ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Tragic Prince ราชันย์มิคสัญญี (ภาค ๑)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 ดินแดนใต้พิภพ

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.พ. 48


    บทที่ 3 ดินแดนใต้พิภพ



    ...........................................



        หลังจากที่ทุกๆ คน กลับไปยังแคมป์ ต่างคนต่างก็พักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภารกิจที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ในวันรุ่งขึ้น ทว่า ในเวลาอันดึกสงัดเช่นนี้ อากิโกะ กลับ นอนไม่หลับเลยแม้แต่น้อย และยิ่งแหงนหน้าขึ้นมองดูดวงจันทร์บนท้องฟ้า มันก็ยิ่งทำให้รู้สึกหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูกโดยเฉพาะ เหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ ลูคัสและเธอ ได้ทำความเข้าใจกันได้ในที่สุดและเขาก็ยอมบอกความลับของภารกิจสำคัญทั้งๆ ที่ การกระทำเช่นนี้ จะทำให้เขาต้องถูกเพ่งเล็งจากสมาคมอย่างรุนรง หนำซ้ำ การที่เขาต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่ริมลำธารและใช้เวทย์มนตร์นั่นอีก รวมถึงการเอ่ยถึงชื่อของเมอร์ลิน พ่อมดที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มันทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นต่ออนาคตเบื้องหน้า ที่จะมาถึง แต่ความคิดนั้นก็ต้องหยุดชั่วขณะเมื่อมีเสียงเรียกดังขึ้น



    “อากิ นอนไม่หลับเหรอ” ลูคัสนั่นเอง เขามายืนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้ ทว่า เมื่ออยู่ใกล้เขาแล้ว มันกลับทำให้รู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด



    “อื้ม” เธอตอบเขาไปสั้นๆ แต่แล้วเขาก็รั้งร่างของเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน



    “อเล็กซ์ คือ ชั้น”



    “ผมรู้ คุณกำลังสับสนในสิ่งที่คุณเห็น แต่ผมขอยืนยันว่านั่นคือความเป็นจริง และเป็นสิ่งที่เราจะต้องเผชิญอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าวันใดวันหนึ่ง และที่สำคัญผมอยากให้คุณรู้ว่าถึงผมจะเปลี่ยนไปยังไงใจของผมก็ยังรักคุณเหมือนเดิม เพียงแต่” เขาหยุดคำพูดเอาไว้แค่นั้น แต่มันก็ทำให้อากิโกะรู้สึกใจหายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



                    “มีอะไรเหรอคะ”    



    “ถ้าหากเป็นไปได้ล่ะก็ ผมอยากจะกลับเป็นลูคัสคนเดิมมากกว่า ลูคัสคนที่บ้าถ่ายภาพ ไม่ใช่ลูคัสในตอนนี้ที่เป็นคนของเซนทิเนล และที่สำคัญผมไม่อยากให้คุณเห็นภาพของผมที่เป็นเหมือนฆาตกร” เขาพรั่งพรูคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือและกอดเธอเอาไว้แน่น ราวกับเด็กน้อยที่กำลังกลัวและต้องการหลักที่ยึดเกาะอันแสนจะอบอุ่นและปลอดภัย



    “ทุกครั้งที่ต้องต่อสู้ ผมรู้สึกกลัว กลัวมากๆ กลัวว่าผมจะเปลี่ยนไป กลายเป็นปีศาจฆาตกร เป็นจอมทำลายล้าง เป็นนักรบที่บ้าคลั่ง และที่สำคัญที่สุด ผมกลัวพลังของผมเองพลังที่มีมากจนเกินไปจนอาจทำให้ผมต้องสูญเสียคุณไปซักวัน” เขายังคงพูดสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงออกมา แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าหยาดน้ำตาของที่รดลงมาสัมผัสกับผิวของเธอ อากิโกะค่อยๆ ใช้มือเช็ดน้ำตาที่หลั่งรินออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเขา แล้วโน้มตัวขึ้นจูบเขาที่ริมฝีปากอย่างนุ่มนวล



    “ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง หรือจะเปลี่ยนเป็นอะไร ชั้นก็จะยังรักคุณและอยู่เคียงข้างคุณเสมอ เพราะคุณ คืออัศวินของชั้น”



    “จริงสินะ ผมลืมไปสนิทเลย ผมยังมีคุณอยู่กับผม และอยากให้มีอยู่อย่างนี้ตลอดไป ผมสัญญาผมจะเป็นอัศวินของคุณ และจะไม่ทำให้คุณผิดหวังเด็ดขาด” น้ำเสียงของเขากลับมาเข้มแข็งและมั่นคงเช่นเดิม เขารู้สึกได้ว่าในตัวของเธอมีพลังบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและแสงสว่าง ราวกับว่าเธอคือนางฟ้าหรือทูตสวรรค์ที่คอยชี้นำทางเขาไม่ให้เดินผิดทาง เหมือนดังเช่นอาเธอร์ที่มีเมอร์ลินเป็นผู้ชี้แนะแนวทาง



    “เสร็จจากงานนี้เมื่อไหร่ ผมจะไปแช่น้ำแร่กลางแจ้งที่ฮอกไกโดให้ชุ่มปอดไปเลย” ลูคัสพูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี ขณะที่อากิโกะทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตอบเขา



    “ก็ดีเหมือนกันนะคะ เราไม่ได้ลงไปแช่น้ำพุร้อนด้วยกันมานานแล้วนะคะ ชั้นยังจำได้เลยถึงเมื่อก่อนที่เราเคยไปเที่ยวน้ำพุร้อนด้วยกัน” อากิโกะหลับตานึกภาพถึงอดีตอันแสนหวานขึ้นมามันทำให้เธอรู้สึกมีความสุขจนแทบจะลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเลย



    “นั่นสิ นึกแล้วก็ยังอดขำไม่ได้ที่ตอนนั้น คุณเผลอทำผ้าขนหนูหลุดตอนกำลังจะขึ้นจากน้ำน่ะจำได้มั้ย เสียดายนะที่ผมไม่ได้พกกล้องไปด้วยไม่งั้นล่ะก็ ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ว่าแล้วลูคัสก็หัวเราะและยิ้มออกมาด้วยแววตาที่ล้อเลียนและซุกซน ทว่าอากิโกะนั้นถึงกับหน้าแดงไปเลย



    “ตาบ้า คนผีทะเล ทีเรื่องแบบนี้ล่ะก็ช่างจดช่างจำเหลือเกินนะ แล้วทีตอนที่คุณทำผ้าของคุณหลุดน่ะชั้นยังไม่เห็นพูดถึงเลย” ว่าแล้ว หล่อนก็ทุบอกของลูคัส ดังอึ้ก



    “โธ่ อากิ นั่นน่ะ ผมแค่อยากทำให้มันเสมอภาคก็เท่านั้นเอง”



    “งั้นคราวนี้ก็อย่าใช้สิคะ เพราะชั้นเองก็จะไม่ใช้เหมือนกัน” คราวนี้อากิโกะพูดกระซิบที่ข้างหูของลูคัส เล่นเอาเจ้าตัวถึงกับอึ้งหน้าแดงไปเลย



    “ให้มันจริงเถอะแม่คุณ แล้วอย่าตกใจเวลามีพวกหมูป่า ลิง หรือว่า หมี โผล่มาร่วมวงกับผมล่ะ”



    “หมายความว่าไงคะ ที่คุณพูดน่ะ”



    “อ้าวก็ผมเป็นดรูอิดนี่ การพูดคุยกับธรรมชาติหรือสัตว์ป่าน่ะ มันเรื่องธรรมดา”



    “ก็แล้ว คุณจะไปเรียกเอาพวกนั้นมาทำไมล่ะ เวลาแบบนั้นน่ะ” พูดจบอากิโกะก็ดันเขาออกไปอย่างงอน นิดๆ แต่ช่างน่ารักและมีเสน่ห์ยิ่งนัก



    “คืนนี้เงียบสงบจังเลยนะคะ” อากิโกะพูดเปลี่ยนเรื่องกับเขาทันทีหลังจากที่ผละออกมาจากอ้อมกอดของเขาแล้ว



    “ใช่ เงียบมาก เงียบจนผิดปรกติ” เขาพูดพลางมองไปรอบๆ และพร้อมที่จะต่อสู้ทุกเวลา ทำให้อากิโกะอดรู้สึกที่จะหวาดกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้



    “ไม่มีแม้แต่เสียงแมลง มันน่าแปลกจริงๆ อยู่ใกล้ๆ ผมไว้นะอากิ”



    “ค่ะ อเล็กซ์”



    “เอาล่ะ ผมจะเดินกลับไปส่งคุณที่แคมป์นะ ยังไงซะคุณก็ต้องพักผ่อน อีกอย่างรอบแคมป์ผมวางกับดักเวทย์มนตร์ไว้หมดแล้ว ถ้าเป็นพวกลิซาร์ดแมน แบบที่เราเจอกันเมื่อกี๊ มันจะไม่มีทางเข้ามาได้เลย ส่วนผมจะเฝ้าอยู่รอบนอกนี่เอง”



    “ไม่นะคะ ชั้นจะอยู่กับคุณด้วย ได้โปรดเถอะค่ะ ไม่ว่าทุกอย่างจะเป็นยังไงชั้นก็จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณ” อากิโกะพูดพลางกอดเอวรั้งเขาเอาไว้ จากนี้ไปเธอจะไม่ปล่อยให้เขาต้องสู้อย่างลำพังอีกแล้ว ทันใดนั้นเองเสียงคำรามลั่นของสิ่งมีชีวิตบางอย่างก็ดังกังวานขึ้นอย่างโหยหวน และดังกึกก้องจนพื้นดินสั่นสะเทือนไปทั้งเกาะ



    “นั่นมันเสียงของตัวอะไรกันแน่”



    “อย่าให้เป็นสิ่งเดียวกับที่ผมคิดไว้ก็แล้วกัน” ลูคัสพูดออกมาอย่างหวั่นวิตก และที่สำคัญมือซ้ายของเขาจู่ๆ โซ่หัวมังกรก็ปรากฏขึ้นมา จากนั้นมันก็เคลื่อนไหวราวกับว่ามีบางสิ่งที่เป็นอันตรายอยู่ใกล้ๆ



    “อเล็กซ์ โซ่นั่น มัน ทำไมมันถึงได้ขยับเองแบบนั้นล่ะ”



    “สิ่งที่ถูกกักขังไว้ภายใต้เกาะนี้ ได้ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ผมได้ยินเสียงของวิญญาณแห่งป่าที่กำลังกู่ร้องด้วยความกลัวถึงขีดสุด เราต้องเร่งมือกันแล้ว อากิ กลับไปที่แคมป์บอกให้ทุกคนเตรียมพร้อม ผมจะไปดูแท่งศิลานั้น” ลูคัสพูดเสียงเครียด ก่อนที่จะพาอากิโกะวิ่งกลับไปที่แคมป์ แต่เนื่องจากไม่ทันใจหรือยังไงไม่มีใครรู้ได้ ลูคัสอุ้มเอาตัวอากิโกะขึ้นมาทั้งผ้าห่มที่หล่อนใช้คลุมตัวอยู่เพื่อกันหนาว จนเธอต้องร้องอุทานด้วยความตกใจ



    “ว้าย นี่ เดี๋ยวเค้าก็เห็นกันหมดหรอก”



    “นี่ไม่ใช่เวลาจะมาอายนะ ขืนคุณยังชักช้าอยู่ล่ะก็ พวกสัตว์ประหลาดที่ได้ยินเสียงเมื่อกี๊มันจะพุ่งเข้ามาเล่นงานคุณแน่ เข้าแคมป์เมื่อไหร่เราจะปลอดภัยเมื่อนั้น” จากนั้นลูคัสก็วิ่งอุ้มอากิโกะ ตรงไปที่แคมป์อย่างรวดเร็วจนอากิโกะถึงกับทึ่ง ในความเร็วขนาดนี้ จนกระทั่งเกือบถึงแคมป์เขาก็วางเธอลง แล้วให้วิ่งเข้าไปเองเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเอาไปนินทาได้ จากนั้นเขาก็รุดหน้าไปยังเต็นท์ที่เป็นสถานที่เก็บแท่งศิลาที่จารึกอักขระโบราณนั้น



    “ทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง” อากิโกะ เข้ามาถามถึงลูกทีมทุกๆ คนทันที ซึ่งเวลานี้บรรยากาศในแคมป์ดูปั่นป่วนไปหมด



    “อาจารย์ครับ เมื่อกี๊มันเสียงของอะไรครับ”



    “จะเสียงอะไรก็ช่างมันเถอะเราต้องเร่งมือแล้ว ทุกคนไปประจำที่ได้ แล้วห้ามออกจากบริเวณแคมป์เด็ดขาด บอกพวกคนงานด้วย” หล่อนสั่งงานอย่างคล่องแคล่ว



    “ครับ อาจารย์”



    “อเล็กซ์ พอจะแกะข้อความอะไรได้บ้างมั้ย”



    “อืม เรียบร้อยแล้ว เป็นอักขระของดรูอิดโบราณที่เก่าแก่มากๆ เลย แต่ยังไงก็แปลได้เรียบร้อยแล้ว” ลูคัส พูดด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยมส่วนอากิโกะนั้นดีใจอย่างสุดๆ แน่นอนลูกทีมคนอื่นๆ รวมถึงทาเคดะที่ไม่ค่อยชอบหน้าลูคัสนักก็เช่นกัน เพราะอย่างน้อยก็ทำให้มีโอกาสรอดสูงขึ้น



    “แล้วมันพูดถึงโบราณสถานนี้หรือเปล่าครับ” ลูกทีมคนหนึ่งถามอย่างใจจดใจจ่อ



    “ก็ไม่เชิงนะ นอกจากนี้ยังพูดถึง ของล้ำค่าที่สูญหายไปนาน นับแต่ยุคเทพกาลนู่น”



    “แล้วมันบอกอะไรเหรอคะ” ยูกิ หญิงสาวคนดียวในกลุ่มลูกทีมของอากิโกะถามขึ้นทันที



    “คือประกายแสงแห่งจอมราชันย์

    สาดส่องทั่วหล้าเจิดจ้าทั่วสวรรค์

    ร้อนแรงเยี่ยงสุริยันผลาญสิ้นเทพมาร” ลูคัส แปลข้อความที่จารึกไว้บนนั้นอย่างคล่องแคล่ว ราวกับว่ามันเป็นภาษาของเขาเอง



    “ทีนี้ปัญหาก็คือการตีความล่ะ มาเอดะ พอไหวมั้ย” อากิโกะหันไปสั่งงานกับลูกทีมที่ชื่อ มาเอดะทันที



    “เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก” ลูคัส แทรกขึ้นมาทันที



    “ข้อความทั้งหมดกล่าวถึง ซันเบิร์น ที่ในตำนานโบราณว่ากันว่าเป็นอาวุธที่สามารถฆ่าได้แม้กระทั่งพระเจ้า หรือ ปีศาจ” ทุกๆ คนต่างฟังด้วยความทึ่งในความสามารถของลูคัส



    “ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวสำรวจซากโบราณสถานที่เหลืออยู่ใต้ดินกันได้เลย ทุกคน เราจะเริ่มกันพรุ่งนี้เช้า คงไม่ช้าไปใช่มั้ยคะอเล็กซ์” อากิโกะ หันไปสั่งงานกับทุกคน ก่อนที่จะหันมาถามความเห็นจากลูคัส



    “ถ้าไม่มีเสียงคำรามเมื่อกี๊ ผมก็กล้ายืนยันว่ายังไม่สาย แต่ว่าตอนนี้เรามีปัญหาใหญ่ เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวให้เร็วที่สุด เอาเป็นว่าคืนนี้เราจะจัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์แล้วก็ อุปกรณ์จำเป็นต่างๆ ให้พร้อม แล้วพรุ่งนี้เช้าเราจะเข้าไปสำรวจภายในวิหารกัน” จากนั้นลูคัสก็เดินออกไป ตามติดๆ ไปด้วยอากิโกะและยูกิ



        ภายในเต็นท์พักแรมลูคัส ได้หยิบเอากระเป๋าสีดำใบใหญ่ที่ติดตัวมาด้วยออกมา ภายในนั้น คือมีด แวน เฮลซิ่ง เขาสวมมันเข้ากับซองหนังแล้วคาดไว้กับเข็มขัดที่เอวด้านขวา ใกล้ๆ กับปืนแมกนั่ม และหยิบเอาปืนพกสีดำอีก 2 กระบอกออกมา พร้อมๆ กับแม็กกาซีนบรรจุกระสุนล่าปีศาจขนาด 9 มม. ออกมาบรรจุไว้ แล้วยื่นไปข้างหลัง โดยไม่จำเป็นต้องมองเลย



    “รับไปซะ ทั้งคู่น่ะแหละ ในนั้นเราอาจจะต้องใช้มัน” ลูคัส ส่งปืนและแม็กกาซีนสำรองให้กับ 2 สาว ก่อนจะเช็คสภาพอาวุธประจำตัวอีกครั้ง ในขณะที่ทั้ง 2 สาว ยังคงมองอยู่ จากนั้นลูคัส ก็หันไปหาทั้ง 2



    “คิดว่าพวกคุณน่าจะใช้ปืนพวกนี้เป็นนะ กระสุนพวกนี้เป็นแบบพิเศษ ใช้สำหรับปีศาจขนาดเล็กและขนาดกลางได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีคำถามมั้ย” ลูคัส พูดแนะนำทั้ง 2 ราวกับว่ากำลังเล็คเชอร์กับนักศึกษาอยู่



    “ข้างในนั้น มันจะอันตรายมากมั้ยคะ” ยูกิเป็นฝ่ายยกมือถามขึ้นก่อน



    “นอกจากพวกปีศาจที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ก็คงจะเป็น พวกกับดักทั้งหลายแหล่ที่ใช้ป้องกันผู้บุกรุกนั่นแหละ”



    “แล้วเปอร์เซ็นต์ที่เราจะค้นพบวัตถุล้ำค่าอะไรนั่นแล้วกลับออกมาอย่างปลอดภัยล่ะคะ มีบ้างมั้ย” อากิ ถามต่อทันที



    “ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์” ลูคัสพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่เย็นยะเยือกในความรู้สึกของผู้ที่ฟัง

    “ใครที่คิดจะถอนตัวก่อนก็ยังทันนะ เพราะผมเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะรับมือกับเจ้าของเสียงคำรามนั่น ในระหว่างที่พวกคุณทำการสำรวจไหวมั้ย”



    “ชั้นจะอยู่กับคุณค่ะ อเล็กซ์” อากิโกะแทรกขึ้นมาทันที



    “ไม่ว่าข้างในนั้น จะเป็นสวรรค์หรือนรกชั้นจะไปกับคุณ” อากิโกะพูดด้วยสีหน้าที่แน่วแน่และมุ่งมั่น



    “อาจารย์ไปไหน พวกเราก็จะไปด้วยค่ะ” ยูกิเองก็ยืนยันเจตนารมเช่นกันถึงแม้ว่าเสียงของเธอจะสั่นเครือด้วยความกลัวก็ตาม



    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว พวกคุณก็ไปพักผ่อนกันเถอะ เตรียมตัวให้พร้อม ส่วนพวกคนงานไม่ต้องกังวลเพราะเท่าที่ผมดูพวกนี้เป็นมือดีจากสมาคม แต่ว่า อากิ ขอคุยอะไรด้วยซักครู่ได้มั้ย”



    “ค่ะ”



    “อากิ ถ้าเราทั้งคู่รอดออกไปได้ คุณจะอยู่เคียงข้างผมตลอดไปได้มั้ย” ลูคัส พูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและจริงจัง



    “อเล็กซ์ นี่คุณ กำลังขอชั้นแต่งงานเหรอคะ” อากิโกะ ในเวลานี้น้ำเสียงของเธอเปี่ยมไปด้วยความยินดี และ แปลกใจ ยินดีที่เขาขอเธอแต่งงาน และแปลกใจที่ทำไมถึงมาขอเอาตอนนี้



    “ใช่ ผมกำลังขอคุณแต่งงาน นี่คือสิ่งที่ผมควรพูดมานานแล้ว แต่ผมไม่กล้า เพราะผมกลัวว่าคุณจะปฏิเสธ”



    “โธ่ อเล็กซ์คะ ชั้นจะปฏิเสธคุณได้ยังไงล่ะคะ ในเมื่อคุณคือคนที่ชั้นรอมาทั้งชีวิต ชั้นยินดีค่ะ” เธอพูดทั้งน้ำตา ที่อ้อมอกอันกว้างใหญ่และอบอุ่นของเขา จากนั้นเองลูคัส ก็จูบที่หน้าผากของเธอเบาๆ ก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไป



    “คุณเหนื่อยมามากแล้ว พักผ่อนให้สบายเถอะ ผมจะคุ้มครองคุณเอง” จากนั้นลูคัส ก็อุ้มเธอไปยังที่นอนและห่มผ้าให้เธอ ก่อนที่จะกุมมือเธอเอาไว้ และหลับไปในสภาพที่ยังนั่งเฝ้าเธออยู่



        เช้าวันรุ่งขึ้น หน้าทางเข้าวิหาร ศิลาก้อนใหญ่ที่ปิดผนึกทางเข้าไว้ เคลื่อนตัวออกมาอย่างง่ายดาย โดยเวทย์มนตร์ของลูคัส จากนั้นทั้งหมดก็ได้เห็นทางเดินแคบๆ ที่เป็นเหมือนบันไดลึกลงไปยังใต้พิภพ และทันใดนั้นเองเสียงคำรามก็ดังกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ทุกคนรวมทั้งลูคัสถึงกับหนาวสะท้านไปจนถึงกระดูก อากิโกะสวมชุดที่เน้นความคล่องตัวเป็นหลักเช่นเดียวกับยูกิ คือ เสื้อยืด กับ กางเกงขาสั้นลุยป่า บนศีรษะของทุกคนยกเว้นลูคัส คาดสปอตไลท์แบบพกพาเอาไว้เพื่อส่องทางเดินที่เป็นบันใด ในขณะที่มือของทุกคนต่างกุมอาวุธและอุปกรณ์การสำรวจไว้แน่น



    “สภาพทางธรณีวิทยาที่นี่ไม่เหมือนกับที่ๆ เราเคยพบมาก่อน ที่สำคัญบรรยากาศในนี้อึดอัดมาก อึดอัดจนชวนให้แทบจะเป็นบ้า” ทาเคดะ เดินไปบ่นไปตามประสาขณะเดินลงไปข้างล่าง ขณะที่ลูคัสซึ่งแปรสภาพชุดมาเป็นโอเวอร์โคทสีขาวขริบริมด้วยสีทองและปักสัญลักษณ์เพนทาแกรม เสื้อยืดภายในสีขาวมีลวดลายเป็นรูปกางเขนสีแดงดูเหมือนเสื้อเกราะอ่อนมากกว่าจะเป็นเสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ต ส่วนกางเกงก็เป็นสีขาวคาดด้วยแถบสีแดง อันเป็นชุดเก่งของลูคัส สำหรับคนอื่นๆ นั้นสวมชุดลุยป่า ที่เน้นความคล่องตัวมากกว่า ทั้งหมดเดินตามบันไดที่ลึกลงไปเรื่อยๆ และไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ไหน ต่างคนต่างเดินด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียดและเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้า แต่ก็ยังคงกัดฟันเดินต่อไป



    ขณะที่เสียงคำรามนั้นค่อยๆ ดังขึ้นเป็นระยะๆ และทุกครั้งที่มันดังขึ้นขบวนเป็นอันต้องหยุดชะงักทุกที ในขณะที่อากิโกะและยูกินั้น กอดแขนของลูคัสไว้แน่นด้วยความกลัวตามประสาผู้หญิง บ่อยครั้งที่ทาเคดะเล็งศูนย์ปืนมายังหัวของลูคัสแล้วทำท่าจะยิงด้วยความอิจฉา แต่ทุกครั้งที่ทำเขามักจะรู้สึกถึงสายลมที่คมกริบพัดเฉี่ยวใบหน้าของเขาไป โดยที่ไม่มีที่มา แต่กลับพบว่าทุกครั้งที่ลมนี้พัดมาลูคัสมักจะชำเลืองหางตามองเขาด้วยท่าทีที่เหนือกว่าเสมอ จนกระทั่งทุกคนเริ่มเห็นแสงสว่างที่ส่องเข้ามาอย่างริบหรี่บริเวณปลายทาง ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดที่แสงสว่างเล็ดลอดเข้ามา และเมื่อก้าวออกไปพ้นปากทาง ขบวนก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เมื่อมองเห็นว่าจุดหมายปลายทางคืออะไร

        

        บริเวณปากทางของบันได คือหน้าผาสูงใหญ่ ที่ลึกลงไปเบื้องล่างคือ สะพานที่มุ่งหน้าไปยังประตูโลหะขนาดใหญ่ และที่ปลายอีกด้านหนึ่งคือ มหาวิหารขนาดใหญ่ ที่ด้านหน้ามีรูปสลักของเทพผู้พิทักษ์วิหารตั้งตระหง่านดูน่าเกรงขามยิ่งนัก และพื้นน้ำเบื้องล่างก็ดูลึกเป็นสีดำชวนสยอง แต่ที่น่าแปลกคือ ก้อนหินบริเวณนี้ เป็นหินที่เรืองแสงออกมาในตัวเอง ทว่าทางที่จะลงไปให้ถึงข้างล่างนั่นสิมันช่างดูลำบากแสนเข็ญยิ่งนัก เพราะมันทั้งสูงและชันที่สำคัญคือไม่มีอะไรให้ยึดเกาะ เสียงคำรามนั้นเงียบไปแล้ว ทำให้ทุกคนรู้สึกใจชื้นขึ้น ในระหว่างที่บรรดาสุภาพบุรุษพยายามหาทางไต่ลงมาข้างล่างอยู่นั้น จู่ๆ ลูคัสก็คว้าเอาร่างของอากิโกะและยูกิขึ้นมารวบไว้ในอ้อมแขน โดยที่ไม่มีใครทันตั้งตัวจากนั้นเขาก็กระโดดลงมาจากปากทางอันเป็นยอดผานั้น สู่หุบเหวลึกเบื้องล่างทันที



    “ว้าย อะไรกันเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย”



    “กรี๊ด ม่ายอาวหนูกลัวววววววววววววว” สองสาว ร้องเป็นเสียงเดียวกันในขณะที่สัมผัสถึงความรู้สึกของการดิ่งพสุธาลงมาด้านล่าง แต่ที่แน่ๆ อากิโกะนั้นถึงกับกลัวจนลืมหึงไปเลย ทั้ง 2 ต่างกอดคอของลูคัสไว้แน่น จนกระทั่งสัมผัสพื้นอย่างนิ่มนวลราวกับว่าร่างของเขาเป็นเพียงขนนก



    “ให้ตายสิ พวกเธอ 2 คนนี่ น่าจะไปลดน้ำหนักกันหน่อยนะ” พอพูดจบ กำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วนก็กระหน่ำใส่ร่างของลูคัสทันที จากทั้ง 2 สาว ที่กำลังหน้าแดงก่ำด้วยความอายนั่นเอง



    “บ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คนบ้า เล่นอะไรก็ไม่รู้ นี่แน่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เดี๋ยวเค้าก็ไม่ไปอาบน้ำแร่ด้วยกันเลยนี่” ชุดนี้ของยูกิ



    “ตาบ้า จอมลามก คิดนอกใจเหรอ นี่แน่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แอบไปสัญญาแบบนั้นกับยูกิจังตั้งแต่เมื่อไหร่หา หนอยแน่ แล้วยังมีหน้ามาขอแต่งงานอีก นิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ” อันนี้ของอากิโกะ ก่อนจะจบลงด้วยมือของอากิโกะที่บิดหูของลูคัสอย่างเต็มกำลัง ส่วนพวกของทาเคดะที่ยังคงค้างเติ่งอยู่ข้างบนก็ยังคงถกเถียงกันถึงเรื่องการหาทางไต่ลงไปนั่นเอง



    “โอว พระเจ้า จอร์จ ความสูงตั้งเกือบ 1000 เมตร โดดลงไปได้ไงวะ” มาเอดะ เผลอหลุดบุคลิกออกมาด้วยความฉงน



    “ก็มันไม่ใช่คนธรรมดานี่หว่า แล้วจะเอาไงดี โดดตามไปมั้ย” ทาเคดะ ถามขึ้นอย่างหัวเสียและกวนอวัยวะเบื้องต่ำอย่างถึงที่สุด



    “โดดลงไปหาบุพการีของคุณเหรอครับ เชิญตามสบายเลย ผมขอไต่ลงไปดีกว่า ยังไงก็ยังดีกว่า ค้างอยู่บนนี้แหละ” มาเอดะพูดจบ ก็เดินนำขบวนพรรคพวกที่เหลือรวมทั้งทาเคดะไต่ลงไปอย่างทุลักทุเลทันที จนกระทั่งเวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ทุกคนก็ลงมายืนที่สะพานทางเข้ามหาวิหารโดยพร้อมเพียงกัน แต่แล้วเสียงคำรามก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันดังสนั่นอย่างถึงขีดสุด จนสะพานนั้นสั่นสะเทือนทันที และทันใดนั้น ก็มีเสียงอื้ออึงมาจากทางประตูบานใหญ่นั่น



    “อากิ ยูกิจัง ทุกๆ คน เตรียมพร้อม วิ่งไปที่หน้าวิหารให้เร็วที่สุด ผมจะอยู่ถ่วงเวลาทางนี้ไว้เอง” ลูคัส สั่งการกับคณะทันทีแต่กลับไม่มีใครยอมฟัง เพราะครั้งนี้ทุกๆ คน รวมทั้งทาเคดะ ต่างก็พยักหน้าให้กันแล้วขยับมายืนขนาบข้างลูคัส พร้อมทั้งหยิบปืนของตนขึ้นมาเลื่อนกระสุนขึ้นลำทันที



    “จนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ต้องร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันสิ จริงมั้ย มาเอดะ” ทาเคดะ เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน



    “ใช่ ถ้าปล่อยให้คุณสู้อยู่คนเดียวแล้วพวกเราเอาแต่หลบ ก็เสียทีที่เป็นสายเลือดบุชิโดหมด” มาเอดะ รับลูกขึ้นมาทันที



    “ทุกคน” ลูคัส มองดูทุกๆ คนอย่างซึ้งใจ แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงประหลาดดังแซ่กๆๆๆๆๆๆ ขึ้นมาจากผนังถ้ำคนละฟากกับบันไดเซ็งแซ่ไปหมด ในขณะที่ประตูยักษ์นั้นยังคงสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุด



    “พวกคุณยิงคุ้มกันให้ที ผมจะไปที่ประตูนั่นกางกำแพงถ่วงเวลาพวกมันไว้ก่อน อย่างน้อยก็น่าจะพอให้เราทุกคนมีเวลาไปถึงวิหารได้”



    “มีอะไรอยู่หลังประตูนั่นเหรอคะอเล็กซ์”



    “สิ่งมีชีวิต ที่พวกคุณ จะไม่มีวันแม้แต่จะคิดว่ามีตัวตนจริงๆ” ว่าแล้ว ลูคัสก็วิ่งตรงไปที่ประตูทันที ด้วยความรวดเร็วผิดมนุษย์ จนกระทั่งถึงหน้าบานประตูเขาก็สัมผัสได้ถึงความกลัวที่หนาวเหน็บและเย็นเยือกเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ



    “ขนาดประตูโลหะอดาแมนไทน์ ยังกั้นไว้ไม่อยู่ แสดงว่าไม่ใช่พวกลูกกระจ๊อกแน่ เอาล่ะ เบื้องซ้ายคือน้ำเบื้องขวาคือไฟ” จากนั้นมือขวาของลูคัสก็มีประกายแสงสีแดงปรากฏขึ้นเช่นกันกับมือซ้ายที่มีประกายแสงสีฟ้าใส



    “ครอส อีลีเมนทัล วอลล์” ลูคัสวาดมือทั้ง 2 ข้าง ไขว้กันเป็นกากบาท แล้ว สะบัดออกมาทันที และกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ห้อมล้อมด้วยเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นมาขวางหน้าประตูเอาไว้ ทว่าการใช้พลังเวทย์มนตร์ระดับสูงแบบนี้เล่นเอาลูคัสถึงกับทรุดลงไปเหมือนกัน



    “เหนื่อยเป็นบ้า แต่ก็น่าจะคุ้มค่าล่ะน่า เอาล่ะทีนี้ก็ ไฟร์เบิร์ด สตีล แมกนั่ม พร้อมยิง” เมื่อเสร็จจากการกางกำแพงแล้ว ลูคัสก็วิ่ง กลับมาหาทุกคนทันทีแต่ครั้งนี้ด้วยความเร็วเท่ากับคนธรรมดา และทันใดนั้น ฝูงแมงมุมขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นมาขวางทางของลูคัส รวมถึงอีกส่วนหนึ่งที่อ้อมมาด้านหลังเพื่อตีกรอบล้อมเขาไว้



    “เปรี้ยง ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ปุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงปืนดังสนั่นมาจากทางพวกของอากิโกะ ดูเหมือนว่าฝูงแมงมุมจำนวนหนึ่งพุ่งไปทางนั้นอย่างจงใจ ขณะที่อีกฝูงล้อมลูคัสเอาไว้ ราวกับพวกมันจะรู้ว่า ใครคือผู้ที่อ่อนแอที่สุดและควรจู่โจมใครก่อน เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้การปะทะจึงเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้



    “เปรี้ยง กว๊ากกกกกก” ปืนของลูคัส ลั่นใส่แมงมุมตัวหนึ่งที่ขวางทางทันที เท่านั้นเอง พวกมันก็พุ่งเข้าจู่โจมทันที แต่ก่อนที่จะถึงตัว ลูคัส ก็กระโดดพลิกตัวออกมาจากการรุมล้อมของมัน และในจังหวะที่พวกมันอยู่รวมกันเป็นกลุ่มนั้นเอง ลูกไฟจากมือของลูคัสก็พุ่งเข้าใส่ที่กลางฝูงของพวกมันอย่างแม่นยำเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เปลวไฟและสะเก็ดชิ้นส่วนจากการระเบิดกระจายไปทั่ว จากนั้นพวกที่พุ่งเข้าหาพวกของอากิโกะก็แยกตัวออกมาทางลูคัส และก่อนที่จะถึงตัวกำแพงไฟอันร้อนแรงก็พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้น เผาพวกมันจนไหม้วอดวาย ส่วนที่เหลือ นั้นก็ค่อยๆ ล้มลงจากอำนาจของกระสุนชนิดพิเศษ ในมือของพวกอากิโกะ จนกระทั่งไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว ซากของพวกมันกระจายเกลื่อนไปหมด เมื่อเหตุการณ์ณ์เป็นเช่นนี้ลูคัสจึงรีบตรงไปยังพวกอากิโกะทันที แล้วทันใดนั้นเอง ฝูงกองทัพซอมบี้และนักรบโครงกระดูกก็ทยอยกันผุดขึ้นมาจากพื้นและบริเวณขอบหน้าผาและไต่มาทางพวกของลูคัสและอากิโกะอย่างรวดเร็ว



    “ทุกคน ไปที่วิหาร อันเดทพวกนี้มันฝ่าม่านพลังป้องกันของเทพผู้พิทักษ์วิหารไปไม่ได้” ลูคัส พูดพลางก็ ใช้ปืนแมกนั่มทั้งคู่ในมือ ยิงใส่พวกผีดิบที่ตรงเข้ามาอย่างไม่ยั้ง เช่นกันกับพวกของอากิโกะที่มุ่งหน้าไปยังวิหารแต่ระยะทางของมันช่างยาวยิ่งนัก กระสุนที่มีอยู่ก็ร่อยหรอลงเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนอสูรกายพวกนี้ก็เหมือนจะไม่มีวันหมด จนกระทั่งกระสุนนัดสุดท้ายที่ลั่นออกไป พวกมันส่วนหนึ่งก็ยังตรงเข้ามาพร้อมอาวุธในมือ และด้วยความบ้าบิ่น ทาเคดะหยิบเอาดาบของนักรบโครงกระดูกตนหนึ่งขึ้นมาถือไว้ แล้ววิ่งกลับมาทางลูคัสทันที ทำให้พวกของอากิโกะเริ่มระส่ำระสาย แต่ด้วยวิธีนี้เองที่ทำให้ลูคัสนึกขึ้นมาได้ เขาจึงเก็บปืนแมกนั่มทั้งคู่ทันที พร้อมกับเปลี่ยนอาวุธมาเป็นคาธาร์และโซ่หัวมังกร จากนั้นก็วิ่งฝ่าไปหาทาเคดะอย่างรวดเร็ว



    “ย้ากกกกกกกกกกก โอ๊ยยยยยยยยยยย” ทาเคดะ ควงดาบในมือเข้าใส่พวกมันอย่างไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งซอมบี้ตัวหนึ่งที่ถูกฟันร่างขาดครึ่งท่อน กัดขาของเขาไว้แล้วจับไว้แน่น แต่มันก็ต้องปล่อย เขาออกไป เมื่อโซ่หัวมังกรของลูคัสพุ่งเข้ากระแทกร่างมันอย่างรุนแรง



    “ไปเลย ดราก้อนเชน ไลฟ์โหมด” โซ่ในมือซ้ายของลูคัส เคลื่อนไหวราวกับว่ามีชีวิต มันได้แปรสภาพของมันให้มีใบมีดอันแหลมคมปรากฏออกมาจนทั่วทั้งตัว แล้วเคลื่อนไหวพุ่งเข้าใส่ฝูงอันเดท อย่างบ้าเลือด ทำให้ส่วนหนึ่งของอันเดทต้องแตกกระจายออกไป ในขณะที่อากิโกะ ยูกิ มาเอดะ และคนอื่นๆ วิ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยไปถึงวิหารพอดี



    “ทาเคดะ ไปที่วิหารซะ อยากตายหรือยังไง” ลูคัสซึ่งยืนหลังชนกันกับทาเคดะ พูดขึ้นมาทันที



    “เรื่องอะไร ชั้นจะปล่อยให้นายได้หน้าอยู่คนเดียวล่ะ ชั้นเองก็มีเลือดของนักรบไหลเวียนอยู่เต็มตัวเหมือนกันนะ” แต่แล้ว ทาเคดะก็ต้องล้มลงอย่างเจ็บปวด เมื่อแผลที่ขาของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีม่วง ร่างของเขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว จากนั้นเขาก็กระโดดไปยังยูกิและมาเอดะ ที่วิ่งออกมาจากเขตศักดิ์สิทธิ์หน้าวิหาร อย่างรวดเร็ว และด้วยแววตาท่าทางที่เปลี่ยนไป



    “ฮื่อออออออออ แฮ่ ต..................ตา..........................ตาย.....พวก..............แก................ต้อง...........ต้อง......ตาย.....ทุกคน!” ทาเคดะในเวลานี้ใบหน้าของเขาไม่มีสีเลือด แววตาเปลี่ยนไปเป็นแววตาที่กระหายเลือดและดาบที่ถืออยู่ในมือก็ตวัดกระชับแน่น



    “ททททททททททททททท ทาเคดะเปลี้ยนไป๋ ทาเคดะเปลี้ยนไป๋ๆ ๆ ๆ ๆ” ยูกิ ร้องออกมาอย่างตกใจ และก่อนที่ใครจะทำอะไรได้ทัน ทาเคดะก็ใช้ดาบในมือของตนสังหารเพื่อนร่วมงานของเขาคือ มาเอดะ อย่างโหดเหี้ยมที่สุด ก่อนที่จะก้มลงกินเนื้อและเลือดของมาเอดะเป็นอาหาร ในขณะที่อันเดทตัวอื่นพุ่งเป้ามาที่ยูกิ ซึ่งกำลังยืนตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก



    “ไม่นะ ไม่” เสียงร้องของยูกิดังลั่นขึ้นมาแต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เมื่อดาบในมือของทาเคดะเสียบเข้าที่กลางอกของหล่อนทะลุถึงแผ่นหลัง หล่อนจบชีวิตลงโดยที่ไม่ทันมีเสียงร้องเลยแม้แต่น้อย พรรคพวกที่เหลือยกเว้นอากิโกะจึงพุ่งออกมาด้วยความโกรธทันที และก็เป็นไปตามคาด พวกที่ออกมาถูกอันเดทที่อยู่รอบๆ ฉุดกระชากไปขย้ำกัดกินอย่างโหดเหี้ยม ก่อนที่จะลุกขึ้นมากลายเป็นพวกของมัน ดังเช่นมาเอดะที่เวลานี้จ้องไปที่ศพของยูกิอย่างกระหาย



    “ไม่นะ ยูกิจัง ก็เราสัญญากันแล้วนี่” อากิโกะ ตะโกนออกมาอย่างขวัญเสีย ส่วนลูคัสนั้นบัดนี้ความโกรธแค้นได้เข้าเกาะกุมหัวใจของเขาจนหมดสิ้น นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับโลหิต และทันใดนั้นอันเดทที่รุมล้อมเขาไว้ ก็กระเด็นออกไปลุกไหม้เป็นเถ้าถ่านจากพลังที่ถูกระเบิดออกมา



    “ยูกิจัง! พวกแกบังอาจทำร้ายยูกิจังที่น่ารักของชั้น ยูกิจังที่สัญญากับชั้นและอากิ ว่าจะไปเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนด้วยกัน ไม่มีที่สำหรับพวกแกบนโลกนี้อีกแล้ว ชั้นจะจับพวกแกยัดส่งไปลงนรกให้หมด!” ลูคัส ตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น โซ่ของเขาบัดนี้เปลี่ยนไป ในมือซ้ายกลับกลายเป็นคาธาร์ขึ้นมาแทนที่ แล้วในวินาทีนั้นเองลูคัสก็กระโจนเข้าใส่พวกซอมบี้ของทาเคดะ และฝูงอันเดทที่เฝ้ารอที่จะรุมตอมศพของยูกิทันที ราวกับว่าเวลานี้เขาคือสัตว์ป่าตัวหนึ่ง คาธาร์ในมือทั้งคู่ตวัดใส่ร่างของพวกมัน อย่างรวดเร็วราวกับเปลวไฟ ลูคัสเคลื่อนไหวหลบการโจมตีของพวกมันและตอบโต้กลับอย่างรวดเร็วราวกับเงาที่เคลื่อนไหวในความมืด จนกระทั่งในที่สุดอันเดทตัวสุดท้ายคือ ทาเคดะ ก็ถูกคาธาร์ของลูคัสผ่าครึ่งร่าง แล้วไหม้เป็นเถ้าถ่านทันที จากนั้นเขาจึงอุ้มร่างของยูกิขึ้นมาด้วยใบหน้าที่เศร้าสลดแล้วเดินเข้าไปหาอากิโกะยังเขตศักดิ์สิทธิ์ในวิหาร



    “อเล็กซ์ ไม่มีทางชุบชีวิตยูกิจังขึ้นมาได้เลยเหรอ” อากิโกะถามขึ้นมาอย่างมีความหวังแต่เมื่อเห็นสีหน้าของลูคัส ณ เวลานี้แล้ว เธอก็ต้องยอมรับความเป็นจริง



    “ยูกิ ไม่น่าเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของชั้นมาตลอด เธอเป็นเหมือนกับน้องสาวแท้ๆ ของชั้น เธอไม่เคยทำอะไรให้ชั้นต้องผิดหวังเลย แต่ทำไมเธอถึงต้องมาจากชั้นไปด้วย ทั้งๆ ที่พวกเรา 3 คน ถ้าเสร็จงานนี้แล้วจะไปเที่ยวพักผ่อนแช่น้ำพุร้อนด้วยกันให้สนุกแท้ๆ เลย” อากิโกะ ร้องไห้กอดศพของยูกิเอาไว้แน่น ส่วนลูคัสได้แต่เอามือลูบปิดตาของหล่อนไว้ แล้วปิดปากแผลให้หล่อนอยู่ในสภาพที่เหมือนกับคนที่หลับสนิท ก่อนจะก้มลงไปจูบเบาๆ ที่หน้าผากเป็นการอำลา



    “ลาก่อนยูกิจัง ชั้นเคยอยากมีน้องสาวมาตลอด จนได้เจอเธอ แล้วตอนนั้นที่เธอตกลงว่าจะไปแช่น้ำพุร้อนด้วยกันชั้นดีใจมาก ดีใจที่ว่าอย่างน้อยชั้นก็จะมีทั้งคนรักและน้องสาวที่น่ารัก อยู่ด้วยกัน แต่ทำไม โชคชะตาถึงต้องเล่นตลกให้เป็นอย่างนี้ด้วย” ลูคัสรำพึงรำพันออกมาก่อนที่จะยกมือขึ้นโบก และทันใดนั้นเองร่างของยูกิก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาและถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่าง ทำให้อากิโกะต้องถอยออกมาหลบอยู่ข้าง จากนั้นเปลวไฟสีขาวก็ลุกโชนขึ้นมาแล้วร่างของยูกิก็สลายไปกลายเป็นสะเก็ดไฟสีขาว แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นไปสู่เบื้องบน



    “หยุดร้องเถอะ อากิ งานของรายังไม่จบ ยังมีสิ่งที่ผมและคุณต้องทำเหลืออยู่” เมื่อลูคัสพูดจบ ประตูอดาแมนไทน์ที่อยู่ฟากตรงข้ามก็ถูกกระแทกจนเปิดออกมา แล้วสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ก็ทะยานออกมาจากประตูนั้นแต่ทว่าร่างของมันก็ต้องถูกผลักให้กระเด็นกลับไป ด้วยอำนาจของกำแพงเวทย์มนตร์ที่ลูคัสสร้างขึ้น มันจึงได้แต่ส่งเสียงร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและพุ่งเข้ากระแทกกำแพงนั้นย่างไม่หยุดหย่อน



    “ฟังนะ ระหว่างที่ผมออกไปปล้ำกับไอ้ยักษ์นั่น คุณต้องหาทางเข้าไปในวิหารให้ได้ แล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าออกมาเด็ดขาด ตอนนี้เรายังพอมีเวลาเตรียมตัวอยู่ รีบไปซะ” จากนั้นลูคัส ก็ก้าวเดินออกไป จากเขตศักดิ์สิทธิ์เพื่อรอที่จะเผชิญหน้ากับอสูรกายยักษ์ใหญ่ตนนั้น



    “อเล็กซ์คะ ได้โปรดเถอะค่ะ อย่าออกไปเลย” อากิโกะ รั้งแขนเขาเอาไว้ แต่ดูเหมือนเวลานี้จะไม่เป็นผล เพราะลูคัส ปลดแขนของเธอจากการเกาะกุมแล้วหันมายิ้มให้กับเธอราวกับว่าจะสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย



    “อย่ากังวลไปเลย ผมเป็นอัศวินของคุณคนเดียว และจะเป็นตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่หรือตายหัวใจของผมขอฝากไว้ที่คุณ” จากนั้นเขาก็เดินห่างออกไป เรื่อยๆ และเมื่อกำแพงเวทย์มนตร์นั้นสลายตัวลง เจ้าสัตว์ยักษ์นั่นก็พุ่งเข้ามา อากิโกะถึงกับขนลุกเมื่อเห็นรูปร่างของมันชัดๆ เพราะมันเหมือนกับอสูรกายที่เธอเคยเห็นในหนังสือเทวตำนานไม่มีผิด รูปร่างที่เหมือนกระทิง ครีบขนาดใหญ่ที่กลางหลัง ผิวหนังที่เป็นเกล็ดมันเลื่อม กรงเล็บอันแหลมคมที่เท้าทั้ง 4 และเขาที่ยาวโง้ง 2 ข้างที่ยื่นออกมาข้างหน้า หางที่ใหญ่ราวกับหางของมังกร ดวงตาสีแดงดุจเปลวเพลิง และลมหายใจที่ร้อนระอุ มันคือ อสูรกายยักษ์ ที่อาศัยอยู่ก้นบึ้งของนรก นาม เบฮีมอธ



    “ให้ตายเถอะ ถ้าเป็นไปได้ชั้นก็ไม่อยากยุ่งกับแกหรอก ไอ้ยักษ์ แต่แกผิดเองที่มายุ่งกับชั้น” และทันใดนั้นเองลูคัสก็ชักเอาปืนแมกนั่มทั้ง 2 กระบอก ออกมากระหน่ำยิงใส่เจ้ายักษ์นั่นอย่างไม่ยั้ง สวนกับการวิ่งชาร์จเข้ามาของมัน จนถึงระยะประชิดตัวนั้นเองลูคัส ก็กระโดดหลบไปด้านข้างและไม่ลืมที่จะอัดกระสุนเวทย์มนตร์ใส่มันอย่างไม่นับ แต่ดูเหมือนการโจมตีทั้งหมดของลูคัส แทบจะไม่เป็นผลอะไรกับมันเลย หนำซ้ำมันยังหันกลับมาพ่นลมหายใจอันร้อนแรงดุจเปลวไฟของมันใส่ลูคัสเป็นการตอบโต้อีกด้วย โดยไม่ทันตั้งตัวลูคัส ถูกไฟของมันลวกอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ยังพอทนได้แล้วยิงสวนกลับไป



    ครั้งนี้ดูเหมือนจะได้ผลเพราะกระสุนพุ่งเข้าปากของมันอย่างแม่นยำ แต่การแลกเปลี่ยนที่ได้รับกลับมานั้นมันแทบไม่คุ้มกันเลยเมื่อเขาของมันขวิดเข้าที่กลางลำตัวของเขาจนกระเด็นลอยไป กระแทกกับหน้าผา และก่อนที่ลูคัสจะทำอะไรได้มันก็พุ่งเข่าขวิดเขาอีกครั้งหนึ่งและสะบัดกระเด็น ไปกระแทกกับรูปปั้นที่ทางเข้าวิหารเต็มแรง ร่างของลูคัสในเวลานี้ชุ่มโชกไปด้วยเลือด และบาดแผลฉกรรจ์จากเขาอันคมกริบของมัน ปืนแมกนั่มในเวลานี้ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป เพราะพลังเวทย์มนตร์ของเขา ถูกดึงไปจนเกือบหมด จนไม่เหลือกระทั่งพลังในการรักษาบาดแผล เบฮีมอธคำรามอย่างย่ามใจคราวนี้มันไม่ใช้วิธีพุ่งเข้าชนอย่างบ้าคลั่งอีกแล้ว แต่มันกลับเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของลูคัส อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตาแทน ลมหายใจของมันพร้อมที่จะพ่นใส่เป้าหมายทุกเมื่อ



    เวลานี้ลูคัสก็ลุกขึ้นมายืนหยัดอีกครั้ง ด้วยการฝืนสังขารอย่างถึงที่สุด พลังเฮือกสุดท้ายของเขาถูกนำมาใช้ในการแปรสภาพอาวุธในมือขวาเป็นคาธาร์อันคมกริบ จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าใส่มันทันที เป็นเวลาเดียวกับที่มันก้มหัวลงแล้วตวัดเขาอันแหลมคมเพื่อเสยขึ้นสู่เป้าหมายคือกลางอกของลูคัส และแล้วก็มีเสียงเหมือนของแข็งกระทบกันอย่างรุนแรง อากิโกะถึงกับหลับตาด้วยความเสียวสะท้าน และเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็ได้เห็นภาพที่ทำให้ต้องสะเทือนใจไปทั้งชีวิตนั่นคือ ภาพของลูคัสที่ถูกเขาอันแหลมคมเสียบทะลุเข้าที่กลางอกและถูกสะบัดไปมา



    แต่ทว่ามือซ้ายของเขายังคงจับเขาของมันไว้แน่น และในทันใดนั้นเองลูคัสก็ไสร่างตัวเองสวนทางเข้าไปจนถึงโคนเขาของมัน แล้วเงื้อคาธาร์ในมือขวาขึ้นทิ่มลงไปที่หน้าของมันอย่างสุดกำลัง โลหิตสีเขียวเข้มพุ่งทะลักออกมาราวกับน้ำพุแม้ว่าจะได้ผลแต่การโจมตีในครั้งนี้ดูเหมือนจะทำให้มันยิ่งคลั่งมากขึ้นไปอีก มันสะบัดลูคัสจนหลุดออกมากองอยู่กับพื้นตรงหน้าทันที พร้อมทั้งส่งเสียงคำรามดังสนั่นด้วยความเจ็บปวด แววตาของมันเต็มไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธแค้น มันก้มลงมองร่างของมนุษย์ตัวน้อยที่สามารถสร้างบาดแผลให้มันได้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยเฉพาะแผลล่าสุดที่ถึงกับทำให้มันเจ็บปวดแสนสาหัสได้ ส่วนลูคัสที่เวลานี้หมดสิ้นพลังเวทย์มนตร์ เสื้อคลุมของเขาก็กลับสู่สภาพเดิมของมัน คือเสื้อคลุมของพวกดรูอิดโบราณ เนื่องจากเสื้อคลุมนี้เป็นส่วนหนึ่งของผู้ครอบครองหากเมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ใช้ไม่มีพลังชีวิต หรือ พลังเวทย์มนตร์ มันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม



    “อเล็กซ์ ไม่นะ คุณต้องไม่เป็นอะไร คุณต้องฟื้นขึ้นมาแต่งงานกับชั้นก็คุณสัญญาแล้วนี่ อเล็กซ์ ชั้นรักคุณนะ คุณต้องฟื้นสิ ฟื้นขึ้นมา” อากิโกะ วิ่งออกมาด้วยน้ำตานองหน้า เวลานี้เธอไม่สนใจไรอีกแล้ว เธอโผเข้ามาช้อนร่างอันแน่นิ่งและโชกไปด้วยเลือดของลูคัสเอาไว้ แล้วทันใดนั้นเธอก็สังเกตได้ถึงแสงประหลาดที่เปล่งประกายออกมาจากมีดในซองหนังที่เอวข้างขวาของลูคัส แต่กระนั้นเธอก็ยังคงกอดลูคัสไว้แน่นด้วยใบหน้าที่นองน้ำตา โดยไม่สนใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก เบฮีมอธในเวลานี้ที่มันกำลังเจ็บปวด จนแทบจะเสียกำลังเพราะคาธาร์ของลูคัสทิ่มลงไปในสมองของมันโดยตรง แต่มันก็ยังอุตส่าห์รวบรวมพลังที่จะใช้ในการพ่นไฟออกมาได้อยู่ และตอนนี้เป้าหมายของมันไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะสู้ได้อีกต่อไปแล้ว ทันใดนั้นเองมันก็อ้าปากกว้างรวบรวมพลังความร้อนมาอยู่ที่ปากจนสัมผัสได้ถึงความร้อนแรงและในวินาทีนี้เอง



    ลูคัสที่แน่นิ่งอยู่จู่ๆ ก็เผยอตัวขึ้นมาชักเอาแวน เฮลซิ่ง ออกมาจ่ากซองหนังแล้วกุมกระชับไว้มั่น ทันใดนั้นเบฮีมอธก็พ่นเปลวเพลิงอันร้อนแรงออกมา เป็นเวลาเดียวกับที่ลูคัสผลักอากิโกะออกไปจากรัศมีของเปลวไฟนรกนั่น แล้วเขาก็พุ่งตัวสวนทางเข้าไปในเปลวไฟอันร้อนแรงแล้วใช้ แวน เฮลซิ่ง แทงลงไปที่กลางกะโหลกของมันอีกครั้งหนึ่ง แล้วจากนั้นเขาก็ปล่อยมือออกจากมีด แล้วล้มลงทันที ด้วยความเจ็บปวดที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจนทั่วทั้งตัว จากนั้นลูคัสก็หันมายิ้มให้กับอากิโกะ ก่อนที่ดวงตาของเขาจะค่อยๆ ปิดลง แล้วนอนอย่างสงบ ณ ที่นั้น ปล่อยให้เจ้าเบฮีมอธนั่น คำรามอย่างเจ็บปวด แล้วล้มลงอย่างสิ้นฤทธิ์ที่ตรงนั้นเอง



    “อเล็กซ์” อากิโกะร้องไห้ออกมาอย่างเสียขวัญ แล้วเธอก็เข้ามากอดร่างอันแน่นิ่งของลูคัสเอาไว้



    “ทำไม ทำไม คุณถึงทำแบบนี้ ทำไมคุณต้องฝืนด้วย อเล็กซ์ ชั้นรักคุณนะ ถ้าไม่มีคุณแล้วชั้นจะทำยังไง คุณจะทิ้งชั้นไว้แบบนี้ไม่ได้นะ คุณจะหนีชั้นไปแบบนี้ไม่ได้ ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อเล็กซ์ ฟื้นขึ้นมาสิคะ ฟื้นขึ้นมาพูดกับชั้นก่อน ไหนคุณบอกว่าจะเป็นอัศวินของชั้นจะปกป้องชั้น แล้วเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไง แล้วทำไมคุณถึงต้องหนีชั้นไปแบบนี้ด้วย” อากิโกะยังคงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสารจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าหางของเบฮีมอธกำลังค่อยๆ กระดิกทีละน้อยๆ จนกระทั่ง ดวงตาของมันค่อยๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ และ จ้องมาที่ทั้งคู่อย่างประสงค์ร้าย แล้วทันใดนั้นเองมันก็ส่งเสียงคำรามเบาๆ ในลำคอออกมา จนทำให้อากิโกะรู้สึกตัว



    แล้วเมื่อหันมา เธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมันกำลังอ้าปากเตรียมจะพ่นลมหายใจอันร้อนแรงเข้าใส่ ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนี้เองที่อากิโกะไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้วว่าจะอยู่หรือตาย เธอตัดสินใจกอดร่างของลูคัส ชายที่เธอรักไว้แน่นด้วยน้ำตาที่นองหน้าก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับตั้งใจอย่างแน่วแน่ด้วยแรงอธิษฐาน



    “อเล็กซ์ รอก่อนนะ ชั้นจะตามคุณไปเดี๋ยวนี้” และขณะที่น้ำตาของเธอหยดลงไปสัมผัสกับเหรียญตราที่ห้อยอยู่ที่หน้าอกของลูคัส ก็พอดีกับที่ไฟนรกจากปากของอสูรกายยักษ์พุ่งเข้ามาแผดเผาร่างของเธอและลูคัส อย่างไม่มีทางหลบเลี่ยงได้



    .............



    จบ บทที่ 3 ดินแดนใต้พิภพ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×