ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 พบกันอีกครั้ง (อัพ 100%) แก้ไขใหม่รอบสอง
บทที่ 4 พบกันอีกครั้ง
....................................
5 วันผ่านไป โรคไข้หวัดใหญ่ที่เล่นงานเขาหนักจนกระทั่งถึงกับเข้าโรงพยาบาล นับว่าน่ากลัวทีเดียวถ้าไปช้าเพียงอีกก้าวเดียว เขาคงจะไม่มีวันที่มานั่งพูดจ้อได้จนถึงบัดนี้ เมื่อคืนวันที่เข้ามาโรงพยาบาล เขาได้บอกความลับเรื่องคำสาปนั่นให้โทรุฟัง ส่วนตัวของเพื่อนเขาเองก็ได้แต่เงียบและฟังเขาพูดจนจบ ทีแรกเขานึกว่าโทรุจะรังเกียจกับร่างผู้หญิงของเขาเสียอีก แต่ที่ไหนได้ กลับไม่รังเกียจเขาเลยสักนิด แถมมีท่าทีว่าจะเป็นห่วงเขามากยิ่งขึ้น รวมถึงสาเหตุที่เขาทำให้แม่ของเขาต้องตาย โทรุกล่าวว่ามันไม่เกี่ยวกับตัวเขาที่เป็นตัวการ ...ผู้ชายชุดดำคนนั้นต่างหากที่เป็นคนฆ่าแม่ของเขา พอเขาคิดได้อย่างที่โทรุว่าก็รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยตัวเขาในตอนนี้ก็ได้ลบบาปในใจของตัวเองได้ขั้นหนึ่ง
"พรุ่งนี้แล้วใช่ไหมที่นายจะออกจากโรงพยาบาลนะ มาโกโตะ"
น้ำเสียงที่ราบเรียบสม่ำเสมอถามขึ้น ทุกเย็นหลังเลิกเรียนโทรุมักจะแวะมาดูเขาอย่างสม่ำเสมอไม่ขาดไม่เกิน นับตั้งแต่วันที่เข้าโรงพยาบาลก็ว่าได้ ทุกครั้งที่มาเยี่ยมมักจะมีของฝากมาให้เขาเสมอๆ เช่นพวกผลไม้ดอกไม้ แต่สิ่งที่เขาต้องลำบากใจเมื่อโทรุได้พาเพื่อนร่วมห้องมาด้วย เขาเกรงว่าพวกนี้จะอยู่นานจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกนะสิ จึงได้บอกให้โทรุไล่ให้กลับไปเร็วๆ เมื่อโทรุฟังคำขอของเขาก็ถึงกับหน้าซีดและได้ไล่ให้เพื่อนร่วมห้องแยกย้ายกันกลับบ้านของตนเองอย่างรวดเร็ว
"อืม คุณหมอบอกว่าพรุ่งนี้พอตรวจร่างกายเสร็จก็ให้กลับบ้านได้"
เขาตอบพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่งขณะที่อยู่บนเตียง วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะต้องอยู่โรงพยาบาล ความจริงแล้วโรคไข้หวัดใหญ่ที่เขาเป็นอยู่นั้น คนส่วนมากจะเป็นกันเกือบเดือน ซึ่งตัวเขาเองไม่อยากจะเชื่อตามคำบอกของหมอที่รักษาเขา ฉีดยาเพียงไม่กี่เข็ม ทำให้ไข้ที่เคยเป็นอยู่กลับหายไปในพริบตา บรรดาหมอต่างๆที่เคยเชี่ยวชาญเรื่องโรคไข้หวัดใหญ่นี้ถึงกับต้องงงไปตามกัน ไม่มีทางที่จะหายได้เร็วขนาดนี้ นอกเสียจากร่างกายของเขาจะแปลกประหลาดพิสดารผิดมนุษย์ที่ไม่เหมือนคนอื่นก็เท่านั้นเอง
"งั้นพรุ่งนี้ตอนเที่ยงฉันจะมารับนายนะ"
โทรุบอกขณะที่เจ้าตัวกำลังเปิดผ้าม่านที่ข้างหน้าต่างออก แสงสว่างที่อยู่ด้านนอกเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ เนื่องจากพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ซึ่งหมายถึงว่าได้เวลาที่ร่างกายของเขาจะเป็นผู้หญิง อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าเขากำลังจะเปลี่ยนร่างทั้งที่อยู่ในสภาพชุดคนไข้ พอแสงอาทิตย์หายไป ร่างที่สูงค่อยหดทีละนิด ผมเผ้าเริ่มยาวขึ้น ไหล่ห้อลง และหน้าอกจากที่เคยแฟบกลับโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โทรุมองเขาแต่ก็ไม่ได้จ้องตาเป็นมัน แค่มองแวบหนึ่งก่อนที่จะหันไปอีกด้านหนึ่ง รอเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับร่างผู้หญิงนี่จนเสร็จ
"คืนนี้เหมือนเดิมนะ โทรุ"
ทุกคืนระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล เขากับโทรุต้องสับเปลี่ยนตัวกันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ เพื่อกันมิให้พยาบาลที่คอยดูแลมาสงสัย พอรุ่งเช้าก็ค่อยเปลี่ยนกลับ
"มาโกโตะ นอนห่มผ้าดีๆละ เดี๋ยวจะไม่สบาย"
ด้วยความที่โทรุเป็นห่วงเพื่อนจึงบอกก่อนที่ตัวเองจะขึ้นเตียง มาโกโตะได้ยินแต่ไม่ตอบ กลับพยักหน้าหนึ่งทีแล้วค่อยนอนลงบนโซฟา จัดผ้าห่มทับบนตัวเองเพื่อกันมิให้หนาว ส่วนโทรุ เมื่อเห็นเพื่อนนอนเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นไปนอนบนเตียงทันที ความมืดกับความเงียบที่ก่อเกิดในห้องระหว่างคนสองคน ไม่มีปากเสียงพูดคุยเหมือนตะกี้นี้ ทำให้ห้องดูเหมือนไม่มีใครอยู่
"โทรุนายรังเกียจร่างผู้หญิงนี่ไหม"
จู่ๆ เขาก็เกิดอยากถามโทรุ ถึงแม้ว่าเขาเคยถามไปทีหนึ่งแล้วก็ตาม ด้วยความสักจริงเขาอยากให้โทรุตอบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ส่วนอีกฝ่ายได้ยินที่เขาถาม ก็ตอบกลับมาเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน
"ไม่เลย มาโกโตะ ต่อให้นายเป็นปีศาจ ฉันก็ไม่มีวันรังเกียจนายหรอก" น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูขึงขังและหนักแน่น พอถามไปแล้วเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี จึงได้แต่หลับตาลงคิดถึงเรื่องพรุ่งนี้
.............................
ดึกดื่นค่ำคืนที่เงียบสงบ เสียงแอร์ดังพอสมควรแต่มิทำให้ร่างทั้งสองที่นอนอยู่หารู้สึกตัวไม่ มีเพียงแค่ลมหายใจแผ่วเบาเหมือนกับหลับอย่างเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อนใดๆทั้งสิ้น ...ตุบตับ มีบางสิ่งบางอย่างในห้องกำลังเคลื่อนไหวเบาๆ เป็นเงาดำทมิฬที่แสนจะน่ากลัว ซึ่งโผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ กำลังพุ่งไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง
เพล้ง!
แจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงได้ตกแตกหล่นพื้น ดูทว่าเหมือนโดนอะไรบางอย่างกระแทกจนตกลงไป มาโกโตะและโทรุที่หลับสนิทกลับตื่นด้วยความตกใจ
"นั่นใครนะ!"
ทั้งสองตะโกนถามผู้มาเยือนถึงห้อง ทำให้บุคคลที่ยืนอยู่ข้างโทรุถึงกับชะงักไปในทันที คล้ายกับตกใจอะไรบางอย่าง "ใจเย็นๆ พ่อหนุ่มทั้งสองข้ามิได้มาร้าย" น้ำเสียงของชายลึกลับพูดเรียบๆ
"ไม่ได้มาร้ายแล้วทำไมต้องแอบเข้ามาในห้องเงียบๆด้วย!"
โทรุก็รีบลงจากเตียงแล้ววิ่งไปหามาโกโตะทันที ทั้งสองรู้สึกกลัวมากที่มีคนแปลกหน้าเข้ามา ส่วนอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งในความมืดกลับหันมาทางด้านโทรุและมาโกโตะ ความมืดที่เข้าปกคลุมทุกส่วนของร่างกาย ทำให้เขากับโทรุต่างพากันหวาดระแวงกับท่าทีของชายลึกลับผู้นี้
"ถ้าไม่ได้เห็นหน้าข้า พวกเจ้าคงจะไม่สบายใจสินะ"
สิ้นเสียงของอีกฝ่ายไฟในห้องก็ถูกเปิดอัตโนมัติ พวกเขาทั้งสองหลับตาหลบแสงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเบิกดวงตามองข้างหน้าให้ชัดเจน ชายแก่ผมหงอกเครายาว นัยน์ตาสีฟ้าคล้ายกับท้องทะเลประกอบกับใบหน้าอันเหี่ยวย่นที่แสดงให้เห็นถึงวัยที่แก่พอสมควร ส่วนเรื่องเสื้อผ้าที่ชายแก่ตรงหน้าใส่ก็เป็นผ้าคลุมที่ถูกทำขึ้นจากใยผ้าฝ้ายธรรมชาติ สีม่วงเข้มลายดวงดาว ซึ่งเขาทั้งสองได้เห็นต่างก็ลงความเห็นคล้ายกัน ...สงสัยจะบ้ามาก จนอยากเป็นพ่อมดถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าชายแก่ตรงหน้าจะล่วงรู้ความคิดของเขาทั้งสองคนจึงหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา
"หึหึ ข้าเองก็ไม่ถึงขั้นบ้าหรอกนะ แค่ออกจะบ๊องนิดๆ"
ชายลึกลับพูดพลางมองสีหน้าอันตกใจของเด็กทั้งสองคน "ช่างเถอะเด็กน้อย อย่าสนใจเรื่องชุดที่ข้าใส่เลย ข้าว่ามาเข้าเรื่องกันจะดีกว่านะ" พูดจบก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ พร้อมกับส่งสายตาให้เขากับโทรุนั่งลงตาม ไม่รู้เป็นเพราะอะไรกันแน่ แค่ทั้งคู่ได้สบตากับชายผู้นี้ ก็ยอมสงบเสงี่ยมและทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
"อ่า...เริ่มแรกขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ข้าบารุส มิสเทรส ศาสตราจารย์คนหนึ่งที่เคยเป็นปู่ของพ่อเจ้า มาโกโตะ"
คำพูดที่ชายคนนั้นกล่าวก็ทำให้เขาตกใจแทบสิ้นสติ ตะกี้ชายแก่บอกว่าเป็นปู่ของพ่อเขางั้นรึ ....เขาคิดพลางสะบัดหัวไปมา ไม่น่าเชื่อเลยว่าพ่อของเขาจะยังคงมีญาติเหลืออยู่ ก็ในเมื่อรายชื่อสมาชิกของครอบครัวตระกูลของเขาไม่มีใครอีกนอกเหนือจาก ตัวเขากับพ่อเพียงสองคนที่ยังคงมีชีวิตอยู่
"ไม่ต้องตกใจไปหรอกนะมาโกโตะหลานรัก ข้าก็เป็นแค่ญาติห่างๆของเจ้า ญาติห่างๆที่พ่อของเจ้าตัดขาดกันด้วยเรื่องบางอย่าง...ที่ไม่น่าให้อภัย"
มิสเทรสก้มหน้าก้มตาเหมือนกับว่าจะพูดอะไรต่อ แต่พอมาโกโตะจ้องหน้าชายที่เรียกตนเองว่าเป็นปู่ของพ่อ ก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน "แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ที่พ่อของเจ้าเป็นผู้เริ่มก่อน ...วันนี้ข้าพูดอะไรมากไม่ได้หรอกนะมาโกโตะ พ่อของเจ้ากำลังมาที่นี่และเดี๋ยวนี้"
"ว่าไงนะ!"
ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิด ร่างสูงสวมชุดนอนกับส่วนล่างที่ยังคงสวมรองเท้าแตะ ดูเหมือนพ่อของเขาจะมาที่นี่โดยที่ลืมเปลี่ยนชุดนอนเป็นแน่ สีหน้าของผู้เป็นพ่อดูแดงจนน่ากลัวคล้ายกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง
"นึกแล้วว่าท่านจะต้องมา ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้เตรียมการต้อนรับ ผ่านมา 15 ปีแล้วท่านต้องการอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าท่านทำตามคำพยากรณ์สั่วๆนั่นนะ"
ทุกคำพูดของพ่อเขาฟังดูน่าฉงนสนเท่ห์ การพูดการจาไม่เหมือนตามปกติทั่วไป เย็นชามากกว่าเดิมแต่แฝงด้วยความอาฆาตแค้น เขาไม่รู้ว่าพ่อของเขาพูดอะไร แต่ดูเหมือนว่าคงจะโกรธชายนามว่า มิสเทรสอย่างแน่นอน
"ใช่ ต้องการและคำพยากรณ์นั่นไม่ได้มั่วอย่างที่เจ้าบอกมานะมาซาฮิโนะ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าคนรักของเจ้าตายตรงกับคำทำนายที่ว่าเอาไว้ก่อนหน้าที่พวกเจ้าทั้งสองคนจะ..."
มิทันที่ชายแก่จะพูดได้จบประโยค พ่อของเขากลับตะโกนออกมาก่อน
"หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ! ข้าไม่อยากฟังและไม่อยากให้มาโกโตะต้องรับรู้ด้วย!"
ดวงตาของพ่อเขาเริ่มแดงกล่ำ คล้ายกับจะร้องไห้ออกมา ...หมายความว่าไงที่ว่า แม่ของเขาจะตายตรงกับคำทำนายอะไรนั่น แสดงว่าพ่อรู้ล่วงหน้าก่อนที่แม่จะตายแล้วละสิ ทำไมถึงไม่บอกเขากันมั่งเลย ทำไมปล่อยให้เขาจมปลักกับความคิดโง่ๆ ที่หาว่าตัวเขาเป็นฆาตกรที่ฆ่าแม่ของตัวเอง 10 ปีที่เขาโง่งี่เง่าโดนพ่อหลอกมาได้ตลอดจนถึงบัดนี้ ทำไมพ่อไม่บอกเขา ทำไม....
"มาโกโตะอย่าไปฟังชายแก่บ้าๆนี้เชียวนะ! มันเป็นบ้าขึ้นสมองแล้วเที่ยวกล่าวหาว่าคนอื่นไปทั่ว พ่อพยายามแล้วที่จะเลี่ยงไม่ให้มันเข้าใกล้ลูก"
ผู้เป็นพ่อพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ซึ่งเขาฟังแล้วไม่ขึ้นเลยสักนิด ถึงขนาดนี้แล้วพ่อของเขายังจะโกหกอยู่อีกต่อหรือเนี่ย "ผมสับสนมากพอแล้วนะครับ คุณพ่อ อย่าได้โกหกผมอีกต่อไปเลย" น้ำใสๆที่ไหลเอ่อล้นดวงตาอันน้อยนิดที่เกือบจะปิด นี่เขาร้องไห้เพราะเสียใจที่โดนพ่อหลอกลวงมาตลอด ว่าแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองชายแก่ทั้งน้ำตา
"คุณมิสเทรสครับ ช่วยพาผมกับเพื่อนของผมไปจากที่นี่ทีเถอะครับ" เขากล่าวด้วยความรู้สึกที่แย่ๆ กับจิตใจที่สับสน แม้ว่าในตอนนี้เขายังไม่เชื่อในเรื่องที่มิสเทรสบอกมาว่าจริงหรือไม่จริง แต่ตัวเขาเองก็แทบไม่อยากจะอยู่เห็นหน้าพ่อได้อีกต่อ
"อืม"
มิสเทรสตอบตกลงทันทีอย่างว่าง่าย
"เรื่องอะไรจะยอมให้ไปง่ายๆกันละ ไม่มีทาง!" สิ้นเสียงของผู้เป็นพ่อ ทันทีที่มาซาฮิโนะก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ก็เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างขวางตัวไม่ให้พ่อของเขาเข้ามา ทำให้ร่างของมาซาฮิโนะก็กระเด็นออกไปนอกห้องด้วยความรวดเร็ว
"อยู่นานจนลืมพลังเวทย์ไปแล้วหรือไง มาซาฮิโนะ"
จู่ๆ มิสเทรสก็พูดออกมา พลังเวทย์? หมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย เขางงไปหมดแล้ว
"เอาละมาโกโตะโทรุหลับตาซะ"
มิสเทรสสั่ง เขากับโทรุได้ยินจึงรีบทำตามอย่างว่าง่าย แล้วความรู้สึกของเด็กทั้งสองก็วูบลง ร่างทั้งสองที่เคยยืนอย่างมั่นคงถึงกับทรุด ดีที่มิสเทรสจับเอาไว้ทัน มิเช่นนั้นเขากับโทรุมีหวังได้ล้มหัวฟาดพื้นไปแล้ว
"ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้นะ" สิ้นเสียงมิสเทรส ร่างทั้งสามที่เคยยืนอยู่ในห้องก็หายไปในพริบตาเหลือแต่มาซาฮิโนะที่ยังคงสลบไสลอยู่ข้างนอกไม่รู้เรื่องราวที่ลูกชายของตัวเองได้หายตัวไปแล้ว
...................
มาโกโตะเริ่มรู้สึกตัว และพอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบกับแสงยามเช้าที่แยงเข้าไปในตาของเขา มาโกโตะหลับตาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆเพื่อที่จะให้ชินกับแสงข้างนอก อากาศที่มาโกโตะรู้สึกได้ในตอนนี้ช่างเย็นสบายเสียเหลือเกิน จากนั้นก็เริ่มมองไปรอบๆ ห้องที่เขาอยู่เป็นห้องธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรน่าเตะตามากนอกเสียจาก ภาพชายแก่คุ้นตาที่ติดอยู่กับข้างผนังห้อง ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ตอนที่อยู่โรงพยาบาล พยายามนึกแล้วแต่ก็นึกไม่ออกว่านอกจากที่เขาได้เจอชายที่เรียกตนเองว่าปู่ของพ่อ หรือทวดของเขากับสิ่งที่ทำให้เขาต้องร้องไห้แล้วมีอะไรนอกเหนือจากนั้นบ้าง
หลังจากที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องของชายคนนั้น ทันทีที่เขาลงเตียง ความรู้สึกที่ฝ่าเท้าทำให้เขาสะดุ้ง พื้นเย็นเจี๊ยบจนเขาต้องยกเท้าขึ้น อากาศกำลังดีแต่ทำไมพื้นห้องถึงเย็นขนาดนี้ เขาคิดแล้วต้องงงไปอีกรอบพลางสังเกตพื้นห้องที่ปูด้วยไม้ปาเก้ น้ำแข็ง? มาโกโตะทำหน้าขมวดคิ้วก่อนที่จะโน้มตัวลงลูบพื้นไปมา ดูทว่าน้ำแข็งมันไม่ละลายเหมือนกับติดอยู่มาตั้งนานแล้ว
จากนี้ไปจะทำยังไงดี มาโกโตะคิดแล้วก็ปวดหัวสุดๆ จริงสิโทรุละ โทรุเพื่อนของเขาในตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ หรือว่าชายที่ชื่อมิสเทรสจะพาไปที่อื่น นี่เขาจะทำยังไงดี แค่ตัวเองยังลงจากเตียงไม่ได้เลย จะมีหรือที่เขาจะไปช่วยเพื่อนได้
"โถ่เว๊ย! จะทำยังไงดีต่อเนี่ย" เขาว่าตัวเองพลางใช้มือทั้งสองข้างทุบลงบนหมอนด้วยความหงุดหงิด
"จะทุบหมอนให้เมื่อยไปทำไมกัน? มาโกโตะ"
น้ำเสียงที่คุ้นหูดังแว่วมาทางประตู เขารีบเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบ โทรุที่กำลังยืนถือถาดถ้วยชามตรงหน้า "โทรุ! นายไม่เป็นไรใช่ไหม" ด้วยความเป็นห่วงจึงรีบลงจากเตียงทันทีโดยลืมเรื่องพื้นไม้เย็นๆนั่น
"อย่าเอาเท้าของนายลง มาโกโตะ" โทรุพูดรัวและเร็ว "ทำไมละ? กะอีแค่พื้นเย็นแค่เนี่ย นายถึงกับบอกไม่ให้ฉันเอาเท้าลง ทีนายละ ทำไมถึงยืนบนพื้นได้"
เขาถามด้วยความสับสนเล็กน้อย จ้องดูร่างของเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่บนพื้นนั่น โทรุยืนฟังก่อนที่จะเดินมาทางเขา และวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ เตียงที่มาโกโตะนั่งอยู่
"ฟังฉันก่อนนะมาโกโตะ พื้นไม้ปาเก้เนี่ยมันเย็นเกินไปสำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเรา มิสเทรสบอกว่าบ้านหลังนี้ถูกสาปทำให้พื้นทุกส่วนของบ้านเย็นจัด และมีข้อห้ามอยู่ว่า..."
ดวงตาสีน้ำตาลของโทรุจ้องมาที่เขา "ถ้ายืนบนพื้นนานเกิน 1 นาที มันจะทำให้ตัวของนายแข็งไม่สามารถขยับได้ไปตลอดชีวิต" สิ้นเสียงของโทรุ มาโกโตะก็เห็นเพื่อนกำลังเอามือล้วงหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง โทรุล้วงอยู่นานจนกระทั่งดึงมันออกมา ซึ่งเขาเห็นแล้วก็รู้เลยว่ามันคือรองเท้าบู๊ตสีแดง
"เฮ้ย! โทรุนายเอาไอ้นั่นใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงได้ยังไงนะ"
เขาตกใจมากที่เพื่อนของเขาสามารถนำของชิ้นใหญ่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงได้ พอเขาพูดจบ โทรุก็ส่งยิ้มให้เขา "หึหึ นี่นะเหรอ มันเป็นของวิเศษที่มิสเทรสให้ฉันมานะ เขาบอกกับฉันว่า ถ้านายฟื้นแล้วก็ควรให้รองเท้าบู๊ตกับนาย ส่วนเรื่องกางเกงนั่นฉันไม่รู้วะ ไม่รู้ทำไมมันถึงเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงได้"
โทรุหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหัวไปมา จากนั้นโทรุก็ยื่นรองเท้าบู๊ตนั่นให้กับเขา มาโกโตะรับมันมาก่อนที่จะสวมใส่เข้าไป
"แหม พอดีเลยนะมาโกโตะ"
โทรุร้องพลางปรบมือให้กับตัวเองหนึ่งที
"อะไรพอดีของนาย?" เขาไม่เข้าใจที่โทรุพูดจึ่งเอ่ยถามขึ้นมา ก่อนที่เพื่อนของเขาจะตอบกลับ โทรุก็ชูรองเท้าบู๊ตสีน้ำเงินข้างขวาขึ้นมา
"ก็รองเท้าที่นายใส่มันพอดีใช่ไหมล่ะ ส่วนของฉันนะ มิสเทรสหาให้ตั้งเป็นร้อยคู่ๆกว่าจะได้ก็แทบแย่เลย" เขาฟังที่โทรุเล่าก็เข้าใจทันที มาโกโตะลืมไปว่าเท้าของโทรุใหญ่กว่าคนอื่นๆเป็นพิเศษจึงทำให้หารองเท้ามาสวมใส่ยากพอควร
"แล้วรองเท้าบู๊ตนี่... เอ่อ มันพิเศษตรงที่สามารถเหยียบบนพื้นนี่โดยที่ตัวไม่แข็งใช่ป่ะโทรุ" เขาถามอย่างหวาดๆ โทรุยิ้มพร้อมผงกหัวให้เขาหนึ่งที "อืม เอาละ ไหนๆก็ตื่นแล้วนายลุกขึ้นมากินข้าวซะสิ แล้วพวกเราจะได้ลงไปข้างล่างกัน"
พูดจบ โทรุก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆแถวนั้น พอโทรุนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบชามข้าวและค่อยกลับมานั่งบนเตียงที่เดิม
"จริงสิโทรุ ตั้งแต่ฉันฟื้นขึ้นมาฉันยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหนเลย แล้วทำไมพวกเราสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ได้"
เขาจำเหตุการณ์เมื่อวานไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีเพียงอย่างเดียวที่เขาพอจะนึกออกได้นั่นก็คือ เขาร้องไห้กับชายที่เป็นทวดของเขามิสเทรส ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาร้องไห้นั่นเขาจำมันไม่ได้สักนิด ราวกับว่าโดนลบความทรงจำไปชั่วขณะหนึ่งยังไงยังนั้นแน่ะ
"บ้านของมิสเทรสนะมาโกโตะ นี่นายจำอะไรไม่ได้แล้วหรือไงก็เมื่อคืนนี้นายบอกกับมิสเทรสว่าไม่อยากอยู่ที่นั่น แล้วบอกให้เขาพาพวกเราสองคนออกมาจากที่นั่นไง"
มาโกโตะได้ฟังที่โทรุพูดก็อึ้งไปพักใหญ่ แล้วจู่ๆความทรงจำก็ผุดขึ้นมา ซึ่งเป็นภาพที่เขาเกลียดที่สุด ภาพที่เขากำลังร่ำไห้เพราะผู้เป็นพ่อที่โกหกเขาและเห็นตัวเขาเป็นแค่ไอ้โง่มาได้ถึง 10 ปีเต็มๆ พ่อของเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมช่างโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ รู้ทั้งรู้ว่าแม่จะต้องตายก็ยังดันทุรังเก็บมันเอาไว้เป็นความลับอีก
"มาโก..โตะ นายไม่เป็นอะไรนะ"
โทรุเห็นเพื่อนตัวเองนั่งเงียบอยู่นานจึงถามด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าจะทราบเหตุที่ทำให้มาโกโตะเป็นเช่นนี้
"อืมฉันไม่เป็นอะไรหรอก แค่เพลียๆนะ" เพื่อขจัดความเศร้าที่มีอยู่ของตนเอง เขาจึงหาทางเลี่ยงพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน "เอ่อนี่ โทรุ นายได้ออกไปข้างนอกบ้านมาบ้างหรือยัง ฉันอยากรู้ว่าข้างนอกมันเป็นยังไง เล่าให้ฟังทีสิ"
แกล้งถามไปงั้นแหละ แต่จิตใจเขานี่สิกลับหดหู่ยิ่งนัก
"อื้ม! ฉันได้ออกไปข้างนอกแล้ว มันสวยมากๆเลยละ มาโกโตะ ถ้านายออกไปข้างนอก รับรองได้ว่านายต้องร้องว้าวแน่! มันเป็นอะไรที่สุดยอดของสุดยอดเลย ฉันไม่อยากเล่าให้มากกว่านี้กลัวนายจะไม่ตื่นเต้น ฉันว่านายออกไปดูข้างนอกด้วยตาของตัวเองจะดีกว่านะ"
โทรุพูดจนเขาเห็นสีหน้าของเพื่อนได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่อิ่มเอิบด้วยรอยยิ้มไร้สิ่งที่เสแสร้งเหมือนกับที่พ่อเขาทำ แสดงว่าข้างนอกมันยอดเยี่ยมอย่างที่โทรุว่านะสิ คิดไปคิดมา ชักอยากจะออกไปข้างนอกซะเดี๋ยวนี้เลย
"ก็ดีนะ เดี๋ยวขอกินข้าวเสร็จก่อน แล้วจากนั้นค่อยออกไปเดินเล่นกันเนาะ โทรุ"
"อืม แต่อย่ารีบกินจนข้าวติดคอละ เดี๋ยวหมดสนุกกันพอดี อิอิ" โทรุยิ้มและรู้สึกปลื้มใจที่ตัวเองทำให้เพื่อนกลับมายิ้มแย้มได้อย่างเดิม
................
จบ บทที่ 4 พบกันอีกครั้ง
....................................
5 วันผ่านไป โรคไข้หวัดใหญ่ที่เล่นงานเขาหนักจนกระทั่งถึงกับเข้าโรงพยาบาล นับว่าน่ากลัวทีเดียวถ้าไปช้าเพียงอีกก้าวเดียว เขาคงจะไม่มีวันที่มานั่งพูดจ้อได้จนถึงบัดนี้ เมื่อคืนวันที่เข้ามาโรงพยาบาล เขาได้บอกความลับเรื่องคำสาปนั่นให้โทรุฟัง ส่วนตัวของเพื่อนเขาเองก็ได้แต่เงียบและฟังเขาพูดจนจบ ทีแรกเขานึกว่าโทรุจะรังเกียจกับร่างผู้หญิงของเขาเสียอีก แต่ที่ไหนได้ กลับไม่รังเกียจเขาเลยสักนิด แถมมีท่าทีว่าจะเป็นห่วงเขามากยิ่งขึ้น รวมถึงสาเหตุที่เขาทำให้แม่ของเขาต้องตาย โทรุกล่าวว่ามันไม่เกี่ยวกับตัวเขาที่เป็นตัวการ ...ผู้ชายชุดดำคนนั้นต่างหากที่เป็นคนฆ่าแม่ของเขา พอเขาคิดได้อย่างที่โทรุว่าก็รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยตัวเขาในตอนนี้ก็ได้ลบบาปในใจของตัวเองได้ขั้นหนึ่ง
"พรุ่งนี้แล้วใช่ไหมที่นายจะออกจากโรงพยาบาลนะ มาโกโตะ"
น้ำเสียงที่ราบเรียบสม่ำเสมอถามขึ้น ทุกเย็นหลังเลิกเรียนโทรุมักจะแวะมาดูเขาอย่างสม่ำเสมอไม่ขาดไม่เกิน นับตั้งแต่วันที่เข้าโรงพยาบาลก็ว่าได้ ทุกครั้งที่มาเยี่ยมมักจะมีของฝากมาให้เขาเสมอๆ เช่นพวกผลไม้ดอกไม้ แต่สิ่งที่เขาต้องลำบากใจเมื่อโทรุได้พาเพื่อนร่วมห้องมาด้วย เขาเกรงว่าพวกนี้จะอยู่นานจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกนะสิ จึงได้บอกให้โทรุไล่ให้กลับไปเร็วๆ เมื่อโทรุฟังคำขอของเขาก็ถึงกับหน้าซีดและได้ไล่ให้เพื่อนร่วมห้องแยกย้ายกันกลับบ้านของตนเองอย่างรวดเร็ว
"อืม คุณหมอบอกว่าพรุ่งนี้พอตรวจร่างกายเสร็จก็ให้กลับบ้านได้"
เขาตอบพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่งขณะที่อยู่บนเตียง วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เขาจะต้องอยู่โรงพยาบาล ความจริงแล้วโรคไข้หวัดใหญ่ที่เขาเป็นอยู่นั้น คนส่วนมากจะเป็นกันเกือบเดือน ซึ่งตัวเขาเองไม่อยากจะเชื่อตามคำบอกของหมอที่รักษาเขา ฉีดยาเพียงไม่กี่เข็ม ทำให้ไข้ที่เคยเป็นอยู่กลับหายไปในพริบตา บรรดาหมอต่างๆที่เคยเชี่ยวชาญเรื่องโรคไข้หวัดใหญ่นี้ถึงกับต้องงงไปตามกัน ไม่มีทางที่จะหายได้เร็วขนาดนี้ นอกเสียจากร่างกายของเขาจะแปลกประหลาดพิสดารผิดมนุษย์ที่ไม่เหมือนคนอื่นก็เท่านั้นเอง
"งั้นพรุ่งนี้ตอนเที่ยงฉันจะมารับนายนะ"
โทรุบอกขณะที่เจ้าตัวกำลังเปิดผ้าม่านที่ข้างหน้าต่างออก แสงสว่างที่อยู่ด้านนอกเริ่มอ่อนลงเรื่อยๆ เนื่องจากพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ซึ่งหมายถึงว่าได้เวลาที่ร่างกายของเขาจะเป็นผู้หญิง อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าเขากำลังจะเปลี่ยนร่างทั้งที่อยู่ในสภาพชุดคนไข้ พอแสงอาทิตย์หายไป ร่างที่สูงค่อยหดทีละนิด ผมเผ้าเริ่มยาวขึ้น ไหล่ห้อลง และหน้าอกจากที่เคยแฟบกลับโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โทรุมองเขาแต่ก็ไม่ได้จ้องตาเป็นมัน แค่มองแวบหนึ่งก่อนที่จะหันไปอีกด้านหนึ่ง รอเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับร่างผู้หญิงนี่จนเสร็จ
"คืนนี้เหมือนเดิมนะ โทรุ"
ทุกคืนระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล เขากับโทรุต้องสับเปลี่ยนตัวกันนอนอยู่บนเตียงคนไข้ เพื่อกันมิให้พยาบาลที่คอยดูแลมาสงสัย พอรุ่งเช้าก็ค่อยเปลี่ยนกลับ
"มาโกโตะ นอนห่มผ้าดีๆละ เดี๋ยวจะไม่สบาย"
ด้วยความที่โทรุเป็นห่วงเพื่อนจึงบอกก่อนที่ตัวเองจะขึ้นเตียง มาโกโตะได้ยินแต่ไม่ตอบ กลับพยักหน้าหนึ่งทีแล้วค่อยนอนลงบนโซฟา จัดผ้าห่มทับบนตัวเองเพื่อกันมิให้หนาว ส่วนโทรุ เมื่อเห็นเพื่อนนอนเรียบร้อยแล้วจึงขึ้นไปนอนบนเตียงทันที ความมืดกับความเงียบที่ก่อเกิดในห้องระหว่างคนสองคน ไม่มีปากเสียงพูดคุยเหมือนตะกี้นี้ ทำให้ห้องดูเหมือนไม่มีใครอยู่
"โทรุนายรังเกียจร่างผู้หญิงนี่ไหม"
จู่ๆ เขาก็เกิดอยากถามโทรุ ถึงแม้ว่าเขาเคยถามไปทีหนึ่งแล้วก็ตาม ด้วยความสักจริงเขาอยากให้โทรุตอบอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ส่วนอีกฝ่ายได้ยินที่เขาถาม ก็ตอบกลับมาเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน
"ไม่เลย มาโกโตะ ต่อให้นายเป็นปีศาจ ฉันก็ไม่มีวันรังเกียจนายหรอก" น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูขึงขังและหนักแน่น พอถามไปแล้วเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี จึงได้แต่หลับตาลงคิดถึงเรื่องพรุ่งนี้
.............................
ดึกดื่นค่ำคืนที่เงียบสงบ เสียงแอร์ดังพอสมควรแต่มิทำให้ร่างทั้งสองที่นอนอยู่หารู้สึกตัวไม่ มีเพียงแค่ลมหายใจแผ่วเบาเหมือนกับหลับอย่างเป็นสุขไม่ทุกข์ร้อนใดๆทั้งสิ้น ...ตุบตับ มีบางสิ่งบางอย่างในห้องกำลังเคลื่อนไหวเบาๆ เป็นเงาดำทมิฬที่แสนจะน่ากลัว ซึ่งโผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ กำลังพุ่งไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง
เพล้ง!
แจกันดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงได้ตกแตกหล่นพื้น ดูทว่าเหมือนโดนอะไรบางอย่างกระแทกจนตกลงไป มาโกโตะและโทรุที่หลับสนิทกลับตื่นด้วยความตกใจ
"นั่นใครนะ!"
ทั้งสองตะโกนถามผู้มาเยือนถึงห้อง ทำให้บุคคลที่ยืนอยู่ข้างโทรุถึงกับชะงักไปในทันที คล้ายกับตกใจอะไรบางอย่าง "ใจเย็นๆ พ่อหนุ่มทั้งสองข้ามิได้มาร้าย" น้ำเสียงของชายลึกลับพูดเรียบๆ
"ไม่ได้มาร้ายแล้วทำไมต้องแอบเข้ามาในห้องเงียบๆด้วย!"
โทรุก็รีบลงจากเตียงแล้ววิ่งไปหามาโกโตะทันที ทั้งสองรู้สึกกลัวมากที่มีคนแปลกหน้าเข้ามา ส่วนอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งในความมืดกลับหันมาทางด้านโทรุและมาโกโตะ ความมืดที่เข้าปกคลุมทุกส่วนของร่างกาย ทำให้เขากับโทรุต่างพากันหวาดระแวงกับท่าทีของชายลึกลับผู้นี้
"ถ้าไม่ได้เห็นหน้าข้า พวกเจ้าคงจะไม่สบายใจสินะ"
สิ้นเสียงของอีกฝ่ายไฟในห้องก็ถูกเปิดอัตโนมัติ พวกเขาทั้งสองหลับตาหลบแสงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเบิกดวงตามองข้างหน้าให้ชัดเจน ชายแก่ผมหงอกเครายาว นัยน์ตาสีฟ้าคล้ายกับท้องทะเลประกอบกับใบหน้าอันเหี่ยวย่นที่แสดงให้เห็นถึงวัยที่แก่พอสมควร ส่วนเรื่องเสื้อผ้าที่ชายแก่ตรงหน้าใส่ก็เป็นผ้าคลุมที่ถูกทำขึ้นจากใยผ้าฝ้ายธรรมชาติ สีม่วงเข้มลายดวงดาว ซึ่งเขาทั้งสองได้เห็นต่างก็ลงความเห็นคล้ายกัน ...สงสัยจะบ้ามาก จนอยากเป็นพ่อมดถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าชายแก่ตรงหน้าจะล่วงรู้ความคิดของเขาทั้งสองคนจึงหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา
"หึหึ ข้าเองก็ไม่ถึงขั้นบ้าหรอกนะ แค่ออกจะบ๊องนิดๆ"
ชายลึกลับพูดพลางมองสีหน้าอันตกใจของเด็กทั้งสองคน "ช่างเถอะเด็กน้อย อย่าสนใจเรื่องชุดที่ข้าใส่เลย ข้าว่ามาเข้าเรื่องกันจะดีกว่านะ" พูดจบก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ พร้อมกับส่งสายตาให้เขากับโทรุนั่งลงตาม ไม่รู้เป็นเพราะอะไรกันแน่ แค่ทั้งคู่ได้สบตากับชายผู้นี้ ก็ยอมสงบเสงี่ยมและทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
"อ่า...เริ่มแรกขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน ข้าบารุส มิสเทรส ศาสตราจารย์คนหนึ่งที่เคยเป็นปู่ของพ่อเจ้า มาโกโตะ"
คำพูดที่ชายคนนั้นกล่าวก็ทำให้เขาตกใจแทบสิ้นสติ ตะกี้ชายแก่บอกว่าเป็นปู่ของพ่อเขางั้นรึ ....เขาคิดพลางสะบัดหัวไปมา ไม่น่าเชื่อเลยว่าพ่อของเขาจะยังคงมีญาติเหลืออยู่ ก็ในเมื่อรายชื่อสมาชิกของครอบครัวตระกูลของเขาไม่มีใครอีกนอกเหนือจาก ตัวเขากับพ่อเพียงสองคนที่ยังคงมีชีวิตอยู่
"ไม่ต้องตกใจไปหรอกนะมาโกโตะหลานรัก ข้าก็เป็นแค่ญาติห่างๆของเจ้า ญาติห่างๆที่พ่อของเจ้าตัดขาดกันด้วยเรื่องบางอย่าง...ที่ไม่น่าให้อภัย"
มิสเทรสก้มหน้าก้มตาเหมือนกับว่าจะพูดอะไรต่อ แต่พอมาโกโตะจ้องหน้าชายที่เรียกตนเองว่าเป็นปู่ของพ่อ ก็เงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน "แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ที่พ่อของเจ้าเป็นผู้เริ่มก่อน ...วันนี้ข้าพูดอะไรมากไม่ได้หรอกนะมาโกโตะ พ่อของเจ้ากำลังมาที่นี่และเดี๋ยวนี้"
"ว่าไงนะ!"
ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิด ร่างสูงสวมชุดนอนกับส่วนล่างที่ยังคงสวมรองเท้าแตะ ดูเหมือนพ่อของเขาจะมาที่นี่โดยที่ลืมเปลี่ยนชุดนอนเป็นแน่ สีหน้าของผู้เป็นพ่อดูแดงจนน่ากลัวคล้ายกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง
"นึกแล้วว่าท่านจะต้องมา ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้เตรียมการต้อนรับ ผ่านมา 15 ปีแล้วท่านต้องการอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าท่านทำตามคำพยากรณ์สั่วๆนั่นนะ"
ทุกคำพูดของพ่อเขาฟังดูน่าฉงนสนเท่ห์ การพูดการจาไม่เหมือนตามปกติทั่วไป เย็นชามากกว่าเดิมแต่แฝงด้วยความอาฆาตแค้น เขาไม่รู้ว่าพ่อของเขาพูดอะไร แต่ดูเหมือนว่าคงจะโกรธชายนามว่า มิสเทรสอย่างแน่นอน
"ใช่ ต้องการและคำพยากรณ์นั่นไม่ได้มั่วอย่างที่เจ้าบอกมานะมาซาฮิโนะ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าคนรักของเจ้าตายตรงกับคำทำนายที่ว่าเอาไว้ก่อนหน้าที่พวกเจ้าทั้งสองคนจะ..."
มิทันที่ชายแก่จะพูดได้จบประโยค พ่อของเขากลับตะโกนออกมาก่อน
"หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ! ข้าไม่อยากฟังและไม่อยากให้มาโกโตะต้องรับรู้ด้วย!"
ดวงตาของพ่อเขาเริ่มแดงกล่ำ คล้ายกับจะร้องไห้ออกมา ...หมายความว่าไงที่ว่า แม่ของเขาจะตายตรงกับคำทำนายอะไรนั่น แสดงว่าพ่อรู้ล่วงหน้าก่อนที่แม่จะตายแล้วละสิ ทำไมถึงไม่บอกเขากันมั่งเลย ทำไมปล่อยให้เขาจมปลักกับความคิดโง่ๆ ที่หาว่าตัวเขาเป็นฆาตกรที่ฆ่าแม่ของตัวเอง 10 ปีที่เขาโง่งี่เง่าโดนพ่อหลอกมาได้ตลอดจนถึงบัดนี้ ทำไมพ่อไม่บอกเขา ทำไม....
"มาโกโตะอย่าไปฟังชายแก่บ้าๆนี้เชียวนะ! มันเป็นบ้าขึ้นสมองแล้วเที่ยวกล่าวหาว่าคนอื่นไปทั่ว พ่อพยายามแล้วที่จะเลี่ยงไม่ให้มันเข้าใกล้ลูก"
ผู้เป็นพ่อพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ซึ่งเขาฟังแล้วไม่ขึ้นเลยสักนิด ถึงขนาดนี้แล้วพ่อของเขายังจะโกหกอยู่อีกต่อหรือเนี่ย "ผมสับสนมากพอแล้วนะครับ คุณพ่อ อย่าได้โกหกผมอีกต่อไปเลย" น้ำใสๆที่ไหลเอ่อล้นดวงตาอันน้อยนิดที่เกือบจะปิด นี่เขาร้องไห้เพราะเสียใจที่โดนพ่อหลอกลวงมาตลอด ว่าแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองชายแก่ทั้งน้ำตา
"คุณมิสเทรสครับ ช่วยพาผมกับเพื่อนของผมไปจากที่นี่ทีเถอะครับ" เขากล่าวด้วยความรู้สึกที่แย่ๆ กับจิตใจที่สับสน แม้ว่าในตอนนี้เขายังไม่เชื่อในเรื่องที่มิสเทรสบอกมาว่าจริงหรือไม่จริง แต่ตัวเขาเองก็แทบไม่อยากจะอยู่เห็นหน้าพ่อได้อีกต่อ
"อืม"
มิสเทรสตอบตกลงทันทีอย่างว่าง่าย
"เรื่องอะไรจะยอมให้ไปง่ายๆกันละ ไม่มีทาง!" สิ้นเสียงของผู้เป็นพ่อ ทันทีที่มาซาฮิโนะก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ก็เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างขวางตัวไม่ให้พ่อของเขาเข้ามา ทำให้ร่างของมาซาฮิโนะก็กระเด็นออกไปนอกห้องด้วยความรวดเร็ว
"อยู่นานจนลืมพลังเวทย์ไปแล้วหรือไง มาซาฮิโนะ"
จู่ๆ มิสเทรสก็พูดออกมา พลังเวทย์? หมายความว่ายังไงกันแน่เนี่ย เขางงไปหมดแล้ว
"เอาละมาโกโตะโทรุหลับตาซะ"
มิสเทรสสั่ง เขากับโทรุได้ยินจึงรีบทำตามอย่างว่าง่าย แล้วความรู้สึกของเด็กทั้งสองก็วูบลง ร่างทั้งสองที่เคยยืนอย่างมั่นคงถึงกับทรุด ดีที่มิสเทรสจับเอาไว้ทัน มิเช่นนั้นเขากับโทรุมีหวังได้ล้มหัวฟาดพื้นไปแล้ว
"ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้นะ" สิ้นเสียงมิสเทรส ร่างทั้งสามที่เคยยืนอยู่ในห้องก็หายไปในพริบตาเหลือแต่มาซาฮิโนะที่ยังคงสลบไสลอยู่ข้างนอกไม่รู้เรื่องราวที่ลูกชายของตัวเองได้หายตัวไปแล้ว
...................
มาโกโตะเริ่มรู้สึกตัว และพอลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบกับแสงยามเช้าที่แยงเข้าไปในตาของเขา มาโกโตะหลับตาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆเพื่อที่จะให้ชินกับแสงข้างนอก อากาศที่มาโกโตะรู้สึกได้ในตอนนี้ช่างเย็นสบายเสียเหลือเกิน จากนั้นก็เริ่มมองไปรอบๆ ห้องที่เขาอยู่เป็นห้องธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรน่าเตะตามากนอกเสียจาก ภาพชายแก่คุ้นตาที่ติดอยู่กับข้างผนังห้อง ทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ตอนที่อยู่โรงพยาบาล พยายามนึกแล้วแต่ก็นึกไม่ออกว่านอกจากที่เขาได้เจอชายที่เรียกตนเองว่าปู่ของพ่อ หรือทวดของเขากับสิ่งที่ทำให้เขาต้องร้องไห้แล้วมีอะไรนอกเหนือจากนั้นบ้าง
หลังจากที่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องของชายคนนั้น ทันทีที่เขาลงเตียง ความรู้สึกที่ฝ่าเท้าทำให้เขาสะดุ้ง พื้นเย็นเจี๊ยบจนเขาต้องยกเท้าขึ้น อากาศกำลังดีแต่ทำไมพื้นห้องถึงเย็นขนาดนี้ เขาคิดแล้วต้องงงไปอีกรอบพลางสังเกตพื้นห้องที่ปูด้วยไม้ปาเก้ น้ำแข็ง? มาโกโตะทำหน้าขมวดคิ้วก่อนที่จะโน้มตัวลงลูบพื้นไปมา ดูทว่าน้ำแข็งมันไม่ละลายเหมือนกับติดอยู่มาตั้งนานแล้ว
จากนี้ไปจะทำยังไงดี มาโกโตะคิดแล้วก็ปวดหัวสุดๆ จริงสิโทรุละ โทรุเพื่อนของเขาในตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ หรือว่าชายที่ชื่อมิสเทรสจะพาไปที่อื่น นี่เขาจะทำยังไงดี แค่ตัวเองยังลงจากเตียงไม่ได้เลย จะมีหรือที่เขาจะไปช่วยเพื่อนได้
"โถ่เว๊ย! จะทำยังไงดีต่อเนี่ย" เขาว่าตัวเองพลางใช้มือทั้งสองข้างทุบลงบนหมอนด้วยความหงุดหงิด
"จะทุบหมอนให้เมื่อยไปทำไมกัน? มาโกโตะ"
น้ำเสียงที่คุ้นหูดังแว่วมาทางประตู เขารีบเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบ โทรุที่กำลังยืนถือถาดถ้วยชามตรงหน้า "โทรุ! นายไม่เป็นไรใช่ไหม" ด้วยความเป็นห่วงจึงรีบลงจากเตียงทันทีโดยลืมเรื่องพื้นไม้เย็นๆนั่น
"อย่าเอาเท้าของนายลง มาโกโตะ" โทรุพูดรัวและเร็ว "ทำไมละ? กะอีแค่พื้นเย็นแค่เนี่ย นายถึงกับบอกไม่ให้ฉันเอาเท้าลง ทีนายละ ทำไมถึงยืนบนพื้นได้"
เขาถามด้วยความสับสนเล็กน้อย จ้องดูร่างของเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่บนพื้นนั่น โทรุยืนฟังก่อนที่จะเดินมาทางเขา และวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ เตียงที่มาโกโตะนั่งอยู่
"ฟังฉันก่อนนะมาโกโตะ พื้นไม้ปาเก้เนี่ยมันเย็นเกินไปสำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเรา มิสเทรสบอกว่าบ้านหลังนี้ถูกสาปทำให้พื้นทุกส่วนของบ้านเย็นจัด และมีข้อห้ามอยู่ว่า..."
ดวงตาสีน้ำตาลของโทรุจ้องมาที่เขา "ถ้ายืนบนพื้นนานเกิน 1 นาที มันจะทำให้ตัวของนายแข็งไม่สามารถขยับได้ไปตลอดชีวิต" สิ้นเสียงของโทรุ มาโกโตะก็เห็นเพื่อนกำลังเอามือล้วงหยิบอะไรบางอย่างที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง โทรุล้วงอยู่นานจนกระทั่งดึงมันออกมา ซึ่งเขาเห็นแล้วก็รู้เลยว่ามันคือรองเท้าบู๊ตสีแดง
"เฮ้ย! โทรุนายเอาไอ้นั่นใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงได้ยังไงนะ"
เขาตกใจมากที่เพื่อนของเขาสามารถนำของชิ้นใหญ่ยัดใส่กระเป๋ากางเกงได้ พอเขาพูดจบ โทรุก็ส่งยิ้มให้เขา "หึหึ นี่นะเหรอ มันเป็นของวิเศษที่มิสเทรสให้ฉันมานะ เขาบอกกับฉันว่า ถ้านายฟื้นแล้วก็ควรให้รองเท้าบู๊ตกับนาย ส่วนเรื่องกางเกงนั่นฉันไม่รู้วะ ไม่รู้ทำไมมันถึงเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากางเกงได้"
โทรุหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหัวไปมา จากนั้นโทรุก็ยื่นรองเท้าบู๊ตนั่นให้กับเขา มาโกโตะรับมันมาก่อนที่จะสวมใส่เข้าไป
"แหม พอดีเลยนะมาโกโตะ"
โทรุร้องพลางปรบมือให้กับตัวเองหนึ่งที
"อะไรพอดีของนาย?" เขาไม่เข้าใจที่โทรุพูดจึ่งเอ่ยถามขึ้นมา ก่อนที่เพื่อนของเขาจะตอบกลับ โทรุก็ชูรองเท้าบู๊ตสีน้ำเงินข้างขวาขึ้นมา
"ก็รองเท้าที่นายใส่มันพอดีใช่ไหมล่ะ ส่วนของฉันนะ มิสเทรสหาให้ตั้งเป็นร้อยคู่ๆกว่าจะได้ก็แทบแย่เลย" เขาฟังที่โทรุเล่าก็เข้าใจทันที มาโกโตะลืมไปว่าเท้าของโทรุใหญ่กว่าคนอื่นๆเป็นพิเศษจึงทำให้หารองเท้ามาสวมใส่ยากพอควร
"แล้วรองเท้าบู๊ตนี่... เอ่อ มันพิเศษตรงที่สามารถเหยียบบนพื้นนี่โดยที่ตัวไม่แข็งใช่ป่ะโทรุ" เขาถามอย่างหวาดๆ โทรุยิ้มพร้อมผงกหัวให้เขาหนึ่งที "อืม เอาละ ไหนๆก็ตื่นแล้วนายลุกขึ้นมากินข้าวซะสิ แล้วพวกเราจะได้ลงไปข้างล่างกัน"
พูดจบ โทรุก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆแถวนั้น พอโทรุนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบชามข้าวและค่อยกลับมานั่งบนเตียงที่เดิม
"จริงสิโทรุ ตั้งแต่ฉันฟื้นขึ้นมาฉันยังไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหนเลย แล้วทำไมพวกเราสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ได้"
เขาจำเหตุการณ์เมื่อวานไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีเพียงอย่างเดียวที่เขาพอจะนึกออกได้นั่นก็คือ เขาร้องไห้กับชายที่เป็นทวดของเขามิสเทรส ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขาร้องไห้นั่นเขาจำมันไม่ได้สักนิด ราวกับว่าโดนลบความทรงจำไปชั่วขณะหนึ่งยังไงยังนั้นแน่ะ
"บ้านของมิสเทรสนะมาโกโตะ นี่นายจำอะไรไม่ได้แล้วหรือไงก็เมื่อคืนนี้นายบอกกับมิสเทรสว่าไม่อยากอยู่ที่นั่น แล้วบอกให้เขาพาพวกเราสองคนออกมาจากที่นั่นไง"
มาโกโตะได้ฟังที่โทรุพูดก็อึ้งไปพักใหญ่ แล้วจู่ๆความทรงจำก็ผุดขึ้นมา ซึ่งเป็นภาพที่เขาเกลียดที่สุด ภาพที่เขากำลังร่ำไห้เพราะผู้เป็นพ่อที่โกหกเขาและเห็นตัวเขาเป็นแค่ไอ้โง่มาได้ถึง 10 ปีเต็มๆ พ่อของเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมช่างโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้ รู้ทั้งรู้ว่าแม่จะต้องตายก็ยังดันทุรังเก็บมันเอาไว้เป็นความลับอีก
"มาโก..โตะ นายไม่เป็นอะไรนะ"
โทรุเห็นเพื่อนตัวเองนั่งเงียบอยู่นานจึงถามด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าจะทราบเหตุที่ทำให้มาโกโตะเป็นเช่นนี้
"อืมฉันไม่เป็นอะไรหรอก แค่เพลียๆนะ" เพื่อขจัดความเศร้าที่มีอยู่ของตนเอง เขาจึงหาทางเลี่ยงพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน "เอ่อนี่ โทรุ นายได้ออกไปข้างนอกบ้านมาบ้างหรือยัง ฉันอยากรู้ว่าข้างนอกมันเป็นยังไง เล่าให้ฟังทีสิ"
แกล้งถามไปงั้นแหละ แต่จิตใจเขานี่สิกลับหดหู่ยิ่งนัก
"อื้ม! ฉันได้ออกไปข้างนอกแล้ว มันสวยมากๆเลยละ มาโกโตะ ถ้านายออกไปข้างนอก รับรองได้ว่านายต้องร้องว้าวแน่! มันเป็นอะไรที่สุดยอดของสุดยอดเลย ฉันไม่อยากเล่าให้มากกว่านี้กลัวนายจะไม่ตื่นเต้น ฉันว่านายออกไปดูข้างนอกด้วยตาของตัวเองจะดีกว่านะ"
โทรุพูดจนเขาเห็นสีหน้าของเพื่อนได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่อิ่มเอิบด้วยรอยยิ้มไร้สิ่งที่เสแสร้งเหมือนกับที่พ่อเขาทำ แสดงว่าข้างนอกมันยอดเยี่ยมอย่างที่โทรุว่านะสิ คิดไปคิดมา ชักอยากจะออกไปข้างนอกซะเดี๋ยวนี้เลย
"ก็ดีนะ เดี๋ยวขอกินข้าวเสร็จก่อน แล้วจากนั้นค่อยออกไปเดินเล่นกันเนาะ โทรุ"
"อืม แต่อย่ารีบกินจนข้าวติดคอละ เดี๋ยวหมดสนุกกันพอดี อิอิ" โทรุยิ้มและรู้สึกปลื้มใจที่ตัวเองทำให้เพื่อนกลับมายิ้มแย้มได้อย่างเดิม
................
จบ บทที่ 4 พบกันอีกครั้ง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น