ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 การต่อสู้และจุดหักเหแห่งชะตากรรม
บทที่ 6 การต่อสู้และจุดหักเหแห่งชะตากรรม
...................................
ในขณะที่บราห์ม กำลังเล่นงานก้องและอ้ออยู่นั้น ที่ห้องของลูคัส อากิโกะได้ใช้ความรู้ทั้งหมดของเธอทั้งจากตำนานเทววิทยาที่เธอศึกษามา ผสมผสานกับข้อมูลที่มีอยู่และความรอบรู้ของเผ่ามังกร เพื่อช่วยลูคัสในการหาจุดอ่อนเพื่อเป็นประโยชน์ในการต่อสู้กับอสูรกายตนนั้น ซึ่งลูคัสเป็นคนยืนยันออกมาเองว่ามีพลังพอๆ กับเทพเจ้าเลยทีเดียว แต่ทำยังไงเธอก็ไม่อาจจะหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ได้เลยจนกระทั่งเผลอฟุบหลับไปคาโต๊ะ
“อากิ ผมขอโทษนะที่ต้องทำให้คุณลำบาก” จากนั้นเขาก็ค่อยๆ อุ้มเธอไปวางที่เตียงแล้วเอาผ้าห่มคลุมร่างเธอไว้อย่างทะนุถนอม แล้วหอมแก้มเธอเบาๆ พร้อมกับเป่ามนตร์สะกดที่จะทำให้เธอหลับลึกไปจนถึงเช้าเลยทีเดียว
“หลับให้สบายเถอะ อากิ ผมสัญญาว่าจะช่วยราอินทร์ออกมาให้ได้ ขอโทษด้วยที่ไม่ให้คุณตามไป เพราศัตรูครั้งนี้มันแข็งแกร่งเกินไป และผมคงไม่อาจชนะมันได้แน่ๆ หากคุณตื่นแล้วเห็นผมไม่กลับมาขอให้คุณรู้ไว้ด้วยว่าหัวใจของผมจะอยู่กับคุณเสมอ” จากนั้นลูคัสก็มองดูเธออีกพักหนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากห้องตรงไปยังโรงเก็บรถใต้ดิน เขาเดินตรงไปยังรถสปอร์ตคันโปรดของเขา Infernus เปลวไฟนรกที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นประตูของมันก็เปิดออกลูคัส จึงกระโดดขึ้นไปประจำที่คนขับทันที ก่อนที่จะพุ่งทะยานออกไป อย่างรวดเร็ว โดยมีจุดหมายคือ คฤหาสน์หมาป่าที่อยู่นอกตัวเมือง
    ท่ามกลางห้องนอนที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหรา ราอินทร์รู้สึกตัวขึ้นมาแล้วมองไปรอบด้านอย่างละเอียดถี่ถ้วน ที่สำคัญคือร่างกายของหล่อนไม่อาจขยับได้เลย แต่แล้วจมูกของหล่อนได้กลิ่นของอะไรบางอย่างที่มาจากนอกห้อง ใช่แล้วกลิ่นของอาหาร แต่ว่าที่นี่มันที่ไหนหล่อนไม่อาจรู้ได้ จนกระทั่งมีใครบางคนเปิดประตูเข้ามา
“อาหารมาแล้วครับ นายหญิง”
“ปล่อยชั้นออกไปนะ ไอ้พวกบ้า เอาชั้นมาขังไว้ที่นี่ทำไม” ราอินทร์ ตะโกนขึ้นมาอย่างขัดใจ เสียงกรี๊ดของหล่อนนั้นรุนแรงจนถึงขนาดที่ชายคนที่นำเอาอาหารมาให้ถึงกับเลือดออกหูเลยทีเดียว
“โอย รุนแรงเหลือเกินเสียงอะไรกันเนี่ย” ทว่า เสียงของราอินทร์ ยังคงดังอยู่ต่อไป จนกระทั่งเล็ดลอดออกไปถึงข้างนอกแล้วทำให้ทุกๆ คนปวดหูไปตามๆ กัน แต่จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมาจนกลบเสียงของราอินทร์ไปหมด และที่สำคัญเสียงของมันช่างดูทรงอำนาจอย่างบอกไม่ถูก จนแม้แต่ราอินทร์ยังต้องถึงกับตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นชายลึกลับที่พาตัวหล่อนมาที่นี่ก็เดินเข้ามาในห้อง
“ไร้ประโยชน์น่า เธอไม่มีทางหนีไปจากพวกเราพ้นหรอก เธอเป็นหนึ่งในพวกเราแล้ว และในไม่ช้าเธอก็จะเป็นราชินีของชั้น”
“พูดบ้าๆ ใครจะเป็นราชินีของแกกัน คิดว่าแกเป็นใคร” หล่อนเชิดหน้าใส่ แล้วตวาดใส่เขาอย่างลืมกลัว ซึ่งทำให้เขาค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“อา ช่างดุดัน และสวยสง่าเหลือเกิน อย่างนี้สิถึงจะคู่ควรกับการเป็นเจ้าสาวของชั้น หึๆๆ อยากรู้จริงๆ ว่าร่างกายของเธอจะงดงามซักเพียงไหนยามต้องแสงจันทร์แรกของการเปลี่ยนแปลง”
“พูดอะไรของแก ชั้นบอกให้ปล่อยชั้นออกไปเดี๋ยวนี้”
“เอาเถอะ เมื่อเธอยังไม่พร้อมชั้นก็ไม่บังคับ เพราะถึงยังไงชั้นก็ไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จ้องแต่จะทำลายหญิงที่ตัวเองรักหรอก”
“รักเหรอ คนที่รักกันเค้าทำกันแบบนี้เหรอ อยู่ๆ ก็มากัดชั้น ทำให้ชั้นต้องกลายเป็นตัวประหลาด ทำลายชีวิตของชั้น นี่น่ะเหรอที่เรียกว่ารัก” หล่อนตะโกน แล้วร้องไห้ออกมาอย่างเหลืออด
“ใช่ ชั้นมันตัวประหลาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่พรรคพวกเดียวกันยังหวาดกลัวชั้นเลย นานนับพันๆ ปี ที่ชั้นได้แต่เฝ้ารอที่จะมีใครซักคนที่ชั้นรักและรักชั้น ชั้นไม่อยากทนทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว จนในที่สุดชั้นก็พบเธอ” น้ำเสียงของเขาในเวลานี้ช่างฟังดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก เมื่อพูดจบเขาก็นิ่งจมอยู่กับความเงียบในความคิดของตัวเอง เมื่อเห็นสภาพนี้แล้วน้ำตาของราอินทร์ก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หล่อนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาอย่างประหลาด ราวกับว่าเคยรู้จักกับเขามานานแสนนาน
“ขอบคุณที่อุตส่าห์หลั่งน้ำตาให้กับชั้น ขอโทษที่มารบกวนเวลา พักผ่อนเถอะแล้วกินอาหารซะ”
“ใครบอกว่าชั้นร้องไห้ให้นายกัน ชั้นร้องให้กับตัวเองต่างหาก” หล่อนถียงออกมาอย่างข้างๆ คูๆ
“งั้นรึ แต่ช่างเถอะ ยังไงๆ ในไม่ช้าเธอก็ต้องยอมรับในโชคชะตาและในสิ่งที่เธอเป็นอยู่ดี” จากนั้น เขาก็เดินออกไปจากห้องทิ้งให้หล่อนอยู่เพียงลำพัง แล้วทันใดนั้นเองจู่ๆ หล่อนก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลันราวกับว่ามีดวงไฟอุ่นๆ อยู่ในอกของหล่อน
“นี่มันอะไรกัน ความรู้สึกแบบนี้ ทำไมกัน” จากนั้นราอินทร์ก็หันไปหยิบถาดอาหารขึ้นมาแล้วกินมันอย่างหิวโหยราวกับว่าหล่อนไม่ได้ลิ้มรสชาติของอาหารมานานกว่าศตวรรษ และพยายามที่จะไม่คิดอะไรจนกระทั่งจู่ๆ หล่อนก็รู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่กำลังใกล้เข้ามา
“พี่ลูคัส” หล่อนเองก็ตอบไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้ว่าเป็นลูคัสที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา ทว่าสัญชาติญาณและบางสิ่งบางอย่างในตัวหล่อนกำลังเร่งเร้าให้หล่อนต้องทำอะไรซักอย่าง จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเข้ามาอีกครั้ง
“ดูเหมือนคนที่เธอรอจะมาแล้วนะ แต่ว่าจะพาเธอออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่าก็ต้องรอดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ ชั้นจะไม่ยอมสูญเสียเธอไปง่ายๆ แน่” เมื่อพูดจบเขาก็เดินเข้ามาแล้วจูงมือราอินทร์ออกไป โดยที่หล่อนไม่ได้รู้สึกขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
“ชั้นจะพาเธอไปยังสถานที่ที่จะตัดสินชะตากรรมทั้งของชั้นและเธอ ถ้าหากว่าเพื่อนของเธอสามารถเข้ามาถึงที่นี่ได้นะ” จากนั้นเขาก็พาเธอไปยังลานหินแห่งหนึ่งเบื้องหลังคฤหาสน์ซึ่งเป็นรูปวงกลม และเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า ก็พบแต่เพียงหมู่เมฆที่ดำทมึนบดบังแสงจันทร์เอาไว้
“ไม่จำเป็นต้องมีแสงจันทร์ ทั้งชั้นและเธอก็สามารถแปลงร่างได้ เพราะเธอได้รับพลังจากชั้นไปโดยตรง เอาล่ะ ถ้าไม่อยากถูกลูกหลงล่ะก็ หลบไปซะ” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างอันใหญ่โตมหึมาของพวกมนุษย์หมาป่าที่มีลักษณะแปลกกว่ามนุษย์หมาป่าทั่วไป คือ มีขนที่แข็งแกร่งจนแปรสภาพมาเป็นเกราะป้องกันร่างกาย ก็ถูกโยนมากองอยู่ตรงหน้าทั้งสอง แล้วจากนั้นลูคัสซึ่งอยู่ในชุดของแกรนด์มาสเตอร์ก็เดินตรงเข้ามาอย่างเยือกเย็น
“หาแทบตาย ที่แท้ก็แอบมาหลบอยู่ที่นี่เอง เอาล่ะ ส่งนางคืนมาแล้วข้าจะกลับไปแต่โดยดี”
“บุกรุกเข้ามายังเคหะสถานของผู้อื่นในยามวิกาลเช่นนี้ แล้วยังขู่เข็ญต่อเจ้าของสถานที่อีกแบบนี้ ยังจะเรียกว่ามาดีอีกหรือ”
“แล้วถ้าอย่างนั้นการที่ไปลักพาตัวสุภาพสตรีแล้วใช้กำลังบังคับให้ยินยอมเป็นของตนน่ะ เค้าเรียกว่าวิสัยของสุภาพบุรุษหรือเปล่าล่ะ”
“ฝีปากไม่เลวนี่ แต่ข้าเคยบอกท่านแล้ว ว่าอย่ายื่นมือเข้ามาก้าวก่ายในเรื่องของพวกเรา อีกอย่างการที่ข้ารักนางแล้วต้องการที่จะอยู่กับนางมันผิดตรงไหนกัน”
“ผิดแน่นอน เพราะนางมิได้เต็มใจที่จะเป็นพวกของท่านตั้งแต่แรกแล้ว หากแต่ท่านกลับใช้วิธีอันต่ำทรามบีบบังคับนาง อย่างนี้หรือที่เรียกว่าความรัก หากท่านรักนางจริงท่านควรจะถามถึงความสมัครใจจากนางก่อนสิ” ลูคัสตอบโต้ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังราวกับไม่เคยเป็นมาก่อน
“จะมีผู้หญิงที่ไหนเล่าที่จะยอมตกเป็นภรรยาของอสุรกายในสายตาของนาง ที่ผ่านมาแม้แต่สตรีในเผ่าเราต่างก็ล้วนแล้วแต่รังเกียจและหวาดกลัวข้าทั้งนั้น เพียงเพราะข้าแตกต่างออกไป โดยมิได้คำนึงเลยแม้แต่น้อยว่าข้าเองก็มีหัวใจเช่นกัน”
“ก็เลยใช้วิธีทำให้กลายเป็นพวกเดียวกันเพื่อที่จะบังคับให้ยอมรับสภาพอย่างนั้นสิ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ดิมิทรี บุตรแห่งหมาป่าโลกันต์เฟนริลและจิ้งจอกสวรรค์มูนการ์ม” ลูคัสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเวทนา
“ที่ท่านรู้มามันก็แค่ความจริงส่วนหนึ่ง เพราะตัวตนที่แท้จริงของข้ามิได้เกิดจากการปฏิสนธิแต่อย่างใด หากแต่ถูกสร้างขึ้นมา ด้วยการนำเอาเลือดเนื้อของ เหล่าเทพเจ้า มนุษย์ เอลฟ์ และ อสุรกายที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลทั้งสอง มารวมเข้าด้วยกัน ในสายตาของทุกๆ ฝ่าย ข้าก็เป็นเพียงแค่ตัวประหลาดตัวนึงเท่านั้น แต่กับนางมันไม่ใช่ ในอดีตหลังจากที่ข้าเดินทางรอนแรมไปจนทั่วทั้งแผ่นดิน ข้าก็ได้พบกับนาง เซรีน่า สตรีนางเดียวที่มองเห็นและเข้าใจในความทุกข์ของข้า” แววตาของดิมิทรีเปลี่ยนไปยามเอ่ยถึงชื่อของอดีตคนรัก
“แต่ท้ายที่สุดนางก็ต้องจากข้าไปอย่างทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของพวกมนุษย์และแวมไพร์ผู้ถือตนว่าเป็นชนชั้นที่สูงสุด เพียงเพราะความริษยา และความหวาดกลัวในพลังของข้า ข้ายังจำได้เสมอถึงวันที่นางถูกเผาทั้งเป็นต่อหน้าข้า” คำพูดสุดท้ายของดิมิทรีนั้นดังก้องในหัวของลูคัสและราอินทร์ราวกับเสียงของฟ้าผ่าที่ดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วทั้งร่าง เพราะการถูกเผาทั้งเป็นคือการประหารที่ได้ชื่อว่าทารุณที่สุด
“แต่ถึงกระนั้น ก่อนที่ร่างของนางจะถูกเผาจนมอดไหม้นางกลับยิ้มให้ข้า และขอร้องไม่ให้ข้าเกลียดชังมนุษย์ รวมทั้งผู้ที่กระทำการทารุณกรรมต่างๆ นาๆ กับนาง คำพูดสุดท้ายที่นางได้บอกกับข้าคือ มนุษย์เมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณจะกลับคืนสู่ผืนพิภพเพื่อเข้าสู่วงจรแห่งธรรมชาติ แล้วจากนั้นจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ถูกชำระล้างโดยผืนพิภพก็จะกลับมามีชีวิตขึ้นมาใหม่ นับแต่นั้นข้าก็ออกเดินทางไปทั่วทุกดินแดนเพื่อเฝ้ารอการกลับมาของนางมาโดยตลอด จนกระทั่งข้าได้พบกับนางอีกครั้งที่นี่ และเวลานี้ นางก็ได้มาอยู่ทั้งตรงหน้าข้าและท่านแล้ว” ลูคัส หันไปมองราอินทร์ในทันทีขณะที่หญิงสาวเริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่างตอบสนองต่อคำพูดของดิมิทรี ร่างของหล่อนทรุดลงไปกับพื้นก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองมายังทั้งสอง
แล้วทันใดนั้นเองภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำของหล่อน ภาพของฝูงชนที่บ้าคลั่งจำนวนมากซึ่งตะโกนก่นด่าประณามสาปแช่งตัวของหล่อนซึ่งถูกมัดติดอยู่กับแท่งเสามหึมา คนกลุ่มหนึ่งที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายชั้นดีหรูหรา และชายคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับดิมิทรีทุกอย่างซึ่งถูกขังอยู่ในกรงเหล็กขนาดใหญ่ จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป เมื่อเปลวไฟสีแดงฉานลุกท่วมขึ้นมา
“นี่มัน ภาพพวกนี้มัน” ราอินทร์กล่าวขึ้นมาด้วยความสับสน
“ความทรงจำในอดีตของเจ้ายังไงล่ะ” ดิมิทรีพูดขึ้นมาจากภายในลานหินรูปวงกลมนั้น ขณะที่ลูคัสเองก็เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ
“จริงอยู่ที่ในอดีตชั้นคือเซรีน่า คนรักของคุณแต่ตอนนี้ ชั้น คือ ราอินทร์ ผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึงเท่านั้น” เมื่อพูดจบราอินทร์ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมที่จะเดินเข้าไปทางลูคัส ทว่า จู่ๆ เปลวไฟสีน้ำเงินโชติช่วงก็ลุกขึ้นมาล้อมรอบลานหินนั้นเอาไว้ ในขณะที่ดิมิทรีย่างทข้าไปเพื่อเผชิญหน้ากับลูคัส ส่วนแฟงก์ ที่พูกโยนมากองกับพื้นนั้นก็รีบหนีออกไปจากบริเวณนั้นได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่กำแพงไฟจะปะทุขึ้น
“นี่คือกำแพงเวทย์มนตร์ที่จะป้องกันไม่ให้ใครบุกรุกเข้ามาจากภายนอกได้ และเช่นกัน ผู้ที่อยู่ในนี้ก็จะไม่สามารถหลุดรอดออกไปได้เช่นกัน” ดิมิทรี พูดกับลูคัส และ ราอินทร์ ก่อนที่จะหยิบเอาอาวุธประจำตัวออกมา มันเป็นอาวุธที่มีรูปร่างเหมือนค้อนขนาดใหญ่และมีสัญลักษณ์เป็นรูปสายฟ้าสลักอยู่บนนั้น
“มาโยนิล ค้อนอัสนีแห่งธอร์ งั้นก็ถึงเวลาที่จะต้องใช้ซันเบิร์นแล้วสิ” ทันใดนั้นเอง ที่มือขวาของลูคัสก็มีประกายแสงที่เจิดจ้าปรากฏขึ้น ก่อนที่จะแปรสภาพเป็นดาบที่เปล่งประกายแสงอันเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์ออกมา จากนั้นทั้งคู่ต่างก็ยืนจดจ้องกันเพื่อหาจังหวะเข้าจู่โจม
“ทำการบ้านมาดีนี่ รู้ว่าข้าเป็นใครก็เลยเตรียมอาวุธชั้นยอดมาด้วย แต่ถึงยังไงมนุษย์ธรรมดาก็ไม่มีทางเอาชนะ เทพอสูรอย่างข้าได้หรอก”
“ได้หรือไม่ เดี๋ยวก็รู้ แต่ที่แน่ๆ ชั้นสัญญากับคนที่ชั้นรักเอาไว้แล้ว ว่าจะต้องพาตัวราอินทร์กลับไปให้ได้” ลูคัสพูดอย่างมาดมั่นทั้งที่ในความเป็นจริง เขาไม่ได้มีความรู้สึกมั่นใจเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนดิมิทรีจะจับความรู้สึกนี้ได้เช่นกัน
“ข้าสัมผัสได้ ถึงความกลัวที่แฝงอยู่ในจิตใจของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็ไม่มีทางชนะข้าได้เลยแม้แต่น้อย” ดิมิทรีพูดเย้ยหยัน พลางมองลูคัสด้วยสายตาที่ดูแคลน ทว่าลูคัสกลับไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น เขายังคงนิ่งเฉยดุจดังขุนเขาอยู่เช่นนั้น
“ไร้ประโยชน์ ที่จะยั่วยุให้ข้าเสียสมาธิ ลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้มันเก่าไปแล้ว อย่ารอช้าอยู่เลยเรามาบรรเลงกันเลยดีกว่า” จากนั้นทั้งคู่ก็วิ่งเข้าหากันดุจดังแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดซึ่งกันและกัน
“แคร้ง” เสียงของคมดาบและค้อนปะทะกันดังสนั่นหวั่นไหว ทันทีที่อาวุธทั้งสองปะทะกันลูคัสนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าง่ามมือของเขาถึงกับฉีกเพราะพลังอันรุนแรงของค้อนอัสนี และความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ในทันที ส่วนดิมิทรีเองนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่มนุษย์สามารถต้านทานพลังของเทพอสูรอย่างเขาได้ หนำซ้ำยังทำให้เขาต้องถึงกับผงะไปด้านหลังอีกด้วย
“ไม่เลวเลยนี่สำหรับมนุษย์” ดิมิทรีกล่าวชมลูคัสอย่างจริงใจ
“เป็นเกียรติอย่างสูง” ลูคัส คำนับรับคำชมนี้ ก่อนที่จะตั้งท่าเตรียมสู้ต่อ
“เช่นกัน ได้สู้กับคนมีฝีมือแบบนี้สำหรับข้านับเป็นโชคดีอย่างที่สุด” ทันใดนั้นในมือซ้ายของดิมิทรีก็มีลูกบอลสายฟ้าลูกหนึ่งปรากฏขึ้น
“ไปเลย ธันเดอร์บอล” เขาขว้างมันใส่ลูคัสอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายก็สามารถหลบมันได้อย่างทันท่วงที พร้อมกับขว้างลูกไฟในมือซ้ายออกไปเป็นการตอบโต้ทันที
“ไฟเยอร์ บอลลลลลลลลลล” ลูกไฟจากมือของลูคัสพุ่งเข้าปะทะร่างของดิมิทรีอย่างแรง จนเกิดเปลวไฟลุกท่วม แต่ทว่าดิมิทรีกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“มีเท่านี้เองรึ แกรนด์มาสเตอร์ ถ้าอย่างนั้นลองรับของข้าดูอีกซักครั้งเป็นยังไง” จากนั้นดิมิทรีก็ขว้างลูกบอลสายฟ้าใส่ลูคัสทันที แต่ลูคัสก็ยังคงหลบได้อยู่ดี
“เอ้าๆ ถ้ามัวแต่หลบล่ะก็จะไม่มีทางสู้ข้าได้นะ เอาล่ะรับไปเลยแบบต่อเนื่อง” ฉับพลันลูกบอลสายฟ้านับร้อยๆ ลูกก็พุ่งเข้าใส่ลูคัสราวกับปืนกล แต่แทนที่จะหลบเขากลับใช้ดาบปัดมันออกอย่างรวดเร็ว อานุภาพของแต่ละลูกนั้นนับได้ว่ารุนแรงมากทีเดียว เพราะแม้แต่ราอินทร์ที่ดูอย่างระทึกด้านนอกยังถึงกับสั่นสะท้านจากคลื่นพลังที่แผ่อออกมาถึงด้านนอก หากไม่มีกำแพงไฟเวทย์มนตร์ป้องกันเอาไว้ บางทีบริเวณรอบๆ อาจจะถูกทำลายจนแหลกเป็นผงเป็นแน่ และในจังหวะที่ดิมิทรีกำลังจะสร้างลูกพลังต่อเนื่องนั้นเองลูคัสก็สบโอกาสยิงลูกไฟของตนออกไปบ้าง
“ไฟเยอร์ / ธันเดอร์ บอลลลลลลลลล” ลูกพลังทั้งสองกระทบกันกลางอากาศแล้วจึงระเบิดออกมาเป็นกระแสไฟฟ้าและเปลวไฟที่ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
“ยอดจริงๆ ปฏิกริยาตอบสนองสูงมาก ฮึบ” ลูคัสที่นึกชมคู่ต่อสู้อยู่ในใจต้องเอี้ยวตัวหลบอย่างกะทันหัน เนื่องจากค้อนอัสนีของดิมิทรีที่ฟาดเข้ามาอย่างแรง และต่อเนื่อง จนแทบจะไม่มีจังหวะให้หายใจ จนกระทั่งร่างของลูคัสถูกต้อนเข้าไปจนใกล้กำแพงเปลวไฟเข้าไปทุกที
“ธันเดอร์ สแมช” ดิมิทรีเหวี่ยงค้อนที่อาบพลังสายฟ้าอย่างเต็มเปี่ยมเข้าไปที่กลางตัวของลูคัสอย่างแรง แต่เขาก็สามารถแก้สถานการณ์นี้ได้ด้วยการใช้ทางแบนของดาบยกขึ้นรับ แต่ความรุนแรงของมันทำให้ร่างของเขาถึงกับหมุนคว้างขึ้นไปบนอากาศเลยทีเดียว และในจังหวะนี้เองที่ดิมิทรีไม่รอช้าปล่อยพลังสายฟ้าเข้าใส่ทันที
“กลางอากาศไม่มีทางหลบได้ รับไปเลย ธันเดอร์ บอล” ลูกพลังสายฟ้าพุ่งเข้าหาลูคัสอย่างรวดเร็ว
“ฝันไปเถอะ” ลูคัสใช้ดาบปัดมันกลับไปหาดิมิทรีทันที พร้อมๆ กับขว้างลูกไฟของตัวเองตามไปด้วย
“เปรี๊ยะ ตูม” ดิมิทรีโดนเข้าไปทั้งพลังของตัวเองและลูคัสจนถึงกับกระอักเลือด และทรุดลงกับพื้นทันที โดยที่ไม่ทันให้ตั้งตัว ลูคัสฉวยโอกาสนี้รีบฟันดิมิทรีทันที
“แคร้ง” แต่ดิมิทรีก็สามารถยกค้อนของเขาขึ้นรับได้ทัน แล้วจึงปัดดาบของลูคัสออกไป ทำให้ลูคัสต้องเสียหลักไปและในจังหวะนี้เองดิมิทรีก็หวดค้อนของเขาเข้าใส่ทันที
“พลั่ก” ค้อนของดิมิทรีกระทบหลังของลูคัสอย่างเต็มแรง จนลูคัสถึงกับกระเด็นไปและกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มเลยทีเดียว ส่วนความเจ็บปวดนั้นเรียกได้ว่ามากกว่าตอนที่โดนเขาของเบฮีมอธแทงหลายเท่านัก
“เอาล่ะนะ จบสิ้นกันที” ดิมิทรีควงค้อนเข้ามาแล้วเหวี่ยงเข้าใส่เพื่อหวังเผด็จศึก แต่ทว่ากลับถูกลูคัสใช้ดาบแทงสวนเข้าไปที่หัวค้อนด้วยพลังอันรุนแรงบวกกับที่ไม่คาดคิดมาก่อน ดิมิทรีถึงกับกระเด็นล้มกลิ้งไม่เป็นท่าเลยทีเดียว
“ทำให้ข้า ถึงกับล้มลงสัมผัสพื้นดินได้ถึงสองครั้งนับว่ายอดเยี่ยมมาก แต่จะสู้กับพลังที่แท้จริงของข้าได้รึเปล่า จงดูให้ดีร่างและพลังที่แท้จริงของดิมิทรีผู้นี้” แล้วในทันใดนั้นเอง เมฆที่บดบังดวงจันทร์ก็แยกตัวออกเผยให้เห็นจันทร์เต็มดวงที่ส่องประกายสีเหลืองนวล
“ฮื่อ...................แฮ่...................แง่ง.....โอ๊ออออออออออออออออออออออออออออออ” ทันทีที่ร่างสัมผัสแสงจันทร์ดิมิทรี ก็ส่งเสียงคำรามอันทรงพลังออกมา แล้วจากนั้นประกายแสงสีทองก็ห้อมล้อมร่างของเขาไว้ และแล้วร่างของเขาก็แปรสภาพโดยสิ้นเชิง เป็นมนุษย์หมาป่าที่มีร่างกายใหญ่โต สวมเกราะสีทองที่แปรสภาพมาจากเส้นขนบนร่างทั่วทั้งตัว ดวงตาสีแดงกล่ำราวกับเปลวไฟ และเขี้ยวเล็บอันแหลมคมที่พร้อมจะฉีกกระชากร่างของศัตรู และทันทีที่ได้เห็นร่างที่แท้จริงอันเต็มตัวของดิมิทรี ราอินทร์ซึ่งเฝ้าดูการต่อสู้อยู่ภายนอกก็เริ่มเกิดอาการแปลกประหลาดตอบสนองกับการแปลงร่างของดิมิทรี
“โอ๊ะ โอ๊ย ร้อน ร้อนเหลือเกิน อ๊า” เสียงร้องของราอินทร์ดังไปทั่วทำให้ลูคัส และ ดิมิทรีที่เตรียมจะเข้าห้ำหั่นกันต้องพักรบชั่วคราวแล้วหันไปดู ราอินทร์ซึ่งในเวลานี้ประกายแสงสีเงินห้อมล้อมจับไปทั่วร่าง และอักขระสีทองที่หมุนอย่างรวดเร็วรอบๆ ร่างอันบอบบางราวกับผนึกที่คอยพันธนาการหล่อนเอาไว้
“โฮกกกกกกกกกกกกกก” เสียงคำรามดังออกมาจากร่างของหล่อน จากนั้นอักขระสีทองที่หมุนเร็วขึ้นทุกขณะก็เกิดรอยร้าวขึ้นและแตกกระจายไป ก่อนที่จะถูกสูบเข้าไปในร่างของหล่อน
“นี่มันอะไรกัน” ลูคัส ถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ บัดนี้พลังอำนาจของข้ามีอิทธิพลเหนือคำสาปของเจ้าที่ควบคุมนางเอาไว้แล้ว แกรนด์มาสเตอร์ และในไม่ช้าเจ้าจะได้เห็นร่างอันงดงามของนางที่อาบแสงจันทร์อย่างเต็มเปี่ยม ราอินทร์นางพญาแห่งข้าจงปลดปล่อยสัญชาติญาณและพลังที่แท้จริงแห่งวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่ถูกสะกดในร่างของเจ้ามานานแสนนานออกมา บัดนี้ถึงเวลาแห่งชะตากรรมที่จะระเบิดศึกอสูรอันยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสหัสวรรษแล้ว” ทันทีที่ประกายแสงสีเงินหายไปราอินทร์ก็อยู่ในร่างของมนุษย์หมาป่าขนสีเงินที่สง่างามราวกับนางพญา และเช่นกันกับดิมิทรีเกราะสีเงินที่แปรสภาพจากขนอันแข็งแกร่งถูกสวมอยู่ทั่วร่าง รวมทั้งกรงเล็บอันแหลมคมนั้นช่างเหมือนกับดิมิทรีผู้เป็นต้นแบบไม่มีผิด จะต่างกันก็ตรงที่ แววตาที่ยังคงเดิมแววตาของมนุษย์และปีกสีขาวสดใสราวกับปีกแห่งเทพยาดา รวมถึงใบหน้าที่ยังคงไว้ซึ่งโครงหน้าเดิมของมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่
“อะไรกัน นี่ นี่เรา เราเป็นอะไรกันแน่ ทำไม” หล่อนมองดูร่างกายของตัวเองก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตะลึงลาน ทว่าลักษณะที่แสดงออกมานั้นกลับไม่ใช่ท่าทีของราอินทร์คนเดิมเลยแม้แต่น้อย
“นี่มัน จริงสิการที่นางดูดซับเอาพลังแห่งผนึกมนตราที่สะกดเอาไว้รวมเข้ากับวิญญาณแห่งสัตว์ป่าที่ถูกปลดปล่อยออกมาในการแปลงร่างครั้งแรก ทำให้นางเกิดการพัฒนาขั้นสูงสุดเปลี่ยนสภาพเป็นเทพอสูรเช่นเดียวกับข้า” ดิมิทรีพูดออกมาด้วยความยินดี และพอใจอย่างถึงขีดสุด โดยเฉพาะในยามที่สบตากับราอินทร์ซึ่งจ้องลงมาที่เขาอย่างพอดี
“ดิมิทรี ยอดรักของข้า ในที่สุดข้าก็ตามหาท่านจนพบ”
“โอ ในที่สุดทุกสิ่งที่ข้าทำไปก็ไม่สูญเปล่า ที่รักของข้า ข้ารอคอยจ้ามานานแสนนานเหลือเกิน นานนับพันๆ ปี”
“ใช่ และ จากนี้ไปเราจะไม่พรากจากกันอีก” เมื่อพูดจบหล่อนก็หันมาหาลูคัสด้วยสายตาที่วิงวอน
“พี่ลูคัส ได้โปรดกลับไปเถอะค่ะ ปล่อยให้เราได้อยู่กันตามลำพังเถอะ นะคะ ก่อนหน้านี้หนูเคยมีความรู้สึกอยู่เสมอว่าตามหาใครบางคนและเหมือนกับมีเสียงจากใครบางคนคอยเรียกหาหนูอยู่ ตอนนี้หนูได้พบคำตอบแล้ว ได้โปรดเถอะค่ะ ปล่อยให้หนูอยู่กับเค้าเถอะ ตอนนี้หนูไม่ใช่คนธรรมดาอีกแล้ว”
“พี่ก็อยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน จริงอยู่ที่พี่สัญญากับอากิ ว่าจะต้องพาเรากลับไปให้ได้ แต่ว่าพี่มีเหตุผลที่จะต้องสู้ ซึ่งพี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่บางสิ่งบางอย่างในตัวพี่มันกำลังเรียกร้องอยู่ ให้พี่เอาชนะชายคนนี้ให้ได้ อีกอย่างไม่มีใครเห็นเราเป็นอย่างอื่นเลยซักนิดเดียว ทุกคนก็ยังเห็นเป็นราอินทร์คนเดิมนั่นแหละ”
“พี่ลูคัส.......” ราอินทร์ยืนมองหน้าลูคัสด้วยใบหน้าที่นองด้วยน้ำตา ขณะที่ดิมิทรีนั้นเข้าใจในความรู้สึกของหล่อนดี และรับรู้ถึงบางสิ่งที่แฝงอยู่ในตัวของลูคัสเช่นกัน
“แกรนด์มาสเตอร์ เรามาตัดสินกันดีกว่า ตัดสินกันในครั้งเดียว” ดิมิทรีพูดกับลูคัสด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาด
“ได้เลย ดิมิทรี ข้าพร้อมเสมอ” ลูคัสตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงความกลังวและความลังเลหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ขอบคุณสำหรับโอกาสที่มอบให้กับเราสองคน”
“ถ้าจะขอบคุณ ไปขอบคุณราอินทร์เถอะแล้วอย่าลืมขอโทษที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นแบบนี้ด้วยล่ะ”
“แน่นอน ข้าขอเอาชีวิตและวิญญาณของข้าเป็นประกัน ว่าจะดูแลนางอย่างดีที่สุด” แล้วดิมิทรีก็ยกค้อนขึ้นเพื่อรับพลังสายฟ้าและหมายจะเผด็จศึกในครั้งเดียว
“ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจหน่อย เอาล่ะนะ” จากนั้นลูคัสก็จรดดาบในท่าเตรียมพร้อม ทันใดนั้นซันเบิร์นก็เปล่งประกายอันเจิดจ้าและงดงามออกมา แล้วทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหากันหมายที่จะตัดสินกันในครั้งเดียว
“ไลท์นิ่ง แฮมเมอร์ สไตรค์”
“กราวนด์ ซีโร่”
“เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงง ครืนนนนนนนนนนนนน” พลังของทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรงจนกระทั่งส่งผลกระทบไปทั่วประกายแสงจากการปะทะสว่างจ้าจนไม่อาจมองเห็นได้ว่าใครคือผู้ชนะ จนกระทั่งแสงสว่างดับลงทุกสรรพสิ่งต่างอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีร่างของทั้งผู้แพ้และผู้ชนะหากแต่สิ่งที่หลงเหลือไว้คือ หลุมขนาดใหญ่และวัตถุประหลาดรูปทรงกลมสีดำที่ลอยอยู่ตรงกลางบริเวณที่เคยเป็นสถานที่ต่อสู้มาก่อน จากนั้นวัตถุทรงกลมสีดำขนาดใหญ่นั้นก็ค่อยๆ สูญสลายไป
“พี่ลูคัส ดิมิทรี ไม่นะ” ราอินทร์ร้องออกมาด้วยความเสียขวัญ เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น หลุมดำอันไร้ก้นบึ้งที่ดูดเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดและผู้ที่ติดอยู่ในนั้นจะไม่มีวันได้ออกมาอีกตลอดกาล หลุมดำที่เกิดจากการปะทะของสองสุดยอดอาวุธที่ทั้งสองต่างทุ่มเทพลังอย่างเต็มที่เพื่อตัดสินชัยชนะของตน
“พี่ลูคัส ไหนบอกว่าจะพาหนูกลับไปหาพี่อากิโกะไง แล้วทำไมถึงทำแบบนี้ ดิมิทรี คนโกหกไหนคุณบอกไงว่าจะไม่พรากจากกันอีก” จากนั้นราอินทร์ก็ทรุดลงนั่งร้องไห้อย่างสิ้นหวังพร้อมทั้งคืนสภาพเดิมสู่ร่างมนุษย์ เสียงร้องไห้ของหล่อนนั้นมันช่างเศร้าสร้อยและโหยหวนยิ่งนัก แม้แต่เหล่ามนุษย์หมาป่าและแฟงก์ที่อยู่ในคฤหาสน์ต่างก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
    คืนนั้น ท่ามกลางสายหมอกภายใต้ความมืดมิด อากิโกะพบว่าตัวเองเดินหลงทางเคว้งคว้างอย่างคนที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง เพราะไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็พบแต่ความมืดและความหนาวเหน็บที่บาดลึกเข้าไปจนถึงกระดูก
“อเล็กซ์ คุณอยู่ที่ไหน อเล็กซ์” อากิโกะตะโกนเรียกหาคนรักของเธออย่างเสียขวัญทว่า เสียงที่ตอบกลับมานั้นมันช่างอยู่ไกลแสนไกลยิ่งนัก
“อา...................กิ...................................อา........................................กิ” เสียงเรียกที่แผ่วเบาแต่ฟังดูคุ้นหู เป็นดังเสียงที่นำทางให้กับอากิโกะ เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ เทียแม็ทก็ปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าอากิโกะไว้
“นั่นไม่ใช่ที่ของเจ้า ทางที่เจ้าควรจะไปไม่ใช่ทางนั้น” นางเตือนสติอากิโกะอย่างนุ่มนวลและเยือกเย็น
“แต่ว่า อเล็กซ์เค้า”
“ข้าเข้าใจ จิตใจของเจ้าดี แต่ว่าสถานที่แห่งนั้นที่ๆ เจ้ากำลังจะเดินเข้าไปนั้นหาใช่สถานที่ที่ฝีมือระดับเจ้าจะเข้าไปได้ไม่ มันคือดินแดนต้องห้ามแห่งผู้ถูกสาป ดินแดนแห่งเหล่าผู้ทรยศต่อสวรรค์ ดินแดนที่เรียกกันว่าอันเดอร์เวิลด์
“แล้วอเล็กซ์ล่ะคะ ชั้นจะเข้าไปช่วยเค้าออกมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และหากกลับออกมาไม่ได้ชั้นก็ขออยู่ร่วมกับเขาตลอดไปภายในนั้น สำหรับชั้นเค้าคือทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะอยู่หรือตายชั้นจะต้องไปหาเค้าให้ได้”
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าคงมิอาจห้าม หนทางเดียวที่จะเข้าไป คือเจ้าจะต้องค้นหากุญแจแห่งประตูนรกทั้งเจ็ดซึ่งใช้ในการเปิดทวารสู่อันเดอร์เวิลด์เสียก่อน แต่ลำพังตัวเจ้าตอนนี้ไม่มีทางที่จะเอาชนะเทพผู้พิทักษ์กุญแจทั้งเจ็ดได้แน่” เทียแม็ท พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักใจ
“สู้ไม่ได้ชั้นก็จะสู้ค่ะ ชั้นจะต้องไปให้ได้ เพราะนี่คือทางที่ชั้นเลือกเดิน” อากิโกะตอบอย่างห้าวหาญ ซึ่งเทียแม็ทเองก็ดูจะพอใจในคำตอบนี้
“ถ้าอย่างนั้นจงตามหาข้าให้เจอ ณ เทวสถานกลางเวหา สกายลากูน ที่ๆ ไม่เคยมีมรรตัยชนผู้ใดเคยย่างกรายมาถึง ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่นพร้อมกับบาฮามุท ส่วนจะมาได้อย่างไรนั้นวิญญาณแห่งมังกรในกายเจ้าจะเป็นผู้หาคำตอบนี้เอง ลาก่อน” จากนั้นร่างของนางก็เลือนหายไปกับความมืด เป็นเวลาเดียวกันกับที่อากิโกะมองเห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายทางที่ไกลลิบ เธอจึงวิ่งไปยังแสงสว่างนั้นทันที
“โครม โอ๊ย” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเกิดขึ้นที่เตียงนอนในยามเช้า ไม่ใช่เสียงของใครที่ไหนแต่เป็นเสียงของอากิโกะที่ละเมอจนตกเตียงนั่นเอง
“อูย เจ็บชมัด ว่าแต่อเล็กซ์ล่ะ อเล็กซ์ คุณอยู่ไหน เอ๊ะนั่น” พลันสายตาของอากิโกะก็เหลือบไปเห็นแวน เฮลซิ่ง มีดที่ลูคัสใช้กำจัดเหล่าอสูรกายมานักต่อนักแล้ววางอยู่บนที่ของมัน ทว่าไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะบ่งบอกเลยว่าลูคัสยังอยู่ที่นี่
“หรือว่า ความฝันนั้น ไม่นะ อเล็กซ์ มันไม่จริงใช่มั้ย ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” อากิโกะระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เมื่อรู้ว่าการที่เธอได้พบกับเทียแม็ทในความฝันนั้นเป็นเรื่องจริง แล้วเวลานี้ลูคัส กำลังติดอยู่ในอันเดอร์เวิลด์ สถานที่ๆ ยังห่างไกลนักกับฝีมือระดับเธอ และหนทางเดียวในเวลานี้คือ ออกเดินทางค้นหาสกายลากูน และเมื่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว อากิโกะก็เก็บของลงกระเป๋าโดยไม่ลืมที่จะหยิบเอาแวน เฮลซิ่ง ไปด้วย แล้วในเวลาไม่นานอากิโกะพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ เธอหันไปมองบ้านหลังนี้อยู่นานแสนนานราวกับว่าจะจดจำมันเอาไว้ตลอดไป
“อเล็กซ์ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนชั้น และไกลเพียงใด ชั้นจะหาคุณให้พบให้ได้ รอชั้นก่อนนะที่รัก” อากิโกะพูดกับตัวเองในใจ จากนั้นเธอจึงเดินหายลับไปกับกลุ่มคนและการจราจรบนถนนหลวง ในยามเช้าด้วยความหวังและความมุ่งมั่นผสมผสานกับใจสู้ที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ
    ในคืนวันที่อากิโกะหายไปนั้น ที่บ้านของบอยและสิขาก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อผู้มาเยือนในยามวิกาลโดยมิได้รับเชิญคือ บราห์ม สตรูก้า ทันทีที่ได้เห็นพลอยโลหิตที่ห้อยอยู่บนคอของสิขา และใบหน้าอันงดงามของหล่อนอย่างชัดเจน สตรูก้าก็ตกตะลึงไปทันที
“คามิลล่า” เสียงเรียกของเขาฟังดูเศร้าสร้อยและอ่อนโยนยิ่งนัก ยามเอ่ยถึงชื่อนี้ ทว่าสิขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกคล้อยตามด้วยแม้แต่นิดเดียว
“คุณเข้ามาได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้” หล่อนตะโกนไล่เขาออกไปจากบ้าน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล บราห์มตรงเข้ามาหาหล่อนแล้วจากนั้นก็ช้อนร่างของหล่อนขึ้นมาก่อนจะอุ้มไป
“บอย ช่วยด้วย บอย” สิขาตะโกนร้องลั่นแต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล เพราะไม่มีเสียงตอบจากบอยเลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะขัดขืน หรือร้องเรียกให้ใครมาช่วย เพราะป่านนี้มันคงเป็นเหยื่อของวิลเฟรด คนสนิทของข้าไปแล้ว”
“ไม่จริง” สิขา เถียงขึ้นมาทันที แต่แล้วหล่อนก็ต้องตกใจจนสิ้นสติเมื่อเห็นเขี้ยวอันแหลมคมของเขาและดวงตาที่เป็นสีแดงฉานราวกับโลหิต
“มาสเตอร์ เรียบร้อยแล้วครับ” เสียงของวิลเฟรด ดังขึ้นมาจากด้านบนในอุ้งมือของมันคือร่างอันไร้สติของบอยที่ถูกทำร้ายจนบอบช้ำ
“จัดการกับมันซะ ข้าจะพานางกลับไป และเมื่อไหร่ที่ความทรงจำของนางกลับมาแผนการของเราก็จะสมบูรณ์”
“ครับ มาสเตอร์” จากนั้นบราห์ม ก็หอบเอาสิขา ออกไปจากบ้านของหล่อน ปล่อยให้วิลเฟรดจัดการกับบอยตามลำพัง
“ปรกติ ข้าไม่นิยมเลือดของผู้ชายเท่าไหร่นะ แต่ในกรณีของแกถือว่าเป็นข้อยกเว้น” แล้วมันก็อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคม ก่อนที่จะกัดลงไปยังลำคอของบอย ทว่าจู่ๆ ก็มีวัตถุลึกลับชิ้นหนึ่งถูกโยนเข้ามาปะทะกับร่างของมันจนเกิดเปลวไฟสีเขียวลุกโชติช่วงไปทั่ว
“อ๊าคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค” วิลเฟรดสะบัดไฟสีเขียวนั้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน นัยน์ตาของมันแดงกล่ำด้วยความโกรธจากการถูกลอบทำร้าย แล้วมันก็ได้เห็นชายคนหนึ่งในชุดโอเวอร์โคทสีดำ ในมือขวาของเขาถือแส้โลหะที่มีส่วนปลายเป็นรูปกางเขนเปล่งประกายสีเงิน ส่วนที่มือซ้ายคือขวดน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่พร้อมจะใช้จู่โจมใส่ศัตรูทุกเมื่อ
“แก แกเป็นใครกัน ไอ้สุนัขลอบกัด”
“ไม่จำเป็นสำหรับสุนัขรับใช้ที่จะต้องรู้ชื่อข้า” จากนั้นชายคนนั้นก็ตวัดแส้เข้าใส่วิลเฟรด แต่ดูเหมือนมันจะรู้ทัน เอี้ยวตัวหลบเสียก่อน จึงทำให้แส้นั้นแค่เฉี่ยวใบหน้าของมันเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังสร้างแผลฉกรรจ์ให้กับมันได้ วิลเฟรดนั้นเห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจหนีไปก่อนแต่ก็ยังไม่วายถูกลิ่มเงินอันหนึ่งซัดเข้าใส่ที่กลางหลังแม้จะไม่ตรงกับหัวใจ แต่ก็ทำให้มันเจ็บปวดเจียนตาย
“มาไม่ทันจนได้ เจ็บใจจริงๆ” ว่าแล้วเขาก็เอากำปั้นต่อยพื้นอย่างแรง แต่เมื่อมองมาที่ร่างของบอยซึ่งยังคงหมดสติอยู่เขาจึงตัดสินใจพยุงบอยขึ้นมาก่อนที่จะพาออกไปข้างนอก
    และแล้ววงล้อแห่งชะตากรรมที่หมุนวนอยู่ตลอดเวลาก็ได้นำพาเส้นทางของทุกชีวิตที่อยู่ภายใต้ลิขิตของมันให้โคจรมาพบกัน พร้อมๆ กันกับที่ขีดทางแยกให้กับอีกหลายชีวิตที่ต่างก็มุ่งหน้าไปตามทางของตนโดยไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามวงล้อแห่งชะตากรรมอันยิ่งใหญ่
-----------------------------------***** จบภาค 1 วงล้อแห่งชะตากรรม *****-----------------------------------
ปล. จบภาคแรกแล้วนะค่ะ ส่วนภาคสองรอก่อนนะค่ะ เดี๋ยวจะนำมาลงอีกที
...................................
ในขณะที่บราห์ม กำลังเล่นงานก้องและอ้ออยู่นั้น ที่ห้องของลูคัส อากิโกะได้ใช้ความรู้ทั้งหมดของเธอทั้งจากตำนานเทววิทยาที่เธอศึกษามา ผสมผสานกับข้อมูลที่มีอยู่และความรอบรู้ของเผ่ามังกร เพื่อช่วยลูคัสในการหาจุดอ่อนเพื่อเป็นประโยชน์ในการต่อสู้กับอสูรกายตนนั้น ซึ่งลูคัสเป็นคนยืนยันออกมาเองว่ามีพลังพอๆ กับเทพเจ้าเลยทีเดียว แต่ทำยังไงเธอก็ไม่อาจจะหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ได้เลยจนกระทั่งเผลอฟุบหลับไปคาโต๊ะ
“อากิ ผมขอโทษนะที่ต้องทำให้คุณลำบาก” จากนั้นเขาก็ค่อยๆ อุ้มเธอไปวางที่เตียงแล้วเอาผ้าห่มคลุมร่างเธอไว้อย่างทะนุถนอม แล้วหอมแก้มเธอเบาๆ พร้อมกับเป่ามนตร์สะกดที่จะทำให้เธอหลับลึกไปจนถึงเช้าเลยทีเดียว
“หลับให้สบายเถอะ อากิ ผมสัญญาว่าจะช่วยราอินทร์ออกมาให้ได้ ขอโทษด้วยที่ไม่ให้คุณตามไป เพราศัตรูครั้งนี้มันแข็งแกร่งเกินไป และผมคงไม่อาจชนะมันได้แน่ๆ หากคุณตื่นแล้วเห็นผมไม่กลับมาขอให้คุณรู้ไว้ด้วยว่าหัวใจของผมจะอยู่กับคุณเสมอ” จากนั้นลูคัสก็มองดูเธออีกพักหนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากห้องตรงไปยังโรงเก็บรถใต้ดิน เขาเดินตรงไปยังรถสปอร์ตคันโปรดของเขา Infernus เปลวไฟนรกที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นประตูของมันก็เปิดออกลูคัส จึงกระโดดขึ้นไปประจำที่คนขับทันที ก่อนที่จะพุ่งทะยานออกไป อย่างรวดเร็ว โดยมีจุดหมายคือ คฤหาสน์หมาป่าที่อยู่นอกตัวเมือง
    ท่ามกลางห้องนอนที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหรา ราอินทร์รู้สึกตัวขึ้นมาแล้วมองไปรอบด้านอย่างละเอียดถี่ถ้วน ที่สำคัญคือร่างกายของหล่อนไม่อาจขยับได้เลย แต่แล้วจมูกของหล่อนได้กลิ่นของอะไรบางอย่างที่มาจากนอกห้อง ใช่แล้วกลิ่นของอาหาร แต่ว่าที่นี่มันที่ไหนหล่อนไม่อาจรู้ได้ จนกระทั่งมีใครบางคนเปิดประตูเข้ามา
“อาหารมาแล้วครับ นายหญิง”
“ปล่อยชั้นออกไปนะ ไอ้พวกบ้า เอาชั้นมาขังไว้ที่นี่ทำไม” ราอินทร์ ตะโกนขึ้นมาอย่างขัดใจ เสียงกรี๊ดของหล่อนนั้นรุนแรงจนถึงขนาดที่ชายคนที่นำเอาอาหารมาให้ถึงกับเลือดออกหูเลยทีเดียว
“โอย รุนแรงเหลือเกินเสียงอะไรกันเนี่ย” ทว่า เสียงของราอินทร์ ยังคงดังอยู่ต่อไป จนกระทั่งเล็ดลอดออกไปถึงข้างนอกแล้วทำให้ทุกๆ คนปวดหูไปตามๆ กัน แต่จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นมาจนกลบเสียงของราอินทร์ไปหมด และที่สำคัญเสียงของมันช่างดูทรงอำนาจอย่างบอกไม่ถูก จนแม้แต่ราอินทร์ยังต้องถึงกับตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นชายลึกลับที่พาตัวหล่อนมาที่นี่ก็เดินเข้ามาในห้อง
“ไร้ประโยชน์น่า เธอไม่มีทางหนีไปจากพวกเราพ้นหรอก เธอเป็นหนึ่งในพวกเราแล้ว และในไม่ช้าเธอก็จะเป็นราชินีของชั้น”
“พูดบ้าๆ ใครจะเป็นราชินีของแกกัน คิดว่าแกเป็นใคร” หล่อนเชิดหน้าใส่ แล้วตวาดใส่เขาอย่างลืมกลัว ซึ่งทำให้เขาค่อยๆ ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“อา ช่างดุดัน และสวยสง่าเหลือเกิน อย่างนี้สิถึงจะคู่ควรกับการเป็นเจ้าสาวของชั้น หึๆๆ อยากรู้จริงๆ ว่าร่างกายของเธอจะงดงามซักเพียงไหนยามต้องแสงจันทร์แรกของการเปลี่ยนแปลง”
“พูดอะไรของแก ชั้นบอกให้ปล่อยชั้นออกไปเดี๋ยวนี้”
“เอาเถอะ เมื่อเธอยังไม่พร้อมชั้นก็ไม่บังคับ เพราะถึงยังไงชั้นก็ไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จ้องแต่จะทำลายหญิงที่ตัวเองรักหรอก”
“รักเหรอ คนที่รักกันเค้าทำกันแบบนี้เหรอ อยู่ๆ ก็มากัดชั้น ทำให้ชั้นต้องกลายเป็นตัวประหลาด ทำลายชีวิตของชั้น นี่น่ะเหรอที่เรียกว่ารัก” หล่อนตะโกน แล้วร้องไห้ออกมาอย่างเหลืออด
“ใช่ ชั้นมันตัวประหลาดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่พรรคพวกเดียวกันยังหวาดกลัวชั้นเลย นานนับพันๆ ปี ที่ชั้นได้แต่เฝ้ารอที่จะมีใครซักคนที่ชั้นรักและรักชั้น ชั้นไม่อยากทนทุกข์ทรมานอีกต่อไปแล้ว จนในที่สุดชั้นก็พบเธอ” น้ำเสียงของเขาในเวลานี้ช่างฟังดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก เมื่อพูดจบเขาก็นิ่งจมอยู่กับความเงียบในความคิดของตัวเอง เมื่อเห็นสภาพนี้แล้วน้ำตาของราอินทร์ก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว หล่อนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาอย่างประหลาด ราวกับว่าเคยรู้จักกับเขามานานแสนนาน
“ขอบคุณที่อุตส่าห์หลั่งน้ำตาให้กับชั้น ขอโทษที่มารบกวนเวลา พักผ่อนเถอะแล้วกินอาหารซะ”
“ใครบอกว่าชั้นร้องไห้ให้นายกัน ชั้นร้องให้กับตัวเองต่างหาก” หล่อนถียงออกมาอย่างข้างๆ คูๆ
“งั้นรึ แต่ช่างเถอะ ยังไงๆ ในไม่ช้าเธอก็ต้องยอมรับในโชคชะตาและในสิ่งที่เธอเป็นอยู่ดี” จากนั้น เขาก็เดินออกไปจากห้องทิ้งให้หล่อนอยู่เพียงลำพัง แล้วทันใดนั้นเองจู่ๆ หล่อนก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลันราวกับว่ามีดวงไฟอุ่นๆ อยู่ในอกของหล่อน
“นี่มันอะไรกัน ความรู้สึกแบบนี้ ทำไมกัน” จากนั้นราอินทร์ก็หันไปหยิบถาดอาหารขึ้นมาแล้วกินมันอย่างหิวโหยราวกับว่าหล่อนไม่ได้ลิ้มรสชาติของอาหารมานานกว่าศตวรรษ และพยายามที่จะไม่คิดอะไรจนกระทั่งจู่ๆ หล่อนก็รู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่กำลังใกล้เข้ามา
“พี่ลูคัส” หล่อนเองก็ตอบไม่ถูกว่าทำไมถึงรู้ว่าเป็นลูคัสที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา ทว่าสัญชาติญาณและบางสิ่งบางอย่างในตัวหล่อนกำลังเร่งเร้าให้หล่อนต้องทำอะไรซักอย่าง จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเข้ามาอีกครั้ง
“ดูเหมือนคนที่เธอรอจะมาแล้วนะ แต่ว่าจะพาเธอออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่าก็ต้องรอดูกันต่อไป แต่ที่แน่ๆ ชั้นจะไม่ยอมสูญเสียเธอไปง่ายๆ แน่” เมื่อพูดจบเขาก็เดินเข้ามาแล้วจูงมือราอินทร์ออกไป โดยที่หล่อนไม่ได้รู้สึกขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
“ชั้นจะพาเธอไปยังสถานที่ที่จะตัดสินชะตากรรมทั้งของชั้นและเธอ ถ้าหากว่าเพื่อนของเธอสามารถเข้ามาถึงที่นี่ได้นะ” จากนั้นเขาก็พาเธอไปยังลานหินแห่งหนึ่งเบื้องหลังคฤหาสน์ซึ่งเป็นรูปวงกลม และเมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า ก็พบแต่เพียงหมู่เมฆที่ดำทมึนบดบังแสงจันทร์เอาไว้
“ไม่จำเป็นต้องมีแสงจันทร์ ทั้งชั้นและเธอก็สามารถแปลงร่างได้ เพราะเธอได้รับพลังจากชั้นไปโดยตรง เอาล่ะ ถ้าไม่อยากถูกลูกหลงล่ะก็ หลบไปซะ” ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ร่างอันใหญ่โตมหึมาของพวกมนุษย์หมาป่าที่มีลักษณะแปลกกว่ามนุษย์หมาป่าทั่วไป คือ มีขนที่แข็งแกร่งจนแปรสภาพมาเป็นเกราะป้องกันร่างกาย ก็ถูกโยนมากองอยู่ตรงหน้าทั้งสอง แล้วจากนั้นลูคัสซึ่งอยู่ในชุดของแกรนด์มาสเตอร์ก็เดินตรงเข้ามาอย่างเยือกเย็น
“หาแทบตาย ที่แท้ก็แอบมาหลบอยู่ที่นี่เอง เอาล่ะ ส่งนางคืนมาแล้วข้าจะกลับไปแต่โดยดี”
“บุกรุกเข้ามายังเคหะสถานของผู้อื่นในยามวิกาลเช่นนี้ แล้วยังขู่เข็ญต่อเจ้าของสถานที่อีกแบบนี้ ยังจะเรียกว่ามาดีอีกหรือ”
“แล้วถ้าอย่างนั้นการที่ไปลักพาตัวสุภาพสตรีแล้วใช้กำลังบังคับให้ยินยอมเป็นของตนน่ะ เค้าเรียกว่าวิสัยของสุภาพบุรุษหรือเปล่าล่ะ”
“ฝีปากไม่เลวนี่ แต่ข้าเคยบอกท่านแล้ว ว่าอย่ายื่นมือเข้ามาก้าวก่ายในเรื่องของพวกเรา อีกอย่างการที่ข้ารักนางแล้วต้องการที่จะอยู่กับนางมันผิดตรงไหนกัน”
“ผิดแน่นอน เพราะนางมิได้เต็มใจที่จะเป็นพวกของท่านตั้งแต่แรกแล้ว หากแต่ท่านกลับใช้วิธีอันต่ำทรามบีบบังคับนาง อย่างนี้หรือที่เรียกว่าความรัก หากท่านรักนางจริงท่านควรจะถามถึงความสมัครใจจากนางก่อนสิ” ลูคัสตอบโต้ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังราวกับไม่เคยเป็นมาก่อน
“จะมีผู้หญิงที่ไหนเล่าที่จะยอมตกเป็นภรรยาของอสุรกายในสายตาของนาง ที่ผ่านมาแม้แต่สตรีในเผ่าเราต่างก็ล้วนแล้วแต่รังเกียจและหวาดกลัวข้าทั้งนั้น เพียงเพราะข้าแตกต่างออกไป โดยมิได้คำนึงเลยแม้แต่น้อยว่าข้าเองก็มีหัวใจเช่นกัน”
“ก็เลยใช้วิธีทำให้กลายเป็นพวกเดียวกันเพื่อที่จะบังคับให้ยอมรับสภาพอย่างนั้นสิ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ดิมิทรี บุตรแห่งหมาป่าโลกันต์เฟนริลและจิ้งจอกสวรรค์มูนการ์ม” ลูคัสพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความเวทนา
“ที่ท่านรู้มามันก็แค่ความจริงส่วนหนึ่ง เพราะตัวตนที่แท้จริงของข้ามิได้เกิดจากการปฏิสนธิแต่อย่างใด หากแต่ถูกสร้างขึ้นมา ด้วยการนำเอาเลือดเนื้อของ เหล่าเทพเจ้า มนุษย์ เอลฟ์ และ อสุรกายที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลทั้งสอง มารวมเข้าด้วยกัน ในสายตาของทุกๆ ฝ่าย ข้าก็เป็นเพียงแค่ตัวประหลาดตัวนึงเท่านั้น แต่กับนางมันไม่ใช่ ในอดีตหลังจากที่ข้าเดินทางรอนแรมไปจนทั่วทั้งแผ่นดิน ข้าก็ได้พบกับนาง เซรีน่า สตรีนางเดียวที่มองเห็นและเข้าใจในความทุกข์ของข้า” แววตาของดิมิทรีเปลี่ยนไปยามเอ่ยถึงชื่อของอดีตคนรัก
“แต่ท้ายที่สุดนางก็ต้องจากข้าไปอย่างทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือของพวกมนุษย์และแวมไพร์ผู้ถือตนว่าเป็นชนชั้นที่สูงสุด เพียงเพราะความริษยา และความหวาดกลัวในพลังของข้า ข้ายังจำได้เสมอถึงวันที่นางถูกเผาทั้งเป็นต่อหน้าข้า” คำพูดสุดท้ายของดิมิทรีนั้นดังก้องในหัวของลูคัสและราอินทร์ราวกับเสียงของฟ้าผ่าที่ดังกึกก้องกัมปนาทไปทั่วทั้งร่าง เพราะการถูกเผาทั้งเป็นคือการประหารที่ได้ชื่อว่าทารุณที่สุด
“แต่ถึงกระนั้น ก่อนที่ร่างของนางจะถูกเผาจนมอดไหม้นางกลับยิ้มให้ข้า และขอร้องไม่ให้ข้าเกลียดชังมนุษย์ รวมทั้งผู้ที่กระทำการทารุณกรรมต่างๆ นาๆ กับนาง คำพูดสุดท้ายที่นางได้บอกกับข้าคือ มนุษย์เมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณจะกลับคืนสู่ผืนพิภพเพื่อเข้าสู่วงจรแห่งธรรมชาติ แล้วจากนั้นจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ถูกชำระล้างโดยผืนพิภพก็จะกลับมามีชีวิตขึ้นมาใหม่ นับแต่นั้นข้าก็ออกเดินทางไปทั่วทุกดินแดนเพื่อเฝ้ารอการกลับมาของนางมาโดยตลอด จนกระทั่งข้าได้พบกับนางอีกครั้งที่นี่ และเวลานี้ นางก็ได้มาอยู่ทั้งตรงหน้าข้าและท่านแล้ว” ลูคัส หันไปมองราอินทร์ในทันทีขณะที่หญิงสาวเริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่างตอบสนองต่อคำพูดของดิมิทรี ร่างของหล่อนทรุดลงไปกับพื้นก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองมายังทั้งสอง
แล้วทันใดนั้นเองภาพบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำของหล่อน ภาพของฝูงชนที่บ้าคลั่งจำนวนมากซึ่งตะโกนก่นด่าประณามสาปแช่งตัวของหล่อนซึ่งถูกมัดติดอยู่กับแท่งเสามหึมา คนกลุ่มหนึ่งที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายชั้นดีหรูหรา และชายคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับดิมิทรีทุกอย่างซึ่งถูกขังอยู่ในกรงเหล็กขนาดใหญ่ จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป เมื่อเปลวไฟสีแดงฉานลุกท่วมขึ้นมา
“นี่มัน ภาพพวกนี้มัน” ราอินทร์กล่าวขึ้นมาด้วยความสับสน
“ความทรงจำในอดีตของเจ้ายังไงล่ะ” ดิมิทรีพูดขึ้นมาจากภายในลานหินรูปวงกลมนั้น ขณะที่ลูคัสเองก็เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ
“จริงอยู่ที่ในอดีตชั้นคือเซรีน่า คนรักของคุณแต่ตอนนี้ ชั้น คือ ราอินทร์ ผู้หญิงธรรมดาๆ คนนึงเท่านั้น” เมื่อพูดจบราอินทร์ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมที่จะเดินเข้าไปทางลูคัส ทว่า จู่ๆ เปลวไฟสีน้ำเงินโชติช่วงก็ลุกขึ้นมาล้อมรอบลานหินนั้นเอาไว้ ในขณะที่ดิมิทรีย่างทข้าไปเพื่อเผชิญหน้ากับลูคัส ส่วนแฟงก์ ที่พูกโยนมากองกับพื้นนั้นก็รีบหนีออกไปจากบริเวณนั้นได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่กำแพงไฟจะปะทุขึ้น
“นี่คือกำแพงเวทย์มนตร์ที่จะป้องกันไม่ให้ใครบุกรุกเข้ามาจากภายนอกได้ และเช่นกัน ผู้ที่อยู่ในนี้ก็จะไม่สามารถหลุดรอดออกไปได้เช่นกัน” ดิมิทรี พูดกับลูคัส และ ราอินทร์ ก่อนที่จะหยิบเอาอาวุธประจำตัวออกมา มันเป็นอาวุธที่มีรูปร่างเหมือนค้อนขนาดใหญ่และมีสัญลักษณ์เป็นรูปสายฟ้าสลักอยู่บนนั้น
“มาโยนิล ค้อนอัสนีแห่งธอร์ งั้นก็ถึงเวลาที่จะต้องใช้ซันเบิร์นแล้วสิ” ทันใดนั้นเอง ที่มือขวาของลูคัสก็มีประกายแสงที่เจิดจ้าปรากฏขึ้น ก่อนที่จะแปรสภาพเป็นดาบที่เปล่งประกายแสงอันเจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์ออกมา จากนั้นทั้งคู่ต่างก็ยืนจดจ้องกันเพื่อหาจังหวะเข้าจู่โจม
“ทำการบ้านมาดีนี่ รู้ว่าข้าเป็นใครก็เลยเตรียมอาวุธชั้นยอดมาด้วย แต่ถึงยังไงมนุษย์ธรรมดาก็ไม่มีทางเอาชนะ เทพอสูรอย่างข้าได้หรอก”
“ได้หรือไม่ เดี๋ยวก็รู้ แต่ที่แน่ๆ ชั้นสัญญากับคนที่ชั้นรักเอาไว้แล้ว ว่าจะต้องพาตัวราอินทร์กลับไปให้ได้” ลูคัสพูดอย่างมาดมั่นทั้งที่ในความเป็นจริง เขาไม่ได้มีความรู้สึกมั่นใจเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนดิมิทรีจะจับความรู้สึกนี้ได้เช่นกัน
“ข้าสัมผัสได้ ถึงความกลัวที่แฝงอยู่ในจิตใจของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็ไม่มีทางชนะข้าได้เลยแม้แต่น้อย” ดิมิทรีพูดเย้ยหยัน พลางมองลูคัสด้วยสายตาที่ดูแคลน ทว่าลูคัสกลับไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น เขายังคงนิ่งเฉยดุจดังขุนเขาอยู่เช่นนั้น
“ไร้ประโยชน์ ที่จะยั่วยุให้ข้าเสียสมาธิ ลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้มันเก่าไปแล้ว อย่ารอช้าอยู่เลยเรามาบรรเลงกันเลยดีกว่า” จากนั้นทั้งคู่ก็วิ่งเข้าหากันดุจดังแม่เหล็กต่างขั้วที่ดึงดูดซึ่งกันและกัน
“แคร้ง” เสียงของคมดาบและค้อนปะทะกันดังสนั่นหวั่นไหว ทันทีที่อาวุธทั้งสองปะทะกันลูคัสนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าง่ามมือของเขาถึงกับฉีกเพราะพลังอันรุนแรงของค้อนอัสนี และความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ในทันที ส่วนดิมิทรีเองนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่มนุษย์สามารถต้านทานพลังของเทพอสูรอย่างเขาได้ หนำซ้ำยังทำให้เขาต้องถึงกับผงะไปด้านหลังอีกด้วย
“ไม่เลวเลยนี่สำหรับมนุษย์” ดิมิทรีกล่าวชมลูคัสอย่างจริงใจ
“เป็นเกียรติอย่างสูง” ลูคัส คำนับรับคำชมนี้ ก่อนที่จะตั้งท่าเตรียมสู้ต่อ
“เช่นกัน ได้สู้กับคนมีฝีมือแบบนี้สำหรับข้านับเป็นโชคดีอย่างที่สุด” ทันใดนั้นในมือซ้ายของดิมิทรีก็มีลูกบอลสายฟ้าลูกหนึ่งปรากฏขึ้น
“ไปเลย ธันเดอร์บอล” เขาขว้างมันใส่ลูคัสอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายก็สามารถหลบมันได้อย่างทันท่วงที พร้อมกับขว้างลูกไฟในมือซ้ายออกไปเป็นการตอบโต้ทันที
“ไฟเยอร์ บอลลลลลลลลลล” ลูกไฟจากมือของลูคัสพุ่งเข้าปะทะร่างของดิมิทรีอย่างแรง จนเกิดเปลวไฟลุกท่วม แต่ทว่าดิมิทรีกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“มีเท่านี้เองรึ แกรนด์มาสเตอร์ ถ้าอย่างนั้นลองรับของข้าดูอีกซักครั้งเป็นยังไง” จากนั้นดิมิทรีก็ขว้างลูกบอลสายฟ้าใส่ลูคัสทันที แต่ลูคัสก็ยังคงหลบได้อยู่ดี
“เอ้าๆ ถ้ามัวแต่หลบล่ะก็จะไม่มีทางสู้ข้าได้นะ เอาล่ะรับไปเลยแบบต่อเนื่อง” ฉับพลันลูกบอลสายฟ้านับร้อยๆ ลูกก็พุ่งเข้าใส่ลูคัสราวกับปืนกล แต่แทนที่จะหลบเขากลับใช้ดาบปัดมันออกอย่างรวดเร็ว อานุภาพของแต่ละลูกนั้นนับได้ว่ารุนแรงมากทีเดียว เพราะแม้แต่ราอินทร์ที่ดูอย่างระทึกด้านนอกยังถึงกับสั่นสะท้านจากคลื่นพลังที่แผ่อออกมาถึงด้านนอก หากไม่มีกำแพงไฟเวทย์มนตร์ป้องกันเอาไว้ บางทีบริเวณรอบๆ อาจจะถูกทำลายจนแหลกเป็นผงเป็นแน่ และในจังหวะที่ดิมิทรีกำลังจะสร้างลูกพลังต่อเนื่องนั้นเองลูคัสก็สบโอกาสยิงลูกไฟของตนออกไปบ้าง
“ไฟเยอร์ / ธันเดอร์ บอลลลลลลลลล” ลูกพลังทั้งสองกระทบกันกลางอากาศแล้วจึงระเบิดออกมาเป็นกระแสไฟฟ้าและเปลวไฟที่ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
“ยอดจริงๆ ปฏิกริยาตอบสนองสูงมาก ฮึบ” ลูคัสที่นึกชมคู่ต่อสู้อยู่ในใจต้องเอี้ยวตัวหลบอย่างกะทันหัน เนื่องจากค้อนอัสนีของดิมิทรีที่ฟาดเข้ามาอย่างแรง และต่อเนื่อง จนแทบจะไม่มีจังหวะให้หายใจ จนกระทั่งร่างของลูคัสถูกต้อนเข้าไปจนใกล้กำแพงเปลวไฟเข้าไปทุกที
“ธันเดอร์ สแมช” ดิมิทรีเหวี่ยงค้อนที่อาบพลังสายฟ้าอย่างเต็มเปี่ยมเข้าไปที่กลางตัวของลูคัสอย่างแรง แต่เขาก็สามารถแก้สถานการณ์นี้ได้ด้วยการใช้ทางแบนของดาบยกขึ้นรับ แต่ความรุนแรงของมันทำให้ร่างของเขาถึงกับหมุนคว้างขึ้นไปบนอากาศเลยทีเดียว และในจังหวะนี้เองที่ดิมิทรีไม่รอช้าปล่อยพลังสายฟ้าเข้าใส่ทันที
“กลางอากาศไม่มีทางหลบได้ รับไปเลย ธันเดอร์ บอล” ลูกพลังสายฟ้าพุ่งเข้าหาลูคัสอย่างรวดเร็ว
“ฝันไปเถอะ” ลูคัสใช้ดาบปัดมันกลับไปหาดิมิทรีทันที พร้อมๆ กับขว้างลูกไฟของตัวเองตามไปด้วย
“เปรี๊ยะ ตูม” ดิมิทรีโดนเข้าไปทั้งพลังของตัวเองและลูคัสจนถึงกับกระอักเลือด และทรุดลงกับพื้นทันที โดยที่ไม่ทันให้ตั้งตัว ลูคัสฉวยโอกาสนี้รีบฟันดิมิทรีทันที
“แคร้ง” แต่ดิมิทรีก็สามารถยกค้อนของเขาขึ้นรับได้ทัน แล้วจึงปัดดาบของลูคัสออกไป ทำให้ลูคัสต้องเสียหลักไปและในจังหวะนี้เองดิมิทรีก็หวดค้อนของเขาเข้าใส่ทันที
“พลั่ก” ค้อนของดิมิทรีกระทบหลังของลูคัสอย่างเต็มแรง จนลูคัสถึงกับกระเด็นไปและกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มเลยทีเดียว ส่วนความเจ็บปวดนั้นเรียกได้ว่ามากกว่าตอนที่โดนเขาของเบฮีมอธแทงหลายเท่านัก
“เอาล่ะนะ จบสิ้นกันที” ดิมิทรีควงค้อนเข้ามาแล้วเหวี่ยงเข้าใส่เพื่อหวังเผด็จศึก แต่ทว่ากลับถูกลูคัสใช้ดาบแทงสวนเข้าไปที่หัวค้อนด้วยพลังอันรุนแรงบวกกับที่ไม่คาดคิดมาก่อน ดิมิทรีถึงกับกระเด็นล้มกลิ้งไม่เป็นท่าเลยทีเดียว
“ทำให้ข้า ถึงกับล้มลงสัมผัสพื้นดินได้ถึงสองครั้งนับว่ายอดเยี่ยมมาก แต่จะสู้กับพลังที่แท้จริงของข้าได้รึเปล่า จงดูให้ดีร่างและพลังที่แท้จริงของดิมิทรีผู้นี้” แล้วในทันใดนั้นเอง เมฆที่บดบังดวงจันทร์ก็แยกตัวออกเผยให้เห็นจันทร์เต็มดวงที่ส่องประกายสีเหลืองนวล
“ฮื่อ...................แฮ่...................แง่ง.....โอ๊ออออออออออออออออออออออออออออออ” ทันทีที่ร่างสัมผัสแสงจันทร์ดิมิทรี ก็ส่งเสียงคำรามอันทรงพลังออกมา แล้วจากนั้นประกายแสงสีทองก็ห้อมล้อมร่างของเขาไว้ และแล้วร่างของเขาก็แปรสภาพโดยสิ้นเชิง เป็นมนุษย์หมาป่าที่มีร่างกายใหญ่โต สวมเกราะสีทองที่แปรสภาพมาจากเส้นขนบนร่างทั่วทั้งตัว ดวงตาสีแดงกล่ำราวกับเปลวไฟ และเขี้ยวเล็บอันแหลมคมที่พร้อมจะฉีกกระชากร่างของศัตรู และทันทีที่ได้เห็นร่างที่แท้จริงอันเต็มตัวของดิมิทรี ราอินทร์ซึ่งเฝ้าดูการต่อสู้อยู่ภายนอกก็เริ่มเกิดอาการแปลกประหลาดตอบสนองกับการแปลงร่างของดิมิทรี
“โอ๊ะ โอ๊ย ร้อน ร้อนเหลือเกิน อ๊า” เสียงร้องของราอินทร์ดังไปทั่วทำให้ลูคัส และ ดิมิทรีที่เตรียมจะเข้าห้ำหั่นกันต้องพักรบชั่วคราวแล้วหันไปดู ราอินทร์ซึ่งในเวลานี้ประกายแสงสีเงินห้อมล้อมจับไปทั่วร่าง และอักขระสีทองที่หมุนอย่างรวดเร็วรอบๆ ร่างอันบอบบางราวกับผนึกที่คอยพันธนาการหล่อนเอาไว้
“โฮกกกกกกกกกกกกกก” เสียงคำรามดังออกมาจากร่างของหล่อน จากนั้นอักขระสีทองที่หมุนเร็วขึ้นทุกขณะก็เกิดรอยร้าวขึ้นและแตกกระจายไป ก่อนที่จะถูกสูบเข้าไปในร่างของหล่อน
“นี่มันอะไรกัน” ลูคัส ถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ บัดนี้พลังอำนาจของข้ามีอิทธิพลเหนือคำสาปของเจ้าที่ควบคุมนางเอาไว้แล้ว แกรนด์มาสเตอร์ และในไม่ช้าเจ้าจะได้เห็นร่างอันงดงามของนางที่อาบแสงจันทร์อย่างเต็มเปี่ยม ราอินทร์นางพญาแห่งข้าจงปลดปล่อยสัญชาติญาณและพลังที่แท้จริงแห่งวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่ถูกสะกดในร่างของเจ้ามานานแสนนานออกมา บัดนี้ถึงเวลาแห่งชะตากรรมที่จะระเบิดศึกอสูรอันยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสหัสวรรษแล้ว” ทันทีที่ประกายแสงสีเงินหายไปราอินทร์ก็อยู่ในร่างของมนุษย์หมาป่าขนสีเงินที่สง่างามราวกับนางพญา และเช่นกันกับดิมิทรีเกราะสีเงินที่แปรสภาพจากขนอันแข็งแกร่งถูกสวมอยู่ทั่วร่าง รวมทั้งกรงเล็บอันแหลมคมนั้นช่างเหมือนกับดิมิทรีผู้เป็นต้นแบบไม่มีผิด จะต่างกันก็ตรงที่ แววตาที่ยังคงเดิมแววตาของมนุษย์และปีกสีขาวสดใสราวกับปีกแห่งเทพยาดา รวมถึงใบหน้าที่ยังคงไว้ซึ่งโครงหน้าเดิมของมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่
“อะไรกัน นี่ นี่เรา เราเป็นอะไรกันแน่ ทำไม” หล่อนมองดูร่างกายของตัวเองก่อนจะอุทานออกมาด้วยความตะลึงลาน ทว่าลักษณะที่แสดงออกมานั้นกลับไม่ใช่ท่าทีของราอินทร์คนเดิมเลยแม้แต่น้อย
“นี่มัน จริงสิการที่นางดูดซับเอาพลังแห่งผนึกมนตราที่สะกดเอาไว้รวมเข้ากับวิญญาณแห่งสัตว์ป่าที่ถูกปลดปล่อยออกมาในการแปลงร่างครั้งแรก ทำให้นางเกิดการพัฒนาขั้นสูงสุดเปลี่ยนสภาพเป็นเทพอสูรเช่นเดียวกับข้า” ดิมิทรีพูดออกมาด้วยความยินดี และพอใจอย่างถึงขีดสุด โดยเฉพาะในยามที่สบตากับราอินทร์ซึ่งจ้องลงมาที่เขาอย่างพอดี
“ดิมิทรี ยอดรักของข้า ในที่สุดข้าก็ตามหาท่านจนพบ”
“โอ ในที่สุดทุกสิ่งที่ข้าทำไปก็ไม่สูญเปล่า ที่รักของข้า ข้ารอคอยจ้ามานานแสนนานเหลือเกิน นานนับพันๆ ปี”
“ใช่ และ จากนี้ไปเราจะไม่พรากจากกันอีก” เมื่อพูดจบหล่อนก็หันมาหาลูคัสด้วยสายตาที่วิงวอน
“พี่ลูคัส ได้โปรดกลับไปเถอะค่ะ ปล่อยให้เราได้อยู่กันตามลำพังเถอะ นะคะ ก่อนหน้านี้หนูเคยมีความรู้สึกอยู่เสมอว่าตามหาใครบางคนและเหมือนกับมีเสียงจากใครบางคนคอยเรียกหาหนูอยู่ ตอนนี้หนูได้พบคำตอบแล้ว ได้โปรดเถอะค่ะ ปล่อยให้หนูอยู่กับเค้าเถอะ ตอนนี้หนูไม่ใช่คนธรรมดาอีกแล้ว”
“พี่ก็อยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน จริงอยู่ที่พี่สัญญากับอากิ ว่าจะต้องพาเรากลับไปให้ได้ แต่ว่าพี่มีเหตุผลที่จะต้องสู้ ซึ่งพี่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่บางสิ่งบางอย่างในตัวพี่มันกำลังเรียกร้องอยู่ ให้พี่เอาชนะชายคนนี้ให้ได้ อีกอย่างไม่มีใครเห็นเราเป็นอย่างอื่นเลยซักนิดเดียว ทุกคนก็ยังเห็นเป็นราอินทร์คนเดิมนั่นแหละ”
“พี่ลูคัส.......” ราอินทร์ยืนมองหน้าลูคัสด้วยใบหน้าที่นองด้วยน้ำตา ขณะที่ดิมิทรีนั้นเข้าใจในความรู้สึกของหล่อนดี และรับรู้ถึงบางสิ่งที่แฝงอยู่ในตัวของลูคัสเช่นกัน
“แกรนด์มาสเตอร์ เรามาตัดสินกันดีกว่า ตัดสินกันในครั้งเดียว” ดิมิทรีพูดกับลูคัสด้วยน้ำเสียงอันเฉียบขาด
“ได้เลย ดิมิทรี ข้าพร้อมเสมอ” ลูคัสตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงความกลังวและความลังเลหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ขอบคุณสำหรับโอกาสที่มอบให้กับเราสองคน”
“ถ้าจะขอบคุณ ไปขอบคุณราอินทร์เถอะแล้วอย่าลืมขอโทษที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นแบบนี้ด้วยล่ะ”
“แน่นอน ข้าขอเอาชีวิตและวิญญาณของข้าเป็นประกัน ว่าจะดูแลนางอย่างดีที่สุด” แล้วดิมิทรีก็ยกค้อนขึ้นเพื่อรับพลังสายฟ้าและหมายจะเผด็จศึกในครั้งเดียว
“ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจหน่อย เอาล่ะนะ” จากนั้นลูคัสก็จรดดาบในท่าเตรียมพร้อม ทันใดนั้นซันเบิร์นก็เปล่งประกายอันเจิดจ้าและงดงามออกมา แล้วทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหากันหมายที่จะตัดสินกันในครั้งเดียว
“ไลท์นิ่ง แฮมเมอร์ สไตรค์”
“กราวนด์ ซีโร่”
“เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงง ครืนนนนนนนนนนนนน” พลังของทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรงจนกระทั่งส่งผลกระทบไปทั่วประกายแสงจากการปะทะสว่างจ้าจนไม่อาจมองเห็นได้ว่าใครคือผู้ชนะ จนกระทั่งแสงสว่างดับลงทุกสรรพสิ่งต่างอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีร่างของทั้งผู้แพ้และผู้ชนะหากแต่สิ่งที่หลงเหลือไว้คือ หลุมขนาดใหญ่และวัตถุประหลาดรูปทรงกลมสีดำที่ลอยอยู่ตรงกลางบริเวณที่เคยเป็นสถานที่ต่อสู้มาก่อน จากนั้นวัตถุทรงกลมสีดำขนาดใหญ่นั้นก็ค่อยๆ สูญสลายไป
“พี่ลูคัส ดิมิทรี ไม่นะ” ราอินทร์ร้องออกมาด้วยความเสียขวัญ เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น หลุมดำอันไร้ก้นบึ้งที่ดูดเอาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดและผู้ที่ติดอยู่ในนั้นจะไม่มีวันได้ออกมาอีกตลอดกาล หลุมดำที่เกิดจากการปะทะของสองสุดยอดอาวุธที่ทั้งสองต่างทุ่มเทพลังอย่างเต็มที่เพื่อตัดสินชัยชนะของตน
“พี่ลูคัส ไหนบอกว่าจะพาหนูกลับไปหาพี่อากิโกะไง แล้วทำไมถึงทำแบบนี้ ดิมิทรี คนโกหกไหนคุณบอกไงว่าจะไม่พรากจากกันอีก” จากนั้นราอินทร์ก็ทรุดลงนั่งร้องไห้อย่างสิ้นหวังพร้อมทั้งคืนสภาพเดิมสู่ร่างมนุษย์ เสียงร้องไห้ของหล่อนนั้นมันช่างเศร้าสร้อยและโหยหวนยิ่งนัก แม้แต่เหล่ามนุษย์หมาป่าและแฟงก์ที่อยู่ในคฤหาสน์ต่างก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
    คืนนั้น ท่ามกลางสายหมอกภายใต้ความมืดมิด อากิโกะพบว่าตัวเองเดินหลงทางเคว้งคว้างอย่างคนที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง เพราะไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็พบแต่ความมืดและความหนาวเหน็บที่บาดลึกเข้าไปจนถึงกระดูก
“อเล็กซ์ คุณอยู่ที่ไหน อเล็กซ์” อากิโกะตะโกนเรียกหาคนรักของเธออย่างเสียขวัญทว่า เสียงที่ตอบกลับมานั้นมันช่างอยู่ไกลแสนไกลยิ่งนัก
“อา...................กิ...................................อา........................................กิ” เสียงเรียกที่แผ่วเบาแต่ฟังดูคุ้นหู เป็นดังเสียงที่นำทางให้กับอากิโกะ เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ เทียแม็ทก็ปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าอากิโกะไว้
“นั่นไม่ใช่ที่ของเจ้า ทางที่เจ้าควรจะไปไม่ใช่ทางนั้น” นางเตือนสติอากิโกะอย่างนุ่มนวลและเยือกเย็น
“แต่ว่า อเล็กซ์เค้า”
“ข้าเข้าใจ จิตใจของเจ้าดี แต่ว่าสถานที่แห่งนั้นที่ๆ เจ้ากำลังจะเดินเข้าไปนั้นหาใช่สถานที่ที่ฝีมือระดับเจ้าจะเข้าไปได้ไม่ มันคือดินแดนต้องห้ามแห่งผู้ถูกสาป ดินแดนแห่งเหล่าผู้ทรยศต่อสวรรค์ ดินแดนที่เรียกกันว่าอันเดอร์เวิลด์
“แล้วอเล็กซ์ล่ะคะ ชั้นจะเข้าไปช่วยเค้าออกมา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และหากกลับออกมาไม่ได้ชั้นก็ขออยู่ร่วมกับเขาตลอดไปภายในนั้น สำหรับชั้นเค้าคือทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะอยู่หรือตายชั้นจะต้องไปหาเค้าให้ได้”
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้น ข้าคงมิอาจห้าม หนทางเดียวที่จะเข้าไป คือเจ้าจะต้องค้นหากุญแจแห่งประตูนรกทั้งเจ็ดซึ่งใช้ในการเปิดทวารสู่อันเดอร์เวิลด์เสียก่อน แต่ลำพังตัวเจ้าตอนนี้ไม่มีทางที่จะเอาชนะเทพผู้พิทักษ์กุญแจทั้งเจ็ดได้แน่” เทียแม็ท พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักใจ
“สู้ไม่ได้ชั้นก็จะสู้ค่ะ ชั้นจะต้องไปให้ได้ เพราะนี่คือทางที่ชั้นเลือกเดิน” อากิโกะตอบอย่างห้าวหาญ ซึ่งเทียแม็ทเองก็ดูจะพอใจในคำตอบนี้
“ถ้าอย่างนั้นจงตามหาข้าให้เจอ ณ เทวสถานกลางเวหา สกายลากูน ที่ๆ ไม่เคยมีมรรตัยชนผู้ใดเคยย่างกรายมาถึง ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นั่นพร้อมกับบาฮามุท ส่วนจะมาได้อย่างไรนั้นวิญญาณแห่งมังกรในกายเจ้าจะเป็นผู้หาคำตอบนี้เอง ลาก่อน” จากนั้นร่างของนางก็เลือนหายไปกับความมืด เป็นเวลาเดียวกันกับที่อากิโกะมองเห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายทางที่ไกลลิบ เธอจึงวิ่งไปยังแสงสว่างนั้นทันที
“โครม โอ๊ย” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเกิดขึ้นที่เตียงนอนในยามเช้า ไม่ใช่เสียงของใครที่ไหนแต่เป็นเสียงของอากิโกะที่ละเมอจนตกเตียงนั่นเอง
“อูย เจ็บชมัด ว่าแต่อเล็กซ์ล่ะ อเล็กซ์ คุณอยู่ไหน เอ๊ะนั่น” พลันสายตาของอากิโกะก็เหลือบไปเห็นแวน เฮลซิ่ง มีดที่ลูคัสใช้กำจัดเหล่าอสูรกายมานักต่อนักแล้ววางอยู่บนที่ของมัน ทว่าไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะบ่งบอกเลยว่าลูคัสยังอยู่ที่นี่
“หรือว่า ความฝันนั้น ไม่นะ อเล็กซ์ มันไม่จริงใช่มั้ย ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” อากิโกะระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เมื่อรู้ว่าการที่เธอได้พบกับเทียแม็ทในความฝันนั้นเป็นเรื่องจริง แล้วเวลานี้ลูคัส กำลังติดอยู่ในอันเดอร์เวิลด์ สถานที่ๆ ยังห่างไกลนักกับฝีมือระดับเธอ และหนทางเดียวในเวลานี้คือ ออกเดินทางค้นหาสกายลากูน และเมื่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว อากิโกะก็เก็บของลงกระเป๋าโดยไม่ลืมที่จะหยิบเอาแวน เฮลซิ่ง ไปด้วย แล้วในเวลาไม่นานอากิโกะพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ เธอหันไปมองบ้านหลังนี้อยู่นานแสนนานราวกับว่าจะจดจำมันเอาไว้ตลอดไป
“อเล็กซ์ ไม่ว่าจะนานแค่ไหนชั้น และไกลเพียงใด ชั้นจะหาคุณให้พบให้ได้ รอชั้นก่อนนะที่รัก” อากิโกะพูดกับตัวเองในใจ จากนั้นเธอจึงเดินหายลับไปกับกลุ่มคนและการจราจรบนถนนหลวง ในยามเช้าด้วยความหวังและความมุ่งมั่นผสมผสานกับใจสู้ที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ
    ในคืนวันที่อากิโกะหายไปนั้น ที่บ้านของบอยและสิขาก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อผู้มาเยือนในยามวิกาลโดยมิได้รับเชิญคือ บราห์ม สตรูก้า ทันทีที่ได้เห็นพลอยโลหิตที่ห้อยอยู่บนคอของสิขา และใบหน้าอันงดงามของหล่อนอย่างชัดเจน สตรูก้าก็ตกตะลึงไปทันที
“คามิลล่า” เสียงเรียกของเขาฟังดูเศร้าสร้อยและอ่อนโยนยิ่งนัก ยามเอ่ยถึงชื่อนี้ ทว่าสิขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกคล้อยตามด้วยแม้แต่นิดเดียว
“คุณเข้ามาได้ยังไง ออกไปเดี๋ยวนี้” หล่อนตะโกนไล่เขาออกไปจากบ้าน แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล บราห์มตรงเข้ามาหาหล่อนแล้วจากนั้นก็ช้อนร่างของหล่อนขึ้นมาก่อนจะอุ้มไป
“บอย ช่วยด้วย บอย” สิขาตะโกนร้องลั่นแต่ดูเหมือนว่าจะไร้ผล เพราะไม่มีเสียงตอบจากบอยเลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะขัดขืน หรือร้องเรียกให้ใครมาช่วย เพราะป่านนี้มันคงเป็นเหยื่อของวิลเฟรด คนสนิทของข้าไปแล้ว”
“ไม่จริง” สิขา เถียงขึ้นมาทันที แต่แล้วหล่อนก็ต้องตกใจจนสิ้นสติเมื่อเห็นเขี้ยวอันแหลมคมของเขาและดวงตาที่เป็นสีแดงฉานราวกับโลหิต
“มาสเตอร์ เรียบร้อยแล้วครับ” เสียงของวิลเฟรด ดังขึ้นมาจากด้านบนในอุ้งมือของมันคือร่างอันไร้สติของบอยที่ถูกทำร้ายจนบอบช้ำ
“จัดการกับมันซะ ข้าจะพานางกลับไป และเมื่อไหร่ที่ความทรงจำของนางกลับมาแผนการของเราก็จะสมบูรณ์”
“ครับ มาสเตอร์” จากนั้นบราห์ม ก็หอบเอาสิขา ออกไปจากบ้านของหล่อน ปล่อยให้วิลเฟรดจัดการกับบอยตามลำพัง
“ปรกติ ข้าไม่นิยมเลือดของผู้ชายเท่าไหร่นะ แต่ในกรณีของแกถือว่าเป็นข้อยกเว้น” แล้วมันก็อ้าปากเผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคม ก่อนที่จะกัดลงไปยังลำคอของบอย ทว่าจู่ๆ ก็มีวัตถุลึกลับชิ้นหนึ่งถูกโยนเข้ามาปะทะกับร่างของมันจนเกิดเปลวไฟสีเขียวลุกโชติช่วงไปทั่ว
“อ๊าคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค” วิลเฟรดสะบัดไฟสีเขียวนั้นด้วยความเจ็บปวดทรมาน นัยน์ตาของมันแดงกล่ำด้วยความโกรธจากการถูกลอบทำร้าย แล้วมันก็ได้เห็นชายคนหนึ่งในชุดโอเวอร์โคทสีดำ ในมือขวาของเขาถือแส้โลหะที่มีส่วนปลายเป็นรูปกางเขนเปล่งประกายสีเงิน ส่วนที่มือซ้ายคือขวดน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่พร้อมจะใช้จู่โจมใส่ศัตรูทุกเมื่อ
“แก แกเป็นใครกัน ไอ้สุนัขลอบกัด”
“ไม่จำเป็นสำหรับสุนัขรับใช้ที่จะต้องรู้ชื่อข้า” จากนั้นชายคนนั้นก็ตวัดแส้เข้าใส่วิลเฟรด แต่ดูเหมือนมันจะรู้ทัน เอี้ยวตัวหลบเสียก่อน จึงทำให้แส้นั้นแค่เฉี่ยวใบหน้าของมันเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังสร้างแผลฉกรรจ์ให้กับมันได้ วิลเฟรดนั้นเห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจหนีไปก่อนแต่ก็ยังไม่วายถูกลิ่มเงินอันหนึ่งซัดเข้าใส่ที่กลางหลังแม้จะไม่ตรงกับหัวใจ แต่ก็ทำให้มันเจ็บปวดเจียนตาย
“มาไม่ทันจนได้ เจ็บใจจริงๆ” ว่าแล้วเขาก็เอากำปั้นต่อยพื้นอย่างแรง แต่เมื่อมองมาที่ร่างของบอยซึ่งยังคงหมดสติอยู่เขาจึงตัดสินใจพยุงบอยขึ้นมาก่อนที่จะพาออกไปข้างนอก
    และแล้ววงล้อแห่งชะตากรรมที่หมุนวนอยู่ตลอดเวลาก็ได้นำพาเส้นทางของทุกชีวิตที่อยู่ภายใต้ลิขิตของมันให้โคจรมาพบกัน พร้อมๆ กันกับที่ขีดทางแยกให้กับอีกหลายชีวิตที่ต่างก็มุ่งหน้าไปตามทางของตนโดยไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นไปตามวงล้อแห่งชะตากรรมอันยิ่งใหญ่
-----------------------------------***** จบภาค 1 วงล้อแห่งชะตากรรม *****-----------------------------------
ปล. จบภาคแรกแล้วนะค่ะ ส่วนภาคสองรอก่อนนะค่ะ เดี๋ยวจะนำมาลงอีกที
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น