ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 ซอกเกอร์เวจ (อัพ 100%)
บทที่ 5 ซอกเกอร์เวจ
....................................
หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว เขากับโทรุจึงขออนุญาตมิสเทรสออกไปข้างนอกเพื่อชมเมือง ซึ่งมิสเทรสก็ให้ไปโดยดีแต่มีข้อแม้ว่าอย่าออกไปข้างนอกเมืองเด็ดขาด พอได้ออกมาข้างนอกบ้านแล้วก็ต้องตะลึงกับภาพบรรยากาศของเมืองที่นี่ แสงสะท้อนของเกล็ดน้ำแข็งใสที่เกาะตามตึกสูงระฟ้า ต้นไม้ใบหญ้ามีสีฟ้าคล้ายคริสตัล ส่วนตามถนนริมหนทางที่เขากับโทรุยืนอยู่นั้นก็ไม่ต้องพูดถึง พวกเขาสองคนไม่ต้องใช้เท้าเดินด้วยซ้ำ เพราะที่ถนนมีวัตถุบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้ ซึ่งคล้ายกับบันไดเลื่อนตามห้างนี่เอง แต่แปลกตรงที่มันเคลื่อนด้วยสัตว์บางอย่าง ที่ดูเล็กมากจนพวกเขาสองคนแทบจะไม่เห็น รวมถึงผู้คนที่เดินพลุ่กพล่านที่ทำให้ตกใจพอๆกัน ทุกคนสวมชุดแปลกประหลาดคล้ายกับหลุดออกมาจากหนังสือแนวแฟนตาซียังไงยังนั้น ไม่นับรวมสัตว์ที่เดินไปมา ใหญ่บ้างเล็กบ้าง น่ารักนิดน่ากลัวหน่อย แค่นั้นก็ทำให้ทั้งสองคนต้องร้องว้าวออกมาเสียงดังลั่นถนน
"สุดยอด! อย่างกับอยู่ในโลกเวทมนตร์เลยแฮะ"
มาโกโตะกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เบิกบาน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเห็นอะไรที่สุดยอดขนาดนี้ สิ่งที่เขาได้เห็นมันไม่ใช่ในโรงหนังหรือในหนังสือนิยาย แต่เขาได้เห็นกับตาตัวเองที่คิดว่าจะไม่มีจริง ถ้าไม่นับรวมในคืนที่ถูกสาปด้วย สิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในล้านที่ผู้คนยากจะได้เจอกับมัน โลกแห่งเวทมนตร์ โลกที่สวยงามตระการตาที่ผู้คนกับสัตว์ประหลาดสามารถอยู่ร่วมกันได้
"ก็นี่มันโลกเวทมนตร์นะสิมาโกโตะ นายนี่?...ถามอะไรแปลกๆอยู่เรื่อยเลยนะ ว่าแต่พวกเราสองคนจะไปไหนกันต่อดีละ"
โทรุหันมาถามความเห็นด้วยสีหน้าเช่นเดียวกับมาโกโตะ
"ก็เดินเที่ยวสิโทรุ ไม่มืดไม่กลับ!"
เขาตอบคำถามทันทีโดยที่ไม่ต้องคิด หัวใจของเขาเต้นสั่นระรัวเหมือนกับตื่นเต้นที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ เหมือนกับอยากจะชมของแปลกให้มากกว่านี้อีก ส่วนโทรุนั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งสองไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก รีบจ้ำเท้าออกเดินทันที ระหว่างที่เดินชมเมืองไปพลางๆ มาโกโตะก็นึกได้ว่าโทรุมากับเขาแล้วทางบ้านจะไม่เป็นห่วงเอารึเนี่ย
"มีอะไรเหรอมาโกโตะ จ้องหน้าฉันมีเรื่องอะไรจะถามหรือไง" เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆหันมาพูดกับเขา มาโกโตะหยุดเดินและหันมามองตอบ "เอ่อ ...นายมาที่นี่กับฉันแล้ว พ่อแม่นายไม่เป็นห่วงเหรอ"
อีกใจหนึ่งเป็นห่วงว่าพ่อแม่ของโทรุจะออกตามหาตัวโทรุไม่เจอแล้วจะทำยังไง คงจะร้องไห้เศร้าโศกเสียใจก็เป็นได้
"ไม่หรอกมาโกโตะ รายนั้นไม่ต้องเป็นห่วง พวกพ่อแม่ฉันไม่เคยห่วงว่าฉันจะหายไปไหนหรอก พวกเขาสองคนทำงานมากจนลืมฉันไป..แล้วละ" น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นแฝงไปด้วยความเศร้า และลึกลงไปจนมาโกโตะรู้สึกได้ทันทีว่า โทรุขาดความอบอุ่นมีพ่อแม่ก็เหมือนกับไม่มี
"ฉันขอโทษนะโทรุ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดถึงพ่อแม่ของนาย"
"ไม่เป็นไร ถึงนายจะพูดออกมาฉันก็ไม่ใส่ใจหรอก ...เรื่องนี้ช่างมันเถอะ มาโกโตะ ลืมมันซะ ฉันว่าเราสองคนเข้าไปข้างในร้านดีกว่า น่าสนใจดีนะ" พูดจบ เจ้าตัวก็วิ่งเข้าไปในร้านนั่นอย่างเร็ว ส่วนมาโกโตะก็มองโทรุอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเดินตามเข้าไป
......................
ร้านที่มาโกโตะและโทรุเข้าไปนั้นเป็นร้านที่มีอาวุธเช่นมีด ดาบ หรือไม้ที่มาโกโตะคิดว่าน่าจะเป็นไม้คฑาสำหรับพ่อมดตามที่เคยเห็นตามหนังสือในห้องสมุด มีบางส่วนของร้านที่โทรุเห็นก็จะเป็นพวกขวดใสๆบรรจุด้วยน้ำหลายหลากสี ซึ่งทั้งสองคนต่างนึกพร้อมกันว่า พวกนี้คงจะเป็นน้ำยาอะไรสักอย่างแน่นอน พอมาโกโตะเดินมาถึงตรงที่มีเสื้อผ้าวางขายอยู่ เขาก็มองพลางจับมันขึ้นมาดูด้วยความสนใจ และจ้องอยู่นานจนกระทั่งเจ้าของร้านเข้ามาคุย
"สนใจผ้าชิ้นนี้หรือพ่อหนุ่ม"
มาโกโตะสะดุ้งตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงของชายแปลกหน้าจึงรีบวางผ้าชิ้นที่จับอยู่ลงที่เดิม
"เปล่าๆครับ ผมแค่ดูเล่นเฉยๆ" เขาพูดพลางมองชายที่อยู่ข้างตนเอง ผมสีเทาซอยสั้นปรกหู นัยน์ตาสีเขียวสลับกับสีดำข้างหนึ่ง ที่หน้าผากมีรอยถูกข่วนด้วยของมีคมจนดูน่ากลัวประกอบกับชุดที่สวมใส่เป็นสีดำล้วนๆ
"แน่ใจรึว่าดูเฉยๆพ่อหนุ่ม ข้าว่าสำหรับเจ้าน่าจะเหมาะกับชุดนี้จะดีกว่านะ" ว่าจบ มือก็ควานหาอะไรบางอย่างตรงกองเสื้อผ้าข้างๆขึ้นมา
"ของพ่อหนุ่มต้องใส่อันนี้ถึงจะเหมาะ"
ชายแปลกหน้าชูเสื้อผ้าที่หยิบขึ้นมาให้เขาดู มันเป็นชุดคลุมแดงสลับขาวมันยาวซึ่งเข้ากับสีผมของมาโกโตะได้เป็นอย่างดี
"พ่อหนุ่มผมสีเงินต้องสีแดงถึงจะเข้ากัน ส่วนเจ้า" ชายแปลกหน้าส่งผ้าคลุมให้มาโกโตะก่อนที่จะหันไปมองโทรุ
"หึ อย่างเจ้าก็ต้องอันนี้"
มือที่หยาบกร้านแห้งเต็มไปด้วยรอยแผลหยิบเสื้อผ้าอีกครั้ง สักพักก็รีบดึงขึ้นมาและส่งให้กับโทรุ
"สำหรับเจ้าต้องชุดนี้ เหมาะกับคนที่เล่นกีฬา พ่อหนุ่มเล่นซอกเกอร์เวจรึ" ชายผมสีเทาถามพลางเงยหน้ามองโทรุ "เอ่อ คือว่า ผมไม่เคยเล่นหรือรู้จักกีฬาอย่างที่ลุงว่ามาเลยนะครับ"
โทรุไม่เข้าใจว่าซอกเกอร์เวจมันคืออะไรกัน แต่ที่แน่ๆเขากับมาโกโตะรู้ว่ามันเป็นกีฬาอะไรสักอย่างสำหรับคนที่นี่อย่างแน่นอน พอโทรุพูดจบใบหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนไปคล้ายกับตกใจ
"อะไรกัน! นี่เจ้าทั้งสองคนไม่รู้จักซอกเกอร์เวจงั้นรึเนี่ย"
มาโกโตะกับโทรุก็ส่ายหน้าพร้อมกัน
"ให้ตายสิ! พวกเจ้ามัวไปมุดอยู่ที่ไหนกันมา ไม่รู้แม้กระทั่งซอกเกอร์เวจ กีฬาที่โด่งดังสุดยอดระดับโลกเวทมนตร์เช่นนี้ เห็นทีข้าว่าจะต้องเล่าความเป็นมาของกีฬานี้ให้พวกเจ้าฟังเสียแล้วละ ไม่งั้นจะเสียชื่อคนที่อยู่ในโลกเวทมนตร์ซะเปล่า"
ชายคนนั้นพูดจบก็เดินหายเข้าไปในหลังร้านสักพักก็กลับมาอีกทีแถมไม่ได้มาตัวเปล่า ในมือเต็มไปด้วยของแปลกๆ ที่พวกมาโกโตะไม่เคยเห็น มือขวาของชายคนนั้นมีลูกบอลกลมๆคล้ายลูกฟุตบอลวางอยู่แต่แปลกตรงที่มีสีดำทั้งลูก ส่วนมือขวามีถุงผ้าสักกะหลาดสีทอง ซึ่งโทรุคิดว่าคล้ายกับถุงมือสำหรับพวกเล่นเบสบอลอย่างแน่นอน
"นี่คืออุปกรณ์ไว้เล่นกีฬาซอกเกอร์เวจ ถ้าไม่มีมันก็ไม่สามารถเล่นได้"
มาโกโตะฟังและจ้องของที่ชายคนนั้นถืออยู่
"ลูกบอลสีดำอันนี้เรียกว่า พินบอล ไว้สำหรับเตะเข้าฝ่ายตรงข้ามแล้วจะได้คะแนน ส่วนอันนี้เป็นถุงมือเรียกว่า โกล์ฟโกลเด้นฮาร์ฟ ไว้รับลูกพินบอล เอ้า! รับลูกพินบอลสิ"
ชายแปลกหน้าเล่าเสร็จก็โยนลูกบอลมาให้มาโกโตะ เขารับมันมาไว้อุ้งมือ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกหนักจึงปล่อยลูกบอลที่เรียกว่าพินบอลลงพื้นทันที ทำให้เขากับโทรุตกใจเป็นอย่างมาก ลูกบอลกลมๆแค่นี้ทำไมมันหนักขนาดถึงเพียงนี้
"รับมันไม่ได้งั้นหรือพ่อหนุ่ม อ่อนแอจังนะ"
"ผมไม่ได้อ่อนแอนะครับลุง ลูกบอลนี้ต่างหากที่หนัก" เขาพูดรัวและเร็ว อะไรมันจะหนักมากขนาดนี้ เหมือนกับลูกโบว์ลิ่งค์ที่หนักเกือบร้อยตันเลยทีเดียว
"โฮะๆ ไม่ต้องแก้ตัวหรอกพ่อหนุ่มน้อย เจ้านะไม่ได้ใช้พลังเวทย์ช่วยเสริมรับนะสิ ถึงได้หนักใช่ไหมละ"
พอชายคนนั้นพูดจบ เขากับโทรุก็ต้องงงอีกรอบ ก็แน่ละเขาสองคนไม่มีพลังเวทย์ที่ว่าอะไรนั่นเลยนี่นะ จะให้ไปรับลูกบอลที่หนักเป็นร้อยตันนี่ได้ยังไงกันเล่า
"เอ่อลุงครับ พวกผมสองคนไม่มีพลังเวทย์อย่างที่ลุงว่ามาหรอกนะครับ"
"อะไรนะ! ไม่มีพลังเวทย์ ให้ตายสิ ไม่มีพลังเวทย์ ไม่รู้จักซอกเกอร์เวจ ถามจริงๆเถอะว่าพวกเจ้าใช่คนโลกเวทมนตร์หรือเปล่านะ"
ชายแปลกหน้าพูดพลางเอามือกุมหน้า ที่ชายแปลกหน้าพูดก็ถูกต้องทุกอย่าง เขากับโทรุต่างไม่ใช่คนบนโลกนี้ถึงไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเดียว
"เอาไงดีโทรุ จะให้บอกกับลุงคนนี้หรือเปล่าว่าเราไม่ใช่คนบนโลกเวทมนตร์นะ"
เขาหันไปกระซิบกับโทรุและไม่แน่ใจว่าจะบอกดีหรือไม่ดี กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วจะมีเรื่องอันตรายให้กับตัวเอง ส่วนโทรุได้ฟังที่เพื่อนถามก็คิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกระซิบตอบกลับมา
"ฉันว่าเราสองคนออกจากร้านนี้กันเถอะ อยู่ไปนานๆไม่ดีหรอก ....เชื่อฉันเถอะ"
มันก็จริงอยู่ที่โทรุกล่าวออกมาแบบนี้ พวกเขาสองคนไม่ใช่คนบนโลกนี้ ขืนอยู่ข้างนอกนานแล้วถ้ามีคนรู้เรื่องนี้ พวกเขาสองคนก็จะะมีอันตรายก็เป็นได้
"อืม งั้นกลับกันเถอะ"
มาโกโตะตอบ เขามองชายเจ้าของร้านที่นั่งกุมขมับตัวเองอยู่
"เอ่อ ...ผมขอตัวกลับก่อนนะครับลุง" เขากล่าวพลางหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินออกจากร้านนี้ไป
"เดี๋ยว! พ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งไป" ชายคนนั้นหันมาเรียกแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว พวกเขาสองคนได้วิ่งออกไปนอกร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
................
"พวกเธออยากรู้เรื่องซอกเกอร์เวจ? งั้นรึ"
น้ำเสียงแห้งๆของผู้เป็นทวดของมาโกโตะดังขึ้นหลังจากได้ฟังคำพูดของทั้งคู่ ที่อยากจะรู้เรื่องราวความเป็นมาของกีฬาซอกเกอร์เวจนี้มากเสียจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ มิสเทรสหัวเราะเบาๆก่อนที่จะมองเด็กทั้งสองคน ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาฟังเรื่องที่เขาจะเล่า
"ครับ พวกผมสองคนไปได้ยินมาจากเจ้าของร้านขายพวกดาบก็เลยอยากรู้"
โทรุตอบแทนมาโกโตะที่กำลังลุกขึ้นไปหยิบกระติกน้ำที่วางอยู่ข้างๆห้อง
"อ๋อ! งั้นรึ ....แล้วทำไมพวกเธอทั้งสองคนไม่ให้เจ้าของร้านอธิบายให้ฟังละ" มิสเทรสตั้งแง่ถามเด็กอย่างมีเลศนัย "เจ้าของร้านเขาไม่ได้อธิบายเรื่องกีฬาเพียงอย่างเดียวครับ เขา....ถาม...เอ่อ"
มาโกโตะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าเขาไม่เคยพูดปดแต่เรื่องนี้มันยากที่จะไม่ให้พูดได้ เขากลัวว่าถ้าบอกไปแล้วทวดของเขาจะไม่ให้พวกเขาทั้งสองคนออกไปข้างนอกได้อีกนะสิ
"เขาถามอะไรรึ...มาโกโตะ บอกมาเถอะ...ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะทำโทษเธอหรอก" มิสเทรสกล่าวพลางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน มีหรือที่มิสเทรสจะทำโทษกับหลานของตัวเองได้ลงคอ มาโกโตะน่ะ ทั้งนิสัยดีและมีน้ำใจงามเช่นนี้ เขาอยากที่จะทำลายให้เสียมิตรภาพระหว่างทวดกับหลานได้อย่างนั้นรึ
"ครับคุณทวด คือว่าเจ้าของร้านถามพวกผมสองคนว่าเป็นคนโลกเวทมนตร์หรือเปล่า ...ตะ..แต่พวกผมไม่ได้บอกนะครับว่าไม่ได้เป็น พอดีพวกผมสองคนกลัวก็เลยชิ่งหนีออกมาก่อน"
มาโกโตะพูดรัวและเร็วเสียจนพูดแทบไม่ค่อยยิน มิสเทรสนั่งฟังมาโกโตะพูดจนจบ คิ้วของเขาก็ขมวดกันเป็นปม ตีหน้าเครียดนิดหนึ่งก่อนที่จะหันมาหยิบถ้วยน้ำที่มาโกโตะเตรียมเอาไว้ให้ยกขึ้นดื่มแก้กระหาย
"พวกเธอสองคนทำถูกต้องแล้วล่ะที่วิ่งหนีออกมาก่อน คนแถวนั้นที่พวกเธอสองคนไปเจอมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แบบว่าพวกปากไม่มีหูรูดชอบเอาเรื่องคนอื่นไปบอก ขืนเกิดคนๆนั้นรู้ว่าพวกเธอมาจากโลกอื่นมีหวังพวกเธอไม่รอดเงื้อมมือพวกผู้คุมกฎแห่งกระทรวงโลกเวทมนตร์แน่"
พอได้ยินแค่คำว่าผู้คุมกฎแห่งกระทรวงโลกเวทมนต์ ทั้งมาโกโตะและโทรุก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี แม้ว่าไม่รู้มันคืออะไรแต่ก็ทำให้ทั้งคู่แย่ลงเข้าทุกขณะ มิสเทรสสังเกตเห็นสีหน้าของเขากับโทรุก็พอจะเข้าใจจึงพูดต่ออีก
"ไม่ต้องกลัวหรอก พวกผู้คุมกฎแห่งกระทรวงโลกเวทมนตร์นั่น ฤทธิ์เดชไม่มีอะไรมากนัก ก็แค่คอยจับพวกมนุษย์ไร้เวทย์ที่หลงเข้ามาโลกนี้แล้วส่งกลับเท่านั้นเอง แต่ขอไว้ว่าอย่าไปต่อกรกับพวกมันเชียวละ ...โดยเฉพาะเธอ โทรุ"
โทรุสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับถามด้วยสีหน้าที่งงงวย
"ผมทำไมรึครับ"
โทรุไม่เข้าใจเรื่องที่มิสเทรสบอก ทำไมคนอย่างเขาถึงต้องคอยระวังพวกผู้คุมกฎอะไรนั่นด้วย แล้วมาโกโตะล่ะ ทำไมมาโกโตะไม่ต้องมาคอยระวังเหมือนกับเขา
"ก็เพราะเธอไม่มีพลังเวทมนตร์นะสิ อย่าไปดูถูกพวกผู้คุมกฎนั่นเชียวนะ ร้ายแรงมาก อาจจะ...ถึงขั้นตายได้ คนที่จะต่อกรกับมันได้ก็จะเป็นพวกที่มีเวทมนตร์ ข้ารู้ว่าเจ้าสงสัยในตัวมาโกโตะ ว่าทำไมถึงไม่ต้องระวังเหมือนเธอ"
มิสเทรสหยุดพูดแวบหนึ่งก่อนจะมองมาที่มาโกโตะ
"เจ้ามีเชื้อสายนักเวทย์เหมือนกับฉันและมาซาฮิโนะ พ่อของเจ้าไงมาโกโตะ"
ตัวเขานะรึเป็นนักเวทย์ ไม่จริงละมั้งก็เขาเกิดที่โลกไร้เวทย์จะเป็นนักเวทย์ได้ยังไงกัน.... ดูเหมือนว่ามิสเทรสจะเข้าใจในความคิดของมาโกโตะ จึงพูดอีกต่อเพื่อคลายความสงสัย
"ถึงเจ้าจะเกิดบนโลกนั่นก็ตามทีแต่พ่อของเจ้าไม่ได้เกิดที่นั่น เขาเคยอยู่ที่โลกนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตแล้วจากนั้นค่อยโยกย้ายไปอยู่ที่โลกนั้น"
มิสเทรสพูดพลางนึกถึงเหตุการณ์ในสมัยอดีตไปพร้อมๆกัน จะว่าไปแล้วมันก็ผ่านมาหลายปีดีดัก ตั้งแต่วันที่มาซาฮิโนะก้าวเท้าออกไปจากโลกเวทมนตร์แล้ว ก็ไม่เคยคิดจะกลับมาอีกจนกระทั่งถึงวันนั้น เป็นวันที่เลวร้ายมากสำหรับตัวเขา มิสเทรสไม่เคยนึกเลยว่า มาซาฮิโนะจะกล้ากลับมาเหยียบย่ำที่โลกเวทมนตร์นี้อีก มันเป็นสิ่งที่เริ่มต้นความชั่วร้ายของตัวมาซาฮิโนะที่เป็นผู้ก่อเหตุ นี่ถ้ามาซาฮิโนะไม่มาเห็นสิ่งนั้นละก็......ละ...ก็ พอได้นึกแล้วก็น่าละอายใจที่คนอย่างเขา ที่เป็นปู่ของมาซาฮิโนะแท้ๆ กลับทำอะไรมาซาฮิโนะไม่ได้ นอกเสียจากดูอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ผ่านเนิ่นนานจนมาถึงบัดนี้
"เจ้าจงภูมิใจเถิดที่ได้มีโอกาสสืบเชื้อสายนักเวทย์ แม้จะเป็นลูกครึ่งก็ตามที โทรุถ้าเจ้าอยากอยู่บนโลกนี้ได้สบายละก็ จงฝึกฝนตัวให้แกร่งยิ่งกว่าใคร"
โทรุที่ฟังมานานก็ยืนอึ้งเช่นเดียวกับมาโกโตะ นี่เขาจะต้องทำตามแบบเดียวกับที่มิสเทรสบอกอย่างนั้นรึ นอกจากนักเวทย์แล้วมันยังจะมีอะไรที่ให้คนอย่างเขาฝึกอีกรึเนี่ย
"ไม่ง่ายและไม่ยากสำหรับเจ้า อาชีพนักเวทย์ไม่ได้มีแค่อาชีพเดียว บนโลกแห่งนี้ยังมีอีกหลายอาชีพที่เจ้าต้องเรียนรู้อีก ...นักดาบ ขโมย นักเลียนแบบ พ่อค้าแม่ค้า นักบวช หรือแม้กระทั่งนักฆ่า เจ้าสามารถเป็นได้หมดทุกอาชีพ ถ้าเจ้าแกร่งจริงๆละก็นะ ....เอาละ นอกเรื่องมามากเกินไป เรากลับมาเข้าเรื่องกีฬาสุดยอดของบนโลกเวทมนตร์จะดีกว่านะ"
มิสเทรสกล่าวจบก็รีบยกถ้วยน้ำมาขึ้นดื่มแก้กระหาย ก่อนที่จะวางมันลงบนโต๊ะไม้แล้วพูดต่ออีก
"ซอกเกอร์เวจเป็นกีฬาคล้ายกับฟุตบอลที่พวกเจ้าสองคนเคยเล่น เป็นการเล่นที่ต้องหาผู้เล่นเป็นทีมๆ ละ 7-8 คน บนสนามหญ้าหรือสนามอะไรก็ได้ ส่วนกติกานั่นก็คล้ายๆกับฟุตบอลที่เจ้าเล่น มีแตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่ ผู้เล่นสามารถใช้ความสามารถของอาชีพตัวเองจัดการกับฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ถึงกับตายหรอกนะ"
มิสเทรสรีบบอกทันทีที่เห็นสีหน้าซีดๆของโทรุ "ส่วนอาวุธที่ใช้สำหรับผู้เล่นก็ไม่ยาก ถุงมือโกล์ฟโกลเด้นฮาร์ฟ มีไว้สำหรับมือโกล์ที่เฝ้าประตู คอยรับลูกไม่ให้เข้าประตูตัวเอง" มิสเทรสหยุดพักหายใจเฮือกหนึ่งก่อนที่จะพูดต่ออีก
"ส่วนลูกบอลนั่นพวกเจ้าสองคนคงจะทราบแล้วนะ ฉันไม่บอกอะไรมากมายนักหรอก แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่พวกเจ้าควรรู้เอาไว้ ผู้เล่นทุกคนที่ยกเว้นโกล์ สามารถนำอาวุธของตนเองเข้าไปในสนามได้ แล้ววิธีเล่นก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ใช้ความสามารถในการหลบหลีกหรือเตะลูกบอลให้เข้าฝ่ายตรงข้ามก็พอ จะบินหรือจะเหาะก็ได้ อ้อ! แล้วก็เรื่องข้อห้ามในสนามที่ผู้เล่นไม่สามารถปฎิบัติได้ก็คือ ห้ามนำสัตว์เลี้ยงของตนเข้ามาร่วมเล่นด้วย"
"ทำไมถึงห้ามไม่ให้สัตว์เลี้ยงของตนเองเข้าเล่นด้วยละครับ"
มาโกโตะนั่งเงียบมานานจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาบ้าง เขาสงสัยในเรื่องที่ผู้เล่นห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาเล่นด้วยนั่น มันจะเกี่ยวอะไรด้วยกันละ ก็ขอแค่เพียงให้ชนะก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ
"เรื่องนี้ยากจะอธิบายนิดหน่อยสำหรับพวกเธอที่เพิ่งมาโลกเวทมนตร์ สัตว์เลี้ยงของตนเองแต่ละตัว มันมีจุดอารมณ์ที่ผู้เล่นไม่สามารถควบคุมได้ ถึงจะเล่นได้ดีกับพวกผู้เล่นก็ตาม ถ้าเกิดมันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ละ ทีนี้จะทำยังไงกันละ ห้ามก็ห้ามไม่ได้ ทีนี้การเล่นก็จะยุติลงทันที ส่วนสัตว์เลี้ยงนั่นไม่ต้องพูดถึง"
มิสเทรสไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ส่ายหน้าไปมาลูกเดียวซึ่งมาโกโตะและโทรุก็ทราบได้ทันทีว่าสัตว์เลี้ยงของผู้เล่นต้องตายเท่านั้น
"เฮ้อ! กฎก็คือกฎละนะ อย่าไปคิดอะไรมาก เกิดมาก็ย่อมตายได้ ...เพราะเหตุนี้ไงถึงมีกฎห้ามมิให้สัตว์เลี้ยงเล่นด้วย เอาละทีนี้ข้าก็เล่าเรื่องกีฬาซอกเกอร์เวจจบแล้วนะ ...นี่ก็บ่ายแล้ว พวกเจ้าสองคนจะไปไหนก็ไปเถอะ แต่อย่าทำตัวให้คนข้างนอกสงสัยเข้าละ อ้อ! แล้วอย่าลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย คือว่าเมื่อเช้าฉันลืมเตือนนะ"
ไม่พูดพร่ำทำเพลงมิสเทรสก็จ้ำเท้าเดินออกไปนอกบ้าน
"มาโกโตะ โทรุ! ...เสื้อผ้ากับเงินวางอยู่บนโต๊ะในห้องของพวกเธอ ส่วนเรื่องไปข้างนอกก็ขอให้ระวังตัวด้วย อย่ากลับให้ค่ำมากนักละ"
พูดจบ เสียงฝีเท้าของมิสเทรสก็ค่อยเบาลงๆ จนกระทั่งไม่ได้ยิน ...มิสเทรสคงออกไปทำธุระข้างนอกกระมัง ซึ่งเขากับโทรุคิดก่อนที่จะขึ้นไปบนบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับตัวเอง
...............................
จบ บทที่ 5 ซอกเกอร์เวจ
....................................
หลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว เขากับโทรุจึงขออนุญาตมิสเทรสออกไปข้างนอกเพื่อชมเมือง ซึ่งมิสเทรสก็ให้ไปโดยดีแต่มีข้อแม้ว่าอย่าออกไปข้างนอกเมืองเด็ดขาด พอได้ออกมาข้างนอกบ้านแล้วก็ต้องตะลึงกับภาพบรรยากาศของเมืองที่นี่ แสงสะท้อนของเกล็ดน้ำแข็งใสที่เกาะตามตึกสูงระฟ้า ต้นไม้ใบหญ้ามีสีฟ้าคล้ายคริสตัล ส่วนตามถนนริมหนทางที่เขากับโทรุยืนอยู่นั้นก็ไม่ต้องพูดถึง พวกเขาสองคนไม่ต้องใช้เท้าเดินด้วยซ้ำ เพราะที่ถนนมีวัตถุบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้ ซึ่งคล้ายกับบันไดเลื่อนตามห้างนี่เอง แต่แปลกตรงที่มันเคลื่อนด้วยสัตว์บางอย่าง ที่ดูเล็กมากจนพวกเขาสองคนแทบจะไม่เห็น รวมถึงผู้คนที่เดินพลุ่กพล่านที่ทำให้ตกใจพอๆกัน ทุกคนสวมชุดแปลกประหลาดคล้ายกับหลุดออกมาจากหนังสือแนวแฟนตาซียังไงยังนั้น ไม่นับรวมสัตว์ที่เดินไปมา ใหญ่บ้างเล็กบ้าง น่ารักนิดน่ากลัวหน่อย แค่นั้นก็ทำให้ทั้งสองคนต้องร้องว้าวออกมาเสียงดังลั่นถนน
"สุดยอด! อย่างกับอยู่ในโลกเวทมนตร์เลยแฮะ"
มาโกโตะกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เบิกบาน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเห็นอะไรที่สุดยอดขนาดนี้ สิ่งที่เขาได้เห็นมันไม่ใช่ในโรงหนังหรือในหนังสือนิยาย แต่เขาได้เห็นกับตาตัวเองที่คิดว่าจะไม่มีจริง ถ้าไม่นับรวมในคืนที่ถูกสาปด้วย สิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในล้านที่ผู้คนยากจะได้เจอกับมัน โลกแห่งเวทมนตร์ โลกที่สวยงามตระการตาที่ผู้คนกับสัตว์ประหลาดสามารถอยู่ร่วมกันได้
"ก็นี่มันโลกเวทมนตร์นะสิมาโกโตะ นายนี่?...ถามอะไรแปลกๆอยู่เรื่อยเลยนะ ว่าแต่พวกเราสองคนจะไปไหนกันต่อดีละ"
โทรุหันมาถามความเห็นด้วยสีหน้าเช่นเดียวกับมาโกโตะ
"ก็เดินเที่ยวสิโทรุ ไม่มืดไม่กลับ!"
เขาตอบคำถามทันทีโดยที่ไม่ต้องคิด หัวใจของเขาเต้นสั่นระรัวเหมือนกับตื่นเต้นที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ เหมือนกับอยากจะชมของแปลกให้มากกว่านี้อีก ส่วนโทรุนั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งสองไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก รีบจ้ำเท้าออกเดินทันที ระหว่างที่เดินชมเมืองไปพลางๆ มาโกโตะก็นึกได้ว่าโทรุมากับเขาแล้วทางบ้านจะไม่เป็นห่วงเอารึเนี่ย
"มีอะไรเหรอมาโกโตะ จ้องหน้าฉันมีเรื่องอะไรจะถามหรือไง" เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆหันมาพูดกับเขา มาโกโตะหยุดเดินและหันมามองตอบ "เอ่อ ...นายมาที่นี่กับฉันแล้ว พ่อแม่นายไม่เป็นห่วงเหรอ"
อีกใจหนึ่งเป็นห่วงว่าพ่อแม่ของโทรุจะออกตามหาตัวโทรุไม่เจอแล้วจะทำยังไง คงจะร้องไห้เศร้าโศกเสียใจก็เป็นได้
"ไม่หรอกมาโกโตะ รายนั้นไม่ต้องเป็นห่วง พวกพ่อแม่ฉันไม่เคยห่วงว่าฉันจะหายไปไหนหรอก พวกเขาสองคนทำงานมากจนลืมฉันไป..แล้วละ" น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นแฝงไปด้วยความเศร้า และลึกลงไปจนมาโกโตะรู้สึกได้ทันทีว่า โทรุขาดความอบอุ่นมีพ่อแม่ก็เหมือนกับไม่มี
"ฉันขอโทษนะโทรุ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดถึงพ่อแม่ของนาย"
"ไม่เป็นไร ถึงนายจะพูดออกมาฉันก็ไม่ใส่ใจหรอก ...เรื่องนี้ช่างมันเถอะ มาโกโตะ ลืมมันซะ ฉันว่าเราสองคนเข้าไปข้างในร้านดีกว่า น่าสนใจดีนะ" พูดจบ เจ้าตัวก็วิ่งเข้าไปในร้านนั่นอย่างเร็ว ส่วนมาโกโตะก็มองโทรุอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเดินตามเข้าไป
......................
ร้านที่มาโกโตะและโทรุเข้าไปนั้นเป็นร้านที่มีอาวุธเช่นมีด ดาบ หรือไม้ที่มาโกโตะคิดว่าน่าจะเป็นไม้คฑาสำหรับพ่อมดตามที่เคยเห็นตามหนังสือในห้องสมุด มีบางส่วนของร้านที่โทรุเห็นก็จะเป็นพวกขวดใสๆบรรจุด้วยน้ำหลายหลากสี ซึ่งทั้งสองคนต่างนึกพร้อมกันว่า พวกนี้คงจะเป็นน้ำยาอะไรสักอย่างแน่นอน พอมาโกโตะเดินมาถึงตรงที่มีเสื้อผ้าวางขายอยู่ เขาก็มองพลางจับมันขึ้นมาดูด้วยความสนใจ และจ้องอยู่นานจนกระทั่งเจ้าของร้านเข้ามาคุย
"สนใจผ้าชิ้นนี้หรือพ่อหนุ่ม"
มาโกโตะสะดุ้งตกใจทันทีที่ได้ยินเสียงของชายแปลกหน้าจึงรีบวางผ้าชิ้นที่จับอยู่ลงที่เดิม
"เปล่าๆครับ ผมแค่ดูเล่นเฉยๆ" เขาพูดพลางมองชายที่อยู่ข้างตนเอง ผมสีเทาซอยสั้นปรกหู นัยน์ตาสีเขียวสลับกับสีดำข้างหนึ่ง ที่หน้าผากมีรอยถูกข่วนด้วยของมีคมจนดูน่ากลัวประกอบกับชุดที่สวมใส่เป็นสีดำล้วนๆ
"แน่ใจรึว่าดูเฉยๆพ่อหนุ่ม ข้าว่าสำหรับเจ้าน่าจะเหมาะกับชุดนี้จะดีกว่านะ" ว่าจบ มือก็ควานหาอะไรบางอย่างตรงกองเสื้อผ้าข้างๆขึ้นมา
"ของพ่อหนุ่มต้องใส่อันนี้ถึงจะเหมาะ"
ชายแปลกหน้าชูเสื้อผ้าที่หยิบขึ้นมาให้เขาดู มันเป็นชุดคลุมแดงสลับขาวมันยาวซึ่งเข้ากับสีผมของมาโกโตะได้เป็นอย่างดี
"พ่อหนุ่มผมสีเงินต้องสีแดงถึงจะเข้ากัน ส่วนเจ้า" ชายแปลกหน้าส่งผ้าคลุมให้มาโกโตะก่อนที่จะหันไปมองโทรุ
"หึ อย่างเจ้าก็ต้องอันนี้"
มือที่หยาบกร้านแห้งเต็มไปด้วยรอยแผลหยิบเสื้อผ้าอีกครั้ง สักพักก็รีบดึงขึ้นมาและส่งให้กับโทรุ
"สำหรับเจ้าต้องชุดนี้ เหมาะกับคนที่เล่นกีฬา พ่อหนุ่มเล่นซอกเกอร์เวจรึ" ชายผมสีเทาถามพลางเงยหน้ามองโทรุ "เอ่อ คือว่า ผมไม่เคยเล่นหรือรู้จักกีฬาอย่างที่ลุงว่ามาเลยนะครับ"
โทรุไม่เข้าใจว่าซอกเกอร์เวจมันคืออะไรกัน แต่ที่แน่ๆเขากับมาโกโตะรู้ว่ามันเป็นกีฬาอะไรสักอย่างสำหรับคนที่นี่อย่างแน่นอน พอโทรุพูดจบใบหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนไปคล้ายกับตกใจ
"อะไรกัน! นี่เจ้าทั้งสองคนไม่รู้จักซอกเกอร์เวจงั้นรึเนี่ย"
มาโกโตะกับโทรุก็ส่ายหน้าพร้อมกัน
"ให้ตายสิ! พวกเจ้ามัวไปมุดอยู่ที่ไหนกันมา ไม่รู้แม้กระทั่งซอกเกอร์เวจ กีฬาที่โด่งดังสุดยอดระดับโลกเวทมนตร์เช่นนี้ เห็นทีข้าว่าจะต้องเล่าความเป็นมาของกีฬานี้ให้พวกเจ้าฟังเสียแล้วละ ไม่งั้นจะเสียชื่อคนที่อยู่ในโลกเวทมนตร์ซะเปล่า"
ชายคนนั้นพูดจบก็เดินหายเข้าไปในหลังร้านสักพักก็กลับมาอีกทีแถมไม่ได้มาตัวเปล่า ในมือเต็มไปด้วยของแปลกๆ ที่พวกมาโกโตะไม่เคยเห็น มือขวาของชายคนนั้นมีลูกบอลกลมๆคล้ายลูกฟุตบอลวางอยู่แต่แปลกตรงที่มีสีดำทั้งลูก ส่วนมือขวามีถุงผ้าสักกะหลาดสีทอง ซึ่งโทรุคิดว่าคล้ายกับถุงมือสำหรับพวกเล่นเบสบอลอย่างแน่นอน
"นี่คืออุปกรณ์ไว้เล่นกีฬาซอกเกอร์เวจ ถ้าไม่มีมันก็ไม่สามารถเล่นได้"
มาโกโตะฟังและจ้องของที่ชายคนนั้นถืออยู่
"ลูกบอลสีดำอันนี้เรียกว่า พินบอล ไว้สำหรับเตะเข้าฝ่ายตรงข้ามแล้วจะได้คะแนน ส่วนอันนี้เป็นถุงมือเรียกว่า โกล์ฟโกลเด้นฮาร์ฟ ไว้รับลูกพินบอล เอ้า! รับลูกพินบอลสิ"
ชายแปลกหน้าเล่าเสร็จก็โยนลูกบอลมาให้มาโกโตะ เขารับมันมาไว้อุ้งมือ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกหนักจึงปล่อยลูกบอลที่เรียกว่าพินบอลลงพื้นทันที ทำให้เขากับโทรุตกใจเป็นอย่างมาก ลูกบอลกลมๆแค่นี้ทำไมมันหนักขนาดถึงเพียงนี้
"รับมันไม่ได้งั้นหรือพ่อหนุ่ม อ่อนแอจังนะ"
"ผมไม่ได้อ่อนแอนะครับลุง ลูกบอลนี้ต่างหากที่หนัก" เขาพูดรัวและเร็ว อะไรมันจะหนักมากขนาดนี้ เหมือนกับลูกโบว์ลิ่งค์ที่หนักเกือบร้อยตันเลยทีเดียว
"โฮะๆ ไม่ต้องแก้ตัวหรอกพ่อหนุ่มน้อย เจ้านะไม่ได้ใช้พลังเวทย์ช่วยเสริมรับนะสิ ถึงได้หนักใช่ไหมละ"
พอชายคนนั้นพูดจบ เขากับโทรุก็ต้องงงอีกรอบ ก็แน่ละเขาสองคนไม่มีพลังเวทย์ที่ว่าอะไรนั่นเลยนี่นะ จะให้ไปรับลูกบอลที่หนักเป็นร้อยตันนี่ได้ยังไงกันเล่า
"เอ่อลุงครับ พวกผมสองคนไม่มีพลังเวทย์อย่างที่ลุงว่ามาหรอกนะครับ"
"อะไรนะ! ไม่มีพลังเวทย์ ให้ตายสิ ไม่มีพลังเวทย์ ไม่รู้จักซอกเกอร์เวจ ถามจริงๆเถอะว่าพวกเจ้าใช่คนโลกเวทมนตร์หรือเปล่านะ"
ชายแปลกหน้าพูดพลางเอามือกุมหน้า ที่ชายแปลกหน้าพูดก็ถูกต้องทุกอย่าง เขากับโทรุต่างไม่ใช่คนบนโลกนี้ถึงไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างเดียว
"เอาไงดีโทรุ จะให้บอกกับลุงคนนี้หรือเปล่าว่าเราไม่ใช่คนบนโลกเวทมนตร์นะ"
เขาหันไปกระซิบกับโทรุและไม่แน่ใจว่าจะบอกดีหรือไม่ดี กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วจะมีเรื่องอันตรายให้กับตัวเอง ส่วนโทรุได้ฟังที่เพื่อนถามก็คิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกระซิบตอบกลับมา
"ฉันว่าเราสองคนออกจากร้านนี้กันเถอะ อยู่ไปนานๆไม่ดีหรอก ....เชื่อฉันเถอะ"
มันก็จริงอยู่ที่โทรุกล่าวออกมาแบบนี้ พวกเขาสองคนไม่ใช่คนบนโลกนี้ ขืนอยู่ข้างนอกนานแล้วถ้ามีคนรู้เรื่องนี้ พวกเขาสองคนก็จะะมีอันตรายก็เป็นได้
"อืม งั้นกลับกันเถอะ"
มาโกโตะตอบ เขามองชายเจ้าของร้านที่นั่งกุมขมับตัวเองอยู่
"เอ่อ ...ผมขอตัวกลับก่อนนะครับลุง" เขากล่าวพลางหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินออกจากร้านนี้ไป
"เดี๋ยว! พ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งไป" ชายคนนั้นหันมาเรียกแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว พวกเขาสองคนได้วิ่งออกไปนอกร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
................
"พวกเธออยากรู้เรื่องซอกเกอร์เวจ? งั้นรึ"
น้ำเสียงแห้งๆของผู้เป็นทวดของมาโกโตะดังขึ้นหลังจากได้ฟังคำพูดของทั้งคู่ ที่อยากจะรู้เรื่องราวความเป็นมาของกีฬาซอกเกอร์เวจนี้มากเสียจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ มิสเทรสหัวเราะเบาๆก่อนที่จะมองเด็กทั้งสองคน ซึ่งตั้งหน้าตั้งตาฟังเรื่องที่เขาจะเล่า
"ครับ พวกผมสองคนไปได้ยินมาจากเจ้าของร้านขายพวกดาบก็เลยอยากรู้"
โทรุตอบแทนมาโกโตะที่กำลังลุกขึ้นไปหยิบกระติกน้ำที่วางอยู่ข้างๆห้อง
"อ๋อ! งั้นรึ ....แล้วทำไมพวกเธอทั้งสองคนไม่ให้เจ้าของร้านอธิบายให้ฟังละ" มิสเทรสตั้งแง่ถามเด็กอย่างมีเลศนัย "เจ้าของร้านเขาไม่ได้อธิบายเรื่องกีฬาเพียงอย่างเดียวครับ เขา....ถาม...เอ่อ"
มาโกโตะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าเขาไม่เคยพูดปดแต่เรื่องนี้มันยากที่จะไม่ให้พูดได้ เขากลัวว่าถ้าบอกไปแล้วทวดของเขาจะไม่ให้พวกเขาทั้งสองคนออกไปข้างนอกได้อีกนะสิ
"เขาถามอะไรรึ...มาโกโตะ บอกมาเถอะ...ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะทำโทษเธอหรอก" มิสเทรสกล่าวพลางส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน มีหรือที่มิสเทรสจะทำโทษกับหลานของตัวเองได้ลงคอ มาโกโตะน่ะ ทั้งนิสัยดีและมีน้ำใจงามเช่นนี้ เขาอยากที่จะทำลายให้เสียมิตรภาพระหว่างทวดกับหลานได้อย่างนั้นรึ
"ครับคุณทวด คือว่าเจ้าของร้านถามพวกผมสองคนว่าเป็นคนโลกเวทมนตร์หรือเปล่า ...ตะ..แต่พวกผมไม่ได้บอกนะครับว่าไม่ได้เป็น พอดีพวกผมสองคนกลัวก็เลยชิ่งหนีออกมาก่อน"
มาโกโตะพูดรัวและเร็วเสียจนพูดแทบไม่ค่อยยิน มิสเทรสนั่งฟังมาโกโตะพูดจนจบ คิ้วของเขาก็ขมวดกันเป็นปม ตีหน้าเครียดนิดหนึ่งก่อนที่จะหันมาหยิบถ้วยน้ำที่มาโกโตะเตรียมเอาไว้ให้ยกขึ้นดื่มแก้กระหาย
"พวกเธอสองคนทำถูกต้องแล้วล่ะที่วิ่งหนีออกมาก่อน คนแถวนั้นที่พวกเธอสองคนไปเจอมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แบบว่าพวกปากไม่มีหูรูดชอบเอาเรื่องคนอื่นไปบอก ขืนเกิดคนๆนั้นรู้ว่าพวกเธอมาจากโลกอื่นมีหวังพวกเธอไม่รอดเงื้อมมือพวกผู้คุมกฎแห่งกระทรวงโลกเวทมนตร์แน่"
พอได้ยินแค่คำว่าผู้คุมกฎแห่งกระทรวงโลกเวทมนต์ ทั้งมาโกโตะและโทรุก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดี แม้ว่าไม่รู้มันคืออะไรแต่ก็ทำให้ทั้งคู่แย่ลงเข้าทุกขณะ มิสเทรสสังเกตเห็นสีหน้าของเขากับโทรุก็พอจะเข้าใจจึงพูดต่ออีก
"ไม่ต้องกลัวหรอก พวกผู้คุมกฎแห่งกระทรวงโลกเวทมนตร์นั่น ฤทธิ์เดชไม่มีอะไรมากนัก ก็แค่คอยจับพวกมนุษย์ไร้เวทย์ที่หลงเข้ามาโลกนี้แล้วส่งกลับเท่านั้นเอง แต่ขอไว้ว่าอย่าไปต่อกรกับพวกมันเชียวละ ...โดยเฉพาะเธอ โทรุ"
โทรุสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับถามด้วยสีหน้าที่งงงวย
"ผมทำไมรึครับ"
โทรุไม่เข้าใจเรื่องที่มิสเทรสบอก ทำไมคนอย่างเขาถึงต้องคอยระวังพวกผู้คุมกฎอะไรนั่นด้วย แล้วมาโกโตะล่ะ ทำไมมาโกโตะไม่ต้องมาคอยระวังเหมือนกับเขา
"ก็เพราะเธอไม่มีพลังเวทมนตร์นะสิ อย่าไปดูถูกพวกผู้คุมกฎนั่นเชียวนะ ร้ายแรงมาก อาจจะ...ถึงขั้นตายได้ คนที่จะต่อกรกับมันได้ก็จะเป็นพวกที่มีเวทมนตร์ ข้ารู้ว่าเจ้าสงสัยในตัวมาโกโตะ ว่าทำไมถึงไม่ต้องระวังเหมือนเธอ"
มิสเทรสหยุดพูดแวบหนึ่งก่อนจะมองมาที่มาโกโตะ
"เจ้ามีเชื้อสายนักเวทย์เหมือนกับฉันและมาซาฮิโนะ พ่อของเจ้าไงมาโกโตะ"
ตัวเขานะรึเป็นนักเวทย์ ไม่จริงละมั้งก็เขาเกิดที่โลกไร้เวทย์จะเป็นนักเวทย์ได้ยังไงกัน.... ดูเหมือนว่ามิสเทรสจะเข้าใจในความคิดของมาโกโตะ จึงพูดอีกต่อเพื่อคลายความสงสัย
"ถึงเจ้าจะเกิดบนโลกนั่นก็ตามทีแต่พ่อของเจ้าไม่ได้เกิดที่นั่น เขาเคยอยู่ที่โลกนี้ ตั้งแต่เล็กจนโตแล้วจากนั้นค่อยโยกย้ายไปอยู่ที่โลกนั้น"
มิสเทรสพูดพลางนึกถึงเหตุการณ์ในสมัยอดีตไปพร้อมๆกัน จะว่าไปแล้วมันก็ผ่านมาหลายปีดีดัก ตั้งแต่วันที่มาซาฮิโนะก้าวเท้าออกไปจากโลกเวทมนตร์แล้ว ก็ไม่เคยคิดจะกลับมาอีกจนกระทั่งถึงวันนั้น เป็นวันที่เลวร้ายมากสำหรับตัวเขา มิสเทรสไม่เคยนึกเลยว่า มาซาฮิโนะจะกล้ากลับมาเหยียบย่ำที่โลกเวทมนตร์นี้อีก มันเป็นสิ่งที่เริ่มต้นความชั่วร้ายของตัวมาซาฮิโนะที่เป็นผู้ก่อเหตุ นี่ถ้ามาซาฮิโนะไม่มาเห็นสิ่งนั้นละก็......ละ...ก็ พอได้นึกแล้วก็น่าละอายใจที่คนอย่างเขา ที่เป็นปู่ของมาซาฮิโนะแท้ๆ กลับทำอะไรมาซาฮิโนะไม่ได้ นอกเสียจากดูอยู่เฉยๆ ปล่อยให้ผ่านเนิ่นนานจนมาถึงบัดนี้
"เจ้าจงภูมิใจเถิดที่ได้มีโอกาสสืบเชื้อสายนักเวทย์ แม้จะเป็นลูกครึ่งก็ตามที โทรุถ้าเจ้าอยากอยู่บนโลกนี้ได้สบายละก็ จงฝึกฝนตัวให้แกร่งยิ่งกว่าใคร"
โทรุที่ฟังมานานก็ยืนอึ้งเช่นเดียวกับมาโกโตะ นี่เขาจะต้องทำตามแบบเดียวกับที่มิสเทรสบอกอย่างนั้นรึ นอกจากนักเวทย์แล้วมันยังจะมีอะไรที่ให้คนอย่างเขาฝึกอีกรึเนี่ย
"ไม่ง่ายและไม่ยากสำหรับเจ้า อาชีพนักเวทย์ไม่ได้มีแค่อาชีพเดียว บนโลกแห่งนี้ยังมีอีกหลายอาชีพที่เจ้าต้องเรียนรู้อีก ...นักดาบ ขโมย นักเลียนแบบ พ่อค้าแม่ค้า นักบวช หรือแม้กระทั่งนักฆ่า เจ้าสามารถเป็นได้หมดทุกอาชีพ ถ้าเจ้าแกร่งจริงๆละก็นะ ....เอาละ นอกเรื่องมามากเกินไป เรากลับมาเข้าเรื่องกีฬาสุดยอดของบนโลกเวทมนตร์จะดีกว่านะ"
มิสเทรสกล่าวจบก็รีบยกถ้วยน้ำมาขึ้นดื่มแก้กระหาย ก่อนที่จะวางมันลงบนโต๊ะไม้แล้วพูดต่ออีก
"ซอกเกอร์เวจเป็นกีฬาคล้ายกับฟุตบอลที่พวกเจ้าสองคนเคยเล่น เป็นการเล่นที่ต้องหาผู้เล่นเป็นทีมๆ ละ 7-8 คน บนสนามหญ้าหรือสนามอะไรก็ได้ ส่วนกติกานั่นก็คล้ายๆกับฟุตบอลที่เจ้าเล่น มีแตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่ ผู้เล่นสามารถใช้ความสามารถของอาชีพตัวเองจัดการกับฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ถึงกับตายหรอกนะ"
มิสเทรสรีบบอกทันทีที่เห็นสีหน้าซีดๆของโทรุ "ส่วนอาวุธที่ใช้สำหรับผู้เล่นก็ไม่ยาก ถุงมือโกล์ฟโกลเด้นฮาร์ฟ มีไว้สำหรับมือโกล์ที่เฝ้าประตู คอยรับลูกไม่ให้เข้าประตูตัวเอง" มิสเทรสหยุดพักหายใจเฮือกหนึ่งก่อนที่จะพูดต่ออีก
"ส่วนลูกบอลนั่นพวกเจ้าสองคนคงจะทราบแล้วนะ ฉันไม่บอกอะไรมากมายนักหรอก แล้วก็อีกอย่างหนึ่งที่พวกเจ้าควรรู้เอาไว้ ผู้เล่นทุกคนที่ยกเว้นโกล์ สามารถนำอาวุธของตนเองเข้าไปในสนามได้ แล้ววิธีเล่นก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ใช้ความสามารถในการหลบหลีกหรือเตะลูกบอลให้เข้าฝ่ายตรงข้ามก็พอ จะบินหรือจะเหาะก็ได้ อ้อ! แล้วก็เรื่องข้อห้ามในสนามที่ผู้เล่นไม่สามารถปฎิบัติได้ก็คือ ห้ามนำสัตว์เลี้ยงของตนเข้ามาร่วมเล่นด้วย"
"ทำไมถึงห้ามไม่ให้สัตว์เลี้ยงของตนเองเข้าเล่นด้วยละครับ"
มาโกโตะนั่งเงียบมานานจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาบ้าง เขาสงสัยในเรื่องที่ผู้เล่นห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาเล่นด้วยนั่น มันจะเกี่ยวอะไรด้วยกันละ ก็ขอแค่เพียงให้ชนะก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ
"เรื่องนี้ยากจะอธิบายนิดหน่อยสำหรับพวกเธอที่เพิ่งมาโลกเวทมนตร์ สัตว์เลี้ยงของตนเองแต่ละตัว มันมีจุดอารมณ์ที่ผู้เล่นไม่สามารถควบคุมได้ ถึงจะเล่นได้ดีกับพวกผู้เล่นก็ตาม ถ้าเกิดมันควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ละ ทีนี้จะทำยังไงกันละ ห้ามก็ห้ามไม่ได้ ทีนี้การเล่นก็จะยุติลงทันที ส่วนสัตว์เลี้ยงนั่นไม่ต้องพูดถึง"
มิสเทรสไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่ส่ายหน้าไปมาลูกเดียวซึ่งมาโกโตะและโทรุก็ทราบได้ทันทีว่าสัตว์เลี้ยงของผู้เล่นต้องตายเท่านั้น
"เฮ้อ! กฎก็คือกฎละนะ อย่าไปคิดอะไรมาก เกิดมาก็ย่อมตายได้ ...เพราะเหตุนี้ไงถึงมีกฎห้ามมิให้สัตว์เลี้ยงเล่นด้วย เอาละทีนี้ข้าก็เล่าเรื่องกีฬาซอกเกอร์เวจจบแล้วนะ ...นี่ก็บ่ายแล้ว พวกเจ้าสองคนจะไปไหนก็ไปเถอะ แต่อย่าทำตัวให้คนข้างนอกสงสัยเข้าละ อ้อ! แล้วอย่าลืมเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย คือว่าเมื่อเช้าฉันลืมเตือนนะ"
ไม่พูดพร่ำทำเพลงมิสเทรสก็จ้ำเท้าเดินออกไปนอกบ้าน
"มาโกโตะ โทรุ! ...เสื้อผ้ากับเงินวางอยู่บนโต๊ะในห้องของพวกเธอ ส่วนเรื่องไปข้างนอกก็ขอให้ระวังตัวด้วย อย่ากลับให้ค่ำมากนักละ"
พูดจบ เสียงฝีเท้าของมิสเทรสก็ค่อยเบาลงๆ จนกระทั่งไม่ได้ยิน ...มิสเทรสคงออกไปทำธุระข้างนอกกระมัง ซึ่งเขากับโทรุคิดก่อนที่จะขึ้นไปบนบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับตัวเอง
...............................
จบ บทที่ 5 ซอกเกอร์เวจ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น