ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 ชะตากรรม
บทที่ 5 ชะตากรรม
...................................
ร้านหมูกระทะเจ้าประจำที่เหล่าชาวหนอนใช้เป็นที่สังสรรค์ บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ต่างก็ทยอยกันออกมาหาสถานที่พักผ่อน และสนทนากันทั้งในครอบครัวและมิตรสหายต่างๆ รถสปอร์ตคันงามพุ่งเข้ามาในลานจอดรถอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหักหัวเข้าซองอย่างคล่องแคล่ว เรียกว่านักแข่งมืออาชีพยังอาย และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเท้าสัมภเวสีรถคันนี้มิใช่ใครที่ไหนแต่เป็น อากิโกะนั่นเอง
“วู้ว ไม่ได้ขับแบบเมามันแบบนี้มานานแล้ว” เธอ ร้องตะโกนออกมาอย่างสะใจ ในขณะที่ลูคัส ที่นั่งมาด้วยนั้นสีหน้าเรียบเฉยเนื่องจากจิตวิญญาณกระโดดหนีลงไปตั้งแต่ตอนที่แม่คุณเหยียบ 240 แล้วขับผ่าช่องจราจร ฝ่าไฟแดง กลางสี่แยกใหญ่แถวสุขุมวิทเรียบร้อยไปแล้ว และทันทีที่รถจอดสนิทโดยไม่บุบสลายรถมอเตอร์ไซค์สายตรวจของตำรวจจราจร สน.อักษรย่อแห่งหนึ่งก็เข้ามาจอดเคียงข้าง ท่ามกลางสายตาคนนับร้อยที่มองอยู่
“ประทานโทษครับ ขอดูใบอนุญาตหน่อยครับ” ผู้พิทักษ์สันติราษฎรเดินมาทำความเคารพก่อนที่จะเรียกขอดูใบอนุญาตขับขี่จากอากิโกะ
“อืม ใบอนุญาตอะไรเหรอคะ ขับรถ หรือเครื่องบิน หรืออนุญาตอะไรเอ่ย” อากิโกะถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่หวานหยาดเยิ้มชวนฝัน พร้อมทั้งโปรยรอยยิ้มที่หวานจ๋อยเล่นเอาคุณตำรวจถึงกับลืมครอบครัวไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนนี้ เธอแต่งกายด้วยเสื้อสายเดี่ยวสีชมพู ผูกโบว์สีขาวไว้ที่กลางอกเสื้อ ทำให้แลดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก แต่ทว่าลูคัสที่มาด้วยกันนั้นกลับใส่แค่เสื้อหนอนหื่นกับกางเกงขาสั้นสามส่วนสีเทากลาง 18% เท่านั้น เรียกว่าไม่ต้องคิดอะไรมากเลย
“เอ่อ คือว่า อะเฮ่อ ใบอนุญาตขับขี่ครับโผม” คุณตำรวจเริ่มสติแตกทีละน้อยเมื่อเจอลูกไม้นี้ของอากิโกะ แต่ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเจรจาอยู่นั่นเอง ลูคัสที่สติกลับคืนมาแล้วก็โบกมือไปที่หน้าตำรวจอย่างช้าๆ
“คุณ ไม่จำเป็นต้องดูใบอนุญาตของเธอหรอก” ลูคัสพูดนำขึ้น
“ผมไม่จำเป็นต้องดูใบอนุญาตของคุณผู้หญิง” ตำรวจกล่าวตามราวกับเด็กอนุบาลหมีน้อยกำลังท่องจำสิ่งที่คุณครูสอน
“ปล่อยให้เธอทำธุระของเธอได้ตามสบาย”
“เชิญทำธุระต่อได้เลยครับ”
“คุณจะกลับไปทำงานต่อ และจำไม่ได้ว่าคุณพบเห็นอะไรมา”
“ผมจะกลับไปทำงานต่อ แต่ผมจำไม่ได้ว่าผมเห็นอะไร” พูดจบตำรวจผู้น่าสงสารก็ทำความเคารพแล้วเดินกลับไปขึ้นรถของตน แล้วขี่รถออกไปจากลานจอดรถ
“ขอบคุณมากค่ะ ที่รัก” ว่าแล้ว อากิโกะก็หอมแก้มเขาหนึ่งฟอดแรงๆ ก่อนจะก้มลงสำรวจตัวเองตามประสาผู้หญิง
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะค่ะ อเล็กซ์” จากนั้นอากิโกะ ก็ลงจากรถ พร้อมทั้งหยิบเอากล้องตัวใหม่ที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษออกมาด้วย แล้วลูคัสจึงตามออกมาพร้อมกับ EOS Zeta 1D ที่สวมเลนส์ EF-S 24-600 mm F2.8 L DO IS USM เรียบร้อย ก่อนจะดึงเอา 580 EX II เข้ามาสวมที่ฮอตชู แล้วทดสอบโดยการถ่ายภาพภรรยาสุดที่รักของเขาไปก่อน 1 ภาพ แต่แน่นอน เขาเองก็ถูกเธอสวนกลับด้วย D3X ที่เสริมประสิทธิภาพด้วยกริปรับส่งสัญญาณที่ใต้ฐานบอดี้ พร้อมด้วยเลนส์คุณภาพสุดยอดอย่าง AF-S DX VR18-600 mm F2.8 G IF ED กับ SB 800 2 ตัว ที่เสียบอยู่บนฮอตชูด้านข้างทั้ง 2 ด้าน
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินขึ้นไปในร้านเพื่อหาที่นั่งและดูว่ามีใครมากันบ้างหรือยัง แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงทักทายมาจากกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ บริเวณโต๊ะตัวใหญ่ที่สุดที่ให้บรรยากาศที่ดูเป็นส่วนตัวมากๆ ทั้งสองจึงเดินไปยังโต๊ะนั้นระหว่างทางลูคัสได้เดินสวนกับพนักงานสาวๆ หลายคนและแน่นอน ว่า หาได้มีใครรอดไปจากมือของลูคัสไม่ ฝ่ามืออันว่องไวปานงูฉกสัมผัสกับบั้นท้ายของพนักงานคนแล้วคนเล่าโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ยกเว้นอากิโกะเท่านั้น และแล้วรองเท้าของอากิโกะก็สัมผัสกับเท้าของเขาอย่างนุ่มนวลแต่ทรงพลังยิ่งนัก  เล่นเอาลูคัสถึงกับลงไปทรุดน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว
“สวัสดีค่ะ ทุกๆ คน” อากิโกะในเวลานี้ที่ดูสวยกว่าเมื่อกลางวันมาก ทักทายกับทุกๆ คนอย่างเป็นกันเอง จากนั้นเธอก็นั่งลงข้างๆ ลูคัส ที่หาที่นั่งว่างได้เรียบร้อยแล้ว แล้วหลังจากนั้นเธอก็ตกเป็นเป้าให้ทุกคนได้เปิดประเด็นสัมภาษณ์กันอย่างถึงลูกถึงคนเลยทีเดียว แล้วหลังจากนั้นจุดโฟกัสทั้งหมดก็มาอยู่ที่อุปกรณ์ของทั้ง 2 ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ให้รายละเอียดกันอย่างถี่ยิบซะยิ่งกว่า Dpreviw เสียอีก แล้วหลังจากนั้นการสังสรรค์ก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาสำคัญ ก้องกับหนูอ้อก็ลุกขึ้นมายืนพร้อมกันทั้งคู่
“พี่ๆ และก็เพื่อนๆ ชาวหนอนครับ ผมกับอ้อมีข่าวดีจะมาประกาศครับ นั่นคือ ๆ ๆ ๆ ๆ”
“พี่ก้อง เปี๊ยนไป๋ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงของราอินทร์ ดังแทรกขึ้นมากลางวง เล่นเอาก้องถึงกับหน้าหุบทันที
“ข่าวดี คือ ผมกับอ้อ”
“จะเลิกกันแล้วใช่มั้ย” อาฮุย ขาใหญ่ประจำกลุ่มแทรกขึ้นมาทันควัน
“ผมกับอ้อ จะแต่งงานกันเดือนหน้านี้ครับ” ว่าแล้ว ก้องก็หอมแก้มของอ้ออย่างหวานชื่น เล่นเอามดแดงใต่ขึ้นโต๊ะเป็นขบวน และเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีจากพรรคพวกทุกๆ คน
“ยินดีต้อนรับสู่โลกใหม่ โว้ยก้อง คลับใหม่กลัวเมียคลับขอต้อนรับ” ลูคัส ตบมือก่อนจะตะโกนแซว แล้วทันใดนั้นเอง อากิโกะก็หันมาจ้องด้วยสายตาอันหวานเชื่อมแต่ดุดัน
“อเล็กซ์ คะ”
“ขอโต้ดก๊าบ ป๋มล้อเล่น ก๊าบ ป๋มจะไม่ทำอีกแย้วก๊าบ” ลูคัส ก้มหน้าลงกับพื้นหลบตาเจ้าชีวิตของเขาทันที ด้วยทีท่าที่สงบราบคาบ เล่นเอาหนอนทั้งกลุ่มพากันหัวเราะทั้งโต๊ะ
“พี่อากิโกะคะ เก่งจังเลยค่ะ ทำยังไงถึงปราบ พี่ลูคัส ได้จนราบคาบอย่างนี้ล่ะคะ” ราอินทร์ถามขึ้นอย่างสงสัย
“น้องเอ๋ย มันเป็นธรรมชาติ ก่อนแต่งยัยนี่หงอพี่จะตาย พอแต่งแล้วเท่านั้นแหละ กลายเป็นแบบนี้ไปเลยอ่ะ พี่บอกไม่ถูกเหมือนกัน ไว้ลองแต่งงานดูซักทีสิ จะรู้ว่ามันคือสัจธรรม” ลูคัสพูด อย่างปลงๆ แต่แล้วในระหว่างที่ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่นั้นเอง หนุ่มสาวคู่หนึ่งก็เดินเข้ามา
“อ้าว สิ บอย เป็นไง ฮันนีมูนสนุกมั้ย แล้วนี่มาได้ไงเนี่ย” โบ๊ท ร้องทักทั้งคู่ที่พึ่งเดินเข้ามาหมาดๆ ในขณะที่อากิโกะมองไปที่ สร้อยทับทิมที่สวมอยู่บนคอของสิขา อย่างลืมตัว
“อเล็กซ์คะ นั่นมัน พลอยโลหิต” เธอพูดเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ว่าแต่ทับทิมที่คอนั่นสวยดีนี่ ซื้อมาจากยุโรปเหรอ” ลูคัส ถามขึ้นอย่างปรกติ โดยไม่ให้ใครสังเกตได้ถึงความผิดปรกติ
“ค่ะ ซื้อที่โรมาเนียค่ะ พวกยิปซีเค้าเอามาขายถูกมากเลย” สิขาตอบคำถามนั้น ก่อนจะควงแขนบอยลงนั่งยังที่ว่างอีกสองที่
“เอาล่ะสิ งานนี้ มดตอมโต๊ะแน่ๆ พวกสวีทหวานแหววตั้ง 3 คู่” ป้ามี๋ หันไป พูดพยักเพยิดกะป้าหนม และ หนูราอินทร์ ซึ่งประจำกลุ่ม 3 ป้า แห่งคลับ ทำให้ทั้ง 3 คู่ ถึงกับเขินไปทันที แล้วจากนั้นงานก็ดำเนินต่อไป
    ที่ห้องพักของบราห์ม จู่ๆ เขาก็เดินออกมายังนอกระเบียง แล้วหันไปพูดกับสมุนคนสนิท
“วิลเฟรด ข้าสัมผัสได้ พลอยโลหิตอยู่ใกล้ นี่เอง แต่ปัญหาคือ พลังอันแข็งแกร่ง 2 พลังที่อยู่กับมัน คืออะไรข้าไม่อาจล่วงรู้ได้ เจ้าจงไปสืบข่าวมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ครับ มาสเตอร์” วิลเฟรด รับคำจากนั้นก็กระโดดลงไปจากระเบียงทันที แล้วจากนั้นร่างของวิลเฟรดก็กลายสภาพเป็นค้างคาวตัวใหญ่ บินไปตามทิศทางที่คาดว่าน่าจะเป็นที่อยู่ของพลอยโลหิต
“นานเหลือเกินที่ข้าต้องรอคอย แต่บัดนี้เวลาได้มาถึงแล้ว เวลาที่ข้าจะได้กลับคืนสู่สถานะแห่งราชันย์โดยสมบูรณ์แบบ เคียงคู่ราชินีแห่งข้า และสร้างเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ฮะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” จากนั้น บราห์มก็เดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เพื่อรอฟังข่าวจาก วิลเฟรด ไอแวนโฮ สมุนคนสนิท
    ที่ร้านหมูกระทะเวลานี้ ผู้คนเริ่มเบาตาลง แต่สำหรับโต๊ะของพวกลูคัส บรรยากาศยังคงเป็นไปอย่างครึกครื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูคัส ที่เมาโคล่า จนได้ที่กระโดดขึ้นมาโชว์ลีลา ราชาเพลงป๊อบ ผสม เอนริเก้ แต่งเติมนิดๆ ด้วย ริกกี้ มาร์ติน เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากกลุ่มสาวๆ โต๊ะข้างเคียงได้เป็นอย่างดี แต่ว่า อากิโกะกลับนั่งหน้าหงิก
“ให้ตายสิ กินโคล่าเยอะๆ ทีไร เป็นต้องเมาไม่ได้สติทุกที” อากิโกะบ่นพึมพำเบาๆ แต่คนอื่นๆ กลับงงกันเป็นแถบเนื่องจากไม่เคยเห็นใครในโลกนี้กินโคล่าแล้วเมามาก่อน
“เอ่อ ดร.อากิโกะ คะ โคล่านี่ดื่มแล้วเมาได้ด้วยเหรอคะ” เจ๊อ้อย ถามด้วยความฉงน
“เฉพาะ อเล็กซ์คนเดียวค่ะ ที่เป็นแบบนี้ สงสัยต้องช่วยให้สร่างเมาหน่อยแล้ว” ว่าแล้ว อากิโกะ ก็เดินไปดึงเอาลูคัส ออกมา ก่อนจะเดินลากไปยังห้องน้ำ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของพรรคพวก แต่ดูเหมือนในเวลานี้ลูคัสจะไม่รู้อะไรอีกแล้ว และในระหว่างที่อากิโกะลากตัวลูคัสไปถอนพิษกรดคาร์บอนิกอยู่นั่นเอง ค้างคาวยักษ์ตัวหนึ่งที่มีแววตาเป็นสีแดงเลือด มองมายังสิขา อย่างไม่กะพริบตา เช่นกันกับที่ชายในชุดดำคนหนึ่งที่นั่งอยู่ห่างๆ ที่จ้องหนูราอินทร์อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาเช่นกัน
    ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกลา งานหื่นสัญจรพิเศษนี้ก็เช่นกัน ในที่สุดช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง เวลาที่ร้านต้องปิด เหล่าชาวหนอนจึงทยอยกันออกมาจากร้านก่อนจะร่ำลากันไป ตามเส้นทางของตัวเองเพื่อทำหน้าที่ของตนเองต่อไป
ในขณะที่บอยกำลังขับรถกลับบ้านโดยมีสิขาภรรยาสุดที่รักของเขานั่งไปด้วยนั้นเอง จู่ๆ พลอยโลหิตที่คอของสิขาก็เปล่งประกายขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครสังเกต แต่ที่แน่ๆ ค้างคาวยักษ์ตัวนั้นมาเกาะอยู่ที่หลังคารถของทั้งคู่เรียบร้อยไปแล้ว
“อเล็กซ์คะ รู้สึกแปลกๆ บ้างมั้ยคะ” อากิโกะ ถามสามีของเธอในขณะที่กำลังขับรถออกมาจากร้าน
“อืม ช้าว หน่าย หว่าน นี้ ก่อน จาก เธอ ม่า คืน นี้ เธอ อยู่ กาบ ผม ก่อน จาก ปาย ตอน ช้าว นี้ อึ๊ก เอ่อ ช้าว นี้ เลย ม่าย เด เธอ ทาม ห้าย โผม รู้สืก หนาก หัว ช้าว หน่าย หว่าน นี้ ช้าง มืดมน และ ดำปี๋ เธอ ทาม ห้าย โผม มี อาการ ซาเหมือน ผี ผะอืดผะอม สิ้น ดี เฮ่อ โง หั๊ว ม่าย ขื้น เลย” ลูคัสที่อาการยังไม่ดีขึ้น ร้องเพลงออกมาอย่างอ้อแอ้ตามประสาของคนเมา (โคล่า) ส่วนอากิโกะนั้น ถึงกับถอนหายใจเอามือตบหน้าผากตัวเองทันที
“เวรกรรมจริงๆ เป็นอะไรไม่เป็น ยิ่งรู้สึกแปลกๆ อยู่ด้วย อุ๊ย ว้าย จะทำอะไรน่ะ นี่ไม่ใข่ในห้องนะ” จู่ๆ อากิโกะก็ต้องร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อลูคัส โถมตัวเข้ามาใส่เธอแล้วเอาหน้าซุกไซ้ไปทั่ว
“อากิจ๋า ผมร้าก คูณ” ลูคัส ยังคงไม่สร่างเมาอยู่ดี และยังคงซุกซนอยู่อย่างนั้น จนอากิโกะต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย
“อุ๊ย เด็ก ม.ปลาย ไม่ใส่เสื้อผ้า” เธอตะโกนขึ้นมาอย่างสุดเสียง และดูเหมือนจะได้ผลในทันที ลูคัส หยุดการจู่โจม แล้วตั้งตัวขึ้นมานั่งตัวตรงทันที ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง
“ไหน อยู่ไหน เด็ก ม.ปลาย ที่ว่า โอ๊ย” อากิโกะบิดหูเขาอย่างแรงอีกครั้ง
“นี่แน่ ๆๆ ทีอย่างงี้ล่ะฟื้นเชียว รู้มั้ยว่าเมื่อกี๊ในร้านน่ะ สภาพคุณดูดีแค่ไหน” อากิโกะ ดุเขาราวกับว่ากำลังดุน้องชายคนเล็ก ส่วนลูคัสได้แต่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม เพราะไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง
“อากิ รู้สึกแปลกๆ มั้ย เหมือนกับว่า มีอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่แถวๆ นี้” ลูคัส เปลี่ยนท่าทีไปในฉับพลัน แล้วทันใดนั้น แวน เฮลซิ่ง ที่เก็บไว้ในรถก็ส่องแสงออกมา ทั้งคู่จึงหันมามองหน้ากันก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมๆ กัน
“ปีศาจ”
“พอจะดูออกมั้ยคะว่าพวกไหน”
“เท่าที่สัมผัสได้ ดูเหมือนจะมีอยู่สองอย่างนะ แวมไพร์ กับ อะไรซักอย่างที่คล้ายพวกมนุษย์หมาป่า แต่ว่าแข็งแกร่งกว่ามาก”
              “แล้วอย่างงี้ เราจะทำยังไงดีคะ”
   
“หรือว่า แย่แล้ว พลอยโลหิต อากิ เร็วเข้า บอยกับคุณสิกำลังอยู่ในอันตราย” ลูคัส นึกขึ้นมาได้ทันที จากนั้นเขาก็หยิบเอาแฟ้มคดีที่จิ๊กมาจากสมาคมเซนทิเนลออกมาดู เขาเปิดมันดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปิดลงที่หน้าสุดท้าย บันทึกคดีฆาตกรรมโรคจิตต่อเนื่องในกรุงเทพ
“สตรูก้า เป้าหมายของมัน คือ พลอยโลหิต เราต้องรีบแล้ว อากิ บึ่งเลยเรื่องตำรวจผมเคลียร์เอง” โดยไม่ต้องรอ อากิโกะ เหยียบคันเร่งจนมิด แล้วขับไปตามทิศทางของพลอยโลหิตที่เธอสัมผัสได้โดยใช้พลังที่ได้รับจากบาฮามุทและเทียแม็ท
“ให้ตายเถอะ ถ้าไม่เมาโคล่าตะกี๊ล่ะก็ คงหาทางป้องกันไปแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเลือดมังกรจะมีผลข้างเคียงแบบนี้ด้วย” จากนั้นทั้งสองก็รีบตามบอยและสิขาไป
    ในสถานีรถไฟไต้ดินกลางดึก ราอินทร์เดินอยู่คนเดียวเพื่อจะโดยสารรถขบวนสุดท้ายกลับบ้าน แล้วทันใดนั้น จู่ๆ ชายชุดดำที่ตามหล่อนมาก็พุ่งเข้าจู่โจมหล่อนจากด้านหลัง โดยที่หล่อนไม่มีทางขัดขืนเลยแม้แต่น้อย และก่อนที่จะมีใครมาถึงมันก็ได้ฝังเขี้ยวลงไปยังต้นคอขาวเนียนของหล่อนทันที ก่อนจะถอนเขี้ยวขึ้นมา
“อา นี่แหละคือสิ่งที่ข้าโหยหามานานตลอดทั้งชีวิต เส้นผมที่ยาวสลวย ผิวที่ขาวเนียน และกลิ่นที่หอมจรุง นับจากนี้ไปในคืนเพ็ญที่จะถึงนี้ เจ้าจะกลายเป็นของข้าอย่างช้าๆ และเมื่อเวลามาถึงจะไม่มีใครพรากเจ้าไปจากข้าได้ แม้กระทั่งความตาย” แล้วในวินาทีนั้นเอง แผลที่ต้นคอของราอินทร์ก็หายสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายลึกลับคนนั้นอาศัยช่วงจังหวะที่ไม่มีคน พุ่งตัวหายไปในความมืดภายใต้อุโมงค์ใต้ดิน ปล่อยให้ราอินทร์ที่กำลังจะฟื้นคืนสติฟุบอยู่ตรงนั้น จนกระทั่ง รปภ มาพบเข้า
“คุณ เป็นอะไรครับคุณ ไหวมั้ย”
“อืม ชั้นเป็นอะไรไป แล้ว ที่นี่ที่ไหน ชั้น ชั้นต้องไป ชั้นต้องไปแล้ว” จู่ๆ หล่อนก็วิ่งเตลิดออกมา จากสถานี ลงมายังถนนใหญ่ซึ่งไม่ค่อยมีรถสัญจรเท่าไหร่นัก และในวินาทีนั้นเอง รถสปอร์ตคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาพอดี
“เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงเบรค ครูดกับพื้นถนนดังลั่นเดชะบุญที่ไม่มีรถคันอื่นอยู่บนถนน จากนั้นคนที่มากับรถก็ลงมาดูทันที
“ราอินทร์ ๆ ปลอดภัยหรือเปล่า เป็นอะไรไป ทำไมไม่ตอบ เฮ้ยตัวร้อนจี๋เลย อากิ มีเรื่องด่วน พาราอินทร์ไปที่ห้องก่อนเร็ว” ลูคัส ซึ่งลงมาจากรถเมื่อเห็นอาการของราอินทร์ก็รู้ได้ทันทีว่ามีอะไรที่ไม่ปรกติ และเมื่อสังเกตดูท่ต้นคอด้านหลัง ลูคัสก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบรอยเขี้ยวขนาดใหญ่ ปรากฏอยู่จางๆ ส่วนอากิโกะซึ่งรู้งานอยู่แล้ว รีบเข้ามาช่วยลูคัส อุ้มราอินทร์ไปที่ห้องทันที เพื่อทำการช่วยเหลือโดยด่วน
    ที่ห้องของบราห์ม ในที่สุด วิลเฟรด ก็ได้กลับมาหาผู้เป็นนาย และ รายงานทุกสิ่งทุกอย่างให้ฟังจนหมดสิ้น จากนั้นเขาก็นิ่งสงบเพื่อรอคำสั่งต่อไป
“อา ในที่สุด ข้าก็ได้พบทั้งนางและพลอยโลหิต แต่เจ้าว่ายังไงนะ นางแต่งงานแล้วยังงั้นรึ”
“ครับ มาสเตอร์ ส่วนพลังอันแข็งแกร่งเท่าที่ข้าสังเกตดู คาดว่าเป็นพลังของเผ่ามังกรแน่นอนครับ เพราะข้าได้กลิ่นเลือดของมังกร แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ กลิ่นเลือดของพวกแฟงก์ที่แฝงตัวอยู่ในบริเวณนั้นด้วย ข้าไม่แน่ใจว่ามันมีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเราหรือเปล่า”
“เอาเถอะ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว คืนวันพรุ่งนี้ ข้าจะออกล่าเหยื่อด้วยตัวเอง ข้าสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งพลังบางอย่าง และที่สำคัญเด็กนั่นที่เดินแบบให้ข้า นางเกิดในราศีกันย์และยังคงความบริสุทธิ์อยู่ เลือดของนางจะช่วยเพิ่มพลังให้กับข้า เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว วิลเฟรด ข้าอยากอยู่ตามลำพังเวลานี้”
“ครับ มาสเตอร์” จากนั้น วิลเฟรด ก็หายไปท่ามกลางความมืด ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะไปไหน บางทีอาจจะออกไปล่าเหยื่อ ตามประสาแวมไพร์ก็เป็นได้ ส่วนบราห์มนั้นก็ได้เดินตรงไปยังเปียโนตัวโปรดของเขา และลงนั่งบรรเลงบทเพลงแหงจันทราอาดูร หรือ มูนไลท์โซนาตร้า อันแสนเศร้าสร้อยอีกครั้งหนึ่ง
    ที่คอนโดหรูของอ้อ หลังจากงานเลิก ก้องและอ้อ ต่างก็นั่งพร่ำพรอดกันอย่างดูดดื่ม โดยที่ไม่มีใครรู้ว่านี่จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว สำหรับทั้งสอง อ้อในเวลานี้อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำหล่อนพึ่งอาบน้ำเสร็จหมาด กลิ่นแชมพูยังคงหอมติดเส้นผมของหล่อนอยู่ ส่วนที่ผิวกายของหล่อนไออุ่นๆ จากน้ำร้อนก็ยังคงเกาะติดอยู่ที่ผิวหล่อนเช่นกัน ส่วนก้องก็ยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมขนหนูเช่นกันเขาค่อยๆ เข้ามาโอบหล่อนไว้จากด้านหลัง แล้วจูบลงไปเบาๆ ที่ต้นคอที่หอมกรุ่น ทั้งคู่ยืนดื่มด่ำกับความสุขและรับลมธรรมชาติอยู่ที่ริมระเบียงห้องนั่นเอง ก่อนที่ก้องจะประคองร่างของหล่อนมาข้างในห้อง แล้วจูบหล่อนอย่างทะนุถนอมที่ริมฝีปาก แล้วค่อยๆ ปลดชุดของหล่อนอย่างช้าๆ
“อืม พี่ก้องขาอย่ารีบร้อนสิคะ อ้ออยากเก็บคืนพิเศษสุดของเราเอาไว้ ในคืนแต่งงานนะคะ” หล่อนครางออกมาด้วยเสียงอันกระเส่าแต่ก็ไม่ปฏิเสธในสัมผัสนั้นที่ได้รับจากชายคนรัก
“อ้อจ๋า พี่รักอ้อเหลือเกิน รักมากจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ถ้าอ้อต้องการอย่างนั้นก็ตกลงจ้ะ พี่จะเก็บเวลาเอาไว้ เพื่อรอ จนกว่าจะถึงคืนวันอันแสนวิเศษของเรา” จากนั้นก้องก็ยังจู่โจมต่อไป แต่ยังคงรักษาความเป็นสุภาพบุรุษเอาไว้ จากนั้นเขาจึงดันร่างของหล่อนซึ่งขณะนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ลงไปบนเตียงนอน ก่อนที่จะปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนเองออกเช่นกัน
“พี่ ก้อง ขา ได้โปรด” อ้อ ครางด้วยความประหม่าและความอาย ที่ทั้งเขาและเธอต่างอยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่
“อย่ากลัวไปเลยอ้อ พี่จะไม่ทำอะไรที่เกินเลยไปกว่านี้ แน่นอน พี่สัญญาจ้ะ ว่าพี่จะไม่มีวันทำลายผู้หญิงที่พี่รักก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสมอย่างแน่นอน แต่ว่าคืนนี้พี่อยากจะขออะไรจากอ้ออย่างหนึ่ง ขอให้พี่ได้กอดอ้อเอาไว้อย่างนี้ ในอ้อมกอดของพี่ไปจนกว่าจะถึงเช้าจะได้มั้ยจ๊ะ คนดีของพี่”
“ถ้าแค่กอดเฉยๆ ก็ได้ค่ะ คืนนี้ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันไปตลอดทั้งคืนจนกว่าจะถึงเช้าเลยนะคะ พี่ก้อง อ้อขอให้คืนนี้เป็นคืนสำหรับเราสองคนที่จะจดจำมันเอาไว้ และอ้ออยากให้เวลาหยุดไว้แค่นี้จังเลย อ้อไม่อยากจะให้ถึงตอนเช้าเลย เพราะถ้าเช้าพี่ก้องก็จะไปจากอ้อแล้ว” หล่อนพูดกับก้องด้วยน้ำเสียงที่ราวกับว่า จะไม่ได้พบเขาอีกเลยตลอดไป
“ถ้าอ้อ ไม่อยากให้พี่ก้องไป พี่ก้องก็จะไม่ไปจากอ้อแน่นอนจ้ะ พี่จะนอนกอดอ้อเอาไว้อย่างนี้ จนกว่าอ้อจะเบื่อเลยล่ะ” ก้องหยอดคำหวานใส่หญิงคนรักของเขา ด้วยความรู้สึกที่คล้ายกัน เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์ ในตัวหล่อนอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเขาก็ดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของเขาและเธอเอาไว้ ก่อนที่จะจูบที่เปลือกตาของหล่อนเบาๆ เพื่อกล่อมให้นอน แล้วจากนั้นอ้อก็พลิกตัวหันหน้ามาหาก้อง ก่อนที่จะกอดเขาไว้แล้วหลับไปด้วยความเพลียในอ้อมอกอันอบอุ่นนั้นเอง ส่วนก้องนั้นยังไม่ยอมหลับง่ายๆ เขายังคงจ้องมองใบหน้าของหล่อนเอาไว้ราวกับจะเก็บบันทึกมันไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไปเคียงคู่กับหล่อนนั่นเอง
    ที่ห้องของลูคัส ราอินทร์ที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ ถูกอุ้มมาวางลงบนเตียงโดยมีอากิโกะคอยเช็ดทำความสะอาดเนื้อตัวให้ แล้วซักครู่ เธอก็ไล่ให้ลูคัสออกไปข้างนอก เพื่อที่เธอจะได้ทำการเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเด็กสาวได้อย่างสะดวกสบาย
“เข้ามาได้แล้วค่ะ อเล็กซ์” เสียงของอากิโกะ เรียกให้เขาเข้าไปได้แล้ว จากนั้นลูคัสก็ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกสงสารและเวทนา ในชะตากรรมของเด็กสาวคนนี้ยิ่งนัก ทำไมหล่อนจึงต้องมาเผชิญกับเรื่องแบบนี้ด้วย เขาเองก็ไม่เข้าใจ ดูท่ากงล้อแห่งชะตากรรมจะเล่นตลกกับเขาอีกกระมัง จากนั้นเขาจึงเดินเข้าห้องไป
“ฝากดูแล น้องเค้าด้วยนะ อากิ ผมจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับตอนยูกิจังอีกแล้ว” จากนั้นลูคัสก็เข้ามาดู ราอินทร์ที่อยู่ในชุดนอนของอากิโกะซึ่งหล่อนสวมได้อย่างพอดี แล้วจากนั้นเขาก็ได้ เอามือจุ่มลงไปในขันน้ำ พร้อมกับท่องคาถาบางอย่างออกมา แล้วเอาน้ำจากมือนั้น ค่อยๆ หยดลงไปยังต้นคอของราอินทร์ แล้วในวินาทีนั้นเอง รอยเขี้ยวของสัตว์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ส่วนอากิโกะก็ไปหยิบเอาบันทึกเล่มใหญ่ที่นำมาจากห้องสมุดของสมาคมออกมาเปิดอ่านดู เพื่อหาที่มาของรอยเขี้ยวนี้และหนทางในการรักษา
ในระหว่างนี้เองราอินทร์ซึ่งนอนซมทนทุกข์ทรมานด้วยพิษไข้ และเสียงอันลึกลับที่เรียกหาหล่อนที่ตามหลอกหลอนหล่อนมาตลอดทางก็ค่อยๆ สงบลง ด้วยอำนาจจากเวทย์มนตร์ของลูคัส จากนั้นลูคัสก็เอามือจุ่มลงไปในน้ำอีกครั้ง ก่อนจะน้ำในมือนั้นหยดลงไปที่แผลแต่ครั้งนี้ มีลำแสงประหลาดปรากฏขึ้นมาจากหยดน้ำเป็นอักขระอักษรโบราณ อักขระนั้นหมุนวนอยู่บริเวณอบๆ รอยแผลของราอินทร์ก่อนที่จะซึมลงไปในแผลอย่างช้าๆ
“พี่คงช่วยเราได้แค่นี้ล่ะนะ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองล่ะ ว่าจะสู้กับมันได้แค่ไหน” จากนั้นลูคัสก็เดินออกจากห้องตรงไปยังโซฟา แล้วล้มตัวลงนอนอย่างเหน็ดเหนื่อยก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิด ปล่อยให้อากิโกะนอนดูแลราอินทร์อยู่บนเตียงของเขาแทน ซึ่งอากิโกะเองก็เต็มใจเพราะเธอรู้สึกเอ็นดูราอินทร์เหมือนกับน้องสาวของเธอเองอยู่แล้ว จากนั้นทั้งหมดก็หลับไป ปล่อยให้วงล้อแห่งชะตากรรมหมุนต่อไป เพื่อเข้าสู่วงจรสุดท้ายของมัน วงจรแห่งสงครามเลือดที่ใครก็มิอาจหลีกเลี่ยง
    เทือกเขาคาร์เพเธียน ในโรมาเนีย ณ ตำบล ทรานซิลวาเนีย อันเป็นที่ตั้งของปราสาทแดร็กคิวล่า ที่คฤหาสน์โบราณหลังหนึ่ง ซึ่งตังอยู่บริเวณรอบนอกของเมืองใกล้กบหมู่บ้านของพวกยิปซี ชายร่างสูงใหญ่ผมสีทองยาวสลวยเป็นประกายในชุดโอเวอร์โคทสีดำ ยืนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยภาพวาดของเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลซึ่งอยู่ในชุดแบบขุนนางทั้งชายและหญิง ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือแส้โลหะที่มีปลายเป็นรูปไม้กางเขน แบบเดียวกับที่วางอยู่บนแท่นวางกำมะหยี่ที่ประดับด้วยเพชรพลอย
เขายืนมองดูที่แส้นั้นก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาแล้วนำมันมาเหน็บไว้ที่เอวด้านซ้าย ก่อนที่จะเดินไปยังชั้นวางอาวุธอันมีไม้กางเขนอันคมกริบที่ทำจากเงิน ขวดน้ำมนต์ มีดสั้น ขวาน และอาวุธอื่นๆ อีก เขายืนมองดูอาวุธเหล่านั้น แล้วจึงเลือกหยิบเอาขวดน้ำมนต์ที่วางเรียงรายกันขึ้นมา กับไม้กางเขนเงิน และมีดสั้นที่เปล่งประกายสีทองขึ้นมา แล้วพกมันไว้ที่เข็มขัด กับขวดน้ำมนต์ใส่ที่กระเป๋าเสื้อโอเวอร์โคทด้านใน แล้วหยิบเอาลิ่มเงินจำนวนหนึ่งที่ร้อยเป็นสายสร้อย มาคาดไว้ไขว้กับเข็มขัดเส้นเดิม แล้วจึงหันไปมองภาพเหล่าบรรพบุรุษของเขา
ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องนั้น แล้วตรงไปหยิบพ็อคเก็ตบุ๊ค ซึ่งมีหน้าปกเป็นรูปวัดพระแก้วจากนั้นเขาก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ตรงไปยังรถม้า แล้วมุ่งหน้าเข้าเมืองไป ท่ามกลางเสียงฟ้าที่คำรามอย่างน่ากลัว ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายไฟแห่งการต่อสู้ที่ลุกโขติช่วงอยู่ตลอดเวลา รถม้าคันนั้นพาเขาลงเขาไปจากคฤหาสน์สู่สถานีรถไฟในตัวเมือง และในขณะที่วิ่งผ่าน หน้าผาอันเป็นที่ตั้งปราสาทแดร็กคิวล่านั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะกลับเป็นปรกติ
    อากาศยามเช้าที่แสนสดใส ราอินทร์ที่กำลังหลับอยู่อย่างสบาย ก็ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาก่อนที่จะตกใจเมื่อพบว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ไม่ใช่ของตัวเอง หล่อนค่อยๆ มองไปรอบๆ ห้องที่ประดับด้วยของมีค่าและภาพถ่ายต่างๆ แต่ก็ต้องสะดุดตาเมื่อมองเห็นภาพในกรอบใหญ่ที่สุด อันเป็นภาพของอากิโกะที่ยืนอยู่ภายใต้ต้นซากุระริมน้ำ ชุดกิโมโนสีสวยสดตัดกับสีของกลีบดอกซากุระเป็นอย่างดี หล่อนเพ่งดูภาพนี้อย่างพิจารณา อากิโกะซึ่งดูสวยเป็นพิเศษ กับรอยยิ้มที่ใสบริสุทธิ์ซึ่งกำลังมองดูแหวนที่สวมอยู่ในนิ้วนางมือซ้ายดวงตาของเธอเปี่ยมไปด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติยินดี และใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง
ราอินทร์จ้องที่ภาพนั้นราวกับว่ามันมีวิญญาณ พลันสายตาของหล่อนก็มองไปเห็นกองแฟ้มและหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ หล่อนจึงเดินเข้าไปเปิดมันอ่านดูแล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้น ทั้งรายละเอียดของคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง และหนังสือที่ว่าด้วยเวทย์มนตร์คาถาและคำสาปต่างๆ รวมถึงหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของเหล่าอสูรกายเอาไว้ แต่อะไรก็ไม่น่าตกใจเท่าสมุดบันทึกที่จดเรื่องราวของเหล่ามนุษย์หมาป่าและเผ่าพันธุ์มนุษย์สมิงไว้ โดยเฉพาะที่บรรทัดสุดท้าย ที่กล่าวว่า
“บัดนี้ คำสาปแห่งจันทราเทวี มิอาจสะกดพวกมันได้อีกต่อไป เวลานี้พวกมันแฝงตัวอยู่ร่วมกับเราในทุกแห่งหน” สมุดบันทึกเล่มนั้นจบลงเท่านี้ พลันหล่อนก็ต้องรู้สึกประหลาดใจที่ว่าทำไมถึงมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมแว่น หนำซ้ำหูของหล่อนยังได้ยินเสียงของชายหญิงคู่หนึ่งดังอยู่ในห้องน้ำ ที่หล่อนเชื่ออย่างนั้นก็เพราะมีเสียงของน้ำที่ไหลรดลงมาจากฝักบัวอยู่ตลอดเวลา กลิ่นของแชมพูที่หอมฟุ้งและไอน้ำร้อนที่โชยมาแตะจมูก หนำซ้ำยังมีเสียงครางเล็ดลอดออกมาเป็นระยะอีกด้วย ทันทีที่ได้ยินและเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ หน้าของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ความรู้สึกแปลกๆ แล่นไปทั่วทุกรูขุมขน โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย
“ตายแล้ว หรือว่า นี่พี่อากิโกะ กับ พี่ลูคัสกำลัง......อึ๊ยซ์ ขนลุก” จากนั้นเมื่อเสียงของทั้งสองเงียบหายไปพร้อมกับเสียงน้ำ ราอินทร์ก็รีบกลับไปที่เตียงทันทีก่อนที่จะทำเป็นหลับแบบไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่หล่อนลืมสนิทถึงเรื่องหนังสือ แฟ้ม และสมุดบันทึกบนโต๊ะ จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าของคนสองคนเดินมาที่ห้อง
“ป่านนี้ ยัยหนูราอินทร์คงตื่นแล้วมั้ง” เป็นเสียงของลูคัสอย่างไม่ต้องสงสัย
“ว่าแต่ เราจะบอกความจริงกับแกจริงๆ เหรอคะ อเล็กซ์” เสียงของอากิโกะ ราอินทร์จำได้ดี
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มต้นยังไงดี บอกไปตรงๆ เขาอาจจะหาว่าเราบ้าก็ได้ แต่ถ้าไม่บอกไปซักวันนึง ที่เขารู้ความจริงขึ้นมา พวกเราอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้” ราอินทร์ฟังบทสนทนานี้ด้วยจิตใจที่จดจ่อ เพราะเท่าที่หล่อนจำได้คือมีชายลึกลับจู่โจมหล่อนจากด้านหลังจากนั้นก็กัดที่ต้นคอด้านหลังของหล่อน แล้วก็พูดอะไรแปลกๆ ก่อนที่จะหายไป จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก
“เฮ้อ นอนหลับสบายไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอเนี่ย น่าสงสารจริงๆ ถ้าต้องรู้ความจริงเข้าคงช็อคจนรับไม่ได้แน่ๆ” อากิโกะ บ่นพึมพำขึ้นหลังจากที่เข้ามาเห็นราอินทร์หลับอยู่บนเตียง แต่ลูคัสกลับไม่คิดเช่นนั้น เมื่อมองเห็นข้าวของบนโต๊ะ และที่สำคัญ แวน เฮลซิ่ง เปล่งประกายของมันออกมา
“เอาล่ะ ไม่ต้องแกล้งหลับหรอก ถ้าอยากรู้เรื่องล่ะก็พี่จะเล่าให้ฟังเอง ลุกขึ้นมาได้แล้ว” จากนั้นราอินทร์ก็ลุกขึ้นมาทันที พร้อมด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก
“พี่ลูคัส พี่อากิโกะ ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้ว เมื่อคืนนี้”
“อยู่ๆ เราก็วิ่งตัดหน้ารถพี่ ปากก็บอกว่าต้องไปแล้วๆ เสร็จแล้วก็ล้มลงหมดสติพี่ก็เลยพาเรามาที่นี่นั่นแหละ ที่สำคัญต้นคอของเรามีรอยเขี้ยวของ เอ่อ จะบอกยังไงดีเนี่ย”
“มนุษย์หมาป่าใช่มั้ยคะ หนูอ่านดูจากสมุดบันทึกหมดแล้วล่ะค่ะ ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คะ”
“งั้นก็พูดง่ายหน่อย ใช่ เราถูกมนุษย์หมาป่ากัด แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือรอยของมันไม่ใช่ของมนุษย์หมาป่าทั่วไป พี่เองก็ไม่รู้จะรักษายังไง ก็เลยปฐมพยาบาลเบื้องต้นป้องกันไม่ให้อาการกำเริบแล้วอาละวาดออกล่าเหยื่อก็เท่านั้นแหละ”
“หมายความว่า นี่ หนู หนู จะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต เหรอคะ ไม่นะ ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ราอินทร์กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง แล้วจากนั้น หล่อนก็วิ่งพรวดพราดออกไปทันที โดยที่ไม่มีใครห้ามทัน
“แย่แล้ว อากิ ตามไปเร็ว” ลูคัส วิ่งตามออกไปทันที ตามด้วยอากิโกะ แต่เมื่อออกมาที่หน้าถนนใหญ่ ทั้งสองก็พบแต่เพียง ชายร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำ อุ้มราอินทร์ไว้ รอบข้างคือ ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่มีท่าทางประหลาดๆ ราวกับว่ากระหายเลือดอยู่ตลอด จากนั้นพวกมันก็พากันเข้าไปในตึกร้างที่อยู่ใกล้ๆ โดยมีลูคัสตามไปติดๆ และแล้วชายผู้นั้นก็กล่าวขึ้น
“ขอตัวนางให้ข้าเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย และความแค้นใดๆ ต่อพวกท่าน แต่นางคือหญิงที่จะมาเป็นราชินีของข้า โปรดอภัยต่อการล่วงเกินนี้ด้วย” จากนั้นชายคนนั้นก็เดินจากไป ลูคัสจึงรีบตามไปทันที แต่ก็ถูกขัดขวางโดยกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้น
“ป่วยการที่จะตามมา หากท่านยังดันทุรัง ข้าก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้” แล้วชายคนนั้นก็กระโดดหายไปด้วยความเร็วราวกับสัตว์ป่า
“หนอย เอาเด็กคนนั้นคืนมานะ” ลูคัส รีบตามไปทันที แต่ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นก็ยังคงตามประกบไม่ยอมให้ตามหัวหน้าของมันทัน
“ให้ตายสิ นอกจากแวมไพร์ ยังมีพวกมนุษย์สมิงอีกยังงั้นรึ” ทันทีที่ลูคัส พูดจบจู่ๆ ก็มีลมกรรโชกเข้ามาในบริเวณนั้นอย่างรุนแรง จนทุกสิ่งทุกอย่างรอบบริเวณถึงกับสั่นไหวตามแรงลม เว้นต่ลูคัส และอากิโกะเท่านั้นที่ยังยืนทรงตัวอยู่ได้
“ฮื่อออออ” พวกมันคนหนึ่งส่งเสียงขู่คำรามออกมา ในขณะที่ต้องยืนต้านแรงพายุนี้
“ป่วยการที่จะต่อต้าน จงบอกที่อยู่ของพวกแกมาซะ แล้วชั้นจะปล่อยไป ชั้นไม่อยากจะมีเรื่องกับพวกแฟงก์ซักเท่าไหร่หรอกนะ” ลูคัส ยืนพูดกับพวกมันท่ามกลางแรงลมที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ มีทางหรอกที่พวกเราจะทรยศต่อมาสเตอร์” จากนั้นพวกมันก็แปลงร่าง คืนสู่สภาพเดิมของมัน ร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น ดวงตาสีแดงโรจน์ ขนที่ขึ้นยุ่บยั่บทั่วทั้งตัว และใบหน้าที่เปลี่ยนไป เป็นใบหน้าของสุนัขป่า อย่างสมบูรณ์ เสียงคำรามและหอนอย่างกระหายเลือด จากนั้นพวกมันก็กระโดดต้านแรงลมเข้ามาหาลูคัสทันที
“ไอ้พวกปัญญานิ่ม แค่มนุษย์หมาป่าธรรมดาที่ไม่ใช่แฟงก์ทำอะไรชั้นไม่ได้หรอกน่า” จากนั้นลูคัสก็คว้าคอของพวกมันตัวหนึ่งเอาไว้ได้ แล้วเหวี่ยงใส่ตัวที่เหลืออย่างรวดเร็ว เวลานี้พายุสงบลงแล้ว พวกมันจึงตั้งตัวได้แล้วพุ่งเข้ามาใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วมันก็ต้องสะดุ้งกลับไปเมื่อกำแพงไฟขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาขวางทางมันไว้
“สัญชาติญาณของพวกแกยังคงกลัวไฟเหมือนเดิมเลยนะ อย่างที่บอกถ้าไม่ใช่แฟงก์พวกแกก็ไม่มีทางสู้ชั้นได้” จากนั้นลูคัสก็สะบัดมือไปที่พวกมัน แล้วทันใดนั้นอักขระโบราณก็ล้อมรอบพวกมันเอาไว้
“นี่มันอะไรกัน ตัวหนังสือนี่มัน ร้อนเหลือเกิน ร้อนกว่าเปลวไฟเมื่อกี๊อีก มันอะไรกันแน่”
“คำสาปดรูอิดโบราณยังไงล่ะ ในเมื่อแสงจันทร์ไม่อาจสะกดพวกแกเอาไว้ได้ ชั้นก็จะเล่นงานแกด้วยคำสาปดรูอิดนี่แหละ พวกแกจะต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดกาล ไม่มีโอกาสได้กลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงของแกอีก ไม่มีแม้กระทั่งพลังที่จะต่อต้านคำสาปแห่งเทพธิดาจันทรา และอำนาจแห่งธาตุเงินอันบริสุทธิ์” จากนั้นร่างของพวกมันก็ค่อยๆ หดเล็กลงแล้วกลับมาอยู่ในสภาพมนุษย์ดังเดิม พร้อมกับควันที่พวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของพวกมัน
“นี่แค่เบาะๆ นะ ถ้าพวกแกยังทำให้ชั้นโกรธอยู่อย่างนี้ล่ะก็ คราวนี้ชั้นจะสาปพวกแกให้กลายเป็นแค่หมาขี้เรื้อนธรรมดาและไม่อาจคืนสภาพเดิมได้อีกเลย อยากลองมั้ยล่ะ อาการคันจากโรคเรื้อนน่ะ” ลูคัส ข่มขู่พวกมันด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน แล้วในวินาทีนั้นเองพวกมันก็สารภาพออกมาจนหมดสิ้น ถึงที่ซ่อนและชื่อของผู้เป็นหัวหน้า
“ก็เท่านี้แหละ คำสาปของแกชั้นจะปลดปล่อยคืนให้ ทันทีที่ชั้นได้ตัวเพื่อนชั้นคืนมา”
“อะไรนะ นี่แก”
“ชั้นไม่ได้บอกนี่ ว่าจะถอนคำสาปให้ถ้าแกสารภาพความจริงน่ะ อ้อ อีกอย่างนะ ถ้าทันทีที่ชั้นรู้ว่าพวกแกโกหกล่ะก็คำสาปที่สองของชั้นที่แฝงไว้ จะบรรลุผลทันที” จากนั้นลูคัส ก็ปล่อยพวกมันไป ก่อนที่จะเดินกลับมาหาอากิโกะที่ยืนรออยู่อย่างเป็นห่วง
“ปลอดภัยมั้ยคะ อเล็กซ์” อากิโกะ วิ่งเข้ามาดูสามีสุดที่รักของเธอทันที ด้วยความเป็นห่วง
“อื้ม ไม่ต้องกังวลหรอกจ้ะ เจ้าพวกนี้น่ะมันแค่มนุษย์หมาป่าธรรมดาเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงขั้นของพวกแฟงก์ที่เป็นของจริงหรอก สบายหายห่วงได้เลย แต่หัวหน้าของมันนี่สิพลังอสูรของมันรุนแรงมากจริงๆ บอกได้คำเดียวว่า ระดับเดียวกันกับบาฮามุทเลยล่ะ จะเรียกว่าเป็นอสูรที่มีพลังระดับเทพก็ได้” ลูคัส จูบหล่อนเบาๆ ที่หน้าผากก่อนที่จะพูดถึงสิ่งที่สัมผัสได้จากชายลึกลับคนนั้น ซึ่งทำให้อากิโกะรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
                “แล้วเราจะรับมือไหวเหรอคะ”   
“อย่ากังวลไปเลย บางทีนี่อาจจะถึงเวลาที่ต้องใช้ซันเบิร์นแล้วก็ได้ ผมอยากให้คุณลองใช้พลังจากความรอบรู้ของบาฮามุท กับ เทียแม็ท หาข้อมูลจุดอ่อนเพิ่มเติมของพวกมันหน่อย เพราะตอนนี้เท่าที่รู้พวกแฟงก์สามารถแปลงร่างเองโดยอิสระแล้ว เหมือนกับเจ้าพวกเมื่อกี๊ และที่สำคัญพวกมันสร้างภูมิคุ้มกันต่ออาวุธเงินได้แล้วด้วย”
“ค่ะ ที่รัก เรื่องนี้ชั้นจะจัดการให้เองคุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
“อืม แต่ผมอยากให้คุณเป็นคนอาบให้นี่ นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“บ้า เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้วนะ ไม่รู้ล่ะ รอบนี้คุณอาบเองคนเดียวเถอะ”
“ม่ายอาว อาบคนเดียวมันเหงา อาบด้วยกันน้า นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ไม่”
“งั้นเดี๋ยวผมไปให้เด็กๆ ของเดวิสอาบให้ก็ได้”
“อยากตายเหรอคะ อเล็กซ์” อากิโกะ เปลี่ยนท่าทีจากสาวหวานมาเป็นสาวโหดทันที
“ก็คุณไม่ยอมอาบน้ำกับผมนี่”
“บ้า ก็อาบด้วยกันทุกวันแล้วไงยังจะเอาอะไรอีกล่ะ”
“แต่ผมอยากให้มีคุณอยู่เคียงข้างตลอดเวลานี่ ผมรักคุณนะ” จากนั้นเขาก็รวบตัวเธอเข้ามากอดแล้ว บรรจงจูบอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา
“ชั้นก็รักคุณค่ะ”
“งั้นเราไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวกันหน่อยเถอะนะ อาบทีละคนมันเปลืองน้ำ”
“ก็ได้ค่ะ ชั้นยอมแล้ว เฮ้อ ชั้นล่ะเชื่อเลย คุณนี่ช่างตื๊อจริงๆ เลยนะ”
“อ้าว ก็ถ้าไม่ช่างตื๊อแล้ว ผมจะจีบคุณสำเร็จเหรอ” พอพูดจบอากิโกะ ก็ทุบเขาทันทีด้วยความเขิน
“บ้า พูดอะไรก็ไม่รู้ หน้าด้านจริงๆ เลย คุณเนี่ย”
    ที่ห้องของอ้อ ในเวลานี้ก้องยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ในขณะที่คนรักของเขากำลังทำอาหารอย่างทีความสุข กลิ่นของอาหารเช้าที่โชยมา ปลุกให้ก้องตื่นจากพวังก์ทันที จากนั้นเขาก็คว้าเอาเสื้อผ้ามาสวม แล้วเข้าไปกอดหล่อนจากด้านหลัง
“อืม กลิ่นหอมน่ากินจังเลย”
“ที่ว่าน่ากินน่ะ คนหรืออาหารคะ พี่ก้อง”
“แหม ก็ทั้งสองอย่างแหละจ้ะ แต่ว่านะ น้องอ้อน่ะ น่ากินกว่าเยอะเลย จริงๆ น้า กิ๊วๆ” จากนั้นเจ้าก้องก็กระตุกเสื้อคลุมของอ้อจนหลุดไปกองกับพื้นทันที เผยร่างอันขาวนวลอีกครั้ง
“พี่ก้องนี่ล่ะก็ บ้าจังเลย เล่นเป็นเด็กไปได้ แหมน่าตีจังเลย” หล่อนค้อนเล็กน้อย แล้วก้มลงไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมตามเดิม ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“กินอาหารก่อนเถอะค่ะ พี่ก้องขา วันนี้พี่ก้องไม่มีธุระที่ไหนไม่ใช่เหรอคะ” ก้องนั่งลงอย่างว่าง่าย ในขณะที่อ้อถามเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ไม่มีจ้ะ วันนี้พี่กะว่า พี่จะอยู่กับอ้อ ทั้งวันเลยนะ ดีมั้ยๆ” ก้องพูดกับคนรักของเขาอย่างอารมณ์ดี ปนเจ้าเล่ห์นิดๆ
“เสียใจนะคะวันนี้ ต้องตามปรกติมีเสื้อผ้าค่ะ” อ้อ ปฏิเสธเสียงแข็ง ทำเอาก้องถึงกับหน้าจ๋อยที่ถูกจับไต๋ทัน
“งั้นเอางี้ดีกว่ามั้ย เย็นนี้เราไปถ่ายรูปด้วยกัน ที่สวนสาธารณะดีมั้ย เสร็จแล้วก็ดูหนังแล้วไปหาอะไรกินกัน แล้วพอกลับมานี่เราก็ค่อย ฮุๆๆ”
“พี่ก้องอ่ะ พูดยังงี้เค้าเขินนะ ก็ได้ค่ะ แต่ห้ามเกินเลยกว่านั้นนะคะ”
“โถๆๆ แค่น้องอ้อยอมขนาดนี้ พี่ก้องก็พอใจแล้วล่ะจ้ะ จะหาใครน่ารักเท่าน้องอ้อของพี่ก้องไม่มีอีกแล้ว” จากนั้นก้องก็หอมแก้มของอ้ออย่างประจบประแจง
    ในคืนนั้น ระหว่างที่ลูคัส กำลังวางแผนและจัดเตรียมกำลังเพื่อบุกไปช่วยราอินทร์อยู่นั้น ก้องและอ้อก็ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุขจนกระทั่ง นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตรง ทั้งสองก็กลับไปถึงห้อง ทว่า ผู้ที่รออยู่ในห้องนั้น คือ บราห์ม
“อะไรกัน คุณเข้ามาได้ยังไง ออกไปจากห้องชั้นเดี๋ยวนี้” อ้อ ตวาดใส่บราห์ม ที่ถือวิสาสะบุกเข้ามายังห้องของหล่อนด้วยเสียงอนดังแต่ว่าจู่ๆ เมื่อสบตากับบราห์ม ความรู้สึกของหล่อนก็เริ่มหมดไป อ้อค่อยๆ เดินเข้าไปหาบราห์มอย่างช้าๆ ในขณะที่ก้องซึ่งยังตกใจอยู่ก็พุ่งเข้าชาร์จบราห์มทันที ทว่า เขากลับถูกผลักออกมาจากกำแพงที่มองไม่เห็น
“หึๆๆ ก่อนที่จะจัดการกับนาง ข้าจะเล่นกับเจ้าซักพักก็แล้วกันเจ้าหนุ่ม ดูซิว่าจะทนได้ซักขนาดไหน” จากนั้นบราห์มก็กระชากเอาตัวก้องขึ้นมา แล้วเหวี่ยงไปยังผนังห้องอย่างแรง ในขณะที่อ้อซึ่งไม่เหลือสติแล้ว ก็ค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าท่อนบนของหล่อนทีละน้อยเผยให้เห็นผิวที่ขาวนวล และลำคออันขาวผ่องที่แสนเย้ายวนยิ่งนัก
“โธ่เว้ย อ้อ อย่านะอ้อตั้งสติให้ดี อ๊อค” ก่อนที่ก้องจะพูดอะไรต่อไปได้อีก บราห์มก็ใช้อุ้งมืออันแข็งแกร่งราวกับคีมเหล็กของตน ขย้ำคอของก้อง แล้วเค้นอย่างแรงบริเวณเส้นเลือดใหญ่ก่อนที่จะเหวี่ยงออกไป อีกครั้ง แล้วจากนั้นมันก็กระชากร่างอันบอบช้ำแต่ยังคงมีสติของก้องขึ้นมา แล้วใช้กำปั้นซัดเข้าไปเต็มแรง จนก้องถึงกับหมุนติ้วกลางอากาศลงไปฟุบอยู่กับพื้น
“ยอด ยอดมากๆ เจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ทนพลังของข้าได้ แต่จงดูให้ดีเถอะ เพื่อเป็นรางวัลข้าจะทำให้เจ้าต้องรู้สึกเจ็บปวดไปชั่วนิรันดร์ จงดู” จากนั้นมันก็ตรงรี่เข้าไปยังร่างอันเปลือยเปล่าในท่อนบนของอ้อ ก่อนที่จะก้มลงฝังคมเขี้ยวของมันลงไปอย่างหิวกระหาย ในครั้งแรกที่ถูกเขี้ยวของมันสะกิดผิวอ้อรู้สึกเสียวแปลบและคืนสติทันที แต่หล่อนก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากดิ้นรนและค่อยๆ หมดแรงอย่างช้าๆ บราห์มหันร่างของหล่อนมาให้ก้องได้เห็นอย่างชัดๆ ดวงตาที่เบิกโพลงของอ้อจับจ้องไปที่ร่างอันโชกเลือดของก้อง เสียงอันแหบแห้งของหล่อนค่อยๆ หลุดออกมาจากปาก
“พี่..........ก้อง” จากนั้นดวงตาที่เบิกโพลงของหล่อนก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างสนิท พร้อมกับหยาดเลือดหยดสุดท้าย ที่ถูกสูบออกไปโดยคมเขี้ยวของบราห์ม ร่างของหล่อนเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ไม่มีแม้เพียงรอยเลือดซักหยดที่บาดแผลของหล่อน จากนั้นบราห์มก็ทิ้งร่างอันไร้วิญญาณของหล่อนให้ร่วงลงมากองอยู่ที่พื้น ก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดปากมาซับคราบเลือดที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากแล้วดูดกินคราบเลือดนั้นต่อย่างน่าสยดสยองที่สุด
“อ้ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ” ก้องตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง ด้วยความแค้น และความโทมนัส อย่างแสนสาหัส ที่ไม่อาจช่วยคนรักของตนไว้ได้ เขาพยายามพยุงตัวขึ้นมาสายตาก็จับจ้องไปที่บราห์มอย่างโกรธแค้น แต่ทำยังไงเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ จนกระทั่งบราห์มเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ ด้วยสายตาอำมหิต
“อย่ากังวลไปเลย ในเมื่อรักกันนัก ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับนางเอง” บราห์ม พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกเข้าไปจนถึงวิญญาณ
“แก ชั้น จะ ฆ่า แก” ก้องยังคง มองหน้าบราห์มด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความแค้น
“ยังอุตส่าห์ ดิ้นรนอีกรึ แต่จงโทษความอ่อนแอ ของตัวเจ้าเองเถอะ มนุษย์” จากนั้นบราห์มก็กระชากร่างของก้องขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและคราวนี้ มันก็ได้ใช้เล็บอันแหมคม กรีดไปที่ใบหน้าของก้องจนเป็นรอยบาก ก่อนที่จะกรีดไปที่ข้อมือทั้งสองข้างของก้องอันเป็นบริเวณเดียวกับเส้นชีพจรจนโลหิตสีแดงสดไหลทะลักออกมา
“อย่าลืมฝากความคิดถึงไปให้นางอันเป็นที่รักของเจ้าด้วยล่ะ ลาก่อน มนุษย์” แล้วบราห์ม ก็เหวี่ยงร่างของก้องออกไปที่นอกระเบียงที่เปิดอยู่ ทำให้ร่างของเขาลอยละลิ่วตกลงมา จากชั้นบนของคอนโด สู่พื้นเบื้องล่าง และกระแทกกับรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านล่างเสียงดังสนั่น จากนั้นบราห์มก็กลายสภาพเป็นค้างคาวนับร้อยๆ ตัว แล้วบินออกไป จากห้องนั้น ทิ้งไว้แต่เพียงกลิ่นอายของความตายและความสูญเสีย
    ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ชายในชุดโอเวอร์โคทสีดำ เดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้า แล้วจากนั้นเขาก็เรียกแท็กซี่คันหนึ่งก่อนที่จะบอกจุดหมายแล้วไม่พูดอะไรอีก นอกจากนั่งนิ่งเฉยราวกับจมดิ่งอยู่ในสมาธิ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร แต่ที่แน่ๆ การมายังกรุงเทพของเขา คงมิใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
..........
จบ บทที่ 5 ชะตากรรม
...................................
ร้านหมูกระทะเจ้าประจำที่เหล่าชาวหนอนใช้เป็นที่สังสรรค์ บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ต่างก็ทยอยกันออกมาหาสถานที่พักผ่อน และสนทนากันทั้งในครอบครัวและมิตรสหายต่างๆ รถสปอร์ตคันงามพุ่งเข้ามาในลานจอดรถอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะหักหัวเข้าซองอย่างคล่องแคล่ว เรียกว่านักแข่งมืออาชีพยังอาย และผู้ที่ทำหน้าที่เป็นเท้าสัมภเวสีรถคันนี้มิใช่ใครที่ไหนแต่เป็น อากิโกะนั่นเอง
“วู้ว ไม่ได้ขับแบบเมามันแบบนี้มานานแล้ว” เธอ ร้องตะโกนออกมาอย่างสะใจ ในขณะที่ลูคัส ที่นั่งมาด้วยนั้นสีหน้าเรียบเฉยเนื่องจากจิตวิญญาณกระโดดหนีลงไปตั้งแต่ตอนที่แม่คุณเหยียบ 240 แล้วขับผ่าช่องจราจร ฝ่าไฟแดง กลางสี่แยกใหญ่แถวสุขุมวิทเรียบร้อยไปแล้ว และทันทีที่รถจอดสนิทโดยไม่บุบสลายรถมอเตอร์ไซค์สายตรวจของตำรวจจราจร สน.อักษรย่อแห่งหนึ่งก็เข้ามาจอดเคียงข้าง ท่ามกลางสายตาคนนับร้อยที่มองอยู่
“ประทานโทษครับ ขอดูใบอนุญาตหน่อยครับ” ผู้พิทักษ์สันติราษฎรเดินมาทำความเคารพก่อนที่จะเรียกขอดูใบอนุญาตขับขี่จากอากิโกะ
“อืม ใบอนุญาตอะไรเหรอคะ ขับรถ หรือเครื่องบิน หรืออนุญาตอะไรเอ่ย” อากิโกะถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่หวานหยาดเยิ้มชวนฝัน พร้อมทั้งโปรยรอยยิ้มที่หวานจ๋อยเล่นเอาคุณตำรวจถึงกับลืมครอบครัวไปเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนนี้ เธอแต่งกายด้วยเสื้อสายเดี่ยวสีชมพู ผูกโบว์สีขาวไว้ที่กลางอกเสื้อ ทำให้แลดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก แต่ทว่าลูคัสที่มาด้วยกันนั้นกลับใส่แค่เสื้อหนอนหื่นกับกางเกงขาสั้นสามส่วนสีเทากลาง 18% เท่านั้น เรียกว่าไม่ต้องคิดอะไรมากเลย
“เอ่อ คือว่า อะเฮ่อ ใบอนุญาตขับขี่ครับโผม” คุณตำรวจเริ่มสติแตกทีละน้อยเมื่อเจอลูกไม้นี้ของอากิโกะ แต่ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเจรจาอยู่นั่นเอง ลูคัสที่สติกลับคืนมาแล้วก็โบกมือไปที่หน้าตำรวจอย่างช้าๆ
“คุณ ไม่จำเป็นต้องดูใบอนุญาตของเธอหรอก” ลูคัสพูดนำขึ้น
“ผมไม่จำเป็นต้องดูใบอนุญาตของคุณผู้หญิง” ตำรวจกล่าวตามราวกับเด็กอนุบาลหมีน้อยกำลังท่องจำสิ่งที่คุณครูสอน
“ปล่อยให้เธอทำธุระของเธอได้ตามสบาย”
“เชิญทำธุระต่อได้เลยครับ”
“คุณจะกลับไปทำงานต่อ และจำไม่ได้ว่าคุณพบเห็นอะไรมา”
“ผมจะกลับไปทำงานต่อ แต่ผมจำไม่ได้ว่าผมเห็นอะไร” พูดจบตำรวจผู้น่าสงสารก็ทำความเคารพแล้วเดินกลับไปขึ้นรถของตน แล้วขี่รถออกไปจากลานจอดรถ
“ขอบคุณมากค่ะ ที่รัก” ว่าแล้ว อากิโกะก็หอมแก้มเขาหนึ่งฟอดแรงๆ ก่อนจะก้มลงสำรวจตัวเองตามประสาผู้หญิง
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะค่ะ อเล็กซ์” จากนั้นอากิโกะ ก็ลงจากรถ พร้อมทั้งหยิบเอากล้องตัวใหม่ที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษออกมาด้วย แล้วลูคัสจึงตามออกมาพร้อมกับ EOS Zeta 1D ที่สวมเลนส์ EF-S 24-600 mm F2.8 L DO IS USM เรียบร้อย ก่อนจะดึงเอา 580 EX II เข้ามาสวมที่ฮอตชู แล้วทดสอบโดยการถ่ายภาพภรรยาสุดที่รักของเขาไปก่อน 1 ภาพ แต่แน่นอน เขาเองก็ถูกเธอสวนกลับด้วย D3X ที่เสริมประสิทธิภาพด้วยกริปรับส่งสัญญาณที่ใต้ฐานบอดี้ พร้อมด้วยเลนส์คุณภาพสุดยอดอย่าง AF-S DX VR18-600 mm F2.8 G IF ED กับ SB 800 2 ตัว ที่เสียบอยู่บนฮอตชูด้านข้างทั้ง 2 ด้าน
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินขึ้นไปในร้านเพื่อหาที่นั่งและดูว่ามีใครมากันบ้างหรือยัง แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงทักทายมาจากกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ บริเวณโต๊ะตัวใหญ่ที่สุดที่ให้บรรยากาศที่ดูเป็นส่วนตัวมากๆ ทั้งสองจึงเดินไปยังโต๊ะนั้นระหว่างทางลูคัสได้เดินสวนกับพนักงานสาวๆ หลายคนและแน่นอน ว่า หาได้มีใครรอดไปจากมือของลูคัสไม่ ฝ่ามืออันว่องไวปานงูฉกสัมผัสกับบั้นท้ายของพนักงานคนแล้วคนเล่าโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว ยกเว้นอากิโกะเท่านั้น และแล้วรองเท้าของอากิโกะก็สัมผัสกับเท้าของเขาอย่างนุ่มนวลแต่ทรงพลังยิ่งนัก  เล่นเอาลูคัสถึงกับลงไปทรุดน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว
“สวัสดีค่ะ ทุกๆ คน” อากิโกะในเวลานี้ที่ดูสวยกว่าเมื่อกลางวันมาก ทักทายกับทุกๆ คนอย่างเป็นกันเอง จากนั้นเธอก็นั่งลงข้างๆ ลูคัส ที่หาที่นั่งว่างได้เรียบร้อยแล้ว แล้วหลังจากนั้นเธอก็ตกเป็นเป้าให้ทุกคนได้เปิดประเด็นสัมภาษณ์กันอย่างถึงลูกถึงคนเลยทีเดียว แล้วหลังจากนั้นจุดโฟกัสทั้งหมดก็มาอยู่ที่อุปกรณ์ของทั้ง 2 ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ให้รายละเอียดกันอย่างถี่ยิบซะยิ่งกว่า Dpreviw เสียอีก แล้วหลังจากนั้นการสังสรรค์ก็เป็นไปอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งถึงเวลาสำคัญ ก้องกับหนูอ้อก็ลุกขึ้นมายืนพร้อมกันทั้งคู่
“พี่ๆ และก็เพื่อนๆ ชาวหนอนครับ ผมกับอ้อมีข่าวดีจะมาประกาศครับ นั่นคือ ๆ ๆ ๆ ๆ”
“พี่ก้อง เปี๊ยนไป๋ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงของราอินทร์ ดังแทรกขึ้นมากลางวง เล่นเอาก้องถึงกับหน้าหุบทันที
“ข่าวดี คือ ผมกับอ้อ”
“จะเลิกกันแล้วใช่มั้ย” อาฮุย ขาใหญ่ประจำกลุ่มแทรกขึ้นมาทันควัน
“ผมกับอ้อ จะแต่งงานกันเดือนหน้านี้ครับ” ว่าแล้ว ก้องก็หอมแก้มของอ้ออย่างหวานชื่น เล่นเอามดแดงใต่ขึ้นโต๊ะเป็นขบวน และเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีจากพรรคพวกทุกๆ คน
“ยินดีต้อนรับสู่โลกใหม่ โว้ยก้อง คลับใหม่กลัวเมียคลับขอต้อนรับ” ลูคัส ตบมือก่อนจะตะโกนแซว แล้วทันใดนั้นเอง อากิโกะก็หันมาจ้องด้วยสายตาอันหวานเชื่อมแต่ดุดัน
“อเล็กซ์ คะ”
“ขอโต้ดก๊าบ ป๋มล้อเล่น ก๊าบ ป๋มจะไม่ทำอีกแย้วก๊าบ” ลูคัส ก้มหน้าลงกับพื้นหลบตาเจ้าชีวิตของเขาทันที ด้วยทีท่าที่สงบราบคาบ เล่นเอาหนอนทั้งกลุ่มพากันหัวเราะทั้งโต๊ะ
“พี่อากิโกะคะ เก่งจังเลยค่ะ ทำยังไงถึงปราบ พี่ลูคัส ได้จนราบคาบอย่างนี้ล่ะคะ” ราอินทร์ถามขึ้นอย่างสงสัย
“น้องเอ๋ย มันเป็นธรรมชาติ ก่อนแต่งยัยนี่หงอพี่จะตาย พอแต่งแล้วเท่านั้นแหละ กลายเป็นแบบนี้ไปเลยอ่ะ พี่บอกไม่ถูกเหมือนกัน ไว้ลองแต่งงานดูซักทีสิ จะรู้ว่ามันคือสัจธรรม” ลูคัสพูด อย่างปลงๆ แต่แล้วในระหว่างที่ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่นั้นเอง หนุ่มสาวคู่หนึ่งก็เดินเข้ามา
“อ้าว สิ บอย เป็นไง ฮันนีมูนสนุกมั้ย แล้วนี่มาได้ไงเนี่ย” โบ๊ท ร้องทักทั้งคู่ที่พึ่งเดินเข้ามาหมาดๆ ในขณะที่อากิโกะมองไปที่ สร้อยทับทิมที่สวมอยู่บนคอของสิขา อย่างลืมตัว
“อเล็กซ์คะ นั่นมัน พลอยโลหิต” เธอพูดเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ว่าแต่ทับทิมที่คอนั่นสวยดีนี่ ซื้อมาจากยุโรปเหรอ” ลูคัส ถามขึ้นอย่างปรกติ โดยไม่ให้ใครสังเกตได้ถึงความผิดปรกติ
“ค่ะ ซื้อที่โรมาเนียค่ะ พวกยิปซีเค้าเอามาขายถูกมากเลย” สิขาตอบคำถามนั้น ก่อนจะควงแขนบอยลงนั่งยังที่ว่างอีกสองที่
“เอาล่ะสิ งานนี้ มดตอมโต๊ะแน่ๆ พวกสวีทหวานแหววตั้ง 3 คู่” ป้ามี๋ หันไป พูดพยักเพยิดกะป้าหนม และ หนูราอินทร์ ซึ่งประจำกลุ่ม 3 ป้า แห่งคลับ ทำให้ทั้ง 3 คู่ ถึงกับเขินไปทันที แล้วจากนั้นงานก็ดำเนินต่อไป
    ที่ห้องพักของบราห์ม จู่ๆ เขาก็เดินออกมายังนอกระเบียง แล้วหันไปพูดกับสมุนคนสนิท
“วิลเฟรด ข้าสัมผัสได้ พลอยโลหิตอยู่ใกล้ นี่เอง แต่ปัญหาคือ พลังอันแข็งแกร่ง 2 พลังที่อยู่กับมัน คืออะไรข้าไม่อาจล่วงรู้ได้ เจ้าจงไปสืบข่าวมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ครับ มาสเตอร์” วิลเฟรด รับคำจากนั้นก็กระโดดลงไปจากระเบียงทันที แล้วจากนั้นร่างของวิลเฟรดก็กลายสภาพเป็นค้างคาวตัวใหญ่ บินไปตามทิศทางที่คาดว่าน่าจะเป็นที่อยู่ของพลอยโลหิต
“นานเหลือเกินที่ข้าต้องรอคอย แต่บัดนี้เวลาได้มาถึงแล้ว เวลาที่ข้าจะได้กลับคืนสู่สถานะแห่งราชันย์โดยสมบูรณ์แบบ เคียงคู่ราชินีแห่งข้า และสร้างเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด ฮะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” จากนั้น บราห์มก็เดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เพื่อรอฟังข่าวจาก วิลเฟรด ไอแวนโฮ สมุนคนสนิท
    ที่ร้านหมูกระทะเวลานี้ ผู้คนเริ่มเบาตาลง แต่สำหรับโต๊ะของพวกลูคัส บรรยากาศยังคงเป็นไปอย่างครึกครื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูคัส ที่เมาโคล่า จนได้ที่กระโดดขึ้นมาโชว์ลีลา ราชาเพลงป๊อบ ผสม เอนริเก้ แต่งเติมนิดๆ ด้วย ริกกี้ มาร์ติน เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากกลุ่มสาวๆ โต๊ะข้างเคียงได้เป็นอย่างดี แต่ว่า อากิโกะกลับนั่งหน้าหงิก
“ให้ตายสิ กินโคล่าเยอะๆ ทีไร เป็นต้องเมาไม่ได้สติทุกที” อากิโกะบ่นพึมพำเบาๆ แต่คนอื่นๆ กลับงงกันเป็นแถบเนื่องจากไม่เคยเห็นใครในโลกนี้กินโคล่าแล้วเมามาก่อน
“เอ่อ ดร.อากิโกะ คะ โคล่านี่ดื่มแล้วเมาได้ด้วยเหรอคะ” เจ๊อ้อย ถามด้วยความฉงน
“เฉพาะ อเล็กซ์คนเดียวค่ะ ที่เป็นแบบนี้ สงสัยต้องช่วยให้สร่างเมาหน่อยแล้ว” ว่าแล้ว อากิโกะ ก็เดินไปดึงเอาลูคัส ออกมา ก่อนจะเดินลากไปยังห้องน้ำ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของพรรคพวก แต่ดูเหมือนในเวลานี้ลูคัสจะไม่รู้อะไรอีกแล้ว และในระหว่างที่อากิโกะลากตัวลูคัสไปถอนพิษกรดคาร์บอนิกอยู่นั่นเอง ค้างคาวยักษ์ตัวหนึ่งที่มีแววตาเป็นสีแดงเลือด มองมายังสิขา อย่างไม่กะพริบตา เช่นกันกับที่ชายในชุดดำคนหนึ่งที่นั่งอยู่ห่างๆ ที่จ้องหนูราอินทร์อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาเช่นกัน
    ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกลา งานหื่นสัญจรพิเศษนี้ก็เช่นกัน ในที่สุดช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง เวลาที่ร้านต้องปิด เหล่าชาวหนอนจึงทยอยกันออกมาจากร้านก่อนจะร่ำลากันไป ตามเส้นทางของตัวเองเพื่อทำหน้าที่ของตนเองต่อไป
ในขณะที่บอยกำลังขับรถกลับบ้านโดยมีสิขาภรรยาสุดที่รักของเขานั่งไปด้วยนั้นเอง จู่ๆ พลอยโลหิตที่คอของสิขาก็เปล่งประกายขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครสังเกต แต่ที่แน่ๆ ค้างคาวยักษ์ตัวนั้นมาเกาะอยู่ที่หลังคารถของทั้งคู่เรียบร้อยไปแล้ว
“อเล็กซ์คะ รู้สึกแปลกๆ บ้างมั้ยคะ” อากิโกะ ถามสามีของเธอในขณะที่กำลังขับรถออกมาจากร้าน
“อืม ช้าว หน่าย หว่าน นี้ ก่อน จาก เธอ ม่า คืน นี้ เธอ อยู่ กาบ ผม ก่อน จาก ปาย ตอน ช้าว นี้ อึ๊ก เอ่อ ช้าว นี้ เลย ม่าย เด เธอ ทาม ห้าย โผม รู้สืก หนาก หัว ช้าว หน่าย หว่าน นี้ ช้าง มืดมน และ ดำปี๋ เธอ ทาม ห้าย โผม มี อาการ ซาเหมือน ผี ผะอืดผะอม สิ้น ดี เฮ่อ โง หั๊ว ม่าย ขื้น เลย” ลูคัสที่อาการยังไม่ดีขึ้น ร้องเพลงออกมาอย่างอ้อแอ้ตามประสาของคนเมา (โคล่า) ส่วนอากิโกะนั้น ถึงกับถอนหายใจเอามือตบหน้าผากตัวเองทันที
“เวรกรรมจริงๆ เป็นอะไรไม่เป็น ยิ่งรู้สึกแปลกๆ อยู่ด้วย อุ๊ย ว้าย จะทำอะไรน่ะ นี่ไม่ใข่ในห้องนะ” จู่ๆ อากิโกะก็ต้องร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อลูคัส โถมตัวเข้ามาใส่เธอแล้วเอาหน้าซุกไซ้ไปทั่ว
“อากิจ๋า ผมร้าก คูณ” ลูคัส ยังคงไม่สร่างเมาอยู่ดี และยังคงซุกซนอยู่อย่างนั้น จนอากิโกะต้องใช้ไม้ตายสุดท้าย
“อุ๊ย เด็ก ม.ปลาย ไม่ใส่เสื้อผ้า” เธอตะโกนขึ้นมาอย่างสุดเสียง และดูเหมือนจะได้ผลในทันที ลูคัส หยุดการจู่โจม แล้วตั้งตัวขึ้นมานั่งตัวตรงทันที ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง
“ไหน อยู่ไหน เด็ก ม.ปลาย ที่ว่า โอ๊ย” อากิโกะบิดหูเขาอย่างแรงอีกครั้ง
“นี่แน่ ๆๆ ทีอย่างงี้ล่ะฟื้นเชียว รู้มั้ยว่าเมื่อกี๊ในร้านน่ะ สภาพคุณดูดีแค่ไหน” อากิโกะ ดุเขาราวกับว่ากำลังดุน้องชายคนเล็ก ส่วนลูคัสได้แต่ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม เพราะไม่รู้ตัวเลยว่าทำอะไรลงไปบ้าง
“อากิ รู้สึกแปลกๆ มั้ย เหมือนกับว่า มีอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่แถวๆ นี้” ลูคัส เปลี่ยนท่าทีไปในฉับพลัน แล้วทันใดนั้น แวน เฮลซิ่ง ที่เก็บไว้ในรถก็ส่องแสงออกมา ทั้งคู่จึงหันมามองหน้ากันก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมๆ กัน
“ปีศาจ”
“พอจะดูออกมั้ยคะว่าพวกไหน”
“เท่าที่สัมผัสได้ ดูเหมือนจะมีอยู่สองอย่างนะ แวมไพร์ กับ อะไรซักอย่างที่คล้ายพวกมนุษย์หมาป่า แต่ว่าแข็งแกร่งกว่ามาก”
              “แล้วอย่างงี้ เราจะทำยังไงดีคะ”
   
“หรือว่า แย่แล้ว พลอยโลหิต อากิ เร็วเข้า บอยกับคุณสิกำลังอยู่ในอันตราย” ลูคัส นึกขึ้นมาได้ทันที จากนั้นเขาก็หยิบเอาแฟ้มคดีที่จิ๊กมาจากสมาคมเซนทิเนลออกมาดู เขาเปิดมันดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปิดลงที่หน้าสุดท้าย บันทึกคดีฆาตกรรมโรคจิตต่อเนื่องในกรุงเทพ
“สตรูก้า เป้าหมายของมัน คือ พลอยโลหิต เราต้องรีบแล้ว อากิ บึ่งเลยเรื่องตำรวจผมเคลียร์เอง” โดยไม่ต้องรอ อากิโกะ เหยียบคันเร่งจนมิด แล้วขับไปตามทิศทางของพลอยโลหิตที่เธอสัมผัสได้โดยใช้พลังที่ได้รับจากบาฮามุทและเทียแม็ท
“ให้ตายเถอะ ถ้าไม่เมาโคล่าตะกี๊ล่ะก็ คงหาทางป้องกันไปแล้ว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเลือดมังกรจะมีผลข้างเคียงแบบนี้ด้วย” จากนั้นทั้งสองก็รีบตามบอยและสิขาไป
    ในสถานีรถไฟไต้ดินกลางดึก ราอินทร์เดินอยู่คนเดียวเพื่อจะโดยสารรถขบวนสุดท้ายกลับบ้าน แล้วทันใดนั้น จู่ๆ ชายชุดดำที่ตามหล่อนมาก็พุ่งเข้าจู่โจมหล่อนจากด้านหลัง โดยที่หล่อนไม่มีทางขัดขืนเลยแม้แต่น้อย และก่อนที่จะมีใครมาถึงมันก็ได้ฝังเขี้ยวลงไปยังต้นคอขาวเนียนของหล่อนทันที ก่อนจะถอนเขี้ยวขึ้นมา
“อา นี่แหละคือสิ่งที่ข้าโหยหามานานตลอดทั้งชีวิต เส้นผมที่ยาวสลวย ผิวที่ขาวเนียน และกลิ่นที่หอมจรุง นับจากนี้ไปในคืนเพ็ญที่จะถึงนี้ เจ้าจะกลายเป็นของข้าอย่างช้าๆ และเมื่อเวลามาถึงจะไม่มีใครพรากเจ้าไปจากข้าได้ แม้กระทั่งความตาย” แล้วในวินาทีนั้นเอง แผลที่ต้นคอของราอินทร์ก็หายสนิทราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชายลึกลับคนนั้นอาศัยช่วงจังหวะที่ไม่มีคน พุ่งตัวหายไปในความมืดภายใต้อุโมงค์ใต้ดิน ปล่อยให้ราอินทร์ที่กำลังจะฟื้นคืนสติฟุบอยู่ตรงนั้น จนกระทั่ง รปภ มาพบเข้า
“คุณ เป็นอะไรครับคุณ ไหวมั้ย”
“อืม ชั้นเป็นอะไรไป แล้ว ที่นี่ที่ไหน ชั้น ชั้นต้องไป ชั้นต้องไปแล้ว” จู่ๆ หล่อนก็วิ่งเตลิดออกมา จากสถานี ลงมายังถนนใหญ่ซึ่งไม่ค่อยมีรถสัญจรเท่าไหร่นัก และในวินาทีนั้นเอง รถสปอร์ตคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาพอดี
“เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด” เสียงเบรค ครูดกับพื้นถนนดังลั่นเดชะบุญที่ไม่มีรถคันอื่นอยู่บนถนน จากนั้นคนที่มากับรถก็ลงมาดูทันที
“ราอินทร์ ๆ ปลอดภัยหรือเปล่า เป็นอะไรไป ทำไมไม่ตอบ เฮ้ยตัวร้อนจี๋เลย อากิ มีเรื่องด่วน พาราอินทร์ไปที่ห้องก่อนเร็ว” ลูคัส ซึ่งลงมาจากรถเมื่อเห็นอาการของราอินทร์ก็รู้ได้ทันทีว่ามีอะไรที่ไม่ปรกติ และเมื่อสังเกตดูท่ต้นคอด้านหลัง ลูคัสก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบรอยเขี้ยวขนาดใหญ่ ปรากฏอยู่จางๆ ส่วนอากิโกะซึ่งรู้งานอยู่แล้ว รีบเข้ามาช่วยลูคัส อุ้มราอินทร์ไปที่ห้องทันที เพื่อทำการช่วยเหลือโดยด่วน
    ที่ห้องของบราห์ม ในที่สุด วิลเฟรด ก็ได้กลับมาหาผู้เป็นนาย และ รายงานทุกสิ่งทุกอย่างให้ฟังจนหมดสิ้น จากนั้นเขาก็นิ่งสงบเพื่อรอคำสั่งต่อไป
“อา ในที่สุด ข้าก็ได้พบทั้งนางและพลอยโลหิต แต่เจ้าว่ายังไงนะ นางแต่งงานแล้วยังงั้นรึ”
“ครับ มาสเตอร์ ส่วนพลังอันแข็งแกร่งเท่าที่ข้าสังเกตดู คาดว่าเป็นพลังของเผ่ามังกรแน่นอนครับ เพราะข้าได้กลิ่นเลือดของมังกร แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ กลิ่นเลือดของพวกแฟงก์ที่แฝงตัวอยู่ในบริเวณนั้นด้วย ข้าไม่แน่ใจว่ามันมีเป้าหมายเดียวกันกับพวกเราหรือเปล่า”
“เอาเถอะ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว คืนวันพรุ่งนี้ ข้าจะออกล่าเหยื่อด้วยตัวเอง ข้าสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งพลังบางอย่าง และที่สำคัญเด็กนั่นที่เดินแบบให้ข้า นางเกิดในราศีกันย์และยังคงความบริสุทธิ์อยู่ เลือดของนางจะช่วยเพิ่มพลังให้กับข้า เจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว วิลเฟรด ข้าอยากอยู่ตามลำพังเวลานี้”
“ครับ มาสเตอร์” จากนั้น วิลเฟรด ก็หายไปท่ามกลางความมืด ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะไปไหน บางทีอาจจะออกไปล่าเหยื่อ ตามประสาแวมไพร์ก็เป็นได้ ส่วนบราห์มนั้นก็ได้เดินตรงไปยังเปียโนตัวโปรดของเขา และลงนั่งบรรเลงบทเพลงแหงจันทราอาดูร หรือ มูนไลท์โซนาตร้า อันแสนเศร้าสร้อยอีกครั้งหนึ่ง
    ที่คอนโดหรูของอ้อ หลังจากงานเลิก ก้องและอ้อ ต่างก็นั่งพร่ำพรอดกันอย่างดูดดื่ม โดยที่ไม่มีใครรู้ว่านี่จะเป็นคืนสุดท้ายแล้ว สำหรับทั้งสอง อ้อในเวลานี้อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำหล่อนพึ่งอาบน้ำเสร็จหมาด กลิ่นแชมพูยังคงหอมติดเส้นผมของหล่อนอยู่ ส่วนที่ผิวกายของหล่อนไออุ่นๆ จากน้ำร้อนก็ยังคงเกาะติดอยู่ที่ผิวหล่อนเช่นกัน ส่วนก้องก็ยังอยู่ในชุดเสื้อคลุมขนหนูเช่นกันเขาค่อยๆ เข้ามาโอบหล่อนไว้จากด้านหลัง แล้วจูบลงไปเบาๆ ที่ต้นคอที่หอมกรุ่น ทั้งคู่ยืนดื่มด่ำกับความสุขและรับลมธรรมชาติอยู่ที่ริมระเบียงห้องนั่นเอง ก่อนที่ก้องจะประคองร่างของหล่อนมาข้างในห้อง แล้วจูบหล่อนอย่างทะนุถนอมที่ริมฝีปาก แล้วค่อยๆ ปลดชุดของหล่อนอย่างช้าๆ
“อืม พี่ก้องขาอย่ารีบร้อนสิคะ อ้ออยากเก็บคืนพิเศษสุดของเราเอาไว้ ในคืนแต่งงานนะคะ” หล่อนครางออกมาด้วยเสียงอันกระเส่าแต่ก็ไม่ปฏิเสธในสัมผัสนั้นที่ได้รับจากชายคนรัก
“อ้อจ๋า พี่รักอ้อเหลือเกิน รักมากจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว แต่ถ้าอ้อต้องการอย่างนั้นก็ตกลงจ้ะ พี่จะเก็บเวลาเอาไว้ เพื่อรอ จนกว่าจะถึงคืนวันอันแสนวิเศษของเรา” จากนั้นก้องก็ยังจู่โจมต่อไป แต่ยังคงรักษาความเป็นสุภาพบุรุษเอาไว้ จากนั้นเขาจึงดันร่างของหล่อนซึ่งขณะนี้อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ลงไปบนเตียงนอน ก่อนที่จะปลดเปลื้องอาภรณ์ของตนเองออกเช่นกัน
“พี่ ก้อง ขา ได้โปรด” อ้อ ครางด้วยความประหม่าและความอาย ที่ทั้งเขาและเธอต่างอยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่าด้วยกันทั้งคู่
“อย่ากลัวไปเลยอ้อ พี่จะไม่ทำอะไรที่เกินเลยไปกว่านี้ แน่นอน พี่สัญญาจ้ะ ว่าพี่จะไม่มีวันทำลายผู้หญิงที่พี่รักก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสมอย่างแน่นอน แต่ว่าคืนนี้พี่อยากจะขออะไรจากอ้ออย่างหนึ่ง ขอให้พี่ได้กอดอ้อเอาไว้อย่างนี้ ในอ้อมกอดของพี่ไปจนกว่าจะถึงเช้าจะได้มั้ยจ๊ะ คนดีของพี่”
“ถ้าแค่กอดเฉยๆ ก็ได้ค่ะ คืนนี้ขอให้เราได้อยู่ด้วยกันไปตลอดทั้งคืนจนกว่าจะถึงเช้าเลยนะคะ พี่ก้อง อ้อขอให้คืนนี้เป็นคืนสำหรับเราสองคนที่จะจดจำมันเอาไว้ และอ้ออยากให้เวลาหยุดไว้แค่นี้จังเลย อ้อไม่อยากจะให้ถึงตอนเช้าเลย เพราะถ้าเช้าพี่ก้องก็จะไปจากอ้อแล้ว” หล่อนพูดกับก้องด้วยน้ำเสียงที่ราวกับว่า จะไม่ได้พบเขาอีกเลยตลอดไป
“ถ้าอ้อ ไม่อยากให้พี่ก้องไป พี่ก้องก็จะไม่ไปจากอ้อแน่นอนจ้ะ พี่จะนอนกอดอ้อเอาไว้อย่างนี้ จนกว่าอ้อจะเบื่อเลยล่ะ” ก้องหยอดคำหวานใส่หญิงคนรักของเขา ด้วยความรู้สึกที่คล้ายกัน เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์ ในตัวหล่อนอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเขาก็ดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของเขาและเธอเอาไว้ ก่อนที่จะจูบที่เปลือกตาของหล่อนเบาๆ เพื่อกล่อมให้นอน แล้วจากนั้นอ้อก็พลิกตัวหันหน้ามาหาก้อง ก่อนที่จะกอดเขาไว้แล้วหลับไปด้วยความเพลียในอ้อมอกอันอบอุ่นนั้นเอง ส่วนก้องนั้นยังไม่ยอมหลับง่ายๆ เขายังคงจ้องมองใบหน้าของหล่อนเอาไว้ราวกับจะเก็บบันทึกมันไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไปเคียงคู่กับหล่อนนั่นเอง
    ที่ห้องของลูคัส ราอินทร์ที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ ถูกอุ้มมาวางลงบนเตียงโดยมีอากิโกะคอยเช็ดทำความสะอาดเนื้อตัวให้ แล้วซักครู่ เธอก็ไล่ให้ลูคัสออกไปข้างนอก เพื่อที่เธอจะได้ทำการเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเด็กสาวได้อย่างสะดวกสบาย
“เข้ามาได้แล้วค่ะ อเล็กซ์” เสียงของอากิโกะ เรียกให้เขาเข้าไปได้แล้ว จากนั้นลูคัสก็ถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกสงสารและเวทนา ในชะตากรรมของเด็กสาวคนนี้ยิ่งนัก ทำไมหล่อนจึงต้องมาเผชิญกับเรื่องแบบนี้ด้วย เขาเองก็ไม่เข้าใจ ดูท่ากงล้อแห่งชะตากรรมจะเล่นตลกกับเขาอีกกระมัง จากนั้นเขาจึงเดินเข้าห้องไป
“ฝากดูแล น้องเค้าด้วยนะ อากิ ผมจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับตอนยูกิจังอีกแล้ว” จากนั้นลูคัสก็เข้ามาดู ราอินทร์ที่อยู่ในชุดนอนของอากิโกะซึ่งหล่อนสวมได้อย่างพอดี แล้วจากนั้นเขาก็ได้ เอามือจุ่มลงไปในขันน้ำ พร้อมกับท่องคาถาบางอย่างออกมา แล้วเอาน้ำจากมือนั้น ค่อยๆ หยดลงไปยังต้นคอของราอินทร์ แล้วในวินาทีนั้นเอง รอยเขี้ยวของสัตว์ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ส่วนอากิโกะก็ไปหยิบเอาบันทึกเล่มใหญ่ที่นำมาจากห้องสมุดของสมาคมออกมาเปิดอ่านดู เพื่อหาที่มาของรอยเขี้ยวนี้และหนทางในการรักษา
ในระหว่างนี้เองราอินทร์ซึ่งนอนซมทนทุกข์ทรมานด้วยพิษไข้ และเสียงอันลึกลับที่เรียกหาหล่อนที่ตามหลอกหลอนหล่อนมาตลอดทางก็ค่อยๆ สงบลง ด้วยอำนาจจากเวทย์มนตร์ของลูคัส จากนั้นลูคัสก็เอามือจุ่มลงไปในน้ำอีกครั้ง ก่อนจะน้ำในมือนั้นหยดลงไปที่แผลแต่ครั้งนี้ มีลำแสงประหลาดปรากฏขึ้นมาจากหยดน้ำเป็นอักขระอักษรโบราณ อักขระนั้นหมุนวนอยู่บริเวณอบๆ รอยแผลของราอินทร์ก่อนที่จะซึมลงไปในแผลอย่างช้าๆ
“พี่คงช่วยเราได้แค่นี้ล่ะนะ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองล่ะ ว่าจะสู้กับมันได้แค่ไหน” จากนั้นลูคัสก็เดินออกจากห้องตรงไปยังโซฟา แล้วล้มตัวลงนอนอย่างเหน็ดเหนื่อยก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิด ปล่อยให้อากิโกะนอนดูแลราอินทร์อยู่บนเตียงของเขาแทน ซึ่งอากิโกะเองก็เต็มใจเพราะเธอรู้สึกเอ็นดูราอินทร์เหมือนกับน้องสาวของเธอเองอยู่แล้ว จากนั้นทั้งหมดก็หลับไป ปล่อยให้วงล้อแห่งชะตากรรมหมุนต่อไป เพื่อเข้าสู่วงจรสุดท้ายของมัน วงจรแห่งสงครามเลือดที่ใครก็มิอาจหลีกเลี่ยง
    เทือกเขาคาร์เพเธียน ในโรมาเนีย ณ ตำบล ทรานซิลวาเนีย อันเป็นที่ตั้งของปราสาทแดร็กคิวล่า ที่คฤหาสน์โบราณหลังหนึ่ง ซึ่งตังอยู่บริเวณรอบนอกของเมืองใกล้กบหมู่บ้านของพวกยิปซี ชายร่างสูงใหญ่ผมสีทองยาวสลวยเป็นประกายในชุดโอเวอร์โคทสีดำ ยืนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยภาพวาดของเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลซึ่งอยู่ในชุดแบบขุนนางทั้งชายและหญิง ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือแส้โลหะที่มีปลายเป็นรูปไม้กางเขน แบบเดียวกับที่วางอยู่บนแท่นวางกำมะหยี่ที่ประดับด้วยเพชรพลอย
เขายืนมองดูที่แส้นั้นก่อนที่จะหยิบมันขึ้นมาแล้วนำมันมาเหน็บไว้ที่เอวด้านซ้าย ก่อนที่จะเดินไปยังชั้นวางอาวุธอันมีไม้กางเขนอันคมกริบที่ทำจากเงิน ขวดน้ำมนต์ มีดสั้น ขวาน และอาวุธอื่นๆ อีก เขายืนมองดูอาวุธเหล่านั้น แล้วจึงเลือกหยิบเอาขวดน้ำมนต์ที่วางเรียงรายกันขึ้นมา กับไม้กางเขนเงิน และมีดสั้นที่เปล่งประกายสีทองขึ้นมา แล้วพกมันไว้ที่เข็มขัด กับขวดน้ำมนต์ใส่ที่กระเป๋าเสื้อโอเวอร์โคทด้านใน แล้วหยิบเอาลิ่มเงินจำนวนหนึ่งที่ร้อยเป็นสายสร้อย มาคาดไว้ไขว้กับเข็มขัดเส้นเดิม แล้วจึงหันไปมองภาพเหล่าบรรพบุรุษของเขา
ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องนั้น แล้วตรงไปหยิบพ็อคเก็ตบุ๊ค ซึ่งมีหน้าปกเป็นรูปวัดพระแก้วจากนั้นเขาก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ตรงไปยังรถม้า แล้วมุ่งหน้าเข้าเมืองไป ท่ามกลางเสียงฟ้าที่คำรามอย่างน่ากลัว ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยประกายไฟแห่งการต่อสู้ที่ลุกโขติช่วงอยู่ตลอดเวลา รถม้าคันนั้นพาเขาลงเขาไปจากคฤหาสน์สู่สถานีรถไฟในตัวเมือง และในขณะที่วิ่งผ่าน หน้าผาอันเป็นที่ตั้งปราสาทแดร็กคิวล่านั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะกลับเป็นปรกติ
    อากาศยามเช้าที่แสนสดใส ราอินทร์ที่กำลังหลับอยู่อย่างสบาย ก็ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาก่อนที่จะตกใจเมื่อพบว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ไม่ใช่ของตัวเอง หล่อนค่อยๆ มองไปรอบๆ ห้องที่ประดับด้วยของมีค่าและภาพถ่ายต่างๆ แต่ก็ต้องสะดุดตาเมื่อมองเห็นภาพในกรอบใหญ่ที่สุด อันเป็นภาพของอากิโกะที่ยืนอยู่ภายใต้ต้นซากุระริมน้ำ ชุดกิโมโนสีสวยสดตัดกับสีของกลีบดอกซากุระเป็นอย่างดี หล่อนเพ่งดูภาพนี้อย่างพิจารณา อากิโกะซึ่งดูสวยเป็นพิเศษ กับรอยยิ้มที่ใสบริสุทธิ์ซึ่งกำลังมองดูแหวนที่สวมอยู่ในนิ้วนางมือซ้ายดวงตาของเธอเปี่ยมไปด้วยน้ำตาแห่งความปลื้มปีติยินดี และใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง
ราอินทร์จ้องที่ภาพนั้นราวกับว่ามันมีวิญญาณ พลันสายตาของหล่อนก็มองไปเห็นกองแฟ้มและหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ หล่อนจึงเดินเข้าไปเปิดมันอ่านดูแล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้น ทั้งรายละเอียดของคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง และหนังสือที่ว่าด้วยเวทย์มนตร์คาถาและคำสาปต่างๆ รวมถึงหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของเหล่าอสูรกายเอาไว้ แต่อะไรก็ไม่น่าตกใจเท่าสมุดบันทึกที่จดเรื่องราวของเหล่ามนุษย์หมาป่าและเผ่าพันธุ์มนุษย์สมิงไว้ โดยเฉพาะที่บรรทัดสุดท้าย ที่กล่าวว่า
“บัดนี้ คำสาปแห่งจันทราเทวี มิอาจสะกดพวกมันได้อีกต่อไป เวลานี้พวกมันแฝงตัวอยู่ร่วมกับเราในทุกแห่งหน” สมุดบันทึกเล่มนั้นจบลงเท่านี้ พลันหล่อนก็ต้องรู้สึกประหลาดใจที่ว่าทำไมถึงมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมแว่น หนำซ้ำหูของหล่อนยังได้ยินเสียงของชายหญิงคู่หนึ่งดังอยู่ในห้องน้ำ ที่หล่อนเชื่ออย่างนั้นก็เพราะมีเสียงของน้ำที่ไหลรดลงมาจากฝักบัวอยู่ตลอดเวลา กลิ่นของแชมพูที่หอมฟุ้งและไอน้ำร้อนที่โชยมาแตะจมูก หนำซ้ำยังมีเสียงครางเล็ดลอดออกมาเป็นระยะอีกด้วย ทันทีที่ได้ยินและเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ หน้าของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ความรู้สึกแปลกๆ แล่นไปทั่วทุกรูขุมขน โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย
“ตายแล้ว หรือว่า นี่พี่อากิโกะ กับ พี่ลูคัสกำลัง......อึ๊ยซ์ ขนลุก” จากนั้นเมื่อเสียงของทั้งสองเงียบหายไปพร้อมกับเสียงน้ำ ราอินทร์ก็รีบกลับไปที่เตียงทันทีก่อนที่จะทำเป็นหลับแบบไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่หล่อนลืมสนิทถึงเรื่องหนังสือ แฟ้ม และสมุดบันทึกบนโต๊ะ จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าของคนสองคนเดินมาที่ห้อง
“ป่านนี้ ยัยหนูราอินทร์คงตื่นแล้วมั้ง” เป็นเสียงของลูคัสอย่างไม่ต้องสงสัย
“ว่าแต่ เราจะบอกความจริงกับแกจริงๆ เหรอคะ อเล็กซ์” เสียงของอากิโกะ ราอินทร์จำได้ดี
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มต้นยังไงดี บอกไปตรงๆ เขาอาจจะหาว่าเราบ้าก็ได้ แต่ถ้าไม่บอกไปซักวันนึง ที่เขารู้ความจริงขึ้นมา พวกเราอาจต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็ได้” ราอินทร์ฟังบทสนทนานี้ด้วยจิตใจที่จดจ่อ เพราะเท่าที่หล่อนจำได้คือมีชายลึกลับจู่โจมหล่อนจากด้านหลังจากนั้นก็กัดที่ต้นคอด้านหลังของหล่อน แล้วก็พูดอะไรแปลกๆ ก่อนที่จะหายไป จากนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก
“เฮ้อ นอนหลับสบายไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหรอเนี่ย น่าสงสารจริงๆ ถ้าต้องรู้ความจริงเข้าคงช็อคจนรับไม่ได้แน่ๆ” อากิโกะ บ่นพึมพำขึ้นหลังจากที่เข้ามาเห็นราอินทร์หลับอยู่บนเตียง แต่ลูคัสกลับไม่คิดเช่นนั้น เมื่อมองเห็นข้าวของบนโต๊ะ และที่สำคัญ แวน เฮลซิ่ง เปล่งประกายของมันออกมา
“เอาล่ะ ไม่ต้องแกล้งหลับหรอก ถ้าอยากรู้เรื่องล่ะก็พี่จะเล่าให้ฟังเอง ลุกขึ้นมาได้แล้ว” จากนั้นราอินทร์ก็ลุกขึ้นมาทันที พร้อมด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก
“พี่ลูคัส พี่อากิโกะ ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แล้ว เมื่อคืนนี้”
“อยู่ๆ เราก็วิ่งตัดหน้ารถพี่ ปากก็บอกว่าต้องไปแล้วๆ เสร็จแล้วก็ล้มลงหมดสติพี่ก็เลยพาเรามาที่นี่นั่นแหละ ที่สำคัญต้นคอของเรามีรอยเขี้ยวของ เอ่อ จะบอกยังไงดีเนี่ย”
“มนุษย์หมาป่าใช่มั้ยคะ หนูอ่านดูจากสมุดบันทึกหมดแล้วล่ะค่ะ ตกลงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คะ”
“งั้นก็พูดง่ายหน่อย ใช่ เราถูกมนุษย์หมาป่ากัด แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือรอยของมันไม่ใช่ของมนุษย์หมาป่าทั่วไป พี่เองก็ไม่รู้จะรักษายังไง ก็เลยปฐมพยาบาลเบื้องต้นป้องกันไม่ให้อาการกำเริบแล้วอาละวาดออกล่าเหยื่อก็เท่านั้นแหละ”
“หมายความว่า นี่ หนู หนู จะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต เหรอคะ ไม่นะ ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย” ราอินทร์กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง แล้วจากนั้น หล่อนก็วิ่งพรวดพราดออกไปทันที โดยที่ไม่มีใครห้ามทัน
“แย่แล้ว อากิ ตามไปเร็ว” ลูคัส วิ่งตามออกไปทันที ตามด้วยอากิโกะ แต่เมื่อออกมาที่หน้าถนนใหญ่ ทั้งสองก็พบแต่เพียง ชายร่างสูงใหญ่ในชุดสีดำ อุ้มราอินทร์ไว้ รอบข้างคือ ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่มีท่าทางประหลาดๆ ราวกับว่ากระหายเลือดอยู่ตลอด จากนั้นพวกมันก็พากันเข้าไปในตึกร้างที่อยู่ใกล้ๆ โดยมีลูคัสตามไปติดๆ และแล้วชายผู้นั้นก็กล่าวขึ้น
“ขอตัวนางให้ข้าเถอะ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย และความแค้นใดๆ ต่อพวกท่าน แต่นางคือหญิงที่จะมาเป็นราชินีของข้า โปรดอภัยต่อการล่วงเกินนี้ด้วย” จากนั้นชายคนนั้นก็เดินจากไป ลูคัสจึงรีบตามไปทันที แต่ก็ถูกขัดขวางโดยกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้น
“ป่วยการที่จะตามมา หากท่านยังดันทุรัง ข้าก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้” แล้วชายคนนั้นก็กระโดดหายไปด้วยความเร็วราวกับสัตว์ป่า
“หนอย เอาเด็กคนนั้นคืนมานะ” ลูคัส รีบตามไปทันที แต่ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นก็ยังคงตามประกบไม่ยอมให้ตามหัวหน้าของมันทัน
“ให้ตายสิ นอกจากแวมไพร์ ยังมีพวกมนุษย์สมิงอีกยังงั้นรึ” ทันทีที่ลูคัส พูดจบจู่ๆ ก็มีลมกรรโชกเข้ามาในบริเวณนั้นอย่างรุนแรง จนทุกสิ่งทุกอย่างรอบบริเวณถึงกับสั่นไหวตามแรงลม เว้นต่ลูคัส และอากิโกะเท่านั้นที่ยังยืนทรงตัวอยู่ได้
“ฮื่อออออ” พวกมันคนหนึ่งส่งเสียงขู่คำรามออกมา ในขณะที่ต้องยืนต้านแรงพายุนี้
“ป่วยการที่จะต่อต้าน จงบอกที่อยู่ของพวกแกมาซะ แล้วชั้นจะปล่อยไป ชั้นไม่อยากจะมีเรื่องกับพวกแฟงก์ซักเท่าไหร่หรอกนะ” ลูคัส ยืนพูดกับพวกมันท่ามกลางแรงลมที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ มีทางหรอกที่พวกเราจะทรยศต่อมาสเตอร์” จากนั้นพวกมันก็แปลงร่าง คืนสู่สภาพเดิมของมัน ร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น ดวงตาสีแดงโรจน์ ขนที่ขึ้นยุ่บยั่บทั่วทั้งตัว และใบหน้าที่เปลี่ยนไป เป็นใบหน้าของสุนัขป่า อย่างสมบูรณ์ เสียงคำรามและหอนอย่างกระหายเลือด จากนั้นพวกมันก็กระโดดต้านแรงลมเข้ามาหาลูคัสทันที
“ไอ้พวกปัญญานิ่ม แค่มนุษย์หมาป่าธรรมดาที่ไม่ใช่แฟงก์ทำอะไรชั้นไม่ได้หรอกน่า” จากนั้นลูคัสก็คว้าคอของพวกมันตัวหนึ่งเอาไว้ได้ แล้วเหวี่ยงใส่ตัวที่เหลืออย่างรวดเร็ว เวลานี้พายุสงบลงแล้ว พวกมันจึงตั้งตัวได้แล้วพุ่งเข้ามาใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วมันก็ต้องสะดุ้งกลับไปเมื่อกำแพงไฟขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาขวางทางมันไว้
“สัญชาติญาณของพวกแกยังคงกลัวไฟเหมือนเดิมเลยนะ อย่างที่บอกถ้าไม่ใช่แฟงก์พวกแกก็ไม่มีทางสู้ชั้นได้” จากนั้นลูคัสก็สะบัดมือไปที่พวกมัน แล้วทันใดนั้นอักขระโบราณก็ล้อมรอบพวกมันเอาไว้
“นี่มันอะไรกัน ตัวหนังสือนี่มัน ร้อนเหลือเกิน ร้อนกว่าเปลวไฟเมื่อกี๊อีก มันอะไรกันแน่”
“คำสาปดรูอิดโบราณยังไงล่ะ ในเมื่อแสงจันทร์ไม่อาจสะกดพวกแกเอาไว้ได้ ชั้นก็จะเล่นงานแกด้วยคำสาปดรูอิดนี่แหละ พวกแกจะต้องทนทุกข์ทรมานไปตลอดกาล ไม่มีโอกาสได้กลับคืนสู่ร่างที่แท้จริงของแกอีก ไม่มีแม้กระทั่งพลังที่จะต่อต้านคำสาปแห่งเทพธิดาจันทรา และอำนาจแห่งธาตุเงินอันบริสุทธิ์” จากนั้นร่างของพวกมันก็ค่อยๆ หดเล็กลงแล้วกลับมาอยู่ในสภาพมนุษย์ดังเดิม พร้อมกับควันที่พวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของพวกมัน
“นี่แค่เบาะๆ นะ ถ้าพวกแกยังทำให้ชั้นโกรธอยู่อย่างนี้ล่ะก็ คราวนี้ชั้นจะสาปพวกแกให้กลายเป็นแค่หมาขี้เรื้อนธรรมดาและไม่อาจคืนสภาพเดิมได้อีกเลย อยากลองมั้ยล่ะ อาการคันจากโรคเรื้อนน่ะ” ลูคัส ข่มขู่พวกมันด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน แล้วในวินาทีนั้นเองพวกมันก็สารภาพออกมาจนหมดสิ้น ถึงที่ซ่อนและชื่อของผู้เป็นหัวหน้า
“ก็เท่านี้แหละ คำสาปของแกชั้นจะปลดปล่อยคืนให้ ทันทีที่ชั้นได้ตัวเพื่อนชั้นคืนมา”
“อะไรนะ นี่แก”
“ชั้นไม่ได้บอกนี่ ว่าจะถอนคำสาปให้ถ้าแกสารภาพความจริงน่ะ อ้อ อีกอย่างนะ ถ้าทันทีที่ชั้นรู้ว่าพวกแกโกหกล่ะก็คำสาปที่สองของชั้นที่แฝงไว้ จะบรรลุผลทันที” จากนั้นลูคัส ก็ปล่อยพวกมันไป ก่อนที่จะเดินกลับมาหาอากิโกะที่ยืนรออยู่อย่างเป็นห่วง
“ปลอดภัยมั้ยคะ อเล็กซ์” อากิโกะ วิ่งเข้ามาดูสามีสุดที่รักของเธอทันที ด้วยความเป็นห่วง
“อื้ม ไม่ต้องกังวลหรอกจ้ะ เจ้าพวกนี้น่ะมันแค่มนุษย์หมาป่าธรรมดาเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงขั้นของพวกแฟงก์ที่เป็นของจริงหรอก สบายหายห่วงได้เลย แต่หัวหน้าของมันนี่สิพลังอสูรของมันรุนแรงมากจริงๆ บอกได้คำเดียวว่า ระดับเดียวกันกับบาฮามุทเลยล่ะ จะเรียกว่าเป็นอสูรที่มีพลังระดับเทพก็ได้” ลูคัส จูบหล่อนเบาๆ ที่หน้าผากก่อนที่จะพูดถึงสิ่งที่สัมผัสได้จากชายลึกลับคนนั้น ซึ่งทำให้อากิโกะรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที
                “แล้วเราจะรับมือไหวเหรอคะ”   
“อย่ากังวลไปเลย บางทีนี่อาจจะถึงเวลาที่ต้องใช้ซันเบิร์นแล้วก็ได้ ผมอยากให้คุณลองใช้พลังจากความรอบรู้ของบาฮามุท กับ เทียแม็ท หาข้อมูลจุดอ่อนเพิ่มเติมของพวกมันหน่อย เพราะตอนนี้เท่าที่รู้พวกแฟงก์สามารถแปลงร่างเองโดยอิสระแล้ว เหมือนกับเจ้าพวกเมื่อกี๊ และที่สำคัญพวกมันสร้างภูมิคุ้มกันต่ออาวุธเงินได้แล้วด้วย”
“ค่ะ ที่รัก เรื่องนี้ชั้นจะจัดการให้เองคุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
“อืม แต่ผมอยากให้คุณเป็นคนอาบให้นี่ นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“บ้า เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้วนะ ไม่รู้ล่ะ รอบนี้คุณอาบเองคนเดียวเถอะ”
“ม่ายอาว อาบคนเดียวมันเหงา อาบด้วยกันน้า นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“ไม่”
“งั้นเดี๋ยวผมไปให้เด็กๆ ของเดวิสอาบให้ก็ได้”
“อยากตายเหรอคะ อเล็กซ์” อากิโกะ เปลี่ยนท่าทีจากสาวหวานมาเป็นสาวโหดทันที
“ก็คุณไม่ยอมอาบน้ำกับผมนี่”
“บ้า ก็อาบด้วยกันทุกวันแล้วไงยังจะเอาอะไรอีกล่ะ”
“แต่ผมอยากให้มีคุณอยู่เคียงข้างตลอดเวลานี่ ผมรักคุณนะ” จากนั้นเขาก็รวบตัวเธอเข้ามากอดแล้ว บรรจงจูบอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา
“ชั้นก็รักคุณค่ะ”
“งั้นเราไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวกันหน่อยเถอะนะ อาบทีละคนมันเปลืองน้ำ”
“ก็ได้ค่ะ ชั้นยอมแล้ว เฮ้อ ชั้นล่ะเชื่อเลย คุณนี่ช่างตื๊อจริงๆ เลยนะ”
“อ้าว ก็ถ้าไม่ช่างตื๊อแล้ว ผมจะจีบคุณสำเร็จเหรอ” พอพูดจบอากิโกะ ก็ทุบเขาทันทีด้วยความเขิน
“บ้า พูดอะไรก็ไม่รู้ หน้าด้านจริงๆ เลย คุณเนี่ย”
    ที่ห้องของอ้อ ในเวลานี้ก้องยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ในขณะที่คนรักของเขากำลังทำอาหารอย่างทีความสุข กลิ่นของอาหารเช้าที่โชยมา ปลุกให้ก้องตื่นจากพวังก์ทันที จากนั้นเขาก็คว้าเอาเสื้อผ้ามาสวม แล้วเข้าไปกอดหล่อนจากด้านหลัง
“อืม กลิ่นหอมน่ากินจังเลย”
“ที่ว่าน่ากินน่ะ คนหรืออาหารคะ พี่ก้อง”
“แหม ก็ทั้งสองอย่างแหละจ้ะ แต่ว่านะ น้องอ้อน่ะ น่ากินกว่าเยอะเลย จริงๆ น้า กิ๊วๆ” จากนั้นเจ้าก้องก็กระตุกเสื้อคลุมของอ้อจนหลุดไปกองกับพื้นทันที เผยร่างอันขาวนวลอีกครั้ง
“พี่ก้องนี่ล่ะก็ บ้าจังเลย เล่นเป็นเด็กไปได้ แหมน่าตีจังเลย” หล่อนค้อนเล็กน้อย แล้วก้มลงไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมตามเดิม ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหาร
“กินอาหารก่อนเถอะค่ะ พี่ก้องขา วันนี้พี่ก้องไม่มีธุระที่ไหนไม่ใช่เหรอคะ” ก้องนั่งลงอย่างว่าง่าย ในขณะที่อ้อถามเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ไม่มีจ้ะ วันนี้พี่กะว่า พี่จะอยู่กับอ้อ ทั้งวันเลยนะ ดีมั้ยๆ” ก้องพูดกับคนรักของเขาอย่างอารมณ์ดี ปนเจ้าเล่ห์นิดๆ
“เสียใจนะคะวันนี้ ต้องตามปรกติมีเสื้อผ้าค่ะ” อ้อ ปฏิเสธเสียงแข็ง ทำเอาก้องถึงกับหน้าจ๋อยที่ถูกจับไต๋ทัน
“งั้นเอางี้ดีกว่ามั้ย เย็นนี้เราไปถ่ายรูปด้วยกัน ที่สวนสาธารณะดีมั้ย เสร็จแล้วก็ดูหนังแล้วไปหาอะไรกินกัน แล้วพอกลับมานี่เราก็ค่อย ฮุๆๆ”
“พี่ก้องอ่ะ พูดยังงี้เค้าเขินนะ ก็ได้ค่ะ แต่ห้ามเกินเลยกว่านั้นนะคะ”
“โถๆๆ แค่น้องอ้อยอมขนาดนี้ พี่ก้องก็พอใจแล้วล่ะจ้ะ จะหาใครน่ารักเท่าน้องอ้อของพี่ก้องไม่มีอีกแล้ว” จากนั้นก้องก็หอมแก้มของอ้ออย่างประจบประแจง
    ในคืนนั้น ระหว่างที่ลูคัส กำลังวางแผนและจัดเตรียมกำลังเพื่อบุกไปช่วยราอินทร์อยู่นั้น ก้องและอ้อก็ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุขจนกระทั่ง นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตรง ทั้งสองก็กลับไปถึงห้อง ทว่า ผู้ที่รออยู่ในห้องนั้น คือ บราห์ม
“อะไรกัน คุณเข้ามาได้ยังไง ออกไปจากห้องชั้นเดี๋ยวนี้” อ้อ ตวาดใส่บราห์ม ที่ถือวิสาสะบุกเข้ามายังห้องของหล่อนด้วยเสียงอนดังแต่ว่าจู่ๆ เมื่อสบตากับบราห์ม ความรู้สึกของหล่อนก็เริ่มหมดไป อ้อค่อยๆ เดินเข้าไปหาบราห์มอย่างช้าๆ ในขณะที่ก้องซึ่งยังตกใจอยู่ก็พุ่งเข้าชาร์จบราห์มทันที ทว่า เขากลับถูกผลักออกมาจากกำแพงที่มองไม่เห็น
“หึๆๆ ก่อนที่จะจัดการกับนาง ข้าจะเล่นกับเจ้าซักพักก็แล้วกันเจ้าหนุ่ม ดูซิว่าจะทนได้ซักขนาดไหน” จากนั้นบราห์มก็กระชากเอาตัวก้องขึ้นมา แล้วเหวี่ยงไปยังผนังห้องอย่างแรง ในขณะที่อ้อซึ่งไม่เหลือสติแล้ว ก็ค่อยๆ ปลดเปลื้องเสื้อผ้าท่อนบนของหล่อนทีละน้อยเผยให้เห็นผิวที่ขาวนวล และลำคออันขาวผ่องที่แสนเย้ายวนยิ่งนัก
“โธ่เว้ย อ้อ อย่านะอ้อตั้งสติให้ดี อ๊อค” ก่อนที่ก้องจะพูดอะไรต่อไปได้อีก บราห์มก็ใช้อุ้งมืออันแข็งแกร่งราวกับคีมเหล็กของตน ขย้ำคอของก้อง แล้วเค้นอย่างแรงบริเวณเส้นเลือดใหญ่ก่อนที่จะเหวี่ยงออกไป อีกครั้ง แล้วจากนั้นมันก็กระชากร่างอันบอบช้ำแต่ยังคงมีสติของก้องขึ้นมา แล้วใช้กำปั้นซัดเข้าไปเต็มแรง จนก้องถึงกับหมุนติ้วกลางอากาศลงไปฟุบอยู่กับพื้น
“ยอด ยอดมากๆ เจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ทนพลังของข้าได้ แต่จงดูให้ดีเถอะ เพื่อเป็นรางวัลข้าจะทำให้เจ้าต้องรู้สึกเจ็บปวดไปชั่วนิรันดร์ จงดู” จากนั้นมันก็ตรงรี่เข้าไปยังร่างอันเปลือยเปล่าในท่อนบนของอ้อ ก่อนที่จะก้มลงฝังคมเขี้ยวของมันลงไปอย่างหิวกระหาย ในครั้งแรกที่ถูกเขี้ยวของมันสะกิดผิวอ้อรู้สึกเสียวแปลบและคืนสติทันที แต่หล่อนก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากดิ้นรนและค่อยๆ หมดแรงอย่างช้าๆ บราห์มหันร่างของหล่อนมาให้ก้องได้เห็นอย่างชัดๆ ดวงตาที่เบิกโพลงของอ้อจับจ้องไปที่ร่างอันโชกเลือดของก้อง เสียงอันแหบแห้งของหล่อนค่อยๆ หลุดออกมาจากปาก
“พี่..........ก้อง” จากนั้นดวงตาที่เบิกโพลงของหล่อนก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างสนิท พร้อมกับหยาดเลือดหยดสุดท้าย ที่ถูกสูบออกไปโดยคมเขี้ยวของบราห์ม ร่างของหล่อนเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ไม่มีแม้เพียงรอยเลือดซักหยดที่บาดแผลของหล่อน จากนั้นบราห์มก็ทิ้งร่างอันไร้วิญญาณของหล่อนให้ร่วงลงมากองอยู่ที่พื้น ก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดปากมาซับคราบเลือดที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากแล้วดูดกินคราบเลือดนั้นต่อย่างน่าสยดสยองที่สุด
“อ้ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ” ก้องตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง ด้วยความแค้น และความโทมนัส อย่างแสนสาหัส ที่ไม่อาจช่วยคนรักของตนไว้ได้ เขาพยายามพยุงตัวขึ้นมาสายตาก็จับจ้องไปที่บราห์มอย่างโกรธแค้น แต่ทำยังไงเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ จนกระทั่งบราห์มเดินเข้ามาหาเขาช้าๆ ด้วยสายตาอำมหิต
“อย่ากังวลไปเลย ในเมื่อรักกันนัก ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับนางเอง” บราห์ม พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกเข้าไปจนถึงวิญญาณ
“แก ชั้น จะ ฆ่า แก” ก้องยังคง มองหน้าบราห์มด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความแค้น
“ยังอุตส่าห์ ดิ้นรนอีกรึ แต่จงโทษความอ่อนแอ ของตัวเจ้าเองเถอะ มนุษย์” จากนั้นบราห์มก็กระชากร่างของก้องขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งและคราวนี้ มันก็ได้ใช้เล็บอันแหมคม กรีดไปที่ใบหน้าของก้องจนเป็นรอยบาก ก่อนที่จะกรีดไปที่ข้อมือทั้งสองข้างของก้องอันเป็นบริเวณเดียวกับเส้นชีพจรจนโลหิตสีแดงสดไหลทะลักออกมา
“อย่าลืมฝากความคิดถึงไปให้นางอันเป็นที่รักของเจ้าด้วยล่ะ ลาก่อน มนุษย์” แล้วบราห์ม ก็เหวี่ยงร่างของก้องออกไปที่นอกระเบียงที่เปิดอยู่ ทำให้ร่างของเขาลอยละลิ่วตกลงมา จากชั้นบนของคอนโด สู่พื้นเบื้องล่าง และกระแทกกับรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านล่างเสียงดังสนั่น จากนั้นบราห์มก็กลายสภาพเป็นค้างคาวนับร้อยๆ ตัว แล้วบินออกไป จากห้องนั้น ทิ้งไว้แต่เพียงกลิ่นอายของความตายและความสูญเสีย
    ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ชายในชุดโอเวอร์โคทสีดำ เดินออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาเข้า แล้วจากนั้นเขาก็เรียกแท็กซี่คันหนึ่งก่อนที่จะบอกจุดหมายแล้วไม่พูดอะไรอีก นอกจากนั่งนิ่งเฉยราวกับจมดิ่งอยู่ในสมาธิ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไร แต่ที่แน่ๆ การมายังกรุงเทพของเขา คงมิใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ
..........
จบ บทที่ 5 ชะตากรรม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น