ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Tragic Prince ราชันย์มิคสัญญี (ภาค ๑)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 สู่มาตุภูมิ

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 48


      บทที่ 4 สู่มาตุภูมิ



    ..................................................



        ท่ามกลาง วิกฤติการณ์แห่งความเป็นความตายนั้นเอง พลันมีลำแสงประหลาดพุ่งออกมาจากเหรียญตราเวทย์มนตร์ที่ห้อยคอของลูคัส แล้วเหรียญนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทว่ากลับมีลำแสงสีเงินและทอง พวยพุ่งออกมา แล้วล้อมรอบทั้ง 2 เอาไว้จากเปลวไฟนรกนั้น จากนั้นลำแสงทั้ง 2 ก็แปรสภาพเป็นชายและหญิง ในชุดเสื้อผ้าที่งดงามสีขาวบริสุทธิ์ แต่ที่สำคัญคือมีดวงตราสัญลักษณ์แบบเดียวกับของลูคัสไม่มีผิด บุรุษผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีขาวคาดทองสง่างามแบบกษัตริย์ยุคโบราณ ส่วนหญิงนางนั้นเผยเรือนร่างกึ่งเปลือยที่สวยสะคราญแต่ว่าดูองอาจดุจนางพญา ภายใต้เกราะอกแบบสตรีที่เบาบางจนแทบจะมองทะลุเห็นถึงเนื้อใน มีผ้าคลุมหัวใหล่และต้นแขนที่ปักฉลุด้วยลวดลายอันงดงาม  เนินอกและหน้าท้องที่ขาวผ่องราวกับหยกสีขาวบริสุทธิ์ ท่อนล่างปกคลุมด้วยกระโปรงยาวโปร่งแสงบางเบาถึงเข่าที่ผ่าด้านข้างสูงถึงต้นขา เผยให้เห็นเรียวขาที่ดูยาวและสวยงามสง่า และที่สำคัญเสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งหมดล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์และคาดลวดลายสีทองทั้งสิ้น ทั้งคู่สวมมงกุฎสีทองที่ประดับด้วยอัญมณีต่างๆ จนดูงดงามระยิบระยับไปหมด บุรุษนั้นเพียงแค่ยกมือขึ้นมาเปลวไฟที่ล้อมรอบอยู่ก็ดับลงทันที



    ในขณะที่สตรีนางนั้นยืนอยู่ในท่าท้าวเอวในแบบของนางพญายุคโบราณ ทันทีที่เห็นเบฮีมอธ เริ่มที่จะแสดงท่าทีและอาการที่ดูตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด มันได้อาศัยพลังเฮือกสุดท้ายพ่นเปลวเพลิงอันร้อนแรงเข้าใส่ทุกคนอีกครั้ง แต่เปลวไฟนั้นกลับแหวกออกเป็นทาง อย่างน่าอัศจรรย์



    “น่าสมเพชยิ่งนัก นี่น่ะรึพลังของเจ้าที่อุตส่าห์ทำลายสลักประตูอดาแมนไทน์มาได้ ช่างน่าสมเพชจริงๆ” บุรุษนั้นพูดกับเบฮีมอธ ซึ่งถอยหลังออกไปอย่างหวาดกลัว ราวกับว่าเขาคือเจ้าชีวิตผู้อยู่เหนือหัวมัน เพราะในสายตาของมัน สิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหลังชายหญิงคู่นี้คือ พญามังกรขนาดยักษ์ อันมีเกล็ดเป็นสีทองและเงิน ปีกอันยาวใหญ่ดูน่าสะพรึงกลัว และกรงเล็บที่พร้อมจะฉีกทุกอย่างให้กระจุยจนพินาศ กับเขี้ยวที่เปล่งประกายแสงออกมาอยู่ตลอด จากนั้นบุรุษผู้นั้นก็โบกมือของเขาไปทางด้านข้าง เพียงเท่านี้ เสาเพลิงขนาดใหญ่ก็พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินเผาผลาญเจ้ายักษ์ใหญ่นั่นจนไม่เหลือแม้แต่ซาก มีเพียงแวน เฮลซิ่ง เท่านั้นที่ตกอยู่กับพื้น



    แล้วจากนั้นมันก็ลอยกลับเข้ามาสู่ซองหนังที่เอวของลูคัส ด้วยอำนาจของบุรุษลึกลับผู้นั้น จากนั้นเขาก็หันมายังสตรีที่ยืนรออยู่และมองไปที่ร่างอันแน่นิ่งของลูคัส ในอ้อมกอดของอากิโกะ  และจากนั้นทั้งคู่ก็กำมือแน่นจนมีหยดเลือดสีแดงเข้มซึ่งดูผิดจากสีเลือดของมนุษย์ทั่วไป หลั่งรินออกมา จากนั้นเลือดของทั้งคู่ก็หยดลงที่ปากของลูคัส ก่อนจะไหลเข้าไปเองในร่างของเขา และเมื่อทั้ง 2 คลายมือออกก็ไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย



    “เราได้มอบโลหิตแห่งมังกรให้กับเขาแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะฟื้นขึ้นมาพร้อมกับพลังเวทย์ที่กล้าแกร่งกว่าเดิม จงอย่าวิตกไปเลยสาวน้อย ตราบใดที่หัวใจของเขายังคงเต้นอยู่โลหิตมังกรของพวกเราจะปลุกให้พลังอันแท้จริงของเขากลับคืนมาเอง” บุรุษนั้นพูดกับอากิโกะอย่างอ่อนโยนทว่าน้ำเสียงกลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจ  



    “ขอโทษด้วยที่แนะนำตัวช้าไปหน่อย เราทั้ง 2 คือ บาฮามุท และ เทียแม็ท ราชันย์และนางพญาแห่งมังกร” สตรีนางนั้นเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้างด้วยน้ำเสียงที่ใสและไพเราะราวกับระฆังทองคำ



    “การที่เรามาปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้ได้ ก็เป็นเพราะแรงอธิษฐานจากพลังแห่งความรักของเจ้าทั้งสอง และที่สำคัญที่สุด คือคำวิงวอนถึงพลังอันแข็งแกร่งเพื่อปกป้องบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเจ้าต้องการพลังเราก็จะมอบพลังให้กับพวกเจ้า” บาฮามุทกล่าวขึ้นมาก่อนที่จะจ้องไปยังอากิโกะ ทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกที่เหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างในตัวของเธอกำลังวิ่งพล่านไปทั่วทั้งตัว และหาทางที่จะระเบิดปะทุออกมาข้างนอก



    “นี่ๆ มัน อะไรกัน” อากิโกะร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก



    “พลังอำนาจในตัวเจ้ากำลังร่ำร้องที่จะเปล่งอานุภาพของมันออกมายังไงล่ะ” บาฮามุทกล่าวสั้นๆ



    “มนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ทั้งชายและหญิง ล้วนแล้วแต่มีพลังอำนาจที่แฝงอยู่ภายในตัวด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่มนุษย์ไม่รู้วิธีที่จะดึงมันออกมาใช้เท่านั้นเอง อย่างที่พวกเจ้าเรียกมันว่ากำลังตอนไฟไหม้นั่นแหละ” เทียแม็ทพูดเสริมขึ้น จากนั้นในมือของนางก็มีลูกแก้วสีเงินลูกหนึ่งที่เปล่งประกายแสงสว่างจ้า เช่นเดียวกับ บาฮามุทที่ถือลูกแก้วที่เปล่งประกายสีทองเจิดจรัส



    “สำหรับเจ้า สาวน้อย เราทั้งสอง จะมอบพลังแห่งความรอบรู้และอำนาจแห่งวิญญาณมังกรที่สั่งสมมานานให้กับเจ้า เพราะเจ้าไม่เคยฝึกพลังเวทย์มนตร์มาก่อนเยี่ยงชายผู้นี้ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าใช้พลังได้อย่างสมบูรณ์แบบ คือการดูดซับเอาความรอบรู้ ศิลปวิทยาการต่างๆ และพลังอำนาจของพวกเราเข้าไป” บาฮามุท พูดพลางส่งลูกแก้วสีทองไปยังอากิโกะ เช่นเดียวกับเทียแม็ทที่ส่งลูกแก้วสีเงินของนางให้เธอ อากิโกะรับลูกแก้วทั้ง 2 นั้นไว้จากนั้นมันก็ลอยหายเข้าไปในตัวของเธอ จากนั้นบาฮามุทก็หันไปยังลูคัสที่พึ่งได้รับโลหิตแห่งมังกรไปหมาดๆ



    “ในนามแห่งราชันย์มังกรฟ้า หนึ่งในเก้าราชันย์มังกร ผู้ควบคุมสมดุลแห่งจักรวาล ข้าขอแต่งตั้งชายผู้นี้ จากนักรบเวทย์มนตร์เป็นแกรนด์มาสเตอร์แห่งดรูอิด ผู้ควบคุมธรรมชาติและผู้พิทักษ์แดนโลกแห่งนี้” จากนั้นบาฮามุทก็โบกมือขึ้น แล้วทันใดนั้น ชุดของลูคัสก็เปลี่ยนไป เป็นเสื้อคลุมในแบบเดียวกับของบาฮามุทจะแตกต่างกันก็เพียงชุดของลูคัสนั้นไม่มีมงกุฎก็เท่านั้น แต่ที่แน่ๆ เขาแลดูมีความสง่างามเหมือนบาฮามุทไม่มีผิด



    จากนั้นเทียแม็ทก็ทรุดกายลงนั่งเคียงข้างอากิโกะก่อนจะช้อนร่างของลูคัสขึ้นมาวางไว้ที่หน้าตักอันอ่อนนุ่มและหอมกรุ่นของนาง แล้วทันใดนั้นนางก็โน้มกายลงจุมพิตลูคัสที่ริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งและเนิ่นนาน ส่วนอากิโกะนั้นถึงกับหึงจนตัวเกร็งไปหมด โถ ก็แม่เจ้าประคุณออกจะสวยเซ็กซี่ขนาดนั้นเมื่อเทียบกับเธอ อากิโกะได้แต่นั่งนึกในใจซักวันหนึ่งเราจะโต๊เราจะโต และทันทีที่นางถอนรมฝีปากออก บาดแผลทั้งตัวของลูคัสก็สมานเป็นเนื้อเดียว และเวลานี้ มือของเขาค่อยๆ ขยับอย่างช้า และก่อนที่จะเลยเถิดไปกว่านี้นางรีบส่งเขาคืนให้กับอากิโกะทันที ซึ่งดูเหมือนบาฮามุทเองจะอ่านจิตใจของอากิโกะออก เขาจึงพูดกับเธอเบาๆ



    “อย่าหึงไปเลยสาวน้อย เทียแม็ทได้มอบจุมพิตมังกรอันมีฤทธิ์ในการรักษาบาดแผลต่างๆ และฟื้นคืนพลังให้กับคนรักของเจ้าเท่านั้น นางไม่ได้คิดอะไรอย่างที่เจ้ากังวลหรอก ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ” จากนั้นเสียงหัวเราะของบาฮามุทก็ดังก้องกังวานไปทั่ว แต่อากิโกะนั้นถึงกับหน้าแดงไปเลย แล้วหลังจากนั้นลูคัสก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา เขาพยุงตัวขึ้นมาจากอ้อมกอดของอากิโกะแล้วหันมาดู ชายหญิงทั้ง 2 ที่รากฎตัวออกมาช่วยเหลือเขาในยามคับขัน และด้วยอำนาจของโลหิตแห่งมังกรที่เขาได้รับ เขาก็สามารถสัมผัสได้ทันทีว่าทั้งคู่เป็นใคร



    “พวกท่านคือ ราชันย์และนางพญามังกร บาฮามุท และเทียแม็ท”



    “ถูกต้องแล้ว เซอร์ลูคัสแห่งภราดรอัศวินโต๊ะกลม และแกรนด์มาสเตอร์แห่งดรูอิด บัดนี้เวลาได้มาถึงแล้ว เวลาแห่งชะตากรรมของท่านในฐานะแกรนด์มาสเตอร์ผู้ที่จะกวัดแกว่งซันเบิร์นอีกครั้งหนึ่ง” ทันทีที่บาฮามุทพูดจบ ประตูของวิหารก็เปิดออก ลำแสงสีขาวสว่างจ้าพวยพุ่งออกมาจากภายใน ลูคัส และ อากิโกะ สบตากันด้วยความยินดี

    “อากิ ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จแล้ว ทุกคน ไม่ตายเปล่าแล้ว”



    “ค่ะ อเล็กซ์ ชั้นดีใจมากจริงๆ”



    “เอาล่ะ ก่อนที่จะจากกัน เราทั้งสองมีอะไรจะมอบให้กับเจ้านะ สาวน้อย” บาฮามุทพูดกับอากิโกะ ด้วยน้ำเสียงที่เมตตาเช่นเดิมก่อนจะส่งของสิ่งหนึ่งให้เธอ มันคือคทาที่มีส่วนหัวเป็นรูปกางเขนสีทองทว่า ส่วนหัวของกางเขนนั้นกลับเป็นรูปวงกลมแทนที่จะเป็นเหมือนกางเขนทั่วไป และประดับด้วยอัญมณีสีฟ้าสดใส ส่วนเทียแม็ทก็เรียกเอาโล่ขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายกางเขนมอบให้กับอากิโกะ



    “นี่คือ คทาเทวฑูต และ โล่เทพพิทักษ์ นับจากนี้ไปมันจะเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า” เทียแม็ท บอกกับอากิโกะ ก่อนที่ร่างของนางจะเริ่มเลือนหายไป เช่นเดียวกับ บาฮามุท



    “ไปเถอะ ไปตามเส้นทางแห่งชะตากรรมของพวกเจ้า แล้วเมื่อถึงเวลาเราจะได้พบกันอีก” บาฮามุท พูดกับทั้ง 2 ก่อนที่จะเลือนหายไป พร้อมกับเทียแม็ทอย่างสมบูรณ์



    “อากิ เราไปกันเถอะ ทำภารกิจของเราให้สำเร็จ แล้วกลับสู่โลกของเรา สู่มาตุภูมิของพวกเรา” ลูคัส จ้องตาอากิโกะ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง



    “ค่ะ อเล็กซ์ ตราบใดที่เรามีกันและกัน ชั้นจะไปกับคุณทุกๆ ที่” จากนั้นทั้งคู่ก็กุมมือกันแน่น แล้วเดินข้าไปสู่ลำแสงอันสว่างจ้าและร้อนแรงนั้น



    “เจ้าว่าพวกเขาจะทำสำเร็จมั้ย” เสียงของบาฮามุทแว่วมาตามสายลม



    “แน่นอน ต้องสำเร็จสิ เพราะพวกเขาคือผู้ที่ถูกเลือกแล้ว อีกอย่างท่านเป็นคนพูดเองว่ามนุษยนั้น ไร้ขีดจำกัด” เสียงของเทียแม็ทก็ตอบขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ



    “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ ไปรอพวกเขา ยังสถานที่ของเรา สกายลากูน” จากนั้น เสียงของทั้งสองก็เงียบหายไป แล้วไม่นานนักประกายแสงที่เจิดจ้าออกมาจากในวิหารก็ดับลง ตามด้วยแผ่นดินที่สั่นไหวอย่างรุนแรง และแล้วเกาะแฟนธอมก็จมหายลงไปใต้มหาสมุทรอีกครา



        2วันต่อมา ที่ห้องประชุมใหญ่ของสมาคมเซนทิเนล ลูคัสได้รายงานทุกสิ่งที่ได้พบให้กับบรรดาผู้อาวุโสที่นั่งฟังอยู่ภายในห้องประชุม ยกเว้นเรื่องของซันเบิร์นและศาสตราเทพอีกสองชิ้น ที่อากิโกะครอบครองอยู่



    “อืม ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ก็แสดงว่า วันสิ้นโลกใกล้เข้ามาแล้ว เราคงต้องเตรียมการกันให้พร้อมแล้ว ส่วนเรื่องที่จะให้คืนสถานภาพแก่ ดร.อากิโกะ นั้นเราคงทำไม่ได้ เพราะเธอถูกแทงบัญชีว่าเป็นบุคคลสาบสูญไปแล้ว พูดง่ายๆ คือ เธอไม่มีตัวตนในโลกนี้อีกต่อไปทางกฎหมาย และพวกเราก็ยังรู้ว่าคุณยังมีอะไรปิดบังอยู่ อีกอย่างภารกิจของคุณยังไม่เสร็จสิ้น ดร.อากิโกะรู้อะไรมากเกินไปแล้ว เราต้องการให้คุณเก็บเธอซะ”



    “ผมขอปฏิเสธ” ลูคัส ตอบคำถามบรรดาผู้อาวุโสอย่างแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



    “เหลวไหลสิ้นดี ความรัก ทำให้ตาบอดไปแล้วหรือยังไงกัน หน้าที่ของคุณ คือเฝ้าจับตาดูเธอไม่ใช่หรือยังไง”



    “ใช่ จับตาดูและคุ้มครองจนกว่าภารกิจจะสำเร็จแต่ไม่ได้บอกว่าจะให้ฆ่าเธอเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น และในเมื่อพวกท่านพูดเองว่าภารกิจของผมยังไม่สำเร็จ ดร.อากิโกะจะยังอยู่ในความคุ้มครองของผม หากใครแตะต้องเธอ อย่าหาว่าผมใจร้ายล่ะ”



    “โอหัง บังอาจล่วงเกินพวกเราเหล่าผู้อาวุโสแห่งเซนทิเนล ผู้คุมกฎแห่งโลกเชียวรึ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับเจ้าทันที” แล้วทันใดนั้น เหล่าผู้อาวุโสต่างก็ลุกขึ้นมาด้วยความโกรธจัด ทุกคนต่างชักอาวุธของตนขึ้นมาแล้วพุ่งเข้ามาหมายจะจัดการกับลูคัสทันที



        ที่ห้องคลังอาวุธ อากิโกะยืนมองดูรอบๆ อย่างสนใจ ขณะที่เอลฟ์หลังค่อมตนนั้นก็พยายามที่จะหว่านล้อมให้เธอส่งของวิเศษทั้ง 2 ชั้น ให้โดยอ้างว่าจะปรับปรุงมันให้สมบูรณ์และแสดงอานุภาพที่แท้จริงออกมา แต่ดูเหมือนอากิโกะจะรู้ทันในลูกไม้ตื้นๆ นี้เธอจึงพูดตอกกลับไป



        “ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปรับปรุง ในเมื่อมันสมบูรณ์อยู่แล้ว ที่สำคัญชั้นอ่านใจคุณออก คุณต้องการมันเพียงเพื่อความละโมบของตัวเองเท่านั้น ชั้นไม่อาจมอบมันให้กับคุณได้” อากิโกะ ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อไย ทำให้มันโกรธจัด และจากสีหน้าที่ปรกติ ก็เปลี่ยนไปในทันที ใบหน้าของมันที่บิดเบี้ยวราวกับอสูรกายจากนรก หลังที่ค่อมและโค้งงอโก่งมากยิ่งขึ้น ด้วยพลังของกล้ามเนื้อที่ขยายตัว มันได้สำแดงร่างที่จริงของมันออกมาแล้ว มิใช่เอลฟ์หรือสิ่งมีชีวิตขนิดใดหากเป็นอสูรกายที่มีรูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัว จากโลกันต์



    “แกจะต้องเสียใจ ที่ไม่ยอมมอบมันให้กับข้าดีๆ นังมนุษย์โง่เขลา” มันส่งเสียงขู่คำราม ทว่ามิได้ทำให้อากิโกะสะเทือนเลยแม้แต่น้อย เสียงคำรามของมันไม่อาจเทียบกับเบฮีมอธ ที่เล่นงานลูคัสจนปางตายมาแล้วได้เลย เธอมองมันด้วยความเวทนา พร้อมๆ กับที่ คุมเชิงไปเรื่อยๆ เวลานี้



    ระหว่างทั้งคู่มีเพียงตาข่ายเหล็กก้นขวางเท่านั้น จากนั้นมันก็ฉีกกระชากตาข่ายนั้นออกมา พร้อมทั้งทุ่มไปทางอากิโกะ แต่เธอก็สามารถใช้ความไว พุ่งออกมาจากทางช่องประตูได้ทัน และทันใดนั้นร่างของมันก็พุ่งทะลุผนังออกมา พร้อมทั้งคำรามเสียงดังสนั่น จนแม้แต่บรรดาสมาชิกของสมาคมยังถึงกับต้องหนีแตกตื่นด้วยความตกตะลึง อากิโกะวิ่งล่อมันมาที่โถงกลาง ใกล้กับห้องประชุมใหญ่ ซึ่งลูคัสกำลังเจรจากับเหล่าผู้อาวุโสอยู่ และในทันใดนั้นเองลูคัสก็เปิดประตูห้องประชุมใหญ่ออกมาด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้าน ในขณะที่บรรดาผู้อาวุโสต่างล้มลงไปกองกับพื้นอย่างสงบราบคาบ และแล้วสัญญาณเตือนภัยก็ดงขึ้น พร้อมกับเสียงประกาศจากผู้อาวุโสคนหนึ่ง



    “จับตัวคนทรยศ อเล็กซ์ ลูคัส และ ดร.อากิโกะ มาให้ได้”



    “อืม ไปขุดมาจากไหนกันวะเนี่ย ให้ตายสิ น่าทุเรศจริงๆ” ลูคัส ที่มองลงมายังโถงกลางกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเบื่อหน่ายอย่างเต็มที่ แต่ก่อนที่ทั้งเขาและอากิโกะจะทำอะไร กลุ่มชายชุดดำพร้อมอาวุธครบมือก็พุ่งเข้ามาขวางทางไว้ แล้วทันใดนั้นสียงจากอสูรกายนั้นก็ดังขึ้น



    “ฆ่า มันทั้งคู่”



    “เผยหางออกมาจนได้ ไว้จะคิดบัญชีเรื่องแมกนั่มเฮงซวยนั่นทีหลัง” พูดจบลูคัสก็ถีบลูกกระจ๊อกคนหนึ่งที่ลอบเข้ามาข้างหลังจนกระเด็นทะลุกำแพงไป ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็สาดกระสุนเข้าใส่ทันที แต่ราวกับมีกำแพงอากาศมาขวางไว้ กระสุนเหล่านั้น ตกลงสู่พื้นก่อนที่จะถึงตัวของลูคัสเสียอีก



    “ถึงขนาดใช้กระสุนพิเศษเลยเรอะ ชั้น ไม่ ใช่ แวม ไพร์ นะโว้ย” ลูคัสตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย แล้วจากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไปซัดเจ้าคนที่ยิงเขาอย่างเต็มกำลัง ก่อนจะเบนเป้ามาที่คนต่อไป เขากระโดดข้ามหัวมันไปด้านหลังแล้วบิดคอของมันจนหักเสียงดังสนั่นราวกับเคี้ยวเลย์



    ส่วนอากิโกะก็หลอกล่อเจ้าอสูรกายนั่นอยู่ด้านล่าง หางของมันฟาดเอาลูกสมุนของสมาคมล้มลงไปนับสิบ แต่แล้วมันก็พ่นไฟออกมา แต่ไฟนั้นไม่อาจระคายผิวของอากิโกะได้เลยแม้แต่น้อย เธอใช้แค่มือข้างเดียวหยุดมันเอาไว้แล้วรวมไว้ที่มือ ก่อนจะดันกลับไป ลูกไฟที่เธอดันกลบนั้นพุ่งเข้าใส่พวกลูกสมุนที่ขวางลูคัสอยู่อย่างจัง จนพวกมันกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่แล้ว บรรดาผู้อาวุโสต่างก็พากัน ออกมาร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้

    ระหว่างที่ลูคัสจัดการกับพวกลุกสมุน และอากิโกะกำลังเล่นงานอสูรกายยักษ์นั้นเองผู้อาวุโสคนหนึ่งก็เอาบ่วงบาศ รัดร่างของอากิโกะไว้ ทำให้ขยับไม่ได้ แล้วจึงตะโกนบอกเจ้าอสูรกายนั่น



    “มันขยับไม่ได้แล้ว จัดการเลยมาสเตอร์”



    “ว่าแล้ว ทำไมไอ้นี่มันถึงดูเราออก เพราะอย่างงี้นี่เอง หัวหน้าของที่นี่คือมัน นี่เอง” ลูคัส พูดพลางเอากำปั้นทุบฝ่ามือตัวเอง ส่วนอากิโกะนั้นเนื่องจากยังขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ทางด้านนี้ เธอจึงลนลานทำอะไรไม่ถูก ขณะที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งง้างธนูเล็งไปที่อากิโกะ อีกคนก็คว้าเอาเคียวขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้วฟันลงไปที่กลางหลังของลูคัสเต็มแรง แต่ลูคัสรู้ตัวอยู่ก่อนเขาจึงเอี้ยวตัวหลบเพียงเล็กน้อย แล้วจัดการใช้ฝ่าท้าลูบไล้ที่ใบหน้าผู้ที่ลอบกัดเขาอย่างนิ่มนวลจนตัวปลิว ทันใดนั้นลูกธนูก็พุ่งใส่อากิโกะทันที แต่ก่อนที่มันจะเข้าเป้า ลูคัส ก็กระโดดลงมารับมันเอาไว้ แล้วหักมันทิ้งคามือทันที



    “บ้าน่า ลูกธนูมิธรีลของเรา ถูกหักด้วยมือเปล่า ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” เจ้าของธนูถึงกับตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า



    “อากิ ตั้งสติให้ดีๆ สิ บ่วงบาศนี่น่ะ มันรั้งคุณไม่อยู่หรอก” ทันทีที่ลูคัสพูดจบ อากิโกะก็นึกขึ้นได้ทันที เธอจึงสงบลงก่อนจะหาวิธีที่จะดิ้นจากบ่วงบาศนี้ ส่วนอสูรกายก็พ่นไฟลงมายังลูคัสแทนที่จะเป็นอากิโกะ แต่ว่าเปลวไฟกลับแหวกออกเป็นทาง



    “แก ทำไม” มันร้องคำรามขึ้นอย่างตกใจ



    “ว่าจะตอบแทนบุญคุณเรื่อง แวน เฮลซิ่ง ซะหน่อย เอาล่ะนะ” จากนั้นลูคัสก็ชักเอาแวน เฮลซิ่ง ออกมาจากฝัก คมของมันเปล่งประกายเจิดจ้า เมื่อสัมผัสกับกลิ่นอายอันชั่วร้าย แต่ก่อนที่ลูคัสจะทำอะไรพวกผู้อาวุโสที่เหลือก็ร่ายเวทย์มนตร์ของตนขึ้นมาแล้วยิงใส่ลูคัสแบบเป็นชุด แต่เขาก็เคลื่อนไหวแบบเมทริกซ์หลบหลีกมันอย่างคล่องแคล่ว พร้อมทั้งสะบัดมือยิงลูกไฟเวทย์มนตร์ของตัวเอง สวนกลับทันที เหล่าผู้อาวุโสที่ทำอะไรไม่ถูกต่างโดนลวกกันอย่างทั่วหน้า ทำให้บ่วงบาศที่รัดอากิโกะอยู่คลายออกทันที



    “เอาล่ะ โทษฐานที่พวกแกล่วงเกินผู้หญิงของชั้น คือ การลงนรกอย่างทรมานที่สุด” จากนั้นในมือของลูคัสก็มีลูกบอลเวทย์มนตร์ลอยอยู่นับร้อยๆ ลูก



    “ไปเลย เมจิคมิสไซล์” จากนั้นลูกบอลเวทย์มนตร์เหล่านั้นก็พุ่งเข้าสู่เป้าหมายแบบจรวดนำวิถี และทิ่มทะลุร่างของศัตรูอย่างรุนแรง ชนิดที่ไม่อาจต้านทานได้ แม้แต่อสูรกายยักษ์ยังต้องทรุดลงหลังจากถูกยิงด้วยเวทย์มนตร์นี้ ส่วนพวกผู้อาวุโสที่โดนเข้าไปต่างก็บาดเจ็บสาหัสกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ



    “เมจิคมิสไซล์น่ะ มันไม่ได้แค่ทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บเท่านั้นแต่ยังสลายพลังเวทย์มนตร์ของเป้าหมายได้อีกด้วย”



    “อากิ ไอ้แก่ที่ใช้บ่วงบาศกับธนูลอบกัดคุณ ผมยกให้ ส่วนที่เหลือผมเชือดเอง”



    “รับทราบเจ้าค่ะ ที่รัก” แล้วในวินาทีนั้นเอง ลูคัสก็กระโจนใส่เจ้าอสูรกายยักษ์นั่นแล้วใช้ แวน เฮลซิ่ง แทงทะลุหัวใจของมันจนมิดด้าม



    “อ๊าคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคค” เสียงมันร้องอย่างเจ็บปวดและโหยหวน จากนั้นมันก็ล้มลง ส่วนอากิโกะก็จัดการกับผู้ที่ลอบกัดเธอด้วยคทาเทวทูต เพียงแค่ชี้ไปยังเป้าหมาย เปลวไฟสีน้ำเงินเข้มก็ลุกท่วมร่างของ 2 คนนั้น จนเหลือแต่เถ้าถ่าน



    “แก อย่า คิด นะ ว่า แก จะ รอด ไป จาก เงื้อม มือ ของ พวก เรา ได้” ผู้อาวุโสที่ใช้เคียวกล่าวขึ้นอย่างอาฆาตแค้น



    “แก กำ ลัง ทำ ผิด อย่าง ใหญ่ หลวง หาก ปราศ จาก พวก เรา มนุษย์ จะ อยู่ ได้ ยัง ไง”



    “มนุษย์ มีศักยภาพเพียงพอที่จะอยู่ได้ด้วยตัวเอง ที่สำคัญสันติสุขที่มาจากการใช้กำลังบีบบังคับน่ะ มันไม่ยั่งยืนหรอก ที่ทำผิดมหันต์คือพวกคุณ” จากนั้นลูคัส ก็เดินโอบไหล่ของอากิโกะออกไป โดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีก



    “อเล็กซ์คะ เราจะทำยังไงต่อคะ ในเมื่อชั้นถูกแทงบัญชีว่าเป็นบุคคลสาบสูญไปแล้ว” อากิโกะ ถามเขาอย่างกังวล



    “อย่ากังวลไปเลย ในเมื่อเค้าแทงบัญชีบุคคลสาบสูญให้คุณ ผมก็ทำประวัติใหม่ให้คุณได้” ลูคัสปลอบเธออย่างใจเย็น และในทันทีที่ทั้งคู่เดินออกไปจนพ้นเขตประตูคฤหาสน์ เปลวไฟอันร้อนระอุก็พวยพุ่งขึ้นมาเผาผลาญสถานที่แห่งนี้จนหมดสิ้น



    “จบสิ้นกันที สมาคมเซนทิเนลผู้คุมกฏแห่งการอยู่ร่วมกัน จากนี้ไปขอให้ธรรมชาติเป็นผู้ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างเถอะ”



    “แล้วเราจะทำยังไงกันต่อคะอเล็กซ์”



    “แก้ประวัติของคุณใหม่อีกครั้ง แล้วทำตามสัญญาที่เราเคยพูดกันไว้ แล้วจากนั้นค่อยลุยงานกันต่อ”

    “งานอะไรคะ ไหนบอกว่าจะพักผ่อนไง”



    “ก็พักผ่อนให้หายเหนื่อยก่อนไงจ๊ะ เสร็จแล้วก็เดินทางไปกรุงเทพ ตามเช็คบิลราชันย์แวมไพร์ บราห์ม สตรูก้า จากแฟ้มข้อมูลของสมาคม แต่คุณไหวแน่นะ”



    “แน่นอนค่ะ ตราบใดที่มีคุณชั้นสบายมาก” และแล้วทั้งคู่ ก็ประกบปากจูบกันอย่างดูดดื่มภายใต้บรรยากาศของแสงเพลิงที่ลุกโชนท่วมฟ้า และแสงจันทราที่ส่องสว่าง หล่อหลอมดวงใจสองดวงให้เป็นหนึ่งเดียว



        วันรุ่งขึ้นหลังจากงานแฟชั่นโชว์ของบราห์ม ณ ร้าน จุก คาเมร่า ร้านขายอุปกรณ์ถ่ายภาพแบบครบวงจร ตั้งแต่ กล้อง เลนส์ ยันอุปกรณ์สตูดิโอ บริเวณมุมากาแฟของร้านอันเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าช่างภาพและห้องเรียนของบรรดาลูกค้าที่ยังใช้กล้องไม่เป็น ก้อง กับ พรรคพวกชาวหนอนคลับ ซึ่งเป็นกลุ่มช่างภาพที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเน้นความสนุกสนานในการถ่ายภาพ ได้มาพบปะสังสรรค์กันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำการฉลองความสำเร็จให้กับอ้อ และ รอรับฟังข่าวดีจากก้องซึ่งไม่ยอมบอกเสียทีว่ามีข่าวดีอะไร ถึงได้นัดเรียกประชุมหนอนคลับ



    “อ้าวเฮ้ย มีข่าวดีอะไรจะบอกก็ว่ามาสิโว้ย อุบอยู่นั่นแหละ รีบๆ บอกมาจะได้ไปหาหมูกะทะกินกันต่อ” พี่โอ๊ค หนี่งในสมาชิกรุ่นอาวุโส เริ่มพูดอย่างมีอารมณ์



    “นั่นดิ เอ็งไม่บอก แล้ว ใครจะรู้วะ อยากปิ้งหมูเต็มทนแล้วนา” น้าสิงห์ พูดเสริมขึ้นก่อนจะหันไปเล่นหูเล่นตากับน้องๆ ในร้าน ของน้าจุกต่อ



    “ก็รอ ให้มากันครบทุกคนก่อนสิครับ” ก้องยังคงมีเงื่อนไขอยู่ดี



    “จะครบได้ไงวะ ก็เจ้าบอยกะยัยสิ ไปฮันนีมูนกันที่ยุโรป ส่วนเจ้าลูคัสก็หายเงียบไปเลย” น้าหมู สวนขึ้นด้วยความหมั่นไส้



    “ม่ายช้าย ผมหมายความว่า ให้สมาชิกที่ยังอยู่ที่นี่มากันครบก่อน นี่ยังขาดแค่เจ๊อร กะเจ๊อ้อย แค่สองคนเอง ส่วนน้าคัส ป่านนี้คงหนุกหนานกะพวกเด็กสาวๆ นักเรียนนอก ไปแล้วมั้ง ยิ่งพวกที่ไปต่อวิชาถ่ายภาพนี่แต่ละคนเด็ดๆ ทั้งน้าน เห็นภาพที่ส่งมาแล้วยังอดอิจฉาไม่ได้เลย โอ๊ย” ก้องรำพันขึ้นมาอย่างอิจฉาก่อนจะถูกน้องอ้อบิดหูอย่างแรงจนแดงเถือก ในขณะที่คนอื่นหัวเราะอย่างสนุกสนานและแน่นอนว่าน้าจุก ย่อมไม่พลาดช็อตเด็ดนี้อยู่แล้ว



    “ง้า เจ็บน้า ทำไมชอบบิดหูกันอยู่เรื่อยเลย” ก้องร้องอุทธรณ์ขึ้นมาอย่างขัดใจ



    “ก็มันสมควรมั้ยล่ะ อยู่ๆ ก็มากล่าวหากันดื้อๆ หาว่าเราเป็นพวกสมภารกินไก่วัดไปได้” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าร้าน และเมื่อทุกคนหันไปมองต่างก็ต้องอุทานอกมาด้วยความดีใจ



    “ลูคัส!”



    “น้าคัส”



    “สวัสดีครับ ทุกๆ คนเลย ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” ลูคัสเดินควงแขนอากิโกะเข้ามาในร้าน และที่สำคัญในมือของเขาคือ 300D กับ 28-135 IS คู่ใจ ส่วนอากิโกะที่มากับเขานั้นเธอสะพาย D70 พร้อม AF-S VR 24-120 IF ED ติดมาด้วย และด้วยความสวยของเธอเหล่าบรรดาหนอนหนุ่มกลัดมันทั้งหลายถึงกับมองเธอจนน้ำลายหกตาเป็นมัน



    “หึๆๆ ก้องเอ๋ย ภาพตะกี๊น่ะ เสร็จพี่ไปแล้วนา นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้มีโอกาสมาใช้ อาวุธมหาประลัยแคนดิดแหลกอีกครั้ง” ลูคัส หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ส่วนอากิโกะมองไปที่รอบๆ ร้านด้วยความตื่นตาตื่นใจ ในบรรยากาศและความใหญ่โตของสถานที่



    “ว่าแต่ สาวที่มาด้วยนั่นน่ะใครกันล่ะ เดี๋ยวนี้แอบไปมีกิ๊กไว้ที่เมืองนอกเหรอ ตาคัส” น้าจุกพูดอย่างอารมณ์ดี ที่ได้เจอหน้ากับบรรดาสมาชิกเก่าๆ และลูคัสที่หายหน้าไปนาน



    “งั้นผมขอแนะนำอย่างเป็นทางการเลยละกัน นี่ ดร.อากิโกะ ภรรยาของผมครับ อากิจ๊ะ นี่เพื่อนๆ ของผมเองจ้ะ”



    “สวัสดีค่ะ ทุกๆ คน อากิโกะ ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ” อากิโกะ แนะนำตัวเองเป็นภาษาไทยอย่างคล่องแคล่ว ทำให้ทุกคนถึงกับอึ้ง ส่วนบรรดาหนอนหนุ่ม (แอบ) โสดนั้นถึงกับแสดงอาการอยากตื้บลูคัส ขึ้นมาอย่างทันตาเห็น



    “อะโหน้าคัส แต่งงานทั้งทีไม่บอกกันเลยนะ แถมได้แฟนทั้งสวยทั้งเก่งอีก” มูมู่ สมาชิกผู้มีอายุน้อยที่สุดครางออกมาด้วยความแอบอิจฉาเล็กน้อย



    “ของอย่างงี้ มันอยู่ที่ฝีมือ เจ้ามู่ จริงมั้ยจ๊ะน้องๆ” ว่าแล้วก็หันไปทำตาเจ้าชู้ใส่สาวๆ พนักงานขาย จนอากิโกะต้องเบรกนิสัยดั้งเดิมของลูคัสด้วยการบิดหู แบบเดียวกับที่ก้องเจอหนูอ้อทำโทษ



    “โอ๊ยยยยยยยยยย กลัวแล้วจ้า ไม่ทำอีกแล้ว เข็ดแล้ว ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ลูคัสร้องโหยหวนอย่างน่าสงสาร ทำให้บรรดาหนอนคลับถึงกับอึ้ง ทั้งในความกล้าหาญของลูคัส ที่กล้าเล่นหูเล่นตากับสาวๆ ต่อหน้าภรรยา และ ความเด็ดขาดของอากิโกะ รวมถึงยุทวิธีสยบหื่นอันเป็นวิธีแบบสากลแต่ได้ผลเสมอ ขณะที่บรรดาหนอนโสดทั้งหลายเริ่มตระหนักถึงสัจธรรม



    “สวรรค์โปรด ที่ตูยังไม่มีแฟน”



    “เออ ลืมสนิทเลย ที่มานี่ก็ เพราะว่าจะเอาได้นี่มาแจกให้น่ะ” จากนั้นลูคัส ก็ล้วงแผ่น CD ออกมาจากกระเป๋า วางไว้ที่โต๊ะ



    “อะไรครับ”



    “เฟิร์มแวร์แบบพิเศษ ที่ทำให้300D ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเหมือน 10D ไงล่ะ กว่าจะเขียนเสร็จผมต้องไปลักพาตัววิศวกรของแคนนอนมาเลยนะเนี่ย ส่วนเครดิตต้องยกให้อากิ เพราะเค้าเป็นคนเขียนเองทั้งหมด” ลูคัส พูดพลาง ก็หันไปหอมแก้มอากิโกะ จนทำให้เจ้าตัวถึงกับเขินจนหน้าแดงไปเลย



    “บ้าจังเลย อเล็กซ์เนี่ย เค้าอายนะ” ว่าแล้วเธอก็ทุบลูคัสดังอึ้ก



    “หมายความว่า 300D จะกลายเป็น 10D บอดี้พลาสติกอย่างงั้นเหรอ” น้าจุกถามขึ้นมาอย่างสงกะสัย



    “นั่นแหละครับ ใช่เลย เพราะอย่างงี้ผมถึงได้เอา 300D มาใช้อยู่นี่ไงครับ”



    “แล้วมันจะไม่มีปัญหาอะไรเหรอ”



    “ไม่มีแน่นอนครับ วิศวกรของแคนนอนเองก็ยืนยันแบบนี้ เพราะพวกเค้าก็ไม่อยากจะสูญเสียยอดขายไปให้กับ D70 ของนิคอนหรอกครับ เพียงแต่มีข้อแม้ว่าอย่าพึ่งเผยแพร่ก่อนที่เค้าจะออกวางตลาดเป็นชุดอัพเกรดเท่านั้นเอง เหมือนกับกริปแบตแพคของ D70 ที่อากิใช้อยู่นั่นแหละครับ” ทันทีที่พูดจบ CD แผ่นนั้นก็ถูกมองราวกับเป็นของวิเศษที่ลอยมาจากสวรรค์ จากนั้นลูคัส และอากิโกะก็ลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กัน



    “จะไปไหนกันล่ะ ไม่ไปหื่นสัญจรกันก่อนเหรอ” น้าสุพจน์ ถามทั้งคู่ด้วยความเสียดายที่พึ่งได้เจอไม่นานก็จะไปแล้ว



    “ไปสิครับ แต่ผมขอไปเอากล้องใหม่ก่อน แล้วเจอกันที่ร้านหมูกระทะนะครับ”



    “โอเคครับ ตามสบายเลย แล้วเดี๋ยวเจอกัน” น้าสิงห์พูดกับทั้งคู่ ก่อนที่จะหันมาถกกันต่อว่าใครจะเป็นหนูทดลองเฟิร์มแวร์ เวอร์ชั่นล่าสุด อากิโกะอีดิชั่น จากนั้นลูคัส และ อากิโกะก็เดินควงแขนกันออกไป เพื่อไปเตรียมตัวสำหรับงานสังสรรค์ในค่ำคืนนี้ และ เพื่อเปิดตัวของเล่นใหม่ของลูคัส Zeta 1D รุ่นที่พัฒนามาจาก 1D MKII และเลนส์ EF-S 24-600 F2.8 L DO IS USM ที่ลูคัสลากคอเอาวิศวกรของแคนนอนมาผลิตโดยมีครอบครัวของวิศวกรคนนั้นเป็นตัวประกัน

      

        สำหรับงานสังสรรค์ในคืนนี้นั้น ไม่มีใครรู้ว่ามันจะออกมาในรูปแบบใด จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง วงล้อแห่งชะตากรรม ขณะนี้ดูเหมือนจะหมุนมาบรรจบกันแล้ว ณ กรุงเทพมหานคร ดินแดนอันเป็นมาตุภูมิของลูคัส และชาวหนอนทุกคน ท่ามกลางม่านหมอกแห่งความมืดที่กำลังค่อยๆ โรยตัวเข้ามาปกคลุมอย่างช้าๆ ก่อนที่จะมีใครสำเหนียกได้ทันถึงมหันตภัยร้ายซึ่งเร้นกายอยู่ภายใต้หน้ากากแห่งสีสันและความงาม ของมหานครแห่งนี้



    ...................................



    จบ  บทที่ 4 สู่มาตุภูมิ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×