ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    1/2 ผู้ชายนะค่ะ

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 สิ่งที่ต้องแก้ไข (อัพ 100%)

    • อัปเดตล่าสุด 14 มี.ค. 49


                   บทที่ 8 สิ่งที่ต้องแก้ไข



                   .................



                   ตั้งแต่มาโกโตะลืมตาขึ้นมาก็พบแต่ความว่างเปล่า อ้างว้างและเงียบสงบ ทั้งมืดมิดจนเขารู้สึกได้ว่าตนกำลังยืนอยู่เพียงลำพัง ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่ความมืดมิดปกคลุมไปเสียจนหมด เขาทั้งร้องและตะโกนหาคนช่วยอยู่นานจนหมดแรง ความฝัน? ที่นี่ต้องเป็นความฝันอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นเขาจะมายืนอยู่ที่นี่เพียงคนเดียวได้ยังไงกัน เนื่องจากตะกี้ตัวเขายังยืนอยู่กลางสนามกับโทรุ และมิสเทรสอยู่เลย



                   "ความฝันก็คือความฝันละนะ แต่ทำไมมันมืดขนาดนี้ ...มันน่าจะเห็นอะไรบ้างหน่อยสิ"



                   มาโกโตะบ่นพึมพำกับตนเอง เขาไม่รู้ว่าจะออกไปจากความฝันบ้าๆนี่ได้ยังไง ได้แต่คิดๆแล้วก็คิดจนหมดหนทางที่จะทำอะไร จึงนั่งลงกับพื้นกอดเข่าตนเองไปพลางๆ 



                   "ถ้าเป็นฝันจริง ทำไมถึงหนาวขนาดนี้นะ นี่ไม่ใช่ฤดูหนาวสักหน่อย" 



                   พูดจบก็กอดเข่าตัวเองแน่นขึ้นกว่าเดิม มือไม้รวมถึงริมฝีปากสั่นเริ่มสั่นทีละนิด ระหว่างที่นั่งกอดเข่าอยู่ก็คิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะมาอยู่ในความฝัน มันเป็นความผิดของเขาเอง เป็นความผิดที่ไม่น่าให้อภัย เขาไม่น่าชวนโทรุเข้ามาในสนามกีฬาซอกเกอร์เวจนั่นเลย ไม่เช่นนั้นทุกคนคงจะสนุกกับการได้ดูกีฬานั่นโดยที่ไม่ต้องมาเดือดร้อนเนื้อใจกับเรื่องพรรคนี้ รวมถึงมิสเทรส ทวดของมาโกโตะด้วย เขาเป็นคนที่ทำให้มิสเทรสต้องมาคอยปกป้องเขาทั้งๆที่เขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองอะไรได้สักอย่าง ว่าแล้วก็นึกเวทนาตัวเองที่เกิดมาแล้วทำให้คนที่รู้จักกับเขาต้องพลอยทุกข์ไปด้วย มาโกโตะคิดอยู่เนื่องนานจนกระทั่งได้ยินเสียงร้องของใครบางคนออกมาเป็นเพลงอย่างแผ่วเบา ซึ่งมาโกโตะฟังแล้วก็รู้สึกเคลิ้มจนนึกอยากเห็นหน้าคนที่ร้องเสียแล้วสิ



                   "~~สายลมพัดผ่าน แว่วเสียงน้ำกระเซ็นเห็นตัวปลา เอื่อยๆตามสายน้ำที่ไหลเชี่ยว สิ่งที่น่าหฤหรรษ์ก็บังเกิด เจ้านกน้อยร้องหาแม่ดัง จิ๊บ จิ๊บ~~"



                   ถึงเสียงร้องฟังดูออกจะไพเราะ แต่ทำนองกับเนื้อเพลงนี่สิ ..ดูมันขัดแย้งกันเอามากๆ คงจะเป็นเพลงที่คนร้องแต่งขึ้นตามอารมณ์กระมัง เขานึกในใจก่อนที่จะปรบมือขึ้นสองสามครั้ง 



                   "เยี่ยมมากเลยนะ ร้องเพลงได้เพราะถูกใจจริงๆ" 



                   มาโกโตะพูดชมคนร้องทั้งๆที่ตัวเขาเองยังไม่ได้เห็นหน้าคนๆนั้นเลย 



                   "ร้องเพลงเพราะ? ....น่าขันมากนักหรือไงที่มาชมคนร้องเพลงในที่แบบนี้"
     


                   เสียงนั้นตอบรับทันทีหลังจากมาโกโตะพูดจบ ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่คนๆนั้นว่าเอาไว้จริง เขามันบ้าที่ชมคนโดยที่ไม่ดูกาลเทศะ แต่พอเขานึกมาอีกที น้ำเสียงจากที่ได้ฟังก็ดูเหมือนว่าคนนั้นจะอายุไม่มากเท่าไหร่ น่าจะประมาณ 10 ขวบได้กระมัง และก็เป็นอย่างที่คาดคิดเอาไว้ ใบหน้า ท่าทาง ทุกๆอย่างรวมกันทั้งหมดที่เขาได้เห็นคนๆนั้น มันเหมือนกับ...ตัวเขาตอนอายุ 10 ขวบเปี๊ยบเลย ไม่ผิดแน่ๆ - - เขาตะลึงอยู่นานจนอีกคน ซึ่งเป็นตัวเขาในตอนอายุ 10 ขวบทำหน้าบูดบึ้งไม่พอใจใส่ 



                   "เฮ เฮ้! จะจ้องหน้าฉันไปอีกนานแค่ไหนกัน ฉันกับนายก็คือคนๆเดียวกันนะ" ตัวเขาในร่างเด็กพูดอย่างเขินอาย "โทษที แบบว่าฉันตกใจนิดหน่อยที่เห็นตัวเองในตอนเด็กมายืนหัวโด่ให้เห็นต่อหน้าอ่ะ" มาโกโตะพูด 



                   "อืม มันก็น่าแปลกอยู่ละนะที่นายตกใจ ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกันที่ได้เห็นตัวเองตอนเป็นหนุ่ม" 



                   มาโกโตะในร่างเด็กพูดพลางชะเง้อมองร่างโต "อืมม์ หน้าตาเข้าขั้นถือว่าหล่อ โอเคสูงพอใช้ได้เหมือนกันนี่" แถมพูดชมอย่างไม่ขาดสาย มาโกโตะในร่างโตสะดุ้งเล็กน้อยที่ถูกตัวเองในตอนเด็กชม "พอๆ เรื่องชมนั่นเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้ขอถามอะไรก่อนจะได้ไหม"



                   เขารู้สึกหงุดหงิดกึ่งรำคาญที่ในตัวเขาร่างเด็กพูดมากเหลือเกิน มาโกโตะในร่างเด็กมองหน้าก่อนที่จะผงกหัวแทนคำตอบ 



                   "ว่ามาสิ"  



                   เจ้าตัวเล็กในสายตาของมาโกโตะ ซึ่งกำลังนั่งลงกับพื้นอันมืดมิดและเย็นยะเยือกด้วยกิริยาท่าทางไม่พอใจในตัวเขา



                   "นี่คือความฝันใช่ไหม แล้วถ้างั้นนายก็คือฉันตอนอายุ 10 ขวบ แล้วทำไมถึงโผล่ออกมาคุยกันได้อ่ะ?"



                   เขาถามรัวจนเจ้าตัวเล็กทำตาโตถลึงใส่ด้วยความโกรธ 



                   "เล่นยิงมาเป็นชุดแบบนั้น! ใครจะไปตอบได้หมดละ ...เจ้าบ้า!!" 



                   มันก็อย่างว่าแหละ เป็นใครๆก็ต้องโกรธกันทั้งนั้น ว่าแต่ไอ้นิสัยเดิมๆ ขี้โมโหเอาแต่ใจก็ยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนเลย แถมดูมีความสุขนั่นสินะ ก็มันไม่เหมือนกับเขาในตอนนี้แล้วนี่ 



                   "ใครว่าไม่เหมือนกันเล่า!! ลืมไปแล้วหรือไงว่า ทั้งนายแล้วก็ฉันเป็นคนๆเดียวกัน เป็นคนเดียวกันที่เผชิญหน้าเหตุการณ์อันเลวร้ายในคืนนั้นไง!!"



                   มาโกโตะในร่างเด็กตะโกนด่ารัวและเร็วจนแทบไม่เป็นประโยค สีหน้าซีดอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับมือน้อยๆที่กำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ 



                   "ฉันลืมไป ขอโทษนะ" คำขอโทษสั้นๆ  ฟังดูแล้วไม่น่าจะให้อภัยเอามากๆ ตัวเขามันแย่มากเสียจนสู้หน้าตัวเองในตอนเด็กไม่ได้ซะแล้ว 



                   "นายไม่ได้ลืมหรอก แต่นายแกล้งทำเป็นลืมต่างหาก!!" 



                   ตัวเล็กตวาดเสียงใส่อย่างหมดอารมณ์ พลางลุกขึ้นยืน  



                   "อือ ฉันมันบ้าที่แกล้งลืม นายไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้เลยว่าฉันมีทุกข์มากกว่านายเสียตอนนี้อีก" มาโกโตะบ่นพึมพำตีหน้าเศร้าให้ตัวเล็กได้เห็นอีกครั้ง ใช่แล้ว ความทุกข์ที่มากกว่าตอนเป็นเด็ก ความทุกข์ที่ตนเป็นคนทำขึ้นมาไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถ้านับรวมถึงเหตุการณ์ก็หน้าที่จะมาอยู่ในนี้ก็ถูกอีก เขาทำให้คนอื่นเดือดร้อนแล้วยังทำให้มิสเทรสกับโทรุต้องมาลำบากเพราะเขาอีก 



                   "โอเค โอเค! ฉันเข้าใจ เข้าใจมากเสียด้วย แต่ขอบอกอีกอย่างให้รู้ว่า นายไม่ใช่คนๆเดียวกับฉัน เพราะฉันจะไม่ทำตัวแบบที่นายกำลังทำในตอนนี้" 



                   มาโกโตะสะดุ้งกับคำพูดของตัวเองในร่างเล็ก – หมายความว่าไงกัน ที่ว่าตัวเขาไม่ใช่คนๆเดียวกับตัวเองในตอนอายุ 10 ขวบ ซึ่งเป็นประโยคที่ชวนให้สงสัยนั่นก็ถูกคลายลงก็ต่อเมื่อ มาโกโตะหรือตัวเขาตอนอายุ 10 ขวบได้เดินหายไปในความมืดพร้อมกับทิ้งเพลงท่อนหนึ่งออกมาเป็นนัยๆ เหมือนกับจะบอกอะไรบางอย่างให้เขาได้รับฟัง



                   "~~แม้กาลเวลาจะผ่านไป ใจคนก็มิอาจเปลี่ยนแปลง เรื่องใดทุกข์ เรื่องใดเศร้า ก็จงขจัดมันให้หายไปซะ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็อย่าเอากามรมณ์ของตนมาเป็นที่ตั้ง ถึงเวลานั้นก็จะเข้าใจเอง~~"



                   .............................................



                   "อย่าเพิ่งไปสิ! เจ้าตัวเล็ก!!"



                   เขาตะโกนร้องเรียกหาตัวเองในร่างเล็กก่อนที่จะได้รู้สึกว่า ตัวเองกำลังนอนพิงอะไรบางอย่างอยู่ 



                   "ฟื้นแล้ว! มาโกโตะฟื้นแล้ว! คุณมิสเทรส!!" เสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจของโทรุดังออกมาจนเขาได้ยินอย่างชัดเจน เปลือกหนังตาอันน้อยนิดถูกเปิดขึ้นทันทีที่ได้ยิน ภาพแผ่นหลังของมิสเทรสดูใหญ่จัง มาโกโตะคิดอย่างเหนื่อยอ่อน พลางขยี้ตาของตัวเองเพื่อให้เห็นชัดขึ้น พอเห็นชัดก็แทบจะตะลึงไปในทันที เขากำลังขี่หลังอยู่บนตัวของมิสเทรส!! 



                   "นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับมิสเทรส ทำไมผมถึงมาอยู่บนหลังของ..." 



                   ไม่ทันที่ตัวเองจะได้พูดจบประโยค ความรู้สึกอ่อนเพลียก็บังเกิด ทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บเหมือนกับมีอะไรบางอย่างมาดูดพลังชีวิตของเขาออกไปอย่างนั้นแหละ 



                   "อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลยหลานรัก เจ้านะบาดเจ็บสาหัสมากพออยู่แล้ว ขืนพูดตอนนี้พลังชีวิตของเจ้าก็ยิ่งลดลงขึ้นเรื่อยๆนะ" มิสเทรสกล่าวตักเตือนด้วยความเป็นห่วงสุขภาพของหลานตัวเอง มาโกโตะไม่ฟัง แถมยังดันทุรังที่จะถามต่อไปอีก 



                   "ผมอยากรู้ว่ามัน ...อึ่ก! เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมสลบไปแล้วกันแน่ครับ"



                   พูดจบก็เขาก็กระอักเลือดออกมาทันที ทำให้แผ่นหลังของมิสเทรสเต็มไปด้วยคราบเลือดทั้งหมด 



                   "ผมขอโทษครับ!!" รู้ทั้งรู้ก็ยังดันฝืนทุรังให้ตัวเองพูดออกมาอีก รู้งี้น่าจะเชื่อฟังมิสเทรสตั้งแต่แรกเสียก็ดี 



                   "ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องขอโทษข้า เจ้าไม่ผิดอะไรเลยที่จะถาม แต่ต่อไปห้ามพูดอีกเด็ดขาดจนกว่าจะได้รับอนุญาต...เข้าใจไหม"



                   มาโกโตะฟังแล้วก็ผงกหัวแทนคำพูด 



                   "ดีมาก เอาละ เรื่องที่เจ้าสงสัยนั้น เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ขอพาเจ้ากลับไปที่บ้านรักษาบาดแผลให้เสร็จก่อน" มิสเทรสกล่าวพลางยิ้มให้กับตัวเอง และรู้สึกหัวใจพองโตด้วยความยินดีปรีดาที่หลานของตัวเองฟื้นขึ้นมาแล้ว พอมิสเทรสพูดจบ มาโกโตะก็ค่อยพิงแผ่นหลังอุ่นๆนั่นต่อ แล้วก็หลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน



                   ........................



                   ดวงอาทิตย์ที่แผ่รัศมีสีทองส่องสะท้อนผิวน้ำทะเลกลายเป็นสีส้มแสบตา นกตัวน้อยส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วก่อนจะบินกลับรัง ต้นมะพร้าวที่มีอยู่ตลอดริมฝั่งชายทะเลลู่ลงตามสายลมที่พัดเบาๆ แต่นั่นก็ไม่ดูสวยงามเท่ากับสิ่งที่ตั้งอยู่บนเนินสูง นั่นก็คือปราสาทหินที่ทำด้วยหินอ่อนทั้งหมด เสียงย่ำเท้าดังขึ้นไปตลอดทางเดินจนทำให้บรรดาคนใช้มองกันไปที่จุดๆเดียว ชายร่างสูงชุดคลุมสีดำกับเด็กชาย 10 ขวบ ซึ่งทั้งสองคนกำลังเดินเข้ามาในปราสาทอย่างไม่แคร์สายตาของหญิงสาวที่ยืนท้าวสะเอวรอตรงหน้าบันได



                   "นึกว่าลืมบ้านหลังนี้ซะอีก กลับมาก็ดี! - - เจ้าไปกับข้าที่ห้องหน่อยสิ! เราสองคนมีเรื่องที่จะต้องชำระกัน" 



                   หญิงสาวในชุดคลุมไหล่สีทองกล่าวเสียงตวาด เส้นผมหยิกสีน้ำตาลแดงเป็นเงาของหล่อนปรกเข้าที่โครงหน้ารูปไข่ ขนตาเป็นแพยาว จมูกที่ได้รูป และริมฝีปากสีแดงที่เย้ายวนชาย ไม่ว่าชายใดเห็นต้องหลงใหล เด็กชายยืนมองหล่อนก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าตามแม่เลี้ยงเข้าไปในห้อง ก็ต้องหยุดชะงักแล้วหันกลับไปมองชายร่างสูงชุดคลุมสีดำที่จับมือเขาเอาไว้



                   "จับมือข้าเอาไว้ทำไมกัน คริส ปล่อยสิ" 



                   เด็กชายพูดพลางสะบัดมือให้หลุดออกจากพันธการ แทนที่คริสจะปล่อย กลับจับแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม 



                   "นายน้อย ....ได้โปรดอย่าไปเลยนะขอรับ ขอร้องล่ะ" คริสกล่าวเสียงสั่น เขาไม่อยากให้นายน้อยของเขาต้องไปทุกข์ทรมานกับแม่เลี้ยงนั่น เด็กชายมองคริสอย่างเข้าใจแต่ก็ส่ายหัวปฎิเสธ 



                   "ข้ารู้ ข้ารู้ว่าเจ้าห่วงข้า คริสปล่อยข้าเถอะ เจ้าช่วยอะไรข้าไม่ได้หรอก"



                   เด็กชายรู้สึกบ่อน้ำตาของตัวเองแตกจึงรีบเอามือเช็ดน้ำตานั่นทันที 



                   "แต่ว่า..." 



                   คริสยังดึงดันที่จะพูดแต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อเห็นสีหน้าของนายน้อยตัวเอง พร้อมกับปล่อยมือเล็กๆนั่นออก เด็กชายส่งยิ้มหวานให้คริสก่อนหันหลังกลับเข้าไปในห้องนั่น หลังจากประตูห้องถูกปิด เด็กชายก็สะดุ้งทันทีกับเสียงแส้ที่ฟาดลงพื้นห้อง 



                   "ช้า! ช้าเกินไป เจ้าเด็กบ้า! อยากให้ข้าคลั่งมากกว่านี้หรือไง! มานี่เร็วๆเข้า!" เสียงตวาดแหลมๆของผู้เป็นแม่บุญธรรมดังลั่นห้อง เด็กชายรู้ดีว่าแม่บุญธรรมต้องการอะไรจึงเดินเข้าไปหาอย่างหวาดๆ 



                   มิทันที่จะได้ไปถึงตัวของหญิงสาว ความรู้สึกเจ็บแสบก็เกิดขึ้นตามร่างกาย แขน ขา ด้วยแส้ที่ฟาดลงมาอย่างไม่ยั้งมือนั่นเอง เจ็บแสบระบมไปหมด มันลึกไปถึงหัวใจของเด็กชายที่ไม่สามารถตอบโต้แม่บุญธรรมได้ มันเหมือนกับคำสั่งอย่างหนึ่ง คำสั่งที่ห้ามไม่ให้เขาขัดขืนกับหญิงสาวตรงหน้าได้ 



                   "เป็นอะไรไปเล่า! โดนมากจนร้องไม่ออกเลยหรือไง" รอยแสยะยิ้มของแม่บุญธรรมเผยออกมาอย่างพออกพอใจ ก่อนจะลงมือฟาดแส้ลงไปที่หลังของเด็กชายอีกครั้ง



                   เด็กชายไม่ร้องได้แต่ทนกัดฟันเรื่อยไปจนกระทั่งหมดแรงเป็นลมล้มพับต่อหน้าหญิงสาว แต่ถึงกระนั้นแม่บุญธรรมก็ยังไม่ยอมหยุดมือ แถมฟาดลงไปอีกรอบ คราวนี้เด็กชายทนไม่ไหวถึงกับส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด 



                   "ทนไม่ไหวแล้วเว้ย! ปัง!" เสียงคริสตะโกนพร้อมกับประตูที่ถูกเปิด "ปล่อยนายน้อยเดี๋ยวนี้นะ! นายหญิง" 



                   ว่าที่นายหญิงเงยหน้าขึ้นมามองคริสด้วยสีหน้าที่ชิงชัง 



                   "เจ้ามีสิทธิ์มาสั่งคนอย่างข้าด้วยรึ! เจ้าคนชั้นต่ำ" 



                   พูดจบพลางใช้เท้ากระทืบเข้าที่ศีรษะของเด็กชาย 



                   "คนชั้นต่ำ อะไรก็คนชั้นต่ำ! คิดว่านายหญิงสูงนักหรือไง ที่มาดูถูกคนอื่นนะ" คริสโมโหสุดขีดที่เห็นการกระทำเยี่ยงสุนัขของนายหญิง จึงรีบชักดาบขึ้นมาทันที 



                   "จะใช้ดาบขู่ข้าหรือไงเจ้าคนทรยศ!" 



                   "ใช่! แล้วจะทำไมล่ะ นังตัวดี!" 



                   คำสรรพนามที่คริสเคยเรียกหญิงสาวเปลี่ยนไป "ออกห่างจากนายน้อยเดี๋ยวนี้ซะ! ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้าแน่" 



                   คริสขู่พลางสาวเท้าเข้าไปหาอย่างช้าๆ "ฮึ! ก็ได้ แล้วเจ้าจะได้เห็นดีกันแน่ ว่าคนทรยศไม่สามารถหนีรอดพ้นเงื้อมือดอกเตอร์!" 



                   หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดก่อนที่จะหายตัวไปจากห้องภายในพริบตาเดียว พอหญิงสาวนั่นหายไปแล้ว คริสก็รีบวิ่งเข้าไปดูเด็กชายที่นอนฟุบอยู่ตรงพื้นด้วยความรวดเร็ว 



                   "นายน้อยขอรับ! นายน้อยต้องไม่เป็นอะไร ฟื้นสิขอรับนายน้อยได้โปรด" 



                   คริสเขย่าร่างเล็กด้วยความหวังที่จะให้เด็กชายลืมตาขึ้นมา แต่เด็กชายไม่มีท่าทีว่านั้นเลยสักนิด คริสใจสั่นพลางสำรวจว่ายังหายใจอยู่ไม่ 



                   "ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะเสียนายน้อยไปแล้วซะอีก" คริสกล่าวอย่างโล่งอกก่อนที่จะอุ้มร่างนั้นขึ้น แล้วพาร่างนั้นออกนอกปราสาทไป



                   ..........................



                   หลังจากที่ได้หลับไปนานถึงสองวันเต็มๆ ก็ตื่นขึ้นมาหน้าตาสดใสกว่าเดิมจากที่เคยซีดราวกับไข่มุก เล่นเอาคนเฝ้าไข้แทบไม่หลับไม่ได้นอนไปตามๆกัน ถึงจะหายดีเป็นปกติแล้วก็จริง แต่ก็ยังคงสับสนเรื่องเก่าว่า ตัวเขา มิสเทรสและโทรุ รอดมาจากพลังแบล็กโฮลนั่นได้ยังไงกัน พอได้ฟังคำบอกเล่าจากมิสเทรสแล้ว เขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่งจนแทบจะตกเตียงเลยด้วยซ้ำ 



                   "ผมไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหมครับมิสเทรส"



                   มิสเทรสส่ายหน้าปฎิเสธทันทีที่มาโกโตะพูดจบ 



                   "ไม่ผิดหรอก มาโกโตะ ในช่วงที่ข้าคิดว่าไม่รอดแน่แล้ว เจ้ากลับดึงพลังแฝงในตัวเองที่เรียกว่า ออโรร่า ออกมาเป็นรูปโล่ห์แล้วมาบังพวกเราสามคนไม่ให้โดนพลังนั่นเอาไว้ ทีแรกข้าคิดว่ามีพวกเราสามคนที่รอดจากพลังแบล็กโฮล กลับผิดคาดซะได้ พอข้าลืมตาขึ้นมาก็พบพลังออโรร่าของเจ้ามาครอบคลุมพลังแบล็กโฮลนั่นไว้ และบีบพลังแบล็กโฮลให้เล็กลงเรื่อยๆจนแตกสลายหายไปกับอากาศ" 



                   มิสเทรสหยุดพักหายใจพร้อมกับมองหน้ามาโกโตะด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน



                   "ข้าไม่คิดเลยว่าเชื้อสายจอมเวทย์อันดับหนึ่งแห่งโลกไกอาจะแรงขนาดนี้ มิเสียแรงที่ข้าเฝ้ารอคนอย่างหลานมานานนับ 50 ปี นับว่าคุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ" 



                   "เชื้อสายจอมเวทย์? โลกไกอา? หมายความว่ายังไงเหรอครับมิสเทรส ผมฟังแล้วยังงงอยู่เลย" 



                   มาโกโตะกับโทรุที่ฟังอยู่นานก็เอ่ยปากถามพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย 



                   "มาโกโตะ ตระกูลของพวกเรานั้นสืบทอดเชื้อสายมาจากจอมเวทย์อันดับหนึ่งนะ โดยที่ข้าเป็นรุ่นหลานคนที่ 8 ที่สืบทอดเชื้อสายนั่นเอาไว้ พ่อของเจ้าเป็นคนที่ 9 ส่วนเจ้าก็น่าจะ 10 ได้มั้ง แล้วก็ส่วนโลกไกอานั่น ก็เป็นชื่อของบนโลกที่เรากำลังนั่งอยู่นี่ไงล่ะ" 



                   แม้ว่ามิสเทรสอธิบายมาจนหมดมาโกโตะก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี เนื่องจากเขาไม่รู้จักจอมเวทย์ผู้เก่งกาจอะไรนั่นเลยสักนิด เป็นใครก็ไม่รู้และที่สำคัญ ตัวเขาเองไม่น่าจะเก่งกาจอะไรที่มิสเทรสจะมาสรรเสริญเยินยอเขาว่าเก่งอย่างนู้นเก่งอย่างนี้ ซึ่งเขานึกแล้วแทบจะสะอิดสะเอียนจนอยากจะกระโดดน้ำตายตอนนี้ให้เสียรู้แล้วรอดไปเลย



                   มิสเทรสเหลือบมองมาที่หลานชายของเขาและก็เข้าใจในความคิดของมาโกโตะได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องถาม 



                   "ใจเย็นๆสิมาโกโตะ ข้ารู้ดีว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ หลานไม่ได้อยู่บนโลกนี้เพียงลำพังนะ ยังมีข้าโทรุและก็พ่อของเจ้าคอยให้กำลังใจเจ้าอยู่เสมอ แล้วก็เรื่องบ้าๆที่หลานคิดว่าตัวเองเป็นคนฆ่าแม่ตัวเองนั่นก็ให้ลืมมันไปได้เลยรู้ไหม" 



                   มิสเทรสพูดเน้นย้ำโดยเฉพาะช่วงท่อนสุดท้าย ซึ่งมาโกโตะฟังก็นิ่งเงียบไป ถูกของมิสเทรส เขาไม่น่าโง่ที่หลงความคิดนั่นมาตั้งนานนับสิบกว่าปี แม่ของเขาไม่ได้ตายเพราะเขาสักหน่อย แต่เป็นไอ้แก่นั่นต่างหาก คนที่ฆ่าแม่และสาปเขาให้เป็นร่างครึ่งหญิงครึ่งชายมาจนถึงบัดนี้ 



                   "เกือบลืมไปเลย ให้ตายสิ! ข้านี่มันแย่จริงๆ ในเวลาสำคัญอย่างนี้กลับลืมเสียได้" 



                   มิสเทรสบ่นพลางตีหน้าเคร่งเครียดเหมือนมีเรื่องเดือดร้อนใจเอามากๆ 



                   "ลืมอะไรเหรอครับมิสเทรส" 



                   คราวนี้โทรุเป็นคนถามบ้างหลังจากที่นั่งเงียบมานานอีกครั้ง "ก็ข้าลืมให้พวกเจ้าไปลงทะเบียนสำหรับคนที่จะมาอาศัยอยู่บนโลกไกอานี้นะสิ นี่มันก็เกินไปสองชั่วยามแล้วด้วย มาโกโตะ หลานรีบๆลุกขึ้นแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนะ เจ้าก็ด้วย โทรุ เร็วๆด้วยละ ข้าจะรออยู่ข้างล่าง" 



                   มิสเทรสพูดรัวและเร็วจนคนที่อยู่ข้างๆฟังแทบไม่เป็นประโยคแล้ว เสร็จสรรพมิสเทรสก็ลุกขึ้นพรวดพราดเดินออกไปนอกห้องอย่างเร็ว จนทำให้เขากับโทรุต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง



                   ...........



                   จบ บทที่ 8 สิ่งที่ต้องแก้ไข
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×