ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Tragic Prince ราชันย์มิคสัญญี (ภาค ๑)

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 2 นักล่าแห่งรัตติกาล

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.พ. 48


    บทที่ 2 นักล่าแห่งรัตติกาล



    ......................



    หลังจากได้รับการช่วยเหลือจากชายลึกลับ บอยได้ตัดสินใจที่จะตามไปช่วยคนรักของเขากลับมา แม้ว่าจะถูกปฏิเสธจากชายคนนั้นหลายต่อหลายครั้งก็ตาม แต่บอยก็ยังไม่ยอมละทิ้งความพยายาม จนกระทั่งในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าบอยก็เริ่มได้รับการยอมรับจากชายคนนั้นทีละน้อย โดยผ่านการออกไล่ล่าเหล่าแวมไพร์ที่แฝงตัวอยู่ในกรุงเทพเพื่อหาเบาะแสของสตรูก้าต่อไป



    “พี่ขามองหาใครเอ่ยใช่พวกหนูหรือเปล่า ไม่สนใจจะมาสนุกกันหน่อยเหรอคะ 500 เองนะ” เสียงของสาวน้อยหน้าตาดีคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางหมู่เด็กสาวในวัยเดียวกันบริเวณรั้วเหล็กรอบนอกสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางกรุง ดังขึ้นมาทางด้านหลังของบอย ซึ่งกำลังทำท่าเหมือนกับมองหาใครบางคนอยู่



    “น้องมีเพื่อนอีกมั้ยจ๊ะ พี่อยากลองอะไรที่มันตื่นเต้นน่ะ”



    “อ๋อ ได้ค่ะ รอซักครู่นะคะ หนูไปเรียกเพื่อนมาก่อน รับรองว่าพี่น่ะ จะต้องสนุกจนหัวใจแทบจะวายแน่ๆ เลยล่ะค่ะ” เด็กสาวคนนั้นพูดทิ้งท้ายด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยนัยบางอย่าง ก่อนจะเดินไปพาเพื่อนอีก2คนเข้ามาทางบอย



    “ว่าไงคะพี่ นี่เพื่อนหนูเอง เหมาหมดคิดไม่แพงจ้ะ”



    “พี่ให้คนละ2พันเลยน้อง ถ้าทำให้พี่สนุกได้สุดๆ อย่างที่ว่า”



    “งั้นก็ตกลงค่ะ” จากนั้นทั้งหมดก็พากันไปขึ้นรถแท็กซี่ตรงไปยังบ้านหลังหนึ่ง ที่เด็กสาวคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่าเป็นบ้านของตนที่พ่อแม่ซื้อให้ระหว่างมาเรียนในกรุงเทพ และในทันทีที่ประตูบ้านด้านในปิดลงโดยไม่ต้องถึงห้องนอน เด็กสาวทั้งสาม ก็ปลดเปลื้องเครื่องแต่งกายของตนออก โชว์ให้เห็นของดีที่มีอยู่อย่างเต็มสายตาของบอย



    “ว้าว ต้องอย่างนี้สิ ถึงจะสมราคา แต่พี่ยังไม่อยากเริ่มตอนนี้น่ะสิ แหมพี่อยากจะรู้จังเลยว่าความสนุกที่น้องๆ ว่ามาคืออะไร” บอยพูดพลางมองไปยังร่างของสามสาวด้วยสายตาที่กรุ้มกริ่มแบบสุดๆ



    “อืมมมมม ก็แบบนี้ไงคะ อาห์” เด็กสาวที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเริ่มแสดงลีลายั่วเย้าต่อมบุรุษเพศของบอยด้วยน้ำเสียงที่กระเส่า พลางส่ายสะโพกเต้นรำด้วยท่าทีที่เร้าใจและเชิญชวน เข้ามาใกล้บอยทุกขณะ พร้อมๆ กับเพื่อนสาวอีกสองคนที่ทำในแบบเดียวกัน และเมื่อมือของพวกหล่อนซุกไซ้ไปตามร่างของบอยก็ต้องชะงักทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงวัตถุสิ่งหนึ่งซึ่งแข็งราวกับโลหะ



    “พี่ขา พกอุปกรณ์เร้าใจมาด้วยเหรอคะเนี่ยแต่แหม ใช้อุปกรณ์แล้วมันจะสนุกเหรอคะ”



    “สนุกสิจ๊ะน้องๆ โดยเฉพาะเวลาที่มันปักเข้าที่กลางหัวใจของพวกน้องๆ ไง” เมื่อพูดจบ บอยก็สลัดเด็กสาวอีกสองคนออกไป ก่อนที่จะล้วงเอาอุปกรณ์เร้าใจนั้นออกมา แล้วทิ่มเข้าไปที่บริเวณทรวงอกกลางหัวใจของแม่สาวนั่นอย่างรวดเร็ว โดยที่เพื่อนๆ ของหล่อนยังไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นร่างของเด็กสาวก็ค่อยๆ สะอึกและสลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนอีกสองคนเมื่อเห็นเพื่อนของตนถูกกระทำเช่นนั้นก็พุ่งเข้ามาหมายจะขย้ำคอบอยให้จมเขี้ยวทันที ทว่า คอของหล่อนต้องขาดกระเด็นออกจากร่าง ก่อนจะสลายเป็นเถ้าธุลี เมื่อพุ่งเข้ามาหาบอยที่เอี้ยวตัวหลบพร้อมกับตวัดลวดเงินบางเฉียบที่ซ่อนไว้หัวเข็มขัด คนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ตัดสินใจที่จะหนีเพื่อเอาชีวิตรอดแต่ทว่า หมุดเงินในมือของบอยได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีเยี่ยมทันทีที่ถูกขว้างออกไป ร่างของหล่อนสะดุ้งเฮือกกลางอากาศ ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูหนีไป โลหิตสีดำคล้ำทะลักออกมาจากทวารทั้งสิบ และร่างของหล่อนก็ค่อยๆ แปรสภาพไปทีละน้อย จากร่างอันอวบอิ่มค่อยๆ แปรสภาพไปเป็นซากศพที่กำลังเน่าเฟะ และบางส่วนก็ค่อยๆ สลายไปทีละน้อยจนกระทั่งในที่สุด ก็เหลือเพียงกองเถ้าถ่านกับหมุดเงินที่ที่ตกอยู่



    “สนุกจริงๆ น้องสาว แต่ขอโทษนะที่หัวใจพี่ไม่วายซะก่อน” บอยพูดพลางก้มลงเก็บอุปกรณ์เร้าใจที่เด็กสาวคนนั้นเคยเรียกไว้ ก่อนจะมีเสียงปรบมือมาจาด้านหลัง



    “ยอดมาก ไม่เลวจริงๆ ใช้เวลาแค่ไม่นานก็เรียนรู้เทคนิควิธีการล่าพวกมันได้จนหมด”



    “แล้วทีนี้คุณจะยอมให้ผมไปช่วยคนรักของผมได้หรือยัง”



    “อืม อย่าใจร้อน ผู้หญิงคนนั้น สตรูก้าเรียกเธอว่าคามิลล่า บางทีเธออาจจะมีอะไรพิเศษที่ทำให้มันไม่กล้าลงมือก็ได้”



    “แล้วทำไมถึงไม่รีบไปช่วยสิ ออกมาเล่า ปล่อยไว้แบบนี้นานๆล่ะก็ สิมีหวัง.........”



    “เคยมีคำกล่าวว่า เมื่อศิษย์พร้อม อาจารย์ก็จะปรากฏ คืนนี้ไปแพ็คกระเป๋าเก็บสัมภาระได้เลย พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปโรมาเนียกัน”



    “แต่.......กว่าจะขอวีซ่าเดินทางได้”



    “ไม่ต้องห่วง เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ผมเอง”



    “ครับ”



    “ได้เวลาแล้วสินะ เวลาที่จะบุกตะลุยปราสาทมรณะนั่นให้พินาศไปอีกครั้ง” ชายคนนั้นพูดพลางแหงนหน้ามองไปยังดวงจันทร์ที่ส่องแสงสว่างไปทั่ว เช่นเดียวกับบอยที่มองไปยังท้องฟ้าด้วยแววตามุ่งมั่น



    “รอก่อนนะสิ ผมจะต้องไปช่วยคุณให้ได้ถึงจะต้องแลกด้วยชีวิต ผมขอสาบาน”

        

    และในท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาลนั้นเอง เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ทรานซิลวาเนียเกิดปรากฏการณ์แปลกๆ ในทุกๆ รอบ100ปี นั่นคือหมอกที่ลงจัดจนมองอะไรแทบไม่เห็น และบริเวณชะง่อนผาอันเป็นที่ตั้งของปราสาทแดรกคิวล่านั้นจู่ๆ ก็มีปราสาทหลังใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นมาอย่างช้าๆ ท่ามกลางหมอกควันที่หนาทึบนั้น ปราสาทมรณะที่จะปรากฏขึ้นในยามราตรีทุกๆ 100ปี



    “แก๊งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงระฆังเตือนภัยดังกึกก้องไปทั่วทั้งตัวเมืองในชนบทแถบนั้น บ้านเรือนทุกหลังต่างปิดประตูและหน้าต่างพร้อมกับลงกลอนอย่างแน่นหนา ที่ด้านหน้าของประตูและหน้าต่างของบ้านทุกหลังจะมีกระเทียมแขวนไว้กับไม้กางเขนใหญ่ซึ่งตอกผนึกปิดตายไว้ทั่วทุกจุด บ้างก็ตัดสินใจไปอาศัยห้องโถงของโบสถ์อยู่และช่วยกันร่วมสวดมนต์ภาวนาขอให้ช่วงเวลานี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงลมที่โหมกระหน่ำโหยหวนราวกับจะชวนให้ปลิดลง ผสมกับเสียงกระพือปีกขนาดใหญ่ที่ดังอยู่รอบเมืองตลอดเวลา บัดนี้ฝันร้ายของชาวทรานซิลวาเนียได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว



        ปราสาทมรณะ เวลานี้ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องเปล่งประกายสะท้อนพื้นน้ำ ทว่าแลดูน่าสะพรึงกลัวมากกว่าสวยงาม ค่ำคืนที่ยาวนานกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง



    ..............



    จบ บทที่ 2 นักล่าแห่งรัตติกาล
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×