสิงโต



    “แน่ใจหรือครับนายหญิง ว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่” ชายที่เดินติดตามมาอย่างใกล้ชิด เอ่ยถามขึ้นมาเป็นครั้งแรก



    “มีหรือไม่ เปิดฝาดูก็รู้เอง” กล่าวจบหล่อนก็หยิบเอาบะหมี่ถ้วยกึ่งสำเร็จรูปออกมา บรรจงฉีกฝาออกแล้วเทน้ำร้อนในกระติกซึ่งร้อนโดยธรรมชาติจากอุณหภูมิของทะเลทรายลงไปในนั้น จากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปตามครรลอง คือครบ 3นาที บะหมี่ก็สุกพร้อมที่จะกิน จากนั้นหล่อนก็นั่งลงพิงเสาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโลงศพเท่าใดนัก แล้วคีบบะหมี่ของหล่อนขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย พลางหันไปส่งสัญญาณให้ลูกทีมตรงเข้าไปเปิดฝาโลงศพนั้น และทันทีที่ฝาโลงศพถูกเปิดออกมา ร่างของลูกทีมที่เข้าไปเปิดก็ล้มลงในสภาพไร้ศีรษะโลหิตสีแดงฉานพวยพุ่งราวกับน้ำพุ พร้อมๆ กับบางสิ่งบางอย่างที่พุ่งทะยานออกมาจากภายในโลงศพนั้น แววตาของมันจ้องมายังหญิงสาวที่กำลังนั่งกินบะหมี่ของหล่อนอยู่อย่างไม่สนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย



    “ถ้าคิดจะออกกำลังหลังตื่นนอนล่ะก็ รอให้บะหมี่หมดก่อน เดี๋ยวจะเป็นคู่มือให้” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย และก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ต่อไป ปล่อยให้ผู้ที่ถูกปลุกเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ พลางแปรสภาพมาสู่รูปร่างของมนุษย์



    “กล้ามารบกวนการจำศีลของข้า แล้วยังปากดีอีกรึ นังหนู” เสียงนั้นฟังดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามนัก แต่หญิงสาวก็มิได้ใส่ใจต่อมันแม้แต่น้อย จนกระทั่งหล่อนยกบะหมี่ขึ้นซดน้ำจนหยดสุดท้าย ก่อนที่จะหยิบกระดาษชำระขึ้นมาบรรจงเช็ดปากให้สะอาดหมดจด แล้วจึงโยนบะหมี่ถ้วยทิ้งไป พลางหันมาเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียง



    “ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องด่วน เผ่าพันธุ์ของพวกเรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ”



    “หึ เผ่าพันธุ์รึ เจ้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่านังหนู ข้าไม่เคยแม้แต่จะคิดนับญาติกับพวกเจ้าด้วยซ้ำไป”



    “ดูท่าเจ้าจะยังโกรธแค้นเรื่องนั้นอยู่สินะ”



    “ใช่ ข้าแค้นมัน แค้นที่มันทำให้ข้าต้องกลายเป็นแบบนี้ แล้วก็เมื่อครั้งการรบที่โปแลนด์นั่น มันทำให้ข้าต้องมานอนหลับไหลอยู่ที่นี่” น้ำเสียงของเขาที่เปล่งอกมาเมื่อพูดถึงโปแลนด์นั้น ดูเต็มไปด้วยความแค้นและอาฆาต จนแม้แต่หล่อนเองก็ยังอดที่จะกลัวไม่ได้



    “หากมีโอกาส ข้าต้องฆ่ามันแน่ ด้วยมือของข้าเอง”



    “โอกาสของท่านมาถึงแล้ว เตมูจิน ไม่สิ ไลก้า ตอนนี้ดิมิทรีหายสาบสูญในการต่อสู้ไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้ และ มีแต่ท่านเพียงผู้เดียวที่จะค้นหาเขาได้ เพราะท่านคือแฟงก์ที่พัฒนาตนเองจนถึงขีดสุดแล้ว”



    “คิดจะหลอกใช้ข้าอย่างนั้นล่ะสิ”



    “เปล่าเลย ข้าแค่ต้องการรวบรวมนักรบที่แข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่สงครามครั้งสุดท้ายจะอุบัติขึ้น”



    “สงครามยังงั้นรึ อา คำๆ นี้ ข้าไม่ได้ยินมานานแสนนานแล้ว หึ เรื่องของเจ้าชักน่าสนใจแล้วสินังหนู ว่าแต่เจ้ามีนามว่าอะไร”



    “ข้าชื่อ ราอินทร์ จำไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน เจงกีสข่านผู้ยิ่งใหญ่” จากนั้นราอินทร์ก็เดินหันหลังออกไปทางประตูที่เข้ามา ปล่อยให้ เตมูจิน หรือไลก้า ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ๆ แล้วทันใดนั้นเองแววตาของเขาก็ฉายแววแห่งนักรบขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของปีศาจนักรบผู้เกรียงไกร เจงกีสข่าน หรือ เทพอสูรไลก้า



        ในเวลาเดียวกัน ณ ดินแดนอันไกลโพ้นไร้ซึ่งแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ที่ยังไม่เคยมีผู้ใดเคยไปถึง ปราสาทหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว ตระหง่านอยู่ท่ามกลางพายุหิมะและลูกเห็บที่ลุกเป็นไฟซึ่งผสมผสานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่พัดกระหน่ำอย่างไม่หยุดหย่อน ชายสูงศักดิ์คนหนึ่งก้าวเดินเข้าไปที่ประตูของปราสาทอย่างช้าๆ  ด้วยท่วงท่าอันสง่างาม แต่น่าประหลาดที่ร่างกายของเขาไม่มีร่องรอยของสิ่งที่เขาเดินฝ่ามาเลยแม้แต่น้อย



    “เคานท์ แดรกคิวล่า มาถึงแล้ว” สิ้นเสียงตะโกนที่ไม่มีใครรู้ที่มาประตูปราสาทก็เผยออกอย่างช้าๆ จนกระทั่งมันเปิดออกจนกว้างสุดแล้วชายผู้นั้นจึงเดินเข้าไปสู่ภายในปราสาทหลังนั้น



    “ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะ วลาด ยินดีต้อนรับสู่ปราสาทรัตติกาลแห่งข้า” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากห้องโถงที่มืดมิดแล้ว ในทันใดนั้นจู่ๆ แสงจากคบเพลิงก็สว่างไสวไปทั่ว เผยให้เห็นถึงบัลลังก์แห่งอำนาจอันน่าเกรงขามและชายผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นคือ สตรูก้า และเคียงข้างเขาในชุดอัศวิน คือ วิลเฟรด ไอแวนโฮ สมุนผู้เปรียบเสมือนมือขวาของเขา



    “ขอรับ ท่านปู่ ไม่ได้พบกันเสียนานท่านปู่ยังดูสง่างามมิเคยเปลี่ยน” ชายเจ้าของนาม วลาด หรือ เคานท์แดรกคิวล่า โค้งคำนับอย่างสง่างามและยำเกรงต่ออำนาจของผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นั้น



    “รู้หรือไม่ ว่าข้าเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องอันใด”



    “ไม่เลยขอรับ ท่านปู่”



    “พลอยโลหิต กลับคืนสู่มือข้าแล้ว เช่นเดียวกับ คามิลล่าราชินีของข้าแม้ว่าเวลานี้ความทรงจำของนางจะยังไม่กลับคืนมาก็ตาม บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะประกาศศักดาแห่งสายเลือดคาร์เพเธียน”



    “แต่ท่านปู่ขอรับ เหตุใดท่านจึงไม่ทำให้นางกลายเป็นแวมไพร์อย่างเรา ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้ง่ายขึ้น”



    “นั่น เป็นเพราะข้าต้องการให้นางเต็มใจที่จะเข้าร่วมกับเราเอง เรื่องนี้เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีนะ”



    “ขอรับท่านปู่ แต่ว่า หากปล่อยช้าเกินไปอาจจะไม่เป็นการดีต่อฝ่ายเรานะขอรับ”



    “ยังจะมีอะไรที่พวกเราต้องกลัวอีกเล่า พวกแฟงก์ที่เอาแต่มุดหัวอยู่ในหลุมรึ หรือว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์ที่ต่ำต้อยและอ่อนแอที่สุด ที่ไม่อาจหยุดยั้งเราได้”



    “เช่นนั้น ข้าก็ขอให้เป็นไปตามที่ท่านปู่จะเห็นชอบเถิดขอรับ แต่ข้าคงต้องขอลาท่านปู่กลับไปสะสางบัญชีกับพวกเบอร์มองก์ เสียก่อน”



    “อืม ตระกูลเบอร์มองก์ ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเรารึ เช่นนั้นก็ย่อมได้ ข้า ขออวยพรให้เจ้าประสบชัยชนะ เพื่อเผ่าพันธุ์อันเกรียงไกรของพวกเรา”



    “ขอรับท่านปู่” จากนั้นแดรกคิวล่าก็คำนับอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังก้าวเดินออกไปจากห้องโถงนั้น จนออกมาพ้นเขตของประตูปราสาท



    “ท่านปู่ประมาทศัตรูเกินไปจริงๆ ออลรอกซ์” สิ้นเสียงคำสั่งพลันก็ปรากฏร่างของแวมไพร์ตนหนึ่งที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ราวกับปีศาจจากขุมนรกทว่าสวมเครื่องแต่งกายอันสูงส่งดุจขุนนางชั้นสูง ขึ้นมาจากใต้พื้นดุจลมหมุน



    “ขอรับนายท่าน” เสียงของมันหากใครได้ฟังคงต้องรู้สึกหนาวเหน็บและเย็นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจอีกนานเลยทีเดียว



    “เตรียมการป้องกันปราสาทให้พร้อม ข้าจะรอต้อนรับแขกอันทรงเกียรติของข้าซักหน่อย อย่าทำให้เขาเบื่อง่ายๆ ล่ะจำไว้”



    “ขอรับนายท่าน” จากนั้น ร่างของทั้งสองก็แปรสภาพเป็นอสูรครึ่งคนครึ่งค้างคาวขนาดยักษ์ แล้วบินหายลับไปจากที่นั้น

        

    บัดนี้ไฟแห่งสงคราม ก็เริ่มปะทุขึ้นมาทีละน้อยๆ แล้ว รอแต่เพียงเชื้อเพลิงชั้นดีที่จะช่วยโหมให้มันลุกไหม้โชติช่วงชัชวาลเท่านั้น



    .................

    จบ บทที่ 1 คืนชีพปีศาจนักรบ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×