ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 สู่ลำนำแห่งความหายนะ
บทที่ 2 สู่ลำนำแห่งความหายนะ
...............................................
    1 อาทิตย์ก่อนจะถึงงานแสดงแฟชั่นโชว์ของบราห์ม สตรูก้า ในกรุงเทพ ณ ชนบท อันห่างไกลในประเทศอังกฤษ กระท่อมน้อยตั้งอยู่ริมลำธารอันใสสะอาดและบริสุทธิ์ที่ไหลรินลงมาจากยอดเขา แสงแดดยามเช้าที่แสนอบอุ่นเป็นสีทองเจิดจ้า ชาย 2 คน นั่งจิบชาและเดินหมากในกระดานหมากรุกภายใต้ต้นโอ๊กต้นใหญ่ 1 ในนั้นเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ 28 ถึง 30 ปี ส่วนอีกฝ่ายคือชายสูงอายุที่มีเส้นผมละหนวดเคราเป็นสีเงินยวง สวมเสื้อคลุมแบบโบราณและมีไม้เท้าวางอยู่ใกล้ๆ ทั้งคู่ต่างมองหมากในกระดานของตน ก่อนที่จะวางลงไป เพื่อหวังชิงชัยกันในเกมของหมากรุก ไม่นานนัก หมากสีดำของชายชราก็ถูกล้อมไว้ ด้วยหมากสีขาวของชายหนุ่ม แต่สีหน้าของชายชรายังคงเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอันสุขุมอยู่เช่นเดิม
“ผมแพ้แล้วครับ ท่านอาจารย์” จู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมา หลังจากมองดูหมากขาวของตนที่ล้อมหมากดำของชายชราไว้
“หึๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ได้พบกันตั้งนานดูเธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ทั้งการใช้สมาธิ ความเยือกเย็น และการตัดสินใจที่เฉียบขาดทว่าเปี่ยมไปด้วยความสุขุมรอบคอบนี้อีก ชั้นคงไม่มีอะไรที่จะสอนเธออีกแล้วล่ะมั้ง” ชายชรา พูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา และภาคภูมิใจเมื่อมองไปที่ชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์ของเขา
“ไม่หรอกครับ ผมยังมีอีกมากที่ต้องเรียนรู้จากท่าน” ชายหนุ่มพูดอย่างถ่อมตน ทว่าชายชรากลับยิ้มและโบกมือห้ามไว้
“อย่าถ่อมตัวไปเลย ศิษย์ข้า ตลอดเวลาที่เราได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน ชั้นรู้ดีว่าวันนี้จะต้องมาถึง วันที่เราจะต้องจากกันไปชั่วนิรันดร”
“ท่านอาจารย์ เมอร์ลิน ทำไมท่านถึงพูดอย่างนั้น ในเมื่อท่านเองก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้” ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี เมื่อได้ยินประโยคสั่งลาจากผู้เป็นอาจารย์
“ผิดไปแล้ว ลูคัส ที่ชั้นออกมาได้ ก็เป็นเพราะพลังอำนาจของคำสาปอันชั่วร้ายที่เสื่อมถอยลงต่างหาก แต่ตอนนี้พลังนั้นมันกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว และในไม่ช้า ชั้นก็จะต้องกลับไปอยู่ในต้นโอ๊กตามเดิม ด้วยอำนาจแห่งคำสาปของมอร์แกนน่า เลอ เฟย์ เธอไม่มีทางที่จะปลดปล่อยคำสาปนี้ได้เพราะมันคือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว” เมอร์ลิน พูดขึ้นมา ก่อนจะถอนหายใจออกมา ครั้งใหญ่
“และก่อนที่คำสาปจะกลับมามีอิทธิพลอีกครั้ง ชั้นมีของที่จะต้องมอบให้เธอให้ได้ ตามมาในบ้านสิ” จากนั้นเมอร์ลิน ก็เดิน หายเข้าไปในกระท่อม ลูคัสจึงเดินตามเข้าไป และทันทีที่ทั้งคู่เดินเข้าไปในกระท่อมโต๊ะหินอ่อนกระดานหมากรุก และถ้วยน้ำชาก็หายวับไป ราวกับว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นมาก่อน
    สภาพภายในกระท่อม มันถูกตกแต่งอย่างดี อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เมอร์ลินเดินนำลูคัสไปยังบันไดวน ที่ทอดตัวลงไปยังเบื้องล่าง จนกระทั่งถึงประตูที่ปิดตายเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ที่นี่ คือสถานที่ต้องห้าม ที่เก็บอุปกรณ์เวทย์มนตร์อันตรายบางอย่างเอาไว้ เอาล่ะตามมาสิ” เมอร์ลิน เปิดประตูเดินนำหน้าลูคัสเข้าไปในห้องนั้นแล้วจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก นอกจากสายตาที่กวาดไปมาและจับจ้องดูที่อุปกรณ์เวทย์มนตร์ต่างๆ
“พลังเวทย์มนตร์ในนี้แรงจริงๆ ท่านอาจารย์ครับ ในนี้มีอย่างอื่นนอกเหนือจากอุปกรณ์เวทย์มนตร์ด้วยใช่มั้ยครับ” ลูคัส สัมผัสถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไหลแผ่เข้าสู่ร่างกายของเขามาตั้งแต่แรกที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ดูเหมือน ศาสตร์ของดรูอิดโบราณ ที่เธอได้ศึกษามาจะไม่สูญเปล่านะ ถูกแล้ว ในนี้มีอย่างอื่นอยู่ด้วย”
“พลังนี้มัน คุ้นมาก เหมือนพลังของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องบางสิ่งบางอย่างอยู่ เหมือนในวิหารแห่งอวาลอนไม่มีผิด” ทันทีที่ลูคัสกล่าวจบ ลำแสงประหลาดก็ปรากฏขึ้นมาก่อนจะกลายสภาพเป็นรูปร่างของ อัศวินในยุคโบราณสวมมงกุฎอันสง่างาม ในมือกุมด้ามดาบที่เป็นรูปกางเขนทองคำอยู่และที่สำคัญ คมของดาบนั้นเปล่งประกายส่องสว่างออกมาราวกับเทียนนับพันเล่มอยู่ตลอดเวลา
“ยินดีต้อนรับ เมอร์ลิน และท่านนักเวทย์หนุ่ม ข้าอาเธอร์รอคอยการมาของท่านอยู่” อัศวินลึกลับผู้นั้นกล่าวต้อนรบทั้งสอง และผายมือไปยังอุปกรณ์เวทย์มนตร์ต่างๆ
“เชิญ เลือกชมได้ตามสบายเลย อุปกรณ์เวทย์มนตร์เหล่านี้ มิใช่ของใครคนใดคนหนึ่งหากแต่มันจะเลือกเจ้าของผู้ครอบครองของมันเอง เช่นเดียวกับดาบเอกซ์คาลิเบอร์ของข้า อ้อ อีกอย่างข้าต้องขอบคุณท่านมากนะ นักเวทย์หนุ่มชาเขียวจากตะวันออกไกลของท่านรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว” จากนั้นร่างของอาเธอร์ก็หายลับไป
“เป็นเกียรติอย่างสูง ที่ฝ่าบาทโปรดในรสชาตินั้น เอาล่ะ ลองดูละกันว่าชิ้นไหนที่ข้าคู่ควรจะได้ครอบครอง” จากนั้นลูคัส ก็หลับตาลง พร้อมกับหันไปรอบตัวช้าๆ ทันใดร่างของเขาก็มีแสงล้อมรอบออกมา และในกองอุปกรณ์ที่อยู่ในห้องนั้นเอง ประกายแสงแบบเดียวกันก็ปรากฏขึ้น แล้วกระพริบตอบรับพลังของลูคัส
“อืม พื้นฐานวิชาเวทย์มนตร์ การภาวนาอธิษฐานรึ ฉลาดมาก” เมอร์ลินซึ่งยืนดูอยู่ห่างๆ กล่าวชมด้วยสีหน้าอันภาคภูมิใจ และทันใดนั้นเอง เสื้อคลุมสีขาวตัวหนึ่งก็ลอยขึ้นมา พร้อมกับสร้อยคอ ที่สลักเป็นสัญลักษณ์รูปเพนทาแกรมหรือดาวหกแฉกอันเป็นสัญลักษณ์ แห่งเวทย์มนตร์ เช่นเดียวกับลวดลายที่สลักอยู่บนเสื้อคลุมนั้น
“เหรียญตราแห่งพลัง กับเสื้อคลุมเวทย์มนตร์ ในที่สุด มันก็พบกับเจ้าของที่แท้จริงของมันจนได้” วิญญาณของอาเธอร์ ปรากฏตัวขึ้นมาพูดกับลูคัส พร้อมกับมองไปที่อุปกรณ์ 2 ชิ้นนั้น
“เหมือนตอนที่ข้าได้รับเอกซ์คาลิเบอร์เล่มนี้มาไม่มีผิด”
“เอาล่ะ จงยื่นมือไปสัมผัสมันสิ แล้วมันจะกลายเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์” เมื่อเมอร์ลินกล่าวจบลูคัสก็ได้ทำตามโดยการยื่นมือไปสัมผัสกับเหรียญและเสื้อคลุม จากนั้นทั้ง 2 สิ่งก็สวมเข้ากับร่างของลูคัส อย่างพอดิบพอดี
“ไซส์พอดีเลย แต่ดีไซน์ไร้รสนิยมสิ้นดี น่าจะออกแบบได้ใหม่นะเนี่ย” ทันทีที่พูดจบเสื้อคลุมสีขาวนั้น ก็ แปรสภาพเป็นชุดทักซิโด้ทันที จนลูคัสถึงกับตะลึงไปเลย
“โอว พระเจ้า จอร์จ มันสุดยอดมาก My name is Bond James Bond” ลูคัส แสดงท่าทางราวกับคนบ้า ส่วนอาเธอร์และเมอร์ลินได้แต่ยืนมองตากันทำตาปริบๆ
“แปลกมาก ทำไมถึงมีแต่เครื่องป้องกัน แต่ไม่มีอาวุธ” เมอร์ลิน เอ่ยขึ้นอย่างงุนงง
“ก็เสื้อคลุมนี่ไงครับ อาวุธ” ลูคัส ตอบทันทีหลังจากเริ่มคุ้นเคยกับเสื้อคลุมที่แปรสภาพได้เรื่อยๆ ตามแต่ใจจะคิด
“เริ่มจากแบบนี้” จากนั้น ถุงมือในมือข้างขวาของลูคัสก็แปรสภาพ ไปเป็นคาธาร์อาวุธสังหารของอินเดียโบราณ ลักษณะของมันเป็นใบมีดที่ยาวและแหลมคมมี 3 แฉกติดอยู่กับปลายแขน แต่ของลูคัสนั้นเป็นใบมีดเล่มใหญ่ใบเดียวแต่มีแฉกเล็กๆ ที่โคนทำให้ดูมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ส่วนถุงมือที่แขนซ้ายก็มีโซ่ที่คมกริบราวกับฟันเลื่อยพันอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ทว่าส่วนหัวของมันกลับมีรูปร่างคล้ายกับหัวของมังกร และแนบติดกับหลังมือของลูคัส อย่างเหนียวแน่น
“ศาสตร์การสังหารของตะวันออกไกล สมแล้วจริงๆ กับที่ถูกเลือกให้เป็นผู้ครอบครองเสื้อคลุมนักรบเวทย์มนตร์แห่งดรูอิด จากนี้ไปข้าคงเรียกเจ้าว่านักเวทย์หนุ่มไม่ได้อีกแล้ว ต้องเป็นจอมเวทย์หนุ่มเลยต่างหาก” อาเธอร์ พูดออกมาอย่างพอใจ
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท” ลูคัสค้อมหัวลงคำนับอย่างนอบน้อม ส่วนอาวุธที่แขนนั้นได้แปรสภาพกลับไปเป็นอย่างเดิมเรียบร้อยแล้ว ในชุดเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่มาตั้งแต่แรก
“ว่าแต่ มันจะอยู่กับผมตลอดเวลาเหรอครับ ท่านอาจารย์ แล้วแบบนี้เวลาอาบน้ำล่ะครับ”
“ไม่ต้องกังวลไป เพราะมันจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอ นับแต่นี้ไป ตราบที่เหรียญตรานั่นยังยอมรับให้เธอเป็นเจ้าของ แต่ตอนนี้เราต้องลาจากกันจริงๆ แล้ว รักษาตัวด้วยนะศิษย์ของข้า จงรีบไปซะอย่ารอช้า ข้ามองเห็นเวลานี้เพื่อนของเจ้ากำลังจะเผชิญกับอันตรายย่างใหญ่หลวง” เมอร์ลิน พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ลำบากใจยิ่ง
“ครับท่านอาจารย์ ซักวันหากผมแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ผมจะต้องมาปลดปล่อยท่านจากคำสาปนี้ให้ได้” ลูคัส มองที่เมอร์ลินอย่างอาลัยอาวรณ์ และได้มอบคำปฏิญาณไว้ให้ ซึ่งทำให้อาเธอร์พอใจยิ่งนัก
“เอาล่ะ ถึงมันจะนอกธรรมเนียมไปหน่อย แต่ข้าคงต้องทำอะไรซักอย่าง คุกเข่าลง จอมเวทย์หนุ่ม และจงประกาศชื่อของเจ้าให้กับข้า” อาเธอร์ ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอันทรงอำนาจ
“นามแห่งข้า คือ อเล็กซ์ ลูคัส ผู้สืบทอดแห่งจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ เมอร์ลิน ขอน้อมรับบัญชาจากท่าน” ลูคัส คุกเข่าลงและกล่าวคำปฏิญาณและประกาศตัวตนของตนทันที
“ดี ในนามแห่งเซนต์ปีเตอร์ และ เซนต์ไมเคิล ด้วยอำนาจแห่งเอกซ์คาลิเบอร์ ข้า ขอ แต่งตั้งเจ้าเป็นหนึ่งในภราดรแห่งอัศวินโต๊ะกลม ณ บัดนี้” อาเธอร์ ใช้ดาบของเขา วางลงบนศีรษะ และ ไหล่ทั้ง 2 ของ ลูคัส ก่อนจะเก็บมันเข้าฝักตามเดิม
“ลุกขึ้น เซอร์ลูคัส อัศวินแห่งตะวันออกไกล” ทันทีที่พูดจบ ลูคัสก็ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับอาเธอร์อย่างเต็มภาคภูมิ และใช้มือซ้ายกุมไว้ที่หัวใจ ส่วนมือขวา สัมผัสที่ไหล่ขวาของอาเธอร์ เช่นกันกับที่อาเธอร์ได้ทำเช่นเดียวกันกับลูคัส
“อัศวินปฏิญาณตน ด้วยดาบแห่งความชอบธรรม แข็งแกร่งพิทักษ์อ่อนแอ เสมอภาค และ ภราดรภาพ ขอวิญญาณอันยิ่งใหญ่พิทักษ์เราผอง จากพี่สู่น้องและน้องสู่พี่ ขอร่วมชีวีและร่วมตาย ภายใต้ธงแห่งโต๊ะกลม” ทั้งคู่กล่าวคำสัตย์ปฏิญาณออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน และ ทันทีที่กล่าวจบ สวรรค์ และ พิภพก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ด้วยอัศวินผู้พิทักษ์ธรรมคนใหม่ ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
“ลาก่อน อาจารย์ และฝ่าบาท รักษาตัวด้วย” ลูคัส กล่าวคำอำลา ก่อนจะเดินออกไป ข้างนอก เพื่อออกสู่โลกปรกติ ก่อนที่ดินแดนแห่งนี้จะถูกปิดลงอีกครั้ง
“เช่นกัน เซอร์ลูคัส พบกันครั้งหน้า ข้าขอ อูหลง กับ เซ็นฉะ อย่างละตันนะ จะได้เก็บไว้ดื่มนานๆ หน่อย” อาเธอร์ยังไม่วายอาลัยอาวรณ์ชาเขียวที่ลูคัส นำมาฝาก และทันทีที่ ลูคัส เดินออกมาจนพ้นกระท่อมหลังนั้น เมื่อหันกลับไปมองเขาก็ไม่เห็นอะไรอีกนอกจากต้นโอ๊กต้นใหญ่ ริมลำธาร จากนั้นเขาจึงเดินมุ่งหน้าลงไปยังหมู่บ้านที่เชิงเขาด้านล่าง โดยไม่ลืมที่จะเปลี่ยนให้ชุดกลับมาเป็นเสื้อผ้าปรกติ เพื่อไม่ให้ใครสงสัย
“จอมนางแห่งทะเลสาบ เหตุใด ดาบเทวทูตพิโรธ จึงมิยอมเลือกลูคัส เป็นเจ้าของ โปรดตอบด้วยเถิด” เมอร์ลิน พูดขึ้นกับทะเลสาปในถ้าใต้ดินอันเป็นที่พำนักของตน แล้วทันใดนั้นหญิงสาวในชุดนางพญาผู้สูงสง่าก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเมอร์ลิน
“ชายผู้นั้น มีชะตากรรมที่จะครอบครองอาวุธที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ประกายแห่งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ ที่หายสาบสูญไปนับแต่ครั้งสงครามอามาร์เกด้อน”จอมนางแห่งทะเลสาบได้ตอบคำถามของเมอร์ลินอย่างตรงไปตรงมา ก่อนที่จะหายลับไป
“ประกายแห่งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ ที่สาบสูญไปในสงครามแห่งอาร์มาเกด้อน อา อย่างนี้นี่เอง ถ้าเป็นอย่างนั้นศิษย์รักของข้า เจ้าคงต้องแบกภาระหนักหน่อยล่ะนะ” ทว่า เมื่อพูดจบจู่ๆ ดาบเล่มหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากกองอุปกรณ์เวทย์มนตร์ เปล่งประกายเจิดจรัส แล้วพุ่งหายไปทำให้เมอร์ลินพิศวงยิ่งนัก
“นั่นมันเทวทูตพิโรธ แต่ทำไมพึ่งจะแสดงเจตจำนงตอนนี้เล่า หรือว่า...........มารร้ายตนนั้นกลับมาแล้วสินะ”
    ท่ามกลางผู้คน ที่เดินกันขวักไขว่ ในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ลูคัส เดินตรงไปยัง โรงแรมที่พักเพื่อเตรียมตัวหารถโดยสารนั่งกลับลอนดอน แต่ทว่าชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งได้ออกมายืนขวางทางเขาไว้
“คุณ อเล็กซ์ ลูคัส เรามีเรื่องขอร้องให้คุณช่วย” หัวหน้าของชายกลุ่มนั้นพูดขึ้นมา เบื้องหลังเขาคือ รถลีมูซีน คันยาวใหญ่
“ให้ตายสิ คนกำลังรีบแท้ๆ อยู่ดีๆ ก็เจอพวกเซนทิเนล มารอรับเลยเหรอเนี่ย” ลูคัส พูดขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย
“นายท่านสั่งมาว่า ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องตามหาคุณให้พบให้ได้ครับ” ชายชุดดำนั้นยังคงพูดจานอบน้อมเช่นเคย ก่อนจะส่งแฟ้มฉบับหนึ่งให้กับลูคัส
“นี่คือ แฟ้มคดี ฆาตกรรมต่อเนื่องของหญิงสาวในแถบยุโรปและเอเซีย ที่เกิดขึ้นมาไม่นานนี้ครับ เหยื่อทุกรายเสียชีวิตจากการถูกดูดเลือดออกไปจนหมดตัวครับ” ลูคัส เปิดมองแฟ้มนั้นอย่างพิจารณาและเมื่อพบว่า เหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นในทุกเมืองที่ เป็นทางผ่านของบราห์ม เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดสังเกตมากขึ้น
“ดูจากภาพแล้ว เป็นฝีมือ ของแวมไพร์อย่างแน่นอน แต่น่าแปลกที่ทำไมแวมไพร์ถึงได้ออกล่าเหยื่ออีกทั้งที่มีกฎการอยู่ร่วมกัน นอกจากจะเป็นพวกที่คิดจะก่อสงคราม” ลูคัสเปรยขึ้นมาอย่างสงสัย
“สงครามน่ะ เริ่มแล้วครับ และผู้ที่ทำลายกฎนี้คือ ราชันย์แห่งแวมไพร์ ผู้สืบสายเลือดโดยตรงจาก เคนและลิลิธ บราห์ม สตรูก้า ครับ”
“บราห์ม รึ สายเลือดโดยตรงจากเคน คงไม่ง่ายแน่ถ้าจะสู้กับมัน ทางสมาคมเตรียมการไว้แล้วหรือยัง”
“เรื่องนั้น ขอให้ไปคุยกับ นายท่านด้วยตัวเองเถอะครับ” จากนั้น รถลีมูซีน ก็ ตรงเข้าสู่เขตรั้วของคฤหาสน์ใหญ่ ซึ่งภายในคือที่ตั้งแห่งสมาคมเซนทิเนล หรือ ผู้คุมกฎ แห่งการอยู่ร่วมกันของทั้งมนุษย์และปีศาจ และทันทีที่รถจอดถึงที่ ชายชราสูงอายุ ก็เดินออกมาต้อนรับลูคัสในทันที
“ยินดีต้อนรับ สู่สภาแห่งเซนทิเนล อเล็กซ์ ดีใจมากที่คุณมาถึงที่นี่”
“ไม่ได้อยากมานักหรอก แต่โดนคนของคุณเรียกตัวมานี่น่ะสิ อีกอย่างคราวนี้มันเรื่องใหญ่ระดับโลกเลยนะ ผมไม่อยากให้เสียเวลา รีบเข้าเรื่องเถอะ”
“ได้สิ เชิญข้างในเลย” จากนั้นทั้งหมดก็เดินเข้าไปภายในคฤหาสน์แห่งนั้น
    บริเวณ ห้องประชุมหลักของคฤหาสน์ เหล่าสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสภาเซนทิเนล นั่งอยู่ประจำที่ของตน เบื้องหน้าของลูคัส ก่อนจะเปิดประชุม
“เราอยากฟังความเห็นจากคุณ ในเรื่องของคดีที่เกิดขึ้นนี้”
“จากแฟ้มรายงานที่ผมตรวจดูแล้วระหว่างทาง หญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมล้วนแต่เกิดในราศีกันย์ อันหมายถึงหญิงพรหมจรรย์ ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า เป้าหมายของแวมไพร์ตนนี้ คือการค้นหาบางสิ่งบางอย่างแน่นอน” ลูคัสกล่าวตอบคำถามอย่างฉาดฉาน
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่ามา เราก็พอจะเดาจุดประสงค์ของมันได้บ้างแล้ว เอาล่ะ แต่ว่าตอนนี้ พวกเราอยากให้คุณเดินทางไปยังเกาะแฟนธอม ที่โผล่ขึ้นมากลางทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่นั่นทีมสำรวจจากมหาวิทยาลัยโตเกียว โดย ดร.อากิโกะ กำลังทำการค้นคว้าต่อซากโบราณสถานที่ขุดค้นพบอยู่ ซึ่งทางเราเชื่อว่ามันน่าจะเป็นวิหารแอนทิออคในตำนานแน่ๆ  ที่มั่นใจเช่นนี้ก็เพราะเราได้รับรายงานมาว่าพบสลักหินขนาดใหญ่ที่จารึกด้วยอักษรโบราณ ที่ไม่มีใครแปลได้เราจึงอยากให้คุณไปดู และที่สำคัญที่สุด เราอยากให้คุณจับตาดูและคุ้มครองเธอเอาไว้ จนกว่าการขุดค้นจะเสร็จสิ้น คุณพอจะทำได้มั้ย”
“ด้วยความยินดีครับ แต่ครั้งนี้ผมคงต้องขออาวุธที่มันดีๆ หน่อยนะครับ เพราะถ้าหากมีตัวอะไรโผล่ไปล่ะก็ ลำพังอาวุธที่คุณมอบให้เจ้าหน้าที่ทีมวิจัยพวกนั้น คงรับมือไม่อยู่แน่ๆ ขอตัวนะครับ” จากนั้นลูคัสก็เดินออกมาจากห้องประชุม ตรงไปยังห้องใต้ดินอันเป็นคลังอาวุธ
    ภายในห้องที่เต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์ต่างๆ ราวกับคลังแสงของเพนทาก้อน ลูคัสเดินตรงไปยังชายหูแหลมหลังค่อมคนหนึ่งที่นั่งขัดปืนอยู่พอดี พร้อมทั้งเอ่ยปากทักทายทันที
“ขอไอ้ที่มันแรงๆ สุดๆ ไปเลยนะ” ลูคัสพูดกับชายหลังค่อมคนนั้นอย่างสั้นๆ แต่ได้ใจความ
“อืม พลังเวทย์สูงขึ้นมากเลยนี่ ถ้าอย่างนั้นอาวุธที่เหมาะสมที่สุดคงต้องเป็นเจ้านี่แล้วล่ะ” จากนั้นชายหลังค่อมก็เดินไปหยิบกล่องสีดำออกมากล่องหนึ่งซึ่งอยู่บนโต๊ะชั้นวางอาวุธที่แยกออกมาต่างหากจากอาวุธทั่วไป และเมื่อเปิดออกมามันคือปืนพกขนาดใหญ่ 2 กระบอก ที่มีรูปร่างสวยงาม ด้ามจับเป็นสีดำ ส่วนตัวกระบอกลำกล้องหลักเป็นสีเงินเปล่งประกายแวววาวตกแต่งบริเวณศูนย์เล็ง และท้ายปืนอย่างประณีตและงดงามด้วยผลึกสีแดงเป็นรูปร่างคล้ายปีกนก แต่ดูคล้ายโลหะมากกว่าผลึก บริเวณใกล้ปากกระบอกก็หุ้มด้วยผลึกโลหะสีแดงนี้เช่นกัน แต่ได้มีการเจาะรูเล็กๆ ไว้ เพื่อเป็นการระบายความร้อน จากการยิง
“Firebird Steel Magnum คู่นี้น่าจะเหมาะกับคุณที่สุด เพราะมันไม่ต้องใช้กระสุนในการยิง แต่จะใช้การแปรสภาพพลังเวทย์จากตัวคุณเอง มาเป็นกระสุนพลังงานในการยิง อานุภาพการทำลายของมันรับรองว่าต่อให้เป็นซาตานก็ไม่มีทางรอด ถ้าโดนอย่างจังนะ”
“ถ้าถึงขนาดยิงซาตานให้ตายได้ในนัดเดียวนี่ ผมก็คงเป็นพระเจ้าไปแล้วมั้ง แต่เอาเถอะผมจะรับไว้แล้วกัน ว่าแต่กระสุนที่ดูแปลกๆ นั่นมันอะไรน่ะ” ลูคัสมองไปที่แมกกาซีนบรรจุกระสุนขนาดต่างๆ ที่วางอยู่ไกลๆ ซึ่งหัวกระสุนเหล่านั้นเปล่งประกายสีม่วงออกมาอย่างน่าประหลาด
“กระสุนสังหารสำหรับปีศาจทุกประเภท หัวกระสุนเคลือบรังสี อุลตร้าไวโอเล็ท สำหรับแวมไพร์ ส่วนหลอดบรรจุภายในปลอกกระสุนเป็นซิลเวอร์ไนเตรทผสมกับน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากวาติกัน ในแบบเข้มข้นสุดๆ รับรองว่า ต่อให้เป็นเคานท์อะไรต่อมิอะไร หรือ ปีศาจหน้าไหนก็ไม่รอด” ชายหลังค่อมกล่าวอย่างภาคภูมิใจในผลงานของตน
“รอดได้มันก็พระเจ้าล่ะ พี่ท่าน อะโห เล่นทั้ง UV สารแร่เงินบริสุทธิ์ ผสมกับน้ำมนต์วาติกันอีก อย่าว่าแต่ปีศาจเลย คนโดนเข้าไปก็ไม่รอดแล้ว แต่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ พวกเอลฟ์ที่รักสงบอย่างพวกคุณ ทำไมถึงได้มาประดิษฐ์ของอย่างนี้นะ” ลูคัส ครางออกมาก่อนจะถามด้วยความสงสัย
    “มันก็เหมือนกับที่ ทำไมอาจารย์สอนถ่ายภาพอย่างคุณ ถึงกลายเป็นนักรบเวทย์มนตร์ของดรูอิด กับ อัศวินโต๊ะกลมนั่นแหละ อย่าปิดบังเลย ถึงคุณจะพรางสภาพยังไง แต่ด้วยสายตาของเอลฟ์ ประกายของมิธริลมันก็ไม่มีวันเล็ดรอดออกไปได้หรอก”
“ดูออกด้วยเหรอเนี่ย ขนาดพรางอย่างดีแล้วนะ ว่าแต่มีอาวุธจำพวกอาวุธระยะประชิดมั้ย ผมไม่ค่อยชอบปืนเท่าไหร่” ลูคัสพูดพลางมองไปที่ มีดเล่มยาวใหญ่สีเงินที่ทำจากมิธรีล ซึ่งลงอักขระแห่งดรูอิดเอาไว้ และมีโกร่งขนาดใหญ่ที่ทำจากโลหะเดียวกันแต่เป็นสนับมือในตัวครอบอยู่ที่ด้าม ซึ่งทั้งเล่มถูกตีขึ้นรูปจากโลหะชิ้นเดียวจึงนับได้ว่าเป็นงานฝีมือที่ถือเป็นสุดยอดแห่งการสร้างอาวุธจริงๆ
   
“นั่น แวน เฮลซิ่ง มีดที่ผมตีขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับกำจัดปีศาจโดยเฉพาะ ตั้งชื่อตามนักล่าปีศาจผู้โด่งดังเลยนะกว่าจะได้ลิขสิทธิ์ชื่อนี้มาต้องติดต่อแทบแย่ ถ้าคุณชอบผมยกให้ ทำจากมิธรีลเหมือนกันรับรองว่าพกไปไหนเครื่องตรวจจับอาวุธก็ไม่มีทางเจอ” เอลฟ์หลังคร่อมส่งมีดให้กับลูคัส อย่างอารมณ์ดี ที่มีดของตนจะได้พิสูจน์พลังของมันแล้ว
“จริงสิ วิหารแอนทิออคน่ะ ดูเหมือนมันน่าจะเป็นสถานที่เก็บรักษาสุดยอดอาวุธของเหล่าผู้กล้าในอดีตมากกว่าซากโบราณสถานธรรมดาๆ นะ ถ้าได้อาวุธหรืออะไรดีๆ มาล่ะก็ ผมจะเอามาปรับแต่งเป็นสุดยอดแห่งอาวุธให้ดู” เอลฟ์หลังค่อม พูดกับลูคัส ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นราวกับเด็กน้อยที่กำลังรอคอยของขวัญจากบิดามารดา อาจเป็นเพราะความเป็นช่างทำอาวุธในสายเลือดกระมัง
จากนั้นเอลฟ์หลังค่อมก็หันไปจัดการกับอาวุธของเขาต่อและไม่ได้สนใจอะไรกับลูคัสอีกต่อไป ลูคัสจึงเดินออกไปจากที่นี่ เพื่อไปเตรียมตัวเดินทางสู่เกาะแฟนธอม และ ที่สำคัญที่สุด อากิโกะ หญิงสาวผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นรักแรกของเขา ซึ่งถึงแม้ว่าเวลานี้หล่อนจะตัดความสัมพันธ์กับเขาแล้วก็ตาม แต่แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายที่เขาได้รับจากหล่อนก็ยังคง สวมติดกับตัวอยู่เสมอ สำหรับลูคัส การเดินทางในครั้งนี้นั้นเขาไม่ได้ล่วงรู้มาก่อนเลยว่า มันจะทำให้ชะตากรรมของทั้งเขาและอากิโกะ เปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์แบบ เช่นกันกับเพื่อนๆ ของเขาที่อยู่ในกรุงเทพด้วย
   
    ที่ไซต์งานขุดสำรวจ บนเกาะแฟนธอม ดร. อากิโกะ เดินคุมงานคนงานอย่างขะมักเขม้น อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เธอเป็นหญิงสาวร่างเล็กผิวขาว ผมยาวสลวย ตากลมโต และที่สำคัญเธอมีมันสมองอันชาญฉลาด และเชี่ยวชาญด้านเทววิทยาที่สุด ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นมานี้ คือ สาเหตุสำคัญที่ลูคัสหลงรักเธอจนแทบเป็นบ้า แต่ด้วยแนวความเห็นที่ต่างกันทั้งคู่จึงต้องแยกจากกัน ที่คอของหล่อนมีสร้อยเส้นเล็กๆ สวมอยู่และบนสร้อยเส้นนั้นคือแหวนเพชรน้ำงามที่แสดงประกายของมันออกมาอยู่ตลอดเวลา ทว่าประกายของมันกลับดูแฝงไว้ด้วยความเศร้าและความโหยหาอาลัย 
ในวันนี้ทีมงานขุดค้นของหล่อนได้พบกับหินก้อนใหญ่ที่ปิดผนึกเส้นทางซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเส้นทางไปสู่ ซากโบราณสถานที่เหลือซึ่งอยู่ใต้ดิน และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจเปิดประตูศิลานี้ได้เลย เบาะแสเพียงอย่างเดียว คือ แท่งศิลาที่ถูกขุดค้นพบใกล้ๆ กันนี้ ที่จารึกอักขระโบราณไว้ ซึ่งแม้แต่หล่อนเองก็ไม่สามารถที่จะถอดรหัสของคำจารึกนี้ได้ จนกระทั่ง ความหวังที่ริบหรี่ของหล่อนก็กลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อสมาคมเซนทิเนลติดต่อมาว่าจะส่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาช่วยในการแปลอักขระ ทำให้วันนี้การทำงานของหล่อนดูมีชีวิตชีวา ขึ้นอีกรั้ง
“นี่ ทางขวาน่ะ จัดการเคลียร์พื้นที่ให้กว้างออกไปอีกหน่อย ชั้นต้องการมองเห็นพื้นที่ด้านหน้าของซากโบราณสถานนี้ทั้งหมด ก่อนที่คนของสมาคมจะมาถึง” หล่อนสั่งการกับคนงานที่ควบคุมรถขุดเจาะอยู่ อย่างร่าเริง ซึ่งคนงานเหล่านี้ก็เต็มใจที่จะทำงานกับหล่อน แม้ว่าบางคนจะสัมผัสถึงอาถรรพ์บางอย่างก็ตาม
“อาจารย์ครับ เจ้าหน้าที่จากสมาคมมาถึงแล้วครับ” ผู้ช่วยหนุ่มของอากิโกะ วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกข่าวดีกับหล่อน ทำให้หล่อนต้องรีบรุดไปยังศูนย์ควบคุมทันที
“สวัสดีค่ะ ดิชั้น ดร. อากิโกะ จากทีมสำรวจมหาวิทยาลัยโต......เกียว.....ค่ะ” เสียงของหล่อนเป็นอันต้องชะงักลง เมื่อเห็นว่าคนจากสมาคมที่มานั้นเป็นใคร
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อากิ คุณดูสวยขึ้นมา......... เผียะ” ยังไม่ทันที่ลูคัสจะพูดจบ ฝ่ามือน้อยๆ ของอากิโกะ ก็สัมผัสใบหน้าของเขาอย่างเต็มรัก ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกๆ คนที่อยู่ในเต็นท์
“ชั้นไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ กลับไปซะ แล้วบอกให้สมาคมส่งใครก็ได้ที่ไม่ใช่คุณมาที่นี่” หล่อนพูดอย่างเฉียบขาด ก่อนที่จะหันหลังซ่อนใบหน้าที่นองด้วยน้ำตา เอาไว้ไม่ให้ใครเห็น
“ให้ตายสิ ยังมือหนัก แล้วก็ ขี้งอนเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนะ” ลูคัส พูดขึ้นมาทันทีหลังจากที่หน้าบวมไปแถบหนึ่ง แต่มันก็หายไป เมื่อเขาใช้ฝ่ามือลูบไปที่รอยตบ
“ขอโทษนะครับ แต่ ขอเวลาผมซักครู่จะได้มั้ยครับ” ลูคัส หันไปขอร้องบรรดาผู้ร่วมงานของอากิโกะซึ่งทุกคน ต่างก็ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“อากิ คือ ผม”
“ไปซะเถอะ ได้โปรด อย่าลับมาอีกเลย เรื่องของเรามันจบลงแล้ว ตั้งแต่วันนั้น วันที่คุณเดินออกไปจากชีวิตของชั้น” อากิโกะ ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำรำพึงรำพรรณนี้ออกมา
“คุณคิดว่าผมอยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เหรอ ในวันนั้นที่เรามีความคิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องตำนานโบราณนั่น คุณคิดว่าผมอยากจะจากคุณไปอย่างงั้นเหรอ คุณเองต่างหากที่เป็นฝ่ายบอกเลิกผมในวันนั้น คุณทำให้ผมต้องทรมานแค่ไหนคุณรู้บ้างมั้ย ไม่มีเลยแม้แต่วินาทีเดียวที่ผมจะไม่คิดถึงคุณ โธ่เว้ย ให้ตายสิ ทำไมผมถึงต้องมายืนอธิบายเรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ผู้หญิงหัวดื้อแบบคุณฟังด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” ลูคัสเองก็ระบายออกมา อย่างหมดความอดทนเหมือนกัน
“ใช่สิ ก็ชั้นมันคนหัวดื้อ เอาแต่ใจ ขี้งอนนี่ แล้วคุณจะมาสนใจชั้นทำไมล่ะ ไปสิ กลับไปค้นคว้าเรื่องเวทย์มนตร์อะไรไร้สาระนั่นของคุณต่อไปเลย แล้วไม่ต้องมายุ่งกับชั้นอีก” อากิโกะเอง ก็เถียงอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ขณะที่ด้านนอกพวกที่แอบฟังอยู่ ต่างก็ลุ้นและวิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน
“ชั้นว่า งานนี้ แขกของเราเจอศึกหนักว่ะ” ผู้ช่วยคนหนึ่งกล่าวขึ้น
“แต่ชั้นว่าไม่แน่นะเว้ย งานนี้ถ่านไฟเก่า อาจคุอีกก็ได้ ใครจะไปรู้” อีกคนก็ให้ความเห็นที่ต่างกัน
“ไม่มีทางหรอก ที่อาจารย์ จะกลับไปคืนดี กับไอ้หมอนั่นน่ะ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นมาอย่างหัวเสีย
“ก็แก หลงรักอาจารย์อยู่ข้างเดียวนี่หว่า แต่ก็แปลกนะ ถ้าอาจารย์ไม่มีเยื่อไยกับเค้าแล้ว ทำไมอาจารย์ยังห้อยแหวนนั่นไว้ที่คออยู่อีกล่ะ” ชายคนที่ 2 พูดแทรกขึ้นมา
“เชอะ แหวนงี่เง่า ไร้รสนิยมสิ้นดี เป็นชั้นล่ะก็ให้เพชรเม็ดใหญ่กว่านั้นอีก” ชายคนที่หลงรักอากิโกะ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คนเห็นแก่ตัวอย่างเธอไม่มีทางเข้าใจหรอก แหวนนั่นเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความมั่นคงในความรักของทั้งคู่ ชั้นเห็นผู้ชายคนนั้นก็สวมแหวนแบบเดียวกันที่นิ้วนางข้างซ้ายอยู่เหมือนกัน แสดงว่าเขาก็ยังรักอาจารย์อยู่เหมือนกัน” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มสำรวจพูดขึ้นอย่างเข้าใจ
“แต่ชั้น ไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด” จากนั้นชายคนนั้น ก็วิ่งหายไปในป่า ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ตั้งวิหาร
“ทาเคดะ รอด้วย จะไปไหนน่ะ ทางนั้นมันอันตรายนะ เรายังไม่ได้สำรวจเลย” จากนั้นทุกคน ก็รีบวิ่งตามไปทันที
ขณะที่ในเต็นท์ ก็ยังคงเป็นศึกที่หนักที่สุดในชีวิตของลูคัส ศึกรบที่หนักหนาสาหัสขนาดไหนพี่แกตลุยได้หมด แต่ศึกรักนี่สิมันหนักหนาสาหัสจริงๆ
“ยังกับว่าผมอยากจะยุ่งนักนี่ ถ้าไม่ใช่เพราะภารกิจล่ะก็ ผมคงไม่มาให้คุณเห็นหน้าหรอก”
“คุณก็เลยคิดจะหนีชั้นอีกใช่มั้ย ใช่สิ คุณน่ะ ก็เอาแต่หนีความจริงมาตลอดชีวิตนั่นแหละ ความจริงที่ว่าสิ่งที่ชั้นคิดคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด” และแล้วทั้งคู่ก็หันหลังให้กันด้วยอาการงอนอย่างถึงขีดสุด แต่สุดท้ายลูคัสก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“ผมผิดด้วยเหรอ ที่ผมแค่จะหาทางพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าสิ่งที่ผมคิดมันถูก ในโลกนี้ไม่มีใครหรอกที่จะถูกหมดทุกเรื่อง ผมเองก็เหมือนกัน ผมยอมรับว่าคิดผิดที่จากคุณไป ทั้งที่ผมรั........เฮ้ย อะไรกันเนี่ย” ยังไม่ทันที่ลูคัสจะพูดจบ จู่ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ไปทั่วทั้งเกาะ ข้าวของในเต็นท์ถึงกับตกหล่นกระจัดกระจาย ขณะที่อากิโกะเองก็ตกใจจนลืมตัวเผลอเข้ามากอดลูคัสเอาไว้แน่น ด้วยสัญชาติญาณ จากนั้นเต็นท์ทั้งหลังก็พังทลายลงมาครอบทังคู่เอาไว้ จนกระทั่งทีมงานคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ยกเต็นท์ออกแล้วก็ได้เห็นภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น ภาพของอากิโกะที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของลูคัส ที่ใช้ร่างกายเป็นเกราะกำบังจากการพังทลายของเต็นท์
“อาจา.........เอ่อ ถ้าปลอดภัยแล้วก็ค่อยยังชั่วหน่อย ผมต้องขออภัยที่มาขัดจังหวะครับ ลาล่ะครับ” จากนั้นทีมงานคนนั้นก็วิ่งไปสำรวจดูสภาพรอบด้าน ในขณะที่อากิโกะเมื่อรู้ตัวว่าอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เขินจนหน้าแดงก่ำ ก่อนจะขยับตัวห่างออกมาจากลูคัส ที่ยังปั้นหน้าไม่ถูก จากนั้นหล่อนก็ลุกขึ้นมาจัดการกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง และออกตรวจสอบสภาพทันที โดยไม่หันกลับมามองลูคัสอีกเลย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ถึงมีแผ่นดินไหวขึ้นมาได้ ดาวเทียมธรณีวิทยาก็ไม่ได้รายงานผลว่าจะมีปรากฏการณ์แบบนี้นี่” หล่อนถามด้วยความสงสัย
“คือ เมื่อกี๊ ทาเคดะ เขาอารมณ์เสียก็เลยไปเตะเอาแท่งหินรูปร่างประหลาดก้อนนึงเข้าจนล้มลงไป ที่ตรงริมลำธารฝั่งตรงข้ามกับซากโบราณสถานน่ะครับ จากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาอย่างที่เห็นนี่แหละครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดกับอากิโกะด้วยเสียงอ่อยๆ ขณะที่ลูคัสได้ยินเข้าก็รู้สึกสัมผัสได้ถึงสิ่งไม่ชอบมาพากลทันที
“พาผมไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยเร็ว พวกที่ริมลำธารอยู่ในอันตราย” ลูคัส พูดกับเขาทันทีอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยว ริมลำธารไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไรนะ อีกอย่างแค่เตะแท่งหินล้มไปแล้วมีแผ่นดินไหวตามมา มันก็แค่เหตุบังเอิญเท่านั้นแหละน่า” อากิโกะค้านขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก
“เดี๋ยวคุณไปเห็น ก็จะรู้เอง แต่นายทาเคดะอะไรนั่น งานนี้ถึงตายแน่ๆ ถ้าเราไม่รีบ ผมพูดได้เท่านี้แหละ” จากนั้น ลูคัส ก็รีบตามเจ้าหน้าที่ คนนั้นไปทันที ทำให้อากิโกะต้องตามไปด้วย
    บริเวณ ริมลำธาร หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ พวกของทาเคดะในเวลานี้ ได้เผชิญกับสิ่งที่ชวนสยดสยองที่สุดในชีวิต หลังจากที่เขาไปเตะเอาก้อนหินประหลาดนั่นเข้า พวกเขาพยายามหลบหนีสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีร่างกายเป็นครึ่งคนครึ่งจระเข้ผิวหนังเต็มไปด้วยเกล็ดขึ้นไปบนต้นไม้ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ขณะที่ด้านล่าง ฝูงมนุษย์ครึ่งจระเข้นั้นเฝ้าอยู่เต็มไปหมด
“เอาล่ะ ถ้าไม่อยากตาย ก็อยู่นิ่งๆ อย่าออกมาเด็ดขาด พวกนั้นผมจะช่วยลงมาเอง” ลูคัส หันมาพูดกับอากิโกะและเจ้าหน้าที่คณะสำรวจที่ตะลึงกับการได้เห็นสิ่งมีชีวิตประหลาด ก่อนจะก้มลงเอามือสัมผัสที่พื้นดินและทันใดนั้นเอง ประกายแสงสีเขียวก็ไหลจากดินมาสู่มือของลูคัส
“วิญญาณแห่งไม้ จงฟังคำข้า จงมอบพลังแก่ข้าเพื่อพันธนาการสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ไว้ด้วยเถิด” จากนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งกลับลงไปในดินแล้วทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดเป็นกลุ่มเถาวัลย์จำนวนหนึ่ง ที่ตรงเข้าไปรัดร่างของมนุษย์ครึ่งสัตว์เหล่านั้นไว้ ทำให้มันขยับตัวไปไหนไม่ได้ แล้วลูคัสจึงเดินออกไปเผชิญหน้ากับมัน ในขณะที่ทุกๆ คน มองอย่างลุ้นระทึก
“ลงมาข้างล่างได้แล้ว” ทันทีที่พูดจบ จู่ๆ กิ่งไม้ที่พวกของทาเคดะปีนขึ้นไปซ่อนตัวอยู่ก็โน้มลงมาจนถึงพื้น ทำให้พวกของเขาวิ่งหนีมารวมกันกับที่อากิโกะยังยืนอยู่ได้ จากนั้นต้นไม้ต้นนั้นก็กลับเป็นเหมือนเดิม ทว่าพวกอสูรกายครึ่งคนนั้นมันก็ดิ้นหลุดจากพันธนาการเหมือนกันและจ้องมาที่ลูคัสด้วยแววตากระหายเลือด
“ได้เวลาทดสอบอาวุธซะที โชคดีที่เอามาด้วย” ลูคัส ชักเอาปืนแมกนั่มที่ได้รับจากสมาคมออกมาอย่างรวดเร็วแล้ว เล็งไปที่อสูรกายตัวที่พุ่งเข้ามาหาเขาทันที
“เปรี้ยง” ประกายไฟสีทองพวยพุ่งออกมาจากปากกระบอก ส่งผลให้อสูรกายตัวนั้นกระเด็นตกลงไปยังลำธารทันที พร้อมกับหัวที่ระเบิดกระจุย คราวนี้พวกที่เหลือก็โถมเข้ามาอย่างบ้าเลือดทันที แต่พวกมันก็ต้องกระเด็นกลับไปในสภาพที่ร่างกายกระจุยกระจายเป็นชิ้นๆ ด้วยอานุภาพของปืนแมกนั่มในมือของลูคัส จนกระทั่งเหลือตัวสุดท้ายที่มีขนาดใหญ่กว่าเพื่อน และมีเกล็ดที่ส่องเป็นประกายสีที่ต่างออกไป กรงเล็บของมันกางออกมาอย่างเต็มพิกัด สายตาของมันจ้องมาที่ลูคัส ด้วยความเคียดแค้นอย่างแสนสาหัส
จากนั้นมันจึงพุ่งเข้าใส่ลูคัสด้วยความเร็วที่ใครๆ ก็มองไม่ทัน กรงเล็บของมันตวัดเข้าที่ร่างของลูคัสทันทีโดยหมายจะให้ตายในครั้งเดียว ทว่ามันก็ต้องแปลกใจที่จู่ๆ ก็มีโซ่ประหลาดมาพันแขนของมันเอาไว้แล้วเหวี่ยงมันขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะปล่อยให้ตกลงมาบนพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“ใช้ได้สะดวกดีจริงๆ สมแล้วที่เป็นอุปกรณ์ที่เมอร์ลินเก็บรักษาไว้” จากนั้นก่อนที่เจ้าตัวประหลาดจะฟื้นตัวเต็มที่ ลูคัสก็ใช้โซ่มัดมันไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเจ็บหนักกว่าเดิม เพราะหัวมังกรที่ปลายโซ่กัดฝังเขี้ยวลงไปในร่างของมันอย่างแรงพร้อมกับปล่อยพิษอันรุนแรงผสมลงไปด้วย และแน่นอนว่าโซ่ที่มัดร่างมันนั้นเวลานี้แปรสภาพเป็นโซ่คมมีดไปเรียบร้อยแล้ว มันจึงได้รับความทุกข์ทรมานถึงขีดสุด
“ข้าไม่เคยมีความแค้นกับเจ้า แต่เพื่อป้องกันตัวและช่วยเหลือเพื่อนพ้องของข้า ข้าจำเป็นต้องใช้พลังนี้ ขอจงอภัยให้ข้าด้วยเถอะ” จากนั้นร่างของมันก็ถูกตวัดเข้ามาหาลูคัสอย่างรุนแรง และแน่นอนคาธาร์ในมือขวาของลูคัสรอมันอยู่แล้ว ทันทีที่เข้าถึงระยะ ลูคัสก็ตวัดคาธาร์ในมือขวาเข้าที่ลำคอของมันพอดี จนขาดออกจากร่าง ก่อนที่จะปล่อยโซ่ ทิ้งร่างของมันไว้ที่ตรงนั้น และทันใดนั้นเองร่างของมันก็ค่อยๆ ถูกกลืนลงสู่พื้นดิน ด้วยพลังเวทย์มนตร์ของลูคัส
“หลับอย่างสงบเถอะ เจ้าไม่ต้องสู้กับใครแล้ว วิญญาณของเจ้าถูกปลดปล่อยแล้ว” ลูคัสยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เว้นแต่อากิโกะคนเดียว ที่มองเข้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
“ยังจะมัวทำอะไรอยู่อีก ตรงนี้มีคนบาดเจ็บนะ” ทาเคดะ โวยวายขึ้นมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ทำให้ลูคัสเดินตรงเข้ามา
“พูดอะไรของเธอ ทาเคดะ การแสดงความรพต่อคู่ต่อสู้ที่ถึงแม้จะเป็นศัตรู ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเหล่านักรบในประเทศเราไม่ใช่หรือยังไง” อากิโกะ หันมาตวาดใส่ ทาเคดะ ด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนคนอื่นๆ ยังต้องตกใจ แต่หล่อนก็ต้องเงียบเมื่อลูคัส เดินกลับมาถึงซึ่งในเวลานี้ อาวุธต่างๆ ได้กลับสู่สภาพเดิมหมดแล้ว แววตาของเขายังคงว่างเปล่าราวกับคนที่ไร้จิตวิญญาณ แต่เมื่อมองไปที่ทาเคดะที่บอกว่าตนบาดเจ็บอยู่ เขาก็ใช้กำปั้นชกเข้าที่ครึ่งปากครึ่งจมูกของทาเคดะอย่างเต็มแรง จนอีกฝ่ายถึงกับกระเด็น บาดแผลที่แขนและกลางหลัง อันเกิดจากกรงเล็บ เมื่อได้รับแรงสะเทือนก็ฉีกออกกว้างขึ้น ทำให้ทุกคนยิ่งตกตะลึงไปกันใหญ่ แต่ทว่าอากิโกะยังคงเฉยไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา เพราะในความคิดของหล่อนทาเคดะสมควรได้รับโทษสถานหนักอย่างสาสมต่อการกระทำในครั้งนี้
“แค่นี้ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เพราะการกระทำ อันสิ้นคิดที่เกิดจากความริษยาของแก ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงได้เลวร้ายลงไปขนาดนี้ เอาล่ะทุกคนฟังผมให้ดีแผ่นดินไหวเมื่อกี๊นี้คือสัญญาณแห่งหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นมากับเราทุกคน สิ่งที่เป็นแท่งหินที่ไอ้หมอนี่เตะจนล้มไปเมื่อกี๊ คือ สลักกุญแจที่ใช้กักขังบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในเกาะนี้ แล้วดูเหมือนเจ้านั่นจะตื่นมาเรียบร้อยแล้วด้วย ขึ้นอยู่กับว่าพวกคุณจะทำงานกันเสร็จไวแค่ไหนก่อนที่มันจะมาเล่นงานพวกคุณทุกคน ส่วนแก ทาเคดะ จงจำไว้เถอะว่าแกคือผู้เปิดประตูสู่หายนะแก่เราทุกคน” จากนั้นลูคัส ก็ใช้มือลูบไปที่แผลของทาเคดะ ทันใดนั้นเองบาดแผลก็สมานเป็นเนื้อเดียวกัน
“เรากลับไปที่แคมป์กันก่อน แล้วพรุ่งนี้ จะได้เริ่มงานกันแต่เช้า ถ้าใครยังรักชีวิตล่ะก็รีบทำงานส่วนของตัวเองให้เสร็จซะ แล้วไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” ลูคัส สั่งการแทนอากิโกะทันที และแน่นอนว่าทันทีที่ทุกคนได้ยินก็ต่างคนต่างรีบกลับไปยังแคมป์ทันที ยกเว้นอากิโกะที่ยังคงยืนอยู่
“มีอยู่ 2 เรื่องที่ผมยังไม่ได้บอกคุณ ข้อแรกสมาคมไม่ได้แค่ส่งผมมาช่วยงานคุณเรื่องการแปลเท่านั้น แต่ยังให้ผมเฝ้าจับตาดูคุณเอาไว้ด้วย”
“แล้ว ที่เหลือล่ะ”
“ข้อสุดท้าย คือ คุ้มครองคุณจนกว่างานขุดค้นจะเสร็จสิ้น”
“ที่ต้องคุ้มครองชั้น ก็แค่ทำตามคำสั่งใช่มั้ย สมกับเป็นคุณจริงๆ เลยนะ หน้าที่มาก่อนเสมอ”
“ไม่หรอก ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว หน้าที่ในการคุ้มครองคุณในครั้งนี้ ผมทำตามเสียงเรียกของหัวใจของผมเอง”
“ลูคัส”
“ผมรักคุณ อากิ และจะไม่จากคุณไปไหนอีก” ทั้ง 2 ต่างจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของทั้งคู่ ท่ามกลางสรรพสิ่งที่เงียบงัน และ ณ วินาทีนั้นเอง อากิโกะก็โผเข้ากอดลูคัสไว้แน่นราวกับว่าจะไม่ยอมให้เขาไปไหนอีกเช่นกัน
“ชั้นรักคุณ ลูคัส ชั้นยังรักคุณเสมอ ชั้นจะไม่ยอมให้คุณหนีจากชั้นไปไหนอีกแล้ว” หล่อนพูดออกมาทั้งน้ำตา น้ำตาแห่งความยินดี ที่ในที่สุด ลูคัสคนเดิมก็กลับมาแล้ว กลับคืนมาสู่หัวใจที่เฝ้าเรียกหามาตลอด และจากนี้ไป หัวใจของทั้ง 2 จะหลอมรวมกันเป็นดวงเดียว เพื่อวันข้างหน้าและอนาคตที่กำลังจะมาถึง
“คงไม่ว่าอะไรนะถ้าจากนี้ไปชั้นจะกลับมาเรียกคุณว่า อเล็กซ์ เหมือนอย่างแต่ก่อน” หล่อนพูดออกมาทั้งที่ยังซบใบหน้าอยู่กับอกของเขา
“ได้สิ ผมจะยินดีมากเลย ถ้าคุณจะเรียกผมอย่างนี้ อากิ ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งในอดีต”
“ชั้นก็ต้องขอโทษคุณเหมือนกันค่ะ อเล็กซ์ ที่ชั้นทำไม่ดีกับคุณ จากนี้ไปขอให้ชั้นได้ทำอะไรเป็นการไถ่โทษเพื่อคุณซักครั้งเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอให้คุณทำงานนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อผม แล้วเราจะออกไปจากเกาะนี้ด้วยกัน”
“ค่ะ ชั้นสัญญา” ทั้งคู่ยืนกอดกันอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์และได้แต่ภาวนา ขอให้เวลาหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ เพื่อที่จะสัมผัสถึงความสุขสมหวังนี้ให้นานที่สุด ก่อนที่จะต้องเผชิญกับอะไรที่ไม่อาจคาดคิดได้อีก ทว่า นี่ยังคงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหายนะที่แท้จริง ได้คืบคลานเข้ามาสู่ทุกชีวิตบนเกาะแห่งนี้แล้ว บทเพลงขับลำนำแห่งการหลั่งเลือดและสายลมแห่งความวิปโยคได้เริ่มบรรเลงขึ้นมาแล้ว โดยไม่มีใครรู้ตัว
    ดวงตาสีแดงเพลิงคู่หนึ่งส่องประกายวาววับออกมาจากความมืดมิด ภายในประกายสีแดงเพลิงดุจโลหิตนั้นไม่มีใครรู้ได้ ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น หากแต่วงล้อแห่งชะตากรรม กำลังหมุนไปสู่การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ที่กำลังรอคอยอยู่
..................................................
จบ บทที่ 2 สู่ลำนำแห่งความหายนะ
...............................................
    1 อาทิตย์ก่อนจะถึงงานแสดงแฟชั่นโชว์ของบราห์ม สตรูก้า ในกรุงเทพ ณ ชนบท อันห่างไกลในประเทศอังกฤษ กระท่อมน้อยตั้งอยู่ริมลำธารอันใสสะอาดและบริสุทธิ์ที่ไหลรินลงมาจากยอดเขา แสงแดดยามเช้าที่แสนอบอุ่นเป็นสีทองเจิดจ้า ชาย 2 คน นั่งจิบชาและเดินหมากในกระดานหมากรุกภายใต้ต้นโอ๊กต้นใหญ่ 1 ในนั้นเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ 28 ถึง 30 ปี ส่วนอีกฝ่ายคือชายสูงอายุที่มีเส้นผมละหนวดเคราเป็นสีเงินยวง สวมเสื้อคลุมแบบโบราณและมีไม้เท้าวางอยู่ใกล้ๆ ทั้งคู่ต่างมองหมากในกระดานของตน ก่อนที่จะวางลงไป เพื่อหวังชิงชัยกันในเกมของหมากรุก ไม่นานนัก หมากสีดำของชายชราก็ถูกล้อมไว้ ด้วยหมากสีขาวของชายหนุ่ม แต่สีหน้าของชายชรายังคงเปี่ยมด้วยรอยยิ้มอันสุขุมอยู่เช่นเดิม
“ผมแพ้แล้วครับ ท่านอาจารย์” จู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมา หลังจากมองดูหมากขาวของตนที่ล้อมหมากดำของชายชราไว้
“หึๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ได้พบกันตั้งนานดูเธอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ ทั้งการใช้สมาธิ ความเยือกเย็น และการตัดสินใจที่เฉียบขาดทว่าเปี่ยมไปด้วยความสุขุมรอบคอบนี้อีก ชั้นคงไม่มีอะไรที่จะสอนเธออีกแล้วล่ะมั้ง” ชายชรา พูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา และภาคภูมิใจเมื่อมองไปที่ชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์ของเขา
“ไม่หรอกครับ ผมยังมีอีกมากที่ต้องเรียนรู้จากท่าน” ชายหนุ่มพูดอย่างถ่อมตน ทว่าชายชรากลับยิ้มและโบกมือห้ามไว้
“อย่าถ่อมตัวไปเลย ศิษย์ข้า ตลอดเวลาที่เราได้เป็นศิษย์อาจารย์กัน ชั้นรู้ดีว่าวันนี้จะต้องมาถึง วันที่เราจะต้องจากกันไปชั่วนิรันดร”
“ท่านอาจารย์ เมอร์ลิน ทำไมท่านถึงพูดอย่างนั้น ในเมื่อท่านเองก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้” ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี เมื่อได้ยินประโยคสั่งลาจากผู้เป็นอาจารย์
“ผิดไปแล้ว ลูคัส ที่ชั้นออกมาได้ ก็เป็นเพราะพลังอำนาจของคำสาปอันชั่วร้ายที่เสื่อมถอยลงต่างหาก แต่ตอนนี้พลังนั้นมันกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว และในไม่ช้า ชั้นก็จะต้องกลับไปอยู่ในต้นโอ๊กตามเดิม ด้วยอำนาจแห่งคำสาปของมอร์แกนน่า เลอ เฟย์ เธอไม่มีทางที่จะปลดปล่อยคำสาปนี้ได้เพราะมันคือสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว” เมอร์ลิน พูดขึ้นมา ก่อนจะถอนหายใจออกมา ครั้งใหญ่
“และก่อนที่คำสาปจะกลับมามีอิทธิพลอีกครั้ง ชั้นมีของที่จะต้องมอบให้เธอให้ได้ ตามมาในบ้านสิ” จากนั้นเมอร์ลิน ก็เดิน หายเข้าไปในกระท่อม ลูคัสจึงเดินตามเข้าไป และทันทีที่ทั้งคู่เดินเข้าไปในกระท่อมโต๊ะหินอ่อนกระดานหมากรุก และถ้วยน้ำชาก็หายวับไป ราวกับว่ามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นมาก่อน
    สภาพภายในกระท่อม มันถูกตกแต่งอย่างดี อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เมอร์ลินเดินนำลูคัสไปยังบันไดวน ที่ทอดตัวลงไปยังเบื้องล่าง จนกระทั่งถึงประตูที่ปิดตายเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ที่นี่ คือสถานที่ต้องห้าม ที่เก็บอุปกรณ์เวทย์มนตร์อันตรายบางอย่างเอาไว้ เอาล่ะตามมาสิ” เมอร์ลิน เปิดประตูเดินนำหน้าลูคัสเข้าไปในห้องนั้นแล้วจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก นอกจากสายตาที่กวาดไปมาและจับจ้องดูที่อุปกรณ์เวทย์มนตร์ต่างๆ
“พลังเวทย์มนตร์ในนี้แรงจริงๆ ท่านอาจารย์ครับ ในนี้มีอย่างอื่นนอกเหนือจากอุปกรณ์เวทย์มนตร์ด้วยใช่มั้ยครับ” ลูคัส สัมผัสถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไหลแผ่เข้าสู่ร่างกายของเขามาตั้งแต่แรกที่ยืนอยู่หน้าประตู
“ดูเหมือน ศาสตร์ของดรูอิดโบราณ ที่เธอได้ศึกษามาจะไม่สูญเปล่านะ ถูกแล้ว ในนี้มีอย่างอื่นอยู่ด้วย”
“พลังนี้มัน คุ้นมาก เหมือนพลังของวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องบางสิ่งบางอย่างอยู่ เหมือนในวิหารแห่งอวาลอนไม่มีผิด” ทันทีที่ลูคัสกล่าวจบ ลำแสงประหลาดก็ปรากฏขึ้นมาก่อนจะกลายสภาพเป็นรูปร่างของ อัศวินในยุคโบราณสวมมงกุฎอันสง่างาม ในมือกุมด้ามดาบที่เป็นรูปกางเขนทองคำอยู่และที่สำคัญ คมของดาบนั้นเปล่งประกายส่องสว่างออกมาราวกับเทียนนับพันเล่มอยู่ตลอดเวลา
“ยินดีต้อนรับ เมอร์ลิน และท่านนักเวทย์หนุ่ม ข้าอาเธอร์รอคอยการมาของท่านอยู่” อัศวินลึกลับผู้นั้นกล่าวต้อนรบทั้งสอง และผายมือไปยังอุปกรณ์เวทย์มนตร์ต่างๆ
“เชิญ เลือกชมได้ตามสบายเลย อุปกรณ์เวทย์มนตร์เหล่านี้ มิใช่ของใครคนใดคนหนึ่งหากแต่มันจะเลือกเจ้าของผู้ครอบครองของมันเอง เช่นเดียวกับดาบเอกซ์คาลิเบอร์ของข้า อ้อ อีกอย่างข้าต้องขอบคุณท่านมากนะ นักเวทย์หนุ่มชาเขียวจากตะวันออกไกลของท่านรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว” จากนั้นร่างของอาเธอร์ก็หายลับไป
“เป็นเกียรติอย่างสูง ที่ฝ่าบาทโปรดในรสชาตินั้น เอาล่ะ ลองดูละกันว่าชิ้นไหนที่ข้าคู่ควรจะได้ครอบครอง” จากนั้นลูคัส ก็หลับตาลง พร้อมกับหันไปรอบตัวช้าๆ ทันใดร่างของเขาก็มีแสงล้อมรอบออกมา และในกองอุปกรณ์ที่อยู่ในห้องนั้นเอง ประกายแสงแบบเดียวกันก็ปรากฏขึ้น แล้วกระพริบตอบรับพลังของลูคัส
“อืม พื้นฐานวิชาเวทย์มนตร์ การภาวนาอธิษฐานรึ ฉลาดมาก” เมอร์ลินซึ่งยืนดูอยู่ห่างๆ กล่าวชมด้วยสีหน้าอันภาคภูมิใจ และทันใดนั้นเอง เสื้อคลุมสีขาวตัวหนึ่งก็ลอยขึ้นมา พร้อมกับสร้อยคอ ที่สลักเป็นสัญลักษณ์รูปเพนทาแกรมหรือดาวหกแฉกอันเป็นสัญลักษณ์ แห่งเวทย์มนตร์ เช่นเดียวกับลวดลายที่สลักอยู่บนเสื้อคลุมนั้น
“เหรียญตราแห่งพลัง กับเสื้อคลุมเวทย์มนตร์ ในที่สุด มันก็พบกับเจ้าของที่แท้จริงของมันจนได้” วิญญาณของอาเธอร์ ปรากฏตัวขึ้นมาพูดกับลูคัส พร้อมกับมองไปที่อุปกรณ์ 2 ชิ้นนั้น
“เหมือนตอนที่ข้าได้รับเอกซ์คาลิเบอร์เล่มนี้มาไม่มีผิด”
“เอาล่ะ จงยื่นมือไปสัมผัสมันสิ แล้วมันจะกลายเป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์” เมื่อเมอร์ลินกล่าวจบลูคัสก็ได้ทำตามโดยการยื่นมือไปสัมผัสกับเหรียญและเสื้อคลุม จากนั้นทั้ง 2 สิ่งก็สวมเข้ากับร่างของลูคัส อย่างพอดิบพอดี
“ไซส์พอดีเลย แต่ดีไซน์ไร้รสนิยมสิ้นดี น่าจะออกแบบได้ใหม่นะเนี่ย” ทันทีที่พูดจบเสื้อคลุมสีขาวนั้น ก็ แปรสภาพเป็นชุดทักซิโด้ทันที จนลูคัสถึงกับตะลึงไปเลย
“โอว พระเจ้า จอร์จ มันสุดยอดมาก My name is Bond James Bond” ลูคัส แสดงท่าทางราวกับคนบ้า ส่วนอาเธอร์และเมอร์ลินได้แต่ยืนมองตากันทำตาปริบๆ
“แปลกมาก ทำไมถึงมีแต่เครื่องป้องกัน แต่ไม่มีอาวุธ” เมอร์ลิน เอ่ยขึ้นอย่างงุนงง
“ก็เสื้อคลุมนี่ไงครับ อาวุธ” ลูคัส ตอบทันทีหลังจากเริ่มคุ้นเคยกับเสื้อคลุมที่แปรสภาพได้เรื่อยๆ ตามแต่ใจจะคิด
“เริ่มจากแบบนี้” จากนั้น ถุงมือในมือข้างขวาของลูคัสก็แปรสภาพ ไปเป็นคาธาร์อาวุธสังหารของอินเดียโบราณ ลักษณะของมันเป็นใบมีดที่ยาวและแหลมคมมี 3 แฉกติดอยู่กับปลายแขน แต่ของลูคัสนั้นเป็นใบมีดเล่มใหญ่ใบเดียวแต่มีแฉกเล็กๆ ที่โคนทำให้ดูมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ ส่วนถุงมือที่แขนซ้ายก็มีโซ่ที่คมกริบราวกับฟันเลื่อยพันอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ทว่าส่วนหัวของมันกลับมีรูปร่างคล้ายกับหัวของมังกร และแนบติดกับหลังมือของลูคัส อย่างเหนียวแน่น
“ศาสตร์การสังหารของตะวันออกไกล สมแล้วจริงๆ กับที่ถูกเลือกให้เป็นผู้ครอบครองเสื้อคลุมนักรบเวทย์มนตร์แห่งดรูอิด จากนี้ไปข้าคงเรียกเจ้าว่านักเวทย์หนุ่มไม่ได้อีกแล้ว ต้องเป็นจอมเวทย์หนุ่มเลยต่างหาก” อาเธอร์ พูดออกมาอย่างพอใจ
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท” ลูคัสค้อมหัวลงคำนับอย่างนอบน้อม ส่วนอาวุธที่แขนนั้นได้แปรสภาพกลับไปเป็นอย่างเดิมเรียบร้อยแล้ว ในชุดเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่มาตั้งแต่แรก
“ว่าแต่ มันจะอยู่กับผมตลอดเวลาเหรอครับ ท่านอาจารย์ แล้วแบบนี้เวลาอาบน้ำล่ะครับ”
“ไม่ต้องกังวลไป เพราะมันจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอ นับแต่นี้ไป ตราบที่เหรียญตรานั่นยังยอมรับให้เธอเป็นเจ้าของ แต่ตอนนี้เราต้องลาจากกันจริงๆ แล้ว รักษาตัวด้วยนะศิษย์ของข้า จงรีบไปซะอย่ารอช้า ข้ามองเห็นเวลานี้เพื่อนของเจ้ากำลังจะเผชิญกับอันตรายย่างใหญ่หลวง” เมอร์ลิน พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ลำบากใจยิ่ง
“ครับท่านอาจารย์ ซักวันหากผมแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ผมจะต้องมาปลดปล่อยท่านจากคำสาปนี้ให้ได้” ลูคัส มองที่เมอร์ลินอย่างอาลัยอาวรณ์ และได้มอบคำปฏิญาณไว้ให้ ซึ่งทำให้อาเธอร์พอใจยิ่งนัก
“เอาล่ะ ถึงมันจะนอกธรรมเนียมไปหน่อย แต่ข้าคงต้องทำอะไรซักอย่าง คุกเข่าลง จอมเวทย์หนุ่ม และจงประกาศชื่อของเจ้าให้กับข้า” อาเธอร์ ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงอันทรงอำนาจ
“นามแห่งข้า คือ อเล็กซ์ ลูคัส ผู้สืบทอดแห่งจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ เมอร์ลิน ขอน้อมรับบัญชาจากท่าน” ลูคัส คุกเข่าลงและกล่าวคำปฏิญาณและประกาศตัวตนของตนทันที
“ดี ในนามแห่งเซนต์ปีเตอร์ และ เซนต์ไมเคิล ด้วยอำนาจแห่งเอกซ์คาลิเบอร์ ข้า ขอ แต่งตั้งเจ้าเป็นหนึ่งในภราดรแห่งอัศวินโต๊ะกลม ณ บัดนี้” อาเธอร์ ใช้ดาบของเขา วางลงบนศีรษะ และ ไหล่ทั้ง 2 ของ ลูคัส ก่อนจะเก็บมันเข้าฝักตามเดิม
“ลุกขึ้น เซอร์ลูคัส อัศวินแห่งตะวันออกไกล” ทันทีที่พูดจบ ลูคัสก็ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับอาเธอร์อย่างเต็มภาคภูมิ และใช้มือซ้ายกุมไว้ที่หัวใจ ส่วนมือขวา สัมผัสที่ไหล่ขวาของอาเธอร์ เช่นกันกับที่อาเธอร์ได้ทำเช่นเดียวกันกับลูคัส
“อัศวินปฏิญาณตน ด้วยดาบแห่งความชอบธรรม แข็งแกร่งพิทักษ์อ่อนแอ เสมอภาค และ ภราดรภาพ ขอวิญญาณอันยิ่งใหญ่พิทักษ์เราผอง จากพี่สู่น้องและน้องสู่พี่ ขอร่วมชีวีและร่วมตาย ภายใต้ธงแห่งโต๊ะกลม” ทั้งคู่กล่าวคำสัตย์ปฏิญาณออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน และ ทันทีที่กล่าวจบ สวรรค์ และ พิภพก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ด้วยอัศวินผู้พิทักษ์ธรรมคนใหม่ ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
“ลาก่อน อาจารย์ และฝ่าบาท รักษาตัวด้วย” ลูคัส กล่าวคำอำลา ก่อนจะเดินออกไป ข้างนอก เพื่อออกสู่โลกปรกติ ก่อนที่ดินแดนแห่งนี้จะถูกปิดลงอีกครั้ง
“เช่นกัน เซอร์ลูคัส พบกันครั้งหน้า ข้าขอ อูหลง กับ เซ็นฉะ อย่างละตันนะ จะได้เก็บไว้ดื่มนานๆ หน่อย” อาเธอร์ยังไม่วายอาลัยอาวรณ์ชาเขียวที่ลูคัส นำมาฝาก และทันทีที่ ลูคัส เดินออกมาจนพ้นกระท่อมหลังนั้น เมื่อหันกลับไปมองเขาก็ไม่เห็นอะไรอีกนอกจากต้นโอ๊กต้นใหญ่ ริมลำธาร จากนั้นเขาจึงเดินมุ่งหน้าลงไปยังหมู่บ้านที่เชิงเขาด้านล่าง โดยไม่ลืมที่จะเปลี่ยนให้ชุดกลับมาเป็นเสื้อผ้าปรกติ เพื่อไม่ให้ใครสงสัย
“จอมนางแห่งทะเลสาบ เหตุใด ดาบเทวทูตพิโรธ จึงมิยอมเลือกลูคัส เป็นเจ้าของ โปรดตอบด้วยเถิด” เมอร์ลิน พูดขึ้นกับทะเลสาปในถ้าใต้ดินอันเป็นที่พำนักของตน แล้วทันใดนั้นหญิงสาวในชุดนางพญาผู้สูงสง่าก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเมอร์ลิน
“ชายผู้นั้น มีชะตากรรมที่จะครอบครองอาวุธที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ประกายแห่งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ ที่หายสาบสูญไปนับแต่ครั้งสงครามอามาร์เกด้อน”จอมนางแห่งทะเลสาบได้ตอบคำถามของเมอร์ลินอย่างตรงไปตรงมา ก่อนที่จะหายลับไป
“ประกายแห่งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่ ที่สาบสูญไปในสงครามแห่งอาร์มาเกด้อน อา อย่างนี้นี่เอง ถ้าเป็นอย่างนั้นศิษย์รักของข้า เจ้าคงต้องแบกภาระหนักหน่อยล่ะนะ” ทว่า เมื่อพูดจบจู่ๆ ดาบเล่มหนึ่งก็ลอยขึ้นมาจากกองอุปกรณ์เวทย์มนตร์ เปล่งประกายเจิดจรัส แล้วพุ่งหายไปทำให้เมอร์ลินพิศวงยิ่งนัก
“นั่นมันเทวทูตพิโรธ แต่ทำไมพึ่งจะแสดงเจตจำนงตอนนี้เล่า หรือว่า...........มารร้ายตนนั้นกลับมาแล้วสินะ”
    ท่ามกลางผู้คน ที่เดินกันขวักไขว่ ในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ลูคัส เดินตรงไปยัง โรงแรมที่พักเพื่อเตรียมตัวหารถโดยสารนั่งกลับลอนดอน แต่ทว่าชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งได้ออกมายืนขวางทางเขาไว้
“คุณ อเล็กซ์ ลูคัส เรามีเรื่องขอร้องให้คุณช่วย” หัวหน้าของชายกลุ่มนั้นพูดขึ้นมา เบื้องหลังเขาคือ รถลีมูซีน คันยาวใหญ่
“ให้ตายสิ คนกำลังรีบแท้ๆ อยู่ดีๆ ก็เจอพวกเซนทิเนล มารอรับเลยเหรอเนี่ย” ลูคัส พูดขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย
“นายท่านสั่งมาว่า ไม่ว่าจะต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องตามหาคุณให้พบให้ได้ครับ” ชายชุดดำนั้นยังคงพูดจานอบน้อมเช่นเคย ก่อนจะส่งแฟ้มฉบับหนึ่งให้กับลูคัส
“นี่คือ แฟ้มคดี ฆาตกรรมต่อเนื่องของหญิงสาวในแถบยุโรปและเอเซีย ที่เกิดขึ้นมาไม่นานนี้ครับ เหยื่อทุกรายเสียชีวิตจากการถูกดูดเลือดออกไปจนหมดตัวครับ” ลูคัส เปิดมองแฟ้มนั้นอย่างพิจารณาและเมื่อพบว่า เหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นในทุกเมืองที่ เป็นทางผ่านของบราห์ม เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดสังเกตมากขึ้น
“ดูจากภาพแล้ว เป็นฝีมือ ของแวมไพร์อย่างแน่นอน แต่น่าแปลกที่ทำไมแวมไพร์ถึงได้ออกล่าเหยื่ออีกทั้งที่มีกฎการอยู่ร่วมกัน นอกจากจะเป็นพวกที่คิดจะก่อสงคราม” ลูคัสเปรยขึ้นมาอย่างสงสัย
“สงครามน่ะ เริ่มแล้วครับ และผู้ที่ทำลายกฎนี้คือ ราชันย์แห่งแวมไพร์ ผู้สืบสายเลือดโดยตรงจาก เคนและลิลิธ บราห์ม สตรูก้า ครับ”
“บราห์ม รึ สายเลือดโดยตรงจากเคน คงไม่ง่ายแน่ถ้าจะสู้กับมัน ทางสมาคมเตรียมการไว้แล้วหรือยัง”
“เรื่องนั้น ขอให้ไปคุยกับ นายท่านด้วยตัวเองเถอะครับ” จากนั้น รถลีมูซีน ก็ ตรงเข้าสู่เขตรั้วของคฤหาสน์ใหญ่ ซึ่งภายในคือที่ตั้งแห่งสมาคมเซนทิเนล หรือ ผู้คุมกฎ แห่งการอยู่ร่วมกันของทั้งมนุษย์และปีศาจ และทันทีที่รถจอดถึงที่ ชายชราสูงอายุ ก็เดินออกมาต้อนรับลูคัสในทันที
“ยินดีต้อนรับ สู่สภาแห่งเซนทิเนล อเล็กซ์ ดีใจมากที่คุณมาถึงที่นี่”
“ไม่ได้อยากมานักหรอก แต่โดนคนของคุณเรียกตัวมานี่น่ะสิ อีกอย่างคราวนี้มันเรื่องใหญ่ระดับโลกเลยนะ ผมไม่อยากให้เสียเวลา รีบเข้าเรื่องเถอะ”
“ได้สิ เชิญข้างในเลย” จากนั้นทั้งหมดก็เดินเข้าไปภายในคฤหาสน์แห่งนั้น
    บริเวณ ห้องประชุมหลักของคฤหาสน์ เหล่าสมาชิกผู้ทรงคุณวุฒิแห่งสภาเซนทิเนล นั่งอยู่ประจำที่ของตน เบื้องหน้าของลูคัส ก่อนจะเปิดประชุม
“เราอยากฟังความเห็นจากคุณ ในเรื่องของคดีที่เกิดขึ้นนี้”
“จากแฟ้มรายงานที่ผมตรวจดูแล้วระหว่างทาง หญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมล้วนแต่เกิดในราศีกันย์ อันหมายถึงหญิงพรหมจรรย์ ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า เป้าหมายของแวมไพร์ตนนี้ คือการค้นหาบางสิ่งบางอย่างแน่นอน” ลูคัสกล่าวตอบคำถามอย่างฉาดฉาน
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่ามา เราก็พอจะเดาจุดประสงค์ของมันได้บ้างแล้ว เอาล่ะ แต่ว่าตอนนี้ พวกเราอยากให้คุณเดินทางไปยังเกาะแฟนธอม ที่โผล่ขึ้นมากลางทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่นั่นทีมสำรวจจากมหาวิทยาลัยโตเกียว โดย ดร.อากิโกะ กำลังทำการค้นคว้าต่อซากโบราณสถานที่ขุดค้นพบอยู่ ซึ่งทางเราเชื่อว่ามันน่าจะเป็นวิหารแอนทิออคในตำนานแน่ๆ  ที่มั่นใจเช่นนี้ก็เพราะเราได้รับรายงานมาว่าพบสลักหินขนาดใหญ่ที่จารึกด้วยอักษรโบราณ ที่ไม่มีใครแปลได้เราจึงอยากให้คุณไปดู และที่สำคัญที่สุด เราอยากให้คุณจับตาดูและคุ้มครองเธอเอาไว้ จนกว่าการขุดค้นจะเสร็จสิ้น คุณพอจะทำได้มั้ย”
“ด้วยความยินดีครับ แต่ครั้งนี้ผมคงต้องขออาวุธที่มันดีๆ หน่อยนะครับ เพราะถ้าหากมีตัวอะไรโผล่ไปล่ะก็ ลำพังอาวุธที่คุณมอบให้เจ้าหน้าที่ทีมวิจัยพวกนั้น คงรับมือไม่อยู่แน่ๆ ขอตัวนะครับ” จากนั้นลูคัสก็เดินออกมาจากห้องประชุม ตรงไปยังห้องใต้ดินอันเป็นคลังอาวุธ
    ภายในห้องที่เต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์ต่างๆ ราวกับคลังแสงของเพนทาก้อน ลูคัสเดินตรงไปยังชายหูแหลมหลังค่อมคนหนึ่งที่นั่งขัดปืนอยู่พอดี พร้อมทั้งเอ่ยปากทักทายทันที
“ขอไอ้ที่มันแรงๆ สุดๆ ไปเลยนะ” ลูคัสพูดกับชายหลังค่อมคนนั้นอย่างสั้นๆ แต่ได้ใจความ
“อืม พลังเวทย์สูงขึ้นมากเลยนี่ ถ้าอย่างนั้นอาวุธที่เหมาะสมที่สุดคงต้องเป็นเจ้านี่แล้วล่ะ” จากนั้นชายหลังค่อมก็เดินไปหยิบกล่องสีดำออกมากล่องหนึ่งซึ่งอยู่บนโต๊ะชั้นวางอาวุธที่แยกออกมาต่างหากจากอาวุธทั่วไป และเมื่อเปิดออกมามันคือปืนพกขนาดใหญ่ 2 กระบอก ที่มีรูปร่างสวยงาม ด้ามจับเป็นสีดำ ส่วนตัวกระบอกลำกล้องหลักเป็นสีเงินเปล่งประกายแวววาวตกแต่งบริเวณศูนย์เล็ง และท้ายปืนอย่างประณีตและงดงามด้วยผลึกสีแดงเป็นรูปร่างคล้ายปีกนก แต่ดูคล้ายโลหะมากกว่าผลึก บริเวณใกล้ปากกระบอกก็หุ้มด้วยผลึกโลหะสีแดงนี้เช่นกัน แต่ได้มีการเจาะรูเล็กๆ ไว้ เพื่อเป็นการระบายความร้อน จากการยิง
“Firebird Steel Magnum คู่นี้น่าจะเหมาะกับคุณที่สุด เพราะมันไม่ต้องใช้กระสุนในการยิง แต่จะใช้การแปรสภาพพลังเวทย์จากตัวคุณเอง มาเป็นกระสุนพลังงานในการยิง อานุภาพการทำลายของมันรับรองว่าต่อให้เป็นซาตานก็ไม่มีทางรอด ถ้าโดนอย่างจังนะ”
“ถ้าถึงขนาดยิงซาตานให้ตายได้ในนัดเดียวนี่ ผมก็คงเป็นพระเจ้าไปแล้วมั้ง แต่เอาเถอะผมจะรับไว้แล้วกัน ว่าแต่กระสุนที่ดูแปลกๆ นั่นมันอะไรน่ะ” ลูคัสมองไปที่แมกกาซีนบรรจุกระสุนขนาดต่างๆ ที่วางอยู่ไกลๆ ซึ่งหัวกระสุนเหล่านั้นเปล่งประกายสีม่วงออกมาอย่างน่าประหลาด
“กระสุนสังหารสำหรับปีศาจทุกประเภท หัวกระสุนเคลือบรังสี อุลตร้าไวโอเล็ท สำหรับแวมไพร์ ส่วนหลอดบรรจุภายในปลอกกระสุนเป็นซิลเวอร์ไนเตรทผสมกับน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากวาติกัน ในแบบเข้มข้นสุดๆ รับรองว่า ต่อให้เป็นเคานท์อะไรต่อมิอะไร หรือ ปีศาจหน้าไหนก็ไม่รอด” ชายหลังค่อมกล่าวอย่างภาคภูมิใจในผลงานของตน
“รอดได้มันก็พระเจ้าล่ะ พี่ท่าน อะโห เล่นทั้ง UV สารแร่เงินบริสุทธิ์ ผสมกับน้ำมนต์วาติกันอีก อย่าว่าแต่ปีศาจเลย คนโดนเข้าไปก็ไม่รอดแล้ว แต่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ พวกเอลฟ์ที่รักสงบอย่างพวกคุณ ทำไมถึงได้มาประดิษฐ์ของอย่างนี้นะ” ลูคัส ครางออกมาก่อนจะถามด้วยความสงสัย
    “มันก็เหมือนกับที่ ทำไมอาจารย์สอนถ่ายภาพอย่างคุณ ถึงกลายเป็นนักรบเวทย์มนตร์ของดรูอิด กับ อัศวินโต๊ะกลมนั่นแหละ อย่าปิดบังเลย ถึงคุณจะพรางสภาพยังไง แต่ด้วยสายตาของเอลฟ์ ประกายของมิธริลมันก็ไม่มีวันเล็ดรอดออกไปได้หรอก”
“ดูออกด้วยเหรอเนี่ย ขนาดพรางอย่างดีแล้วนะ ว่าแต่มีอาวุธจำพวกอาวุธระยะประชิดมั้ย ผมไม่ค่อยชอบปืนเท่าไหร่” ลูคัสพูดพลางมองไปที่ มีดเล่มยาวใหญ่สีเงินที่ทำจากมิธรีล ซึ่งลงอักขระแห่งดรูอิดเอาไว้ และมีโกร่งขนาดใหญ่ที่ทำจากโลหะเดียวกันแต่เป็นสนับมือในตัวครอบอยู่ที่ด้าม ซึ่งทั้งเล่มถูกตีขึ้นรูปจากโลหะชิ้นเดียวจึงนับได้ว่าเป็นงานฝีมือที่ถือเป็นสุดยอดแห่งการสร้างอาวุธจริงๆ
   
“นั่น แวน เฮลซิ่ง มีดที่ผมตีขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับกำจัดปีศาจโดยเฉพาะ ตั้งชื่อตามนักล่าปีศาจผู้โด่งดังเลยนะกว่าจะได้ลิขสิทธิ์ชื่อนี้มาต้องติดต่อแทบแย่ ถ้าคุณชอบผมยกให้ ทำจากมิธรีลเหมือนกันรับรองว่าพกไปไหนเครื่องตรวจจับอาวุธก็ไม่มีทางเจอ” เอลฟ์หลังคร่อมส่งมีดให้กับลูคัส อย่างอารมณ์ดี ที่มีดของตนจะได้พิสูจน์พลังของมันแล้ว
“จริงสิ วิหารแอนทิออคน่ะ ดูเหมือนมันน่าจะเป็นสถานที่เก็บรักษาสุดยอดอาวุธของเหล่าผู้กล้าในอดีตมากกว่าซากโบราณสถานธรรมดาๆ นะ ถ้าได้อาวุธหรืออะไรดีๆ มาล่ะก็ ผมจะเอามาปรับแต่งเป็นสุดยอดแห่งอาวุธให้ดู” เอลฟ์หลังค่อม พูดกับลูคัส ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นราวกับเด็กน้อยที่กำลังรอคอยของขวัญจากบิดามารดา อาจเป็นเพราะความเป็นช่างทำอาวุธในสายเลือดกระมัง
จากนั้นเอลฟ์หลังค่อมก็หันไปจัดการกับอาวุธของเขาต่อและไม่ได้สนใจอะไรกับลูคัสอีกต่อไป ลูคัสจึงเดินออกไปจากที่นี่ เพื่อไปเตรียมตัวเดินทางสู่เกาะแฟนธอม และ ที่สำคัญที่สุด อากิโกะ หญิงสาวผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นรักแรกของเขา ซึ่งถึงแม้ว่าเวลานี้หล่อนจะตัดความสัมพันธ์กับเขาแล้วก็ตาม แต่แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายที่เขาได้รับจากหล่อนก็ยังคง สวมติดกับตัวอยู่เสมอ สำหรับลูคัส การเดินทางในครั้งนี้นั้นเขาไม่ได้ล่วงรู้มาก่อนเลยว่า มันจะทำให้ชะตากรรมของทั้งเขาและอากิโกะ เปลี่ยนแปลงไปโดยสมบูรณ์แบบ เช่นกันกับเพื่อนๆ ของเขาที่อยู่ในกรุงเทพด้วย
   
    ที่ไซต์งานขุดสำรวจ บนเกาะแฟนธอม ดร. อากิโกะ เดินคุมงานคนงานอย่างขะมักเขม้น อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เธอเป็นหญิงสาวร่างเล็กผิวขาว ผมยาวสลวย ตากลมโต และที่สำคัญเธอมีมันสมองอันชาญฉลาด และเชี่ยวชาญด้านเทววิทยาที่สุด ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบกันขึ้นมานี้ คือ สาเหตุสำคัญที่ลูคัสหลงรักเธอจนแทบเป็นบ้า แต่ด้วยแนวความเห็นที่ต่างกันทั้งคู่จึงต้องแยกจากกัน ที่คอของหล่อนมีสร้อยเส้นเล็กๆ สวมอยู่และบนสร้อยเส้นนั้นคือแหวนเพชรน้ำงามที่แสดงประกายของมันออกมาอยู่ตลอดเวลา ทว่าประกายของมันกลับดูแฝงไว้ด้วยความเศร้าและความโหยหาอาลัย 
ในวันนี้ทีมงานขุดค้นของหล่อนได้พบกับหินก้อนใหญ่ที่ปิดผนึกเส้นทางซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเส้นทางไปสู่ ซากโบราณสถานที่เหลือซึ่งอยู่ใต้ดิน และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจเปิดประตูศิลานี้ได้เลย เบาะแสเพียงอย่างเดียว คือ แท่งศิลาที่ถูกขุดค้นพบใกล้ๆ กันนี้ ที่จารึกอักขระโบราณไว้ ซึ่งแม้แต่หล่อนเองก็ไม่สามารถที่จะถอดรหัสของคำจารึกนี้ได้ จนกระทั่ง ความหวังที่ริบหรี่ของหล่อนก็กลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อสมาคมเซนทิเนลติดต่อมาว่าจะส่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาช่วยในการแปลอักขระ ทำให้วันนี้การทำงานของหล่อนดูมีชีวิตชีวา ขึ้นอีกรั้ง
“นี่ ทางขวาน่ะ จัดการเคลียร์พื้นที่ให้กว้างออกไปอีกหน่อย ชั้นต้องการมองเห็นพื้นที่ด้านหน้าของซากโบราณสถานนี้ทั้งหมด ก่อนที่คนของสมาคมจะมาถึง” หล่อนสั่งการกับคนงานที่ควบคุมรถขุดเจาะอยู่ อย่างร่าเริง ซึ่งคนงานเหล่านี้ก็เต็มใจที่จะทำงานกับหล่อน แม้ว่าบางคนจะสัมผัสถึงอาถรรพ์บางอย่างก็ตาม
“อาจารย์ครับ เจ้าหน้าที่จากสมาคมมาถึงแล้วครับ” ผู้ช่วยหนุ่มของอากิโกะ วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกข่าวดีกับหล่อน ทำให้หล่อนต้องรีบรุดไปยังศูนย์ควบคุมทันที
“สวัสดีค่ะ ดิชั้น ดร. อากิโกะ จากทีมสำรวจมหาวิทยาลัยโต......เกียว.....ค่ะ” เสียงของหล่อนเป็นอันต้องชะงักลง เมื่อเห็นว่าคนจากสมาคมที่มานั้นเป็นใคร
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อากิ คุณดูสวยขึ้นมา......... เผียะ” ยังไม่ทันที่ลูคัสจะพูดจบ ฝ่ามือน้อยๆ ของอากิโกะ ก็สัมผัสใบหน้าของเขาอย่างเต็มรัก ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกๆ คนที่อยู่ในเต็นท์
“ชั้นไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ กลับไปซะ แล้วบอกให้สมาคมส่งใครก็ได้ที่ไม่ใช่คุณมาที่นี่” หล่อนพูดอย่างเฉียบขาด ก่อนที่จะหันหลังซ่อนใบหน้าที่นองด้วยน้ำตา เอาไว้ไม่ให้ใครเห็น
“ให้ตายสิ ยังมือหนัก แล้วก็ ขี้งอนเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนะ” ลูคัส พูดขึ้นมาทันทีหลังจากที่หน้าบวมไปแถบหนึ่ง แต่มันก็หายไป เมื่อเขาใช้ฝ่ามือลูบไปที่รอยตบ
“ขอโทษนะครับ แต่ ขอเวลาผมซักครู่จะได้มั้ยครับ” ลูคัส หันไปขอร้องบรรดาผู้ร่วมงานของอากิโกะซึ่งทุกคน ต่างก็ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี ทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“อากิ คือ ผม”
“ไปซะเถอะ ได้โปรด อย่าลับมาอีกเลย เรื่องของเรามันจบลงแล้ว ตั้งแต่วันนั้น วันที่คุณเดินออกไปจากชีวิตของชั้น” อากิโกะ ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำรำพึงรำพรรณนี้ออกมา
“คุณคิดว่าผมอยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้เหรอ ในวันนั้นที่เรามีความคิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องตำนานโบราณนั่น คุณคิดว่าผมอยากจะจากคุณไปอย่างงั้นเหรอ คุณเองต่างหากที่เป็นฝ่ายบอกเลิกผมในวันนั้น คุณทำให้ผมต้องทรมานแค่ไหนคุณรู้บ้างมั้ย ไม่มีเลยแม้แต่วินาทีเดียวที่ผมจะไม่คิดถึงคุณ โธ่เว้ย ให้ตายสิ ทำไมผมถึงต้องมายืนอธิบายเรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ผู้หญิงหัวดื้อแบบคุณฟังด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” ลูคัสเองก็ระบายออกมา อย่างหมดความอดทนเหมือนกัน
“ใช่สิ ก็ชั้นมันคนหัวดื้อ เอาแต่ใจ ขี้งอนนี่ แล้วคุณจะมาสนใจชั้นทำไมล่ะ ไปสิ กลับไปค้นคว้าเรื่องเวทย์มนตร์อะไรไร้สาระนั่นของคุณต่อไปเลย แล้วไม่ต้องมายุ่งกับชั้นอีก” อากิโกะเอง ก็เถียงอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ขณะที่ด้านนอกพวกที่แอบฟังอยู่ ต่างก็ลุ้นและวิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน
“ชั้นว่า งานนี้ แขกของเราเจอศึกหนักว่ะ” ผู้ช่วยคนหนึ่งกล่าวขึ้น
“แต่ชั้นว่าไม่แน่นะเว้ย งานนี้ถ่านไฟเก่า อาจคุอีกก็ได้ ใครจะไปรู้” อีกคนก็ให้ความเห็นที่ต่างกัน
“ไม่มีทางหรอก ที่อาจารย์ จะกลับไปคืนดี กับไอ้หมอนั่นน่ะ” ชายคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นมาอย่างหัวเสีย
“ก็แก หลงรักอาจารย์อยู่ข้างเดียวนี่หว่า แต่ก็แปลกนะ ถ้าอาจารย์ไม่มีเยื่อไยกับเค้าแล้ว ทำไมอาจารย์ยังห้อยแหวนนั่นไว้ที่คออยู่อีกล่ะ” ชายคนที่ 2 พูดแทรกขึ้นมา
“เชอะ แหวนงี่เง่า ไร้รสนิยมสิ้นดี เป็นชั้นล่ะก็ให้เพชรเม็ดใหญ่กว่านั้นอีก” ชายคนที่หลงรักอากิโกะ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“คนเห็นแก่ตัวอย่างเธอไม่มีทางเข้าใจหรอก แหวนนั่นเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความมั่นคงในความรักของทั้งคู่ ชั้นเห็นผู้ชายคนนั้นก็สวมแหวนแบบเดียวกันที่นิ้วนางข้างซ้ายอยู่เหมือนกัน แสดงว่าเขาก็ยังรักอาจารย์อยู่เหมือนกัน” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มสำรวจพูดขึ้นอย่างเข้าใจ
“แต่ชั้น ไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด” จากนั้นชายคนนั้น ก็วิ่งหายไปในป่า ในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ตั้งวิหาร
“ทาเคดะ รอด้วย จะไปไหนน่ะ ทางนั้นมันอันตรายนะ เรายังไม่ได้สำรวจเลย” จากนั้นทุกคน ก็รีบวิ่งตามไปทันที
ขณะที่ในเต็นท์ ก็ยังคงเป็นศึกที่หนักที่สุดในชีวิตของลูคัส ศึกรบที่หนักหนาสาหัสขนาดไหนพี่แกตลุยได้หมด แต่ศึกรักนี่สิมันหนักหนาสาหัสจริงๆ
“ยังกับว่าผมอยากจะยุ่งนักนี่ ถ้าไม่ใช่เพราะภารกิจล่ะก็ ผมคงไม่มาให้คุณเห็นหน้าหรอก”
“คุณก็เลยคิดจะหนีชั้นอีกใช่มั้ย ใช่สิ คุณน่ะ ก็เอาแต่หนีความจริงมาตลอดชีวิตนั่นแหละ ความจริงที่ว่าสิ่งที่ชั้นคิดคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด” และแล้วทั้งคู่ก็หันหลังให้กันด้วยอาการงอนอย่างถึงขีดสุด แต่สุดท้ายลูคัสก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“ผมผิดด้วยเหรอ ที่ผมแค่จะหาทางพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าสิ่งที่ผมคิดมันถูก ในโลกนี้ไม่มีใครหรอกที่จะถูกหมดทุกเรื่อง ผมเองก็เหมือนกัน ผมยอมรับว่าคิดผิดที่จากคุณไป ทั้งที่ผมรั........เฮ้ย อะไรกันเนี่ย” ยังไม่ทันที่ลูคัสจะพูดจบ จู่ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ไปทั่วทั้งเกาะ ข้าวของในเต็นท์ถึงกับตกหล่นกระจัดกระจาย ขณะที่อากิโกะเองก็ตกใจจนลืมตัวเผลอเข้ามากอดลูคัสเอาไว้แน่น ด้วยสัญชาติญาณ จากนั้นเต็นท์ทั้งหลังก็พังทลายลงมาครอบทังคู่เอาไว้ จนกระทั่งทีมงานคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา ยกเต็นท์ออกแล้วก็ได้เห็นภาพที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น ภาพของอากิโกะที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของลูคัส ที่ใช้ร่างกายเป็นเกราะกำบังจากการพังทลายของเต็นท์
“อาจา.........เอ่อ ถ้าปลอดภัยแล้วก็ค่อยยังชั่วหน่อย ผมต้องขออภัยที่มาขัดจังหวะครับ ลาล่ะครับ” จากนั้นทีมงานคนนั้นก็วิ่งไปสำรวจดูสภาพรอบด้าน ในขณะที่อากิโกะเมื่อรู้ตัวว่าอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เขินจนหน้าแดงก่ำ ก่อนจะขยับตัวห่างออกมาจากลูคัส ที่ยังปั้นหน้าไม่ถูก จากนั้นหล่อนก็ลุกขึ้นมาจัดการกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง และออกตรวจสอบสภาพทันที โดยไม่หันกลับมามองลูคัสอีกเลย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ถึงมีแผ่นดินไหวขึ้นมาได้ ดาวเทียมธรณีวิทยาก็ไม่ได้รายงานผลว่าจะมีปรากฏการณ์แบบนี้นี่” หล่อนถามด้วยความสงสัย
“คือ เมื่อกี๊ ทาเคดะ เขาอารมณ์เสียก็เลยไปเตะเอาแท่งหินรูปร่างประหลาดก้อนนึงเข้าจนล้มลงไป ที่ตรงริมลำธารฝั่งตรงข้ามกับซากโบราณสถานน่ะครับ จากนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาอย่างที่เห็นนี่แหละครับ” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดกับอากิโกะด้วยเสียงอ่อยๆ ขณะที่ลูคัสได้ยินเข้าก็รู้สึกสัมผัสได้ถึงสิ่งไม่ชอบมาพากลทันที
“พาผมไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลยเร็ว พวกที่ริมลำธารอยู่ในอันตราย” ลูคัส พูดกับเขาทันทีอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยว ริมลำธารไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไรนะ อีกอย่างแค่เตะแท่งหินล้มไปแล้วมีแผ่นดินไหวตามมา มันก็แค่เหตุบังเอิญเท่านั้นแหละน่า” อากิโกะค้านขึ้นมาอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก
“เดี๋ยวคุณไปเห็น ก็จะรู้เอง แต่นายทาเคดะอะไรนั่น งานนี้ถึงตายแน่ๆ ถ้าเราไม่รีบ ผมพูดได้เท่านี้แหละ” จากนั้น ลูคัส ก็รีบตามเจ้าหน้าที่ คนนั้นไปทันที ทำให้อากิโกะต้องตามไปด้วย
    บริเวณ ริมลำธาร หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ พวกของทาเคดะในเวลานี้ ได้เผชิญกับสิ่งที่ชวนสยดสยองที่สุดในชีวิต หลังจากที่เขาไปเตะเอาก้อนหินประหลาดนั่นเข้า พวกเขาพยายามหลบหนีสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีร่างกายเป็นครึ่งคนครึ่งจระเข้ผิวหนังเต็มไปด้วยเกล็ดขึ้นไปบนต้นไม้ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ขณะที่ด้านล่าง ฝูงมนุษย์ครึ่งจระเข้นั้นเฝ้าอยู่เต็มไปหมด
“เอาล่ะ ถ้าไม่อยากตาย ก็อยู่นิ่งๆ อย่าออกมาเด็ดขาด พวกนั้นผมจะช่วยลงมาเอง” ลูคัส หันมาพูดกับอากิโกะและเจ้าหน้าที่คณะสำรวจที่ตะลึงกับการได้เห็นสิ่งมีชีวิตประหลาด ก่อนจะก้มลงเอามือสัมผัสที่พื้นดินและทันใดนั้นเอง ประกายแสงสีเขียวก็ไหลจากดินมาสู่มือของลูคัส
“วิญญาณแห่งไม้ จงฟังคำข้า จงมอบพลังแก่ข้าเพื่อพันธนาการสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ไว้ด้วยเถิด” จากนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งกลับลงไปในดินแล้วทันใดนั้นเอง ก็บังเกิดเป็นกลุ่มเถาวัลย์จำนวนหนึ่ง ที่ตรงเข้าไปรัดร่างของมนุษย์ครึ่งสัตว์เหล่านั้นไว้ ทำให้มันขยับตัวไปไหนไม่ได้ แล้วลูคัสจึงเดินออกไปเผชิญหน้ากับมัน ในขณะที่ทุกๆ คน มองอย่างลุ้นระทึก
“ลงมาข้างล่างได้แล้ว” ทันทีที่พูดจบ จู่ๆ กิ่งไม้ที่พวกของทาเคดะปีนขึ้นไปซ่อนตัวอยู่ก็โน้มลงมาจนถึงพื้น ทำให้พวกของเขาวิ่งหนีมารวมกันกับที่อากิโกะยังยืนอยู่ได้ จากนั้นต้นไม้ต้นนั้นก็กลับเป็นเหมือนเดิม ทว่าพวกอสูรกายครึ่งคนนั้นมันก็ดิ้นหลุดจากพันธนาการเหมือนกันและจ้องมาที่ลูคัสด้วยแววตากระหายเลือด
“ได้เวลาทดสอบอาวุธซะที โชคดีที่เอามาด้วย” ลูคัส ชักเอาปืนแมกนั่มที่ได้รับจากสมาคมออกมาอย่างรวดเร็วแล้ว เล็งไปที่อสูรกายตัวที่พุ่งเข้ามาหาเขาทันที
“เปรี้ยง” ประกายไฟสีทองพวยพุ่งออกมาจากปากกระบอก ส่งผลให้อสูรกายตัวนั้นกระเด็นตกลงไปยังลำธารทันที พร้อมกับหัวที่ระเบิดกระจุย คราวนี้พวกที่เหลือก็โถมเข้ามาอย่างบ้าเลือดทันที แต่พวกมันก็ต้องกระเด็นกลับไปในสภาพที่ร่างกายกระจุยกระจายเป็นชิ้นๆ ด้วยอานุภาพของปืนแมกนั่มในมือของลูคัส จนกระทั่งเหลือตัวสุดท้ายที่มีขนาดใหญ่กว่าเพื่อน และมีเกล็ดที่ส่องเป็นประกายสีที่ต่างออกไป กรงเล็บของมันกางออกมาอย่างเต็มพิกัด สายตาของมันจ้องมาที่ลูคัส ด้วยความเคียดแค้นอย่างแสนสาหัส
จากนั้นมันจึงพุ่งเข้าใส่ลูคัสด้วยความเร็วที่ใครๆ ก็มองไม่ทัน กรงเล็บของมันตวัดเข้าที่ร่างของลูคัสทันทีโดยหมายจะให้ตายในครั้งเดียว ทว่ามันก็ต้องแปลกใจที่จู่ๆ ก็มีโซ่ประหลาดมาพันแขนของมันเอาไว้แล้วเหวี่ยงมันขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะปล่อยให้ตกลงมาบนพื้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“ใช้ได้สะดวกดีจริงๆ สมแล้วที่เป็นอุปกรณ์ที่เมอร์ลินเก็บรักษาไว้” จากนั้นก่อนที่เจ้าตัวประหลาดจะฟื้นตัวเต็มที่ ลูคัสก็ใช้โซ่มัดมันไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเจ็บหนักกว่าเดิม เพราะหัวมังกรที่ปลายโซ่กัดฝังเขี้ยวลงไปในร่างของมันอย่างแรงพร้อมกับปล่อยพิษอันรุนแรงผสมลงไปด้วย และแน่นอนว่าโซ่ที่มัดร่างมันนั้นเวลานี้แปรสภาพเป็นโซ่คมมีดไปเรียบร้อยแล้ว มันจึงได้รับความทุกข์ทรมานถึงขีดสุด
“ข้าไม่เคยมีความแค้นกับเจ้า แต่เพื่อป้องกันตัวและช่วยเหลือเพื่อนพ้องของข้า ข้าจำเป็นต้องใช้พลังนี้ ขอจงอภัยให้ข้าด้วยเถอะ” จากนั้นร่างของมันก็ถูกตวัดเข้ามาหาลูคัสอย่างรุนแรง และแน่นอนคาธาร์ในมือขวาของลูคัสรอมันอยู่แล้ว ทันทีที่เข้าถึงระยะ ลูคัสก็ตวัดคาธาร์ในมือขวาเข้าที่ลำคอของมันพอดี จนขาดออกจากร่าง ก่อนที่จะปล่อยโซ่ ทิ้งร่างของมันไว้ที่ตรงนั้น และทันใดนั้นเองร่างของมันก็ค่อยๆ ถูกกลืนลงสู่พื้นดิน ด้วยพลังเวทย์มนตร์ของลูคัส
“หลับอย่างสงบเถอะ เจ้าไม่ต้องสู้กับใครแล้ว วิญญาณของเจ้าถูกปลดปล่อยแล้ว” ลูคัสยังคงยืนสงบนิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เว้นแต่อากิโกะคนเดียว ที่มองเข้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป
“ยังจะมัวทำอะไรอยู่อีก ตรงนี้มีคนบาดเจ็บนะ” ทาเคดะ โวยวายขึ้นมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ทำให้ลูคัสเดินตรงเข้ามา
“พูดอะไรของเธอ ทาเคดะ การแสดงความรพต่อคู่ต่อสู้ที่ถึงแม้จะเป็นศัตรู ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเหล่านักรบในประเทศเราไม่ใช่หรือยังไง” อากิโกะ หันมาตวาดใส่ ทาเคดะ ด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนคนอื่นๆ ยังต้องตกใจ แต่หล่อนก็ต้องเงียบเมื่อลูคัส เดินกลับมาถึงซึ่งในเวลานี้ อาวุธต่างๆ ได้กลับสู่สภาพเดิมหมดแล้ว แววตาของเขายังคงว่างเปล่าราวกับคนที่ไร้จิตวิญญาณ แต่เมื่อมองไปที่ทาเคดะที่บอกว่าตนบาดเจ็บอยู่ เขาก็ใช้กำปั้นชกเข้าที่ครึ่งปากครึ่งจมูกของทาเคดะอย่างเต็มแรง จนอีกฝ่ายถึงกับกระเด็น บาดแผลที่แขนและกลางหลัง อันเกิดจากกรงเล็บ เมื่อได้รับแรงสะเทือนก็ฉีกออกกว้างขึ้น ทำให้ทุกคนยิ่งตกตะลึงไปกันใหญ่ แต่ทว่าอากิโกะยังคงเฉยไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา เพราะในความคิดของหล่อนทาเคดะสมควรได้รับโทษสถานหนักอย่างสาสมต่อการกระทำในครั้งนี้
“แค่นี้ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ เพราะการกระทำ อันสิ้นคิดที่เกิดจากความริษยาของแก ทุกสิ่งทุกอย่างมันถึงได้เลวร้ายลงไปขนาดนี้ เอาล่ะทุกคนฟังผมให้ดีแผ่นดินไหวเมื่อกี๊นี้คือสัญญาณแห่งหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นมากับเราทุกคน สิ่งที่เป็นแท่งหินที่ไอ้หมอนี่เตะจนล้มไปเมื่อกี๊ คือ สลักกุญแจที่ใช้กักขังบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในเกาะนี้ แล้วดูเหมือนเจ้านั่นจะตื่นมาเรียบร้อยแล้วด้วย ขึ้นอยู่กับว่าพวกคุณจะทำงานกันเสร็จไวแค่ไหนก่อนที่มันจะมาเล่นงานพวกคุณทุกคน ส่วนแก ทาเคดะ จงจำไว้เถอะว่าแกคือผู้เปิดประตูสู่หายนะแก่เราทุกคน” จากนั้นลูคัส ก็ใช้มือลูบไปที่แผลของทาเคดะ ทันใดนั้นเองบาดแผลก็สมานเป็นเนื้อเดียวกัน
“เรากลับไปที่แคมป์กันก่อน แล้วพรุ่งนี้ จะได้เริ่มงานกันแต่เช้า ถ้าใครยังรักชีวิตล่ะก็รีบทำงานส่วนของตัวเองให้เสร็จซะ แล้วไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด” ลูคัส สั่งการแทนอากิโกะทันที และแน่นอนว่าทันทีที่ทุกคนได้ยินก็ต่างคนต่างรีบกลับไปยังแคมป์ทันที ยกเว้นอากิโกะที่ยังคงยืนอยู่
“มีอยู่ 2 เรื่องที่ผมยังไม่ได้บอกคุณ ข้อแรกสมาคมไม่ได้แค่ส่งผมมาช่วยงานคุณเรื่องการแปลเท่านั้น แต่ยังให้ผมเฝ้าจับตาดูคุณเอาไว้ด้วย”
“แล้ว ที่เหลือล่ะ”
“ข้อสุดท้าย คือ คุ้มครองคุณจนกว่างานขุดค้นจะเสร็จสิ้น”
“ที่ต้องคุ้มครองชั้น ก็แค่ทำตามคำสั่งใช่มั้ย สมกับเป็นคุณจริงๆ เลยนะ หน้าที่มาก่อนเสมอ”
“ไม่หรอก ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว หน้าที่ในการคุ้มครองคุณในครั้งนี้ ผมทำตามเสียงเรียกของหัวใจของผมเอง”
“ลูคัส”
“ผมรักคุณ อากิ และจะไม่จากคุณไปไหนอีก” ทั้ง 2 ต่างจ้องมองลึกลงไปในดวงตาของทั้งคู่ ท่ามกลางสรรพสิ่งที่เงียบงัน และ ณ วินาทีนั้นเอง อากิโกะก็โผเข้ากอดลูคัสไว้แน่นราวกับว่าจะไม่ยอมให้เขาไปไหนอีกเช่นกัน
“ชั้นรักคุณ ลูคัส ชั้นยังรักคุณเสมอ ชั้นจะไม่ยอมให้คุณหนีจากชั้นไปไหนอีกแล้ว” หล่อนพูดออกมาทั้งน้ำตา น้ำตาแห่งความยินดี ที่ในที่สุด ลูคัสคนเดิมก็กลับมาแล้ว กลับคืนมาสู่หัวใจที่เฝ้าเรียกหามาตลอด และจากนี้ไป หัวใจของทั้ง 2 จะหลอมรวมกันเป็นดวงเดียว เพื่อวันข้างหน้าและอนาคตที่กำลังจะมาถึง
“คงไม่ว่าอะไรนะถ้าจากนี้ไปชั้นจะกลับมาเรียกคุณว่า อเล็กซ์ เหมือนอย่างแต่ก่อน” หล่อนพูดออกมาทั้งที่ยังซบใบหน้าอยู่กับอกของเขา
“ได้สิ ผมจะยินดีมากเลย ถ้าคุณจะเรียกผมอย่างนี้ อากิ ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งในอดีต”
“ชั้นก็ต้องขอโทษคุณเหมือนกันค่ะ อเล็กซ์ ที่ชั้นทำไม่ดีกับคุณ จากนี้ไปขอให้ชั้นได้ทำอะไรเป็นการไถ่โทษเพื่อคุณซักครั้งเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอให้คุณทำงานนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเพื่อผม แล้วเราจะออกไปจากเกาะนี้ด้วยกัน”
“ค่ะ ชั้นสัญญา” ทั้งคู่ยืนกอดกันอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์และได้แต่ภาวนา ขอให้เวลาหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ เพื่อที่จะสัมผัสถึงความสุขสมหวังนี้ให้นานที่สุด ก่อนที่จะต้องเผชิญกับอะไรที่ไม่อาจคาดคิดได้อีก ทว่า นี่ยังคงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะหายนะที่แท้จริง ได้คืบคลานเข้ามาสู่ทุกชีวิตบนเกาะแห่งนี้แล้ว บทเพลงขับลำนำแห่งการหลั่งเลือดและสายลมแห่งความวิปโยคได้เริ่มบรรเลงขึ้นมาแล้ว โดยไม่มีใครรู้ตัว
    ดวงตาสีแดงเพลิงคู่หนึ่งส่องประกายวาววับออกมาจากความมืดมิด ภายในประกายสีแดงเพลิงดุจโลหิตนั้นไม่มีใครรู้ได้ ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น หากแต่วงล้อแห่งชะตากรรม กำลังหมุนไปสู่การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ที่กำลังรอคอยอยู่
..................................................
จบ บทที่ 2 สู่ลำนำแห่งความหายนะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น