ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~๐สลับร่างสร้างรัก๐~

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑ (อัพ 100%)

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 48


                   บทที่ ๑







                   .........................







                   “ผมรักคุณนะวรรณ คุณได้ยินไหมว่าผมรักคุณ”







                   “ได้ยินแต่ฉันไม่ได้รักคุณนะเดช” ฉันตอบกลับไปพร้อมกับมองใบหน้าของเขาที่กำลังโกรธเกรี้ยว “ทำไมล่ะ? ผมมันไม่ดีพอสำหรับคุณหรือยังไงวรรณ”







                   “ไม่ใช่จะไม่ดี แต่ฉันไม่สามารถรับความรู้สึกของคุณที่มีต่อฉันได้”







                   ฉันเอ่ยพลางมองมือสั่นระริกระรี้ที่อยู่บนหัวไหล่ของฉัน...เดช ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ชอบคุณเลยสักนิด







                   “ฉันขอโทษนะเดช”







                   เดชยืนนิ่งไม่พูดไม่จาจนฉันคิดว่าควรจะเอามือของเขาออกจากหัวไหล่ฉันได้แล้ว  แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อนิ้วทั้งสิบได้จิกเข้าที่หัวไหล่ของฉันซะแน่น







                   “โอ๊ย! นี่คุณจะทำอะไรฉันนะเดช...ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ!”







                   ฉันร้องและพยายามขัดขืนแต่ก็ไม่สำเร็จ ทั้งสองมือนั่นก็ยังคงจิกหัวไหล่ของฉันแน่นตามเดิม







                   “ไม่ปล่อย! เรื่องอะไรที่ผมจะต้องปล่อยคุณไป...ไม่มีวัน!”







                   “แต่คุณกำลังจะทำให้ฉันเจ็บนะ!”







                   “ก็ช่างหัวคุณสิวรรณ! ไหนๆวันนี้คุณไม่ยอมรับรักผมแล้ว...ผมจะอยู่ไปทำไมกันล่ะ สู้ให้คุณตายไปพร้อมกับผมเลยจะไม่ดีกว่ารึ” น้ำเสียงของเขากระโชกโฮกฮากผิดกว่าปกติ...ดูเหมือนเขาจะบ้าไปแล้ว...บ้าไปแล้วจริงๆ







                   แคว่ก!!







                   “ไม่นะ! เดช...อย่า!”







                   ฉันพูดขอร้องเขาทันทีที่ตกใจเมื่อเห็นว่าร่างสูงได้ทำการฉีกเสื้อของฉันขาด ...แต่ทว่าร่างนั้นกลับหาไม่ฟังสักนิด และยังคงพยายามฉีกเสื้อที่เหลือให้ขาดยิ่งขึ้นไปอีก ความอดทนครั้งสุดท้ายของฉันก็ขาดดังผึงพร้อมกับผลักร่างสูงนั่นออกห่างจากตัว ทำให้ร่างของเดชกระเด็นห่างไปจากตัวฉันเล็กน้อย ทันทีที่มีโอกาสฉันจึงหันหลังกลับและออกวิ่งโดยไม่คิดชีวิต





        

                   “จะหนีผมไปไหนวรรณ! กลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”







                   ฉันได้ยินแต่ก็ไม่สนใจ และยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีต่อไปเรื่อยๆ ด้วยความรีบร้อนของฉันบวกกับตาที่ไม่ยอมมองสิ่งรอบข้างจึงทำให้ฉันสะดุดสิ่งที่กีดขวางเข้า







                   ปึ่ก!!  







                   หัวของฉันกระแทกเข้าที่กับพื้นอย่างจัง และดูเหมือนว่าจะแรงมากเสียจนแทบมึนไปในทีเดียว แต่ทว่า..พอฉันล้มลงไปแล้ว ก็เห็นร่างเดชกำลังวิ่งมาทางนี้อย่างน่ากลัวพร้อมกับมีดเล่มหนึ่ง ซึ่งมาจากที่ไหนนั้นฉันก็ไม่ทราบ สติของฉันกำลังจะหายไป...ไม่นะ ฉันไม่อยากตาย ใครก็ได้ช่วยได้ ฉันคิดในใจจนกระทั่งเดชวิ่งเข้ามาถึงตัวฉัน พลางยกมีดขึ้นเหนือสุดหัวพร้อมที่จะหมายมาดแทงมาที่ฉัน







                   “ม่ายยยยยยยย!”








                   …………………







                   “ม่ายยยยยยย!”







                   ฉันร้องลั่นไม่รู้ตัวจนกระทั่งรู้สึกว่ามีมือสองข้างมาจับหัวไหล่ฉันซะแน่น...ไม่นะ! เดช อย่าทำฉันอีกเลย ฉันกลัวแล้ว ฉันกลัว!







                   “เธอเป็นอะไรไปพิราวรรณ! ”







                   เสียงนั่นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนจับหัวไหล่







                   “ไม่! เดชอย่าทำฉันเลย ฉันกลัวแล้ว” ขณะที่ฉันร้องและพยายามสะบัดหัวไหล่ให้หลุดออก  ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างกำลังโอบกอดฉัน







                   “อย่ากลัวไปเลยพิราวรรณ ไม่ต้องกลัว..ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่ที่นี่แล้ว”







                   ความรู้สึกอันอบอุ่นที่ฉันสัมผัสได้นั้นช่างอ่อนโยนยิ่งนัก กี่ปีแล้วนะที่ฉันห่างเหินมานาน...นานจริงๆ  แต่เอ๊ะ! เสียงตะกี้เป็นเสียงของใครกันนะ (-*-) ว่าแล้วฉันก็ลืมตาขึ้นมาดูทันที (O_O)







                   “นี่คุณมากอดฉันทำไมนะ!”







                   ที่แท้ก็เป็นตากฤษนั่นเอง หนอย! เผลอหลับนิดหน่อยก็แอบมาสวมรอยกอดฉันซะได้นี่ เมื่อร่างสูงเห็นว่าฉันลืมตาขึ้นแล้ว จึงค่อยปล่อยแขนออกจากลำตัวของฉัน







                   “ฉันเห็นว่าเธอร้องกลัวๆ ก็เลยกอดเพื่อปลอบใจเท่านั้นเอง...ไม่มีอะไรหรอก”







                   “แน่นะว่าไม่มีอะไรนะ”







                   “แน่ยิ่งกว่าแน่ เพราะฉันเองก็ไม่ค่อยชอบกอดผู้หญิงที่ชอบอาศัยร่างคนอื่นซะด้วยสิ”







                   “ใครอาศัยร่างคนอื่นกันฮ่ะ!” ฉันทนไม่ได้ที่อีตาลูกครึ่งมาดูถูก ก็มันจริงๆนี่ ฉันเองก็ไม่อยากจะมาอยู่ในร่างนี้ซะหน่อย “ก็เธอยังไงล่ะพิราวรรณ”







                   “ฉันแล้วทำไม! อย่าคิดนะว่าฉันอยากจะอยู่ร่างของคนอื่น เหอะ! ไม่เคยนึกอยู่ในหัวซะด้วยซ้ำ”







                   ใช่ ไม่เคยนึกเลยว่าจะต้องมาอาศัยในร่างของคนอื่น ไม่เคยนึกเลยจริงๆ







                   “อ้อ! งั้นรึ ฉันเองก็ไม่นึกอยากให้คนอ่อนแออย่างเธอต้องมาอยู่ในร่างเพื่อนของฉันแบบนี้นานๆหรอกนะ มันเสียภาพพจน์กุลสตรีหมด”







                   “เสียภาพพจน์กุลสตรี! ต๊ายตาย! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงฝรั่งคนนี้จะมีความเป็นกุลสตรีด้วยกับเขารึเนี่ย...ไทยก็ไม่ใช่ซะหน่อย ดัดจริตชะมัด!” ฉันพูดพลางนึกถึงผู้หญิงฝรั่งกำลังนั่งเย็บปักถักร้อย หึหึ คงขำพิลึกน่าดูชม “แต่มันก็ดีกว่าเธอละกัน ดิ้นไปดิ้นมาอย่างกับนกอีแร้งเต้นกา”







                   อีตาลูกครึ่งพูดพลางส่งยิ้มให้ฉัน หนอย! ดูถูกกันมากเกินไปแล้วนะ







                   “เดี๋ยวเหอะ! นายบังอาจมาว่าฉันเป็นนกอีแร้งเต้นกางั้นรึ” ฉันพูดพลางทำมือจะไปตีอีกฝ่ายแต่ก็ต้องหยุดทันทีที่ได้ยินเสียงๆหนึ่งเข้า







                   “(ฟื้นแล้วเหรอริร่า!)”







                   “อีริค”







                    ฉันร้องชื่อของอีตาฝรั่งผมทองเบาๆ ส่วนนายกฤษนั่นลุกขึ้นไปยืนข้างเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้







                   “(ดูเธอจะหายดีเป็นปกติแล้วนะริร่า)” หวาย! เขาพูดอะไรน่ะ ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด แต่ขณะที่ฉันกำลังคิดว่าจะตอบอะไรกลับไปดี ตาอีริคก็เดินเข้ามาสวมกอดฉันเบาๆ “(อย่าออกไปข้างนอกทั้งๆที่ยังไม่หายดีอีกนะริร่า...ฉันเป็นห่วง)”







                   ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่คงจะต้องเป็นเรื่องดีแน่ๆ ไม่งั้นเขาจะมากอดฉันไว้ทำไมกันล่ะ







                   “(เอาเถอะ ถ้าเธอไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร ฉันว่าเธอนอนพักซะนะริร่า เดี๋ยวฉันจะทำของโปรดมาให้เธอทาน นอนรอที่นี่นะ..เดี๋ยวฉันมา)”







                   อีริคพูดจบก็จับร่างฉันนอนกับเตียงเบาๆ ก่อนที่จะหยิบผ้ามาห่มให้กับฉัน







                   “(เฝ้าดูเธอแทนฉันหน่อยนะกฤษ)” อีริคสั่งเพื่อนที่ยืนนิ่ง จากนั้นค่อยลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปนอกห้อง ทันทีที่ประตูปิดลง อีตาลูกครึ่งก็หันหน้ามาทางฉัน







                   “เป็นไงล่ะแม่คนแปลกหน้า ชอบใจละสิที่ถูกอีริคกอด”







                   “ใครว่า? ฉันไม่ได้ชอบซะหน่อย แต่ก็ดีกว่านายละกัน...แหวะ! หยะแหยง” ฉันพูดทำท่ารังเกียจให้อีกฝ่ายได้เห็น แทนที่ตานั่นจะทำท่าโมโห กลับหัวเราะเยาะชอบใจอีกซะได้







                   “หึหึ หยะแหยงได้ก็หยะแหยงไป ไว้เธอได้รู้จักกับฉันดีซะก่อน...แล้วจะได้รู้สึกที่ฉันกอดมันดีแค่ไหน”







                   “เชิญนายรู้สึกไปคนเดียวเถอะย่ะ!” ฉันแลบลิ้นใส่ก่อนจะหันร่างหลบหนีไปทางอื่น “อะไรกัน จะนอนแล้วหรือ”







                   “ใช่ ห้ามกวนล่ะ”







                   “หึๆ ก็ได้” แล้วอีตานั่นก็ปิดปากเงียบสนิทไปสักพัก







                   เอ๊ะ! เงียบผิดปกติ หรือว่าจะหลับไปแล้วกันแน่นะ







                   พอฉันพลิกตัวไปอีกข้างเพื่อดูอีตานั่น ก็ต้องสะดุ้งกับสายตาที่จ้องมองมา “มองอะไร! ไม่เคยเห็นคนนอนหลับหรือยังไง” ฉันด่าใส่ฉอดๆ แถมสะบัดมือของตัวเองไปมา







                   “ไม่เคย...มั้ง” แน๊! มีการมั้งอีก แถมแสยะยิ้มให้ฉันด้วย ฉันไม่ชอบอีตาลูกครึ่งนี่ยิ้มเลยอ่ะ = =”







                   “เดี๋ยวเหอะ! อย่ากวนได้ไหมล่ะขอร้องคนจะนอน” ฮึ่ม! กวนได้กวนดีจังนะ ทีกับอีริคไม่เห็นทำแบบนี้เลย “ก็นอนไปสิ ใครจะไปว่าเธอได้ล่ะ”







                    พวกเถียงคำไม่ตกฟาก ฉันนี่ละเบื่อจริงๆ เฮ้อ! ไม่เล่นด้วยแล้ว..นอนดีกว่า







                   “อ้าว! แล้วนั่นเธอจะทำอะไรนะ” เขาร้องถามเมื่อเห็นฉันกำลังพลิกตัวไปอีกข้าง “นอนไงเล่า! เบื่อเถียงกับคนพูดไม่รู้เรื่อง”







                   ฮึ! คนอะไรก็ไม่รู้ ทุเรศชะมัด ไม่รู้ว่าจะเสียเวลาไปทะเลาะกับคนพรรคนี้ได้ยังไงกัน เฮ้อ!...







                   ฉันคิดในใจก่อนจะหลับตาลง...แต่ว่ามีอีตานี่อยู่ใกล้แล้วเล่นทำเรานอนไม่หลับเลยแฮะ ไม่เอาๆ เลิกคิดดีกว่า...หลับๆ ซะพิราวรรณเอ๋ย (-*-) แต่พอฉันเริ่มเคลิ้มใกล้จะหลับ อีตานี่ดันเอ่ยปากถามขึ้นมาซะได้นี่







                   “เอ่อ...ขอโทษที่ละลาบละล้วงนะ คือฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงได้กลัวคนที่ชื่อเดชล่ะ...หมอนั่นไปทำอะไรให้เธออย่างนั้นรึ ”







                   ทันทีที่เขาพูดจบ ไหล่ของฉันก็สั่นระริกด้วยความกลัวอย่างไร้สาเหตุ...ใช่ ฉันกลัว เกลียด จนแทบอยากจะฆ่าคนๆนั้นไปพร้อมกันเลยด้วยซ้ำ







                   “...มันไม่มีอะไรหรอก แต่ฉันว่านายอย่ารู้เรื่องนี้เลยจะดีกว่านะ...”







                   “ก็ได้...ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่..ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกฉันได้นะ ฉันจะช่วยเหลือเธอเอง” เขาพูดเหมือนรู้ใจของฉัน แต่มันไม่ง่ายหรอกนะนายกฤษ คงอีกนานที่กว่าฉันจะทำใจได้..บางทีไม่แน่ฉันอาจจะไม่บอกเรื่องนั้นกับนายเลยก็ได้  







                   “อือม์ ขอบใจนะกฤษ”







                   ฉันตอบก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้ง คราวนี้คงเป็นมติของสวรรค์ที่ให้โอกาสฉันได้มีชีวิตบนโลกนี้อีกครั้งละมั้ง...ไม่งั้นฉันจะได้นอนคิดอยู่อย่างนี้หรือ....ว่าแต่..ร่างของฉันล่ะ? ไหนจะผู้หญิงที่เป็นเจ้าของร่างนี้อีก ป่านนี้ไม่แหลกเหลวไปพร้อมกับคนชั่วคนนั้นไปแล้วเหรอ....







                   ....................







                   “ว้าว! หิมะๆ”







                   ฉันเอ่ยด้วยความดีใจขณะที่นอนเล่นอยู่บนเตียงโดยที่ข้างเตียงมีอีริคกับกฤษ นั่งหัวเราะกับความไร้เดียงสาของฉัน “นี่เธอไม่เคยเห็นหิมะหรือยังไงพิราวรรณ”







                   “เคยสิ แต่ในทีวีนะ”







                   ฉันหันขวับมาตอบใส่กฤษก่อนที่จะหันไปมองหิมะต่อ ฉันอาศัยอยู่ในร่างของคนอื่นได้มาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ส่วนเรื่องที่ฉันมาอาศัยอยู่ในร่างของริร่านั้น กฤษได้บอกกับอีริคในเรื่องที่ฉันกับริร่าสลับร่างกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และแน่นอนว่าอีริคตกใจจนทำชามข้าวต้มตกพื้นเรี่ยราด เรื่องประหลาดนี้...เป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้นแหละ แม้แต่ฉันเองยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำ...แต่มันก็มีปัญหาใหญ่อยู่อย่างหนึ่งก็คือ อีริคเป็นห่วงริร่า และอยากจะออกตามหาริร่าในร่างของฉันที่ประเทศไทยในเร็วๆนี้ แต่ก็ต้องรอให้ฉันหายดีเสียก่อนแล้วค่อยไปพร้อมกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันถามอีริคไปว่า เขาเกลียดฉันที่มาอาศัยอยู่ในร่างของริร่าหรือไม่...ซึ่งคำตอบที่ออกมาก็คือ...เขาไม่ได้รังเกียจเลย ออกจะยินดีด้วยซ้ำที่เขากับฉันได้มีโอกาสรู้จักกัน..โชคยังดีที่เขาเป็นคนดี มีน้ำใจ  ซึ่งผิดกับอีตากฤษที่โหดซะไม่มี วันๆเอาแต่พูดล้อฉันอยู่นั่นแหละ..ฉันล่ะแทบเซ็ง  







                   “(ถ้าเธอชอบดูมันมากนัก...ไว้หายดีแล้วฉันจะพาเธอออกไปดูข้างนอกให้เอามั้ย)”







                   อีริคพูดกับฉันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มหลังจากฟังที่กฤษบอกว่าฉันพูดอะไรออกไปตะกี้นี้







                   “อีริคพูดว่ายังไงเหรอกฤษ แบบว่าฉันฟังไม่รู้เรื่องนะ” ฉันอยู่ที่นี่ได้หนึ่งอาทิตย์แล้วก็จริง แต่เรื่องภาษาอังกฤษนี่ยังคงไม่ได้เรื่องอีกตามเคย เฮ้อ! นี่ถ้าฉันได้กลับร่างเดิมละก็ เห็นทีต้องกลับไปเรียนภาษาอังกฤษให้มากๆขึ้นแล้วเสียล่ะ  







                   “เธอก็เป็นแบบนี้ทุกที บอกไว้ก่อนว่า..ฉันไม่ใช่ล่ามที่ต้องมาคอยแปลให้ตลอดทุก 24 ชั่วโมงนะ!”







                   “เออน่า! นายรับหน้าที่นี้ไปชั่วคราวก่อนละกัน ไว้ให้ฉันฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่องก่อนแล้วพอถึงตอนนั้นนายจะเป็นหรือไม่เป็น...มันก็เรื่องของนายละนะ เอ้า! รีบบอกมาสิว่าตะกี้อีริคพูดอะไรกับฉันฮึ!”







                   ฉันพูดพลางทำท่ากอดอก ...ว่าแต่มันก็เริ่มรู้สึกเย็นๆแล้วแฮะ รู้อย่างนี้เราไม่น่าบอกให้อีตากฤษนี้เปิดหน้าต่างออกเลย “อีริคบอกกับเธอว่า  ถ้าเธอชอบดูหิมะ เขาจะพาเธอออกไปดูข้างนอกหลังจากหายดีแล้วนะ”







                   “จริงเหรอ O_O ว้าว!...ยอดไปเลย”







                   ฉันหันหน้าไปทางอีริค







                   “Thank you Erik” ฉันรู้สึกดีใจมากที่จะได้ออกไปเล่นหิมะเป็นครั้งแรก ซึ่งมันก็แปลกผิดวิสัยของคนที่เป็นลูกท่านรัฐมนตรีอย่างมาก แน่นอนล่ะ พ่อของฉันไม่เคยคิดจะพาฉันได้เยือนนอกประเทศเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรกันนักกันหนา...กับอีแค่ตอนสมัยหกขวบ ฉันได้ไปทำของสำคัญราคาแพงเหยียบสิบล้านแตก เหตุนี้ท่านจึงไม่ยอมให้ฉันไปที่ไหนอีกเลยนอกเสียจากให้เที่ยวแค่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น







                   …………







                   หลายวันผ่านไป ร่างกายของฉันก็หายเป็นปกติดีทุกอย่างจนอีริคกับกฤษอนุญาตให้ฉันออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ ทีแรกอีริคจะไปเดินเล่นกับฉันแต่ดันมีธุระเสียก่อน จึงวานให้อีตากฤษไปเป็นเพื่อนเดินเล่นแทน







                   “เฮ้อ!”







                   “.......”







                   ฉันไม่รู้ว่ามันเวรกรรมอะไรนักหนาที่จะต้องมาเดินเล่นกับอีตานี่ด้วยนะ จะเรียกว่าโคตรมหาซวยก็ยังได้ ดูสิ แค่เดินเล่นด้วยกัน ไม่ยักจะพูดอะไรสักคำ เอาแต่เดินๆๆ เหมือนกับองครักษ์ที่เดินตามเจ้าหญิงต้อยๆ ยังงั้นแหละ







                   “เฮ้อ!”







                   “เป็นอะไรไปล่ะ เหนื่อยหรือไง” ชายหนุ่มที่เดินอยู่ด้านหลังเอ่ยถามทันทีที่ได้ยินเสียงถอนหายใจรอบที่สองของฉัน “เปล่า! ไม่มีอะไรหรอก”







                   “ไม่มีอะไร? ..แน่ใจนะ” อีกฝ่ายว่าพลางทำหน้าขมวดคิ้วใส่ “แน่สิ และก็อย่าถามอะไรมากได้ไหม คนเค้าจะดูหิมะ ห้ามรบกวน..อ๊ะ! ไปปั้นหิมะเล่นดีกว่า” พูดจบ ฉันก็วิ่งเข้าหาหิมะที่กองอยู่กับพื้น







                   “พื้นมันลื่น วิ่งช้าๆหน่อยนะ”







                   ฉันได้ยินที่อีตานั่นพูดจึงหยุดวิ่งและหันตัวกลับมา “...รู้แล้วน่า ไม่ต้องมาเป็นห่วงฉันหรอก”







                   “ใครว่าฉันเป็นห่วงเธอพิราวรรณ ฉันเป็นห่วงร่างของริร่าต่างหากเล่า เกิดเป็นอะไรขึ้นมามีหวังฉันโดนอีริคเล่นงานนะสิ”







                   “อะไรกันย่ะ! นี่นายห่วงแต่ร่างของริร่าเพียงอย่างเดียวรึ”







                   “ก็ใช่นะสิ เธอมันก็แค่ผู้อาศัยร่างของคนอื่นเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรได้ตามใจชอบ ดีนะที่เห็นว่าเป็นร่างของริร่า ไม่งั้นฉันจะ....” จู่ๆ หมอนี่ก็หยุดชะงักพูดไปซะหน้าตาเฉยล่ะ..ไม่เข้าใจเลยจริงๆ







                   “จะอะไรเล่า! ...พูดมาสิ” ยิ่งคุยยิ่งหมั่นไส้ขึ้นทุกที ทำไมกันหนอ ฉันถึงอยู่ใกล้หมอนี่นานๆทีไร..มักจะทะเลาะกันทุกที “...ไม่มีอะไรหรอก เธอจะไปเล่นหิมะก็ไปเล่นสิ ฉันจะยืนดูเธอตรงนี้แหละ” ร่างสูงกล่าวเสร็จก็เอามือสองข้างมากอดอก







                   “หึ ยืนได้ก็ยืนไป อย่าบ่นเชียวล่ะ” ฉันบอกก่อนที่จะหันกลับแล้วเดินเข้าไปเล่นกองหิมะ ดูสิ..ว่าจะทนยืนอยู่ตรงนั้นไปได้สักกี่น้ำกัน...







                   ...เวลาผ่านไปราว 1 ชั่วโมงประมาณได้ ฉันก็หันกลับมามองร่างที่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง แหม! ยังยืนทนได้อยู่อีกหรือเนี่ย เอาเถอะ ทนได้ก็ทนไป







                   ...เวลาผ่านไปราว 2 ชั่วโมง หมอนั่นก็ยังคงยืนกอดอกเช่นเคย นั่น! ความอดทนสูงส่งซะไม่มี







                   ...และแล้วเวลาก็ผ่านไปจนฉันลืมไปซะเสียสนิท พอรู้สึกตัวว่านานมากพอแล้วจึงรีบเงยหน้าขึ้นมามองนาฬิกาที่ข้อมือ...เหวอ! เที่ยงครึ่ง ให้ตายสิ นี่มันได้เวลาที่ต้องกลับไปทานข้าวกลางวันแล้ว ไม่น่าเล่นเพลินจนลืมดูเวลาเลยเรา! ฉันคิดดังนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนและหันหลังกลับไป







                   “ว๊าย!”







                   ฉันอุทานทันทีที่เห็นร่างสูงนอนหน้าคว่ำกับพื้น







                   “เฮ้! นายเป็นลมหรือเนี่ย ทำไมไม่บอกฉันก่อนล่ะ” ฉันวิ่งเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับพลิกร่างนั้นหงายขึ้นมา “ฉันเห็นเธอกำลังเล่นหิมะเพลิน ก็เลยไม่อยากเข้าไปรบกวนนะสิ” ยิ่งฟังแล้วยิ่งหมั่นไส้ คนอะไรก็ไม่รู้ เล่นตัวชะมัด







                   “รบกวนบ้านนายสิ! ...ตัวร้อนจี๋ขนาดนี้ยังทำเป็นอวดเก่งอยู่ได้ มามะ ลุกขึ้นเร็ว ฉันจะได้พยุงนายเดินกลับบ้าน” ฉันพูดใส่อารมณ์นิดๆ จากนั้นค่อยใช้มือที่ว่างพยุงตัวของเขาให้ลุกขึ้น \"ไม่ต้องหรอก..ฉันลุกขึ้นเองได้\"







                   ร่างสูงบอกพร้อมกับสะบัดมือของฉันออกแล้วค่อยลุกขึ้นยืนเองอย่างช้าๆ







                   \"เอาเข้าไป! อวดดีนัก...งั้นเดินกลับเองก็แล้วกัน!\"







                   ฉันพูดจบก็แกล้งทำเป็นเดินทิ้งไม่รอเขา ...แต่แล้วฉันเดินไปได้ไกลไม่เท่าไหร่ ก็หันกลับมาดูด้วยความเป็นห่วง - ร่างสูงที่คุ้นเคยเดินกะโผลกกะเผลกมาทางนี้อย่างช้าๆ เฮ้อ! นี่ฉันกลายเป็นคนใจร้ายใจดำไปแล้วเหรอเนี่ย.. คิดเสร็จก็เดินย่ำกลับไปที่เขาก่อนจะใช้มือสองข้างจับพยุงร่างนั่น







                   \"กลับ..มา..ทำไม?\" ร่างที่อยู่ข้างฉันกำลังถามด้วยเสียงสั่น โอยตาย พูดอยู่ได้นั่นแหละ จะเป็นหวัดตายอยู่รอมร่อแล้ว







                   \"ก็มาช่วยคนป่วยนะสิ บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่เคยทิ้งให้คนป่วยเดินกลับบ้านเอง..\"







                   \"...เหรอ...ดีจังนะ\" กฤษพูดเสียงเนิบนาบ







                   \"แน่อยู่แล้วย่ะ! นายน่าจะขอบใจฉันมากกว่านะที่ฉันเคยเป็นผู้ช่วยพยาบาลจำเป็นมาก่อน\" ฉันบอกพร้อมหยิบของอย่างหนึ่งขึ้นมา \"เอ้า! ดื่มนี่ซะ...มันจะช่วยให้นายดีขึ้น\" ฉันเห็นหน้าอันซีดเซียวของเขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้..เลยหยิบขวดยาบำรุงกำลังที่อีริคให้เอาไว้ก่อนออกจากบ้าน...ให้นายนี่ดื่มแทนซะเลย







                   \"ค่อกๆ!\"







                   \"เอ้าๆ ดื่มยายังไงของนายกันหา! ดูสิหกเลอะเทอะใส่เสื้อของฉันหมดแล้ว\" ฉันบ่นพลางจับเสื้อผ้าตรงส่วนที่เปื้อนตะกี้ \"ขอโทษ..ไม่ได้ตั้งใจ..ยามันแรง ฉันดื่มมันเข้าไปไม่ได้\" เขาพูดขอโทษฉัน







                   \"เหรอ แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรกว่าแพ้ยา\"  







                   \"...ฉันลืมบอกเธอนะ....\" ไม่ทันไรศีรษะของเขาก็ฟุบลง







                   \"ว๊าย! อย่าเพิ่งมาสลบเอาตอนนี้ซิ! กฤษ...กฤษ!\" ฉันเรียกกี่รอบๆเจ้าตัวก็ไม่ยอมรู้สึกตัวซะที จนฉันหมดความอดทนจึงพยุงเขาไปนั่งตรงม้านั่งของสวนสาธารณะ \"เฮ้อ! หนักใช่ย่อยเลยแฮะ..พวกผู้ชายเนี่ย\"







                   ระหว่างที่กฤษสลบอยู่ ฉันก็ออกหาเดินหาตู้โทรศัพท์เพื่อที่จะโทรตามอีริคให้มาช่วย







                   \"อยู่ไหนนะเจ้าตู้โทรศัพท์!...เฮ้อ! แย่จริง คนต่างประเทศไม่ค่อยนิยมจัดตู้โทรศัพท์ไว้ตามสวนสาธารณะกันบ้างเลย แล้วอย่างนี้ถ้าคนมีบาดเจ็บจริงๆ แบบนี้มิต้องแย่เหรอเนี่ย\"







                   ฉันบ่นพึมพำพร้อมเดินหันซ้ายหันขวาหาตู้โทรศัพท์ แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเพราะ...







                   \"โอ๊ย!\"







                   \"(เดินยังไงถึงมาชนฉันแบบนี้หา! ยัย...อ้าว!ริร่า เธอนี่เอง...ยังสบายดีอยู่เหรอเนี่ย หึ!)\"







                   พอฉันเงยหน้าขึ้นมอง ก็แทบตกใจสุดขีด เฮ้ย!..คนฝรั่งคนนี้ตัวโตกว่าอีริคอีก สงสัยจะเป็นนักบาส NBAแหงชัวร์ แต่เอ๊ะ! ตะกี้เขาว่าอะไรนะ ฉันฟังไม่ทันเลย







                   \"(ว่าไงล่ะ นั่งเงียบเลยเชียว ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเลยหรือริร่า)\"







                   เอาล่ะสิพิราวรรณเอ๋ย! แค่ฟังยังไม่รู้เรื่องเลย แล้วอย่างนี้จะไปตอบเขาได้ยังไงกันเนี่ย







                   \"เอ่อ...\"







                   ฉันอ้ำอึ้งอยู่นานจนอีกฝ่ายทนไม่ได้ถึงกับเอามือมาดึงกระชากคอเสื้อจนฉันลอยเหนือพื้น







                   \"เหวอ! ปล่อยฉันนะ เจ้าคนบ้า!..ปล่อย!\" ฉันร้องพร้อมกับใช้วิชาหมัดเด็ดที่ตนเองมีต่อยใส่ แต่ทว่า...หมัดที่ต่อยออกไปกลับจั่วลมเพียงอย่างเดียว.. \"(เป็นบ้าอะไรของเธอนะริร่า ดูไม่สมเป็นเธอเลยนะ)\"







                   คนแปลกหน้าร่างยักษ์ยังคงถามฉันอีกต่อ แต่ถึงกระนั้นฉันก็คงไม่ฟังแล้วล่ะ \"ไม่! ปล่อยฉันนะ ปล่อยยยย!\" ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้กลัวคนตรงหน้านี้







                   แปร๊บ!







                   จู่ๆ ฉันก็รู้สึกปวดที่ศีรษะขึ้นมาดื้อๆ จากนั้นก็มีภาพอะไรต่อมิอะไรเข้าโถมอย่างเร็ว มือนั่น ใช่แล้ว...มือที่จับเสื้อฉันแล้วทำร้ายฉันจนแทบคลั่ง ไม่นะ ไม่ ได้โปรด..อย่าทำฉันเลย...เดช!







                   \"ม่ายยยยยย!\" ฉันสะบัดร่างตัวเองไปมาจนอีกฝ่ายตกใจ \"(ริร่า!เธอเป็นอะไรของเธอนะ...โอ๊ย!)\" ร่างยักษ์พูดไม่ทันจบ ก็ต้องกระเด็นไปนอนกับพื้น ส่วนฉัน...ก็ร่วงหล่นกระแทกกับพื้นไป







                   \"(แกนี่เอง..กฤษ! แกต่อยฉันทำไมฟ่ะ!)\" ร่างยักษ์ตวาดใส่ทันทีที่รู้ว่าคนที่ต่อยเป็นใคร แต่กฤษกลับไม่รับฟังใดๆทั้งสิ้น เขาหันตัวกลับไปที่ร่างเล็ก พร้อมกับอุ้มขึ้นมาอย่างถนุถนอมราวกับกลัวว่าจะร่างนั้นบุบสลายไป







                   \"กลัว...ฉันกลัวเหลือเกินกฤษ...มือนั่น...มันมาอีกแล้ว!\"







                   \"มือนั่น?\" กฤษทวนคำพูดของฉันด้วยความงุนงง ก่อนที่จะหันไปมองร่างยักษ์นั่น







                   \"(นายทำอะไรไว้กับเธอ! บอกมาเดี๋ยวนี้!)\" กฤษถามด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน จนร่างยักษ์ที่นั่งฟังสะดุ้ง \"(ฉันก็แค่จับคอเสื้อเธอก็เท่านั้นเอง)\"







                   \"(แน่ใจนะว่าแค่จับคอเสื้อนะ!)\"







                   \"(ก็เออสิวะ! เอาหัวเป็นประกันได้เลยล่ะ)\" ร่างยักษ์ตอบกลับและลุกขึ้นยืน \"(นายเอาคนของนายกลับไปซะ ก่อนที่ฉันจะบ้าตายเพราะความบ้าคลั่งของยัยนี่)\" ร่างยักษ์มองหน้ากฤษด้วยความหงุดหงิดใจ









                   \"..(ได้)..\" กฤษตอบสั้นๆ แล้วเขาก็เดินหันหลังกลับไปทิศทางของบ้านตนเองทั้งๆที่ยังอุ้มฉันไว้อยู่ ระหว่างทางกลับบ้านเขาก็ได้แต่มองฉันเพียงอย่างเดียวคล้ายกับว่าเป็นห่วงฉันยังไงยังนั้นแหละ (จะจริงหรือเปล่านั้น ฉันเองก็ไม่ทราบ)







                   \"ขอโทษนะ\"







                   \"เอ๋! นายขอโทษฉันทำไมกัน\" จู่ๆ เขาก็พูดขอโทษขึ้นมาซะเฉยๆ ทำให้ฉันที่อยู่บนแขนสองข้างของเขารู้สึกแปลกใจ ก็เขาไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ แล้วทำไมต้องมาขอโทษฉันด้วยล่ะ







                   \"ก็ฉันปล่อยให้เธอเดินออกไปตามลำพังไง\"







                   \"ไม่นะกฤษ นายไม่ผิด ฉันต่างหากที่จะต้องเป็นคนขอโทษนาย\" ใช่แล้ว! ฉันผิดมากๆ เพราะฉันทนเห็นนายเป็นไข้สูงไม่ได้ก็เลยเดินไปหาตู้โทรศัพท์โดยไม่บอกนาย...ขอโทษนะ ที่ทำให้นายต้องเป็นห่วง ดูสิ ตัวยังร้อนจี๋อยู่เลย







                   \"ใครว่า? ฉันผิดเต็มประตู ที่เป็นไข้แล้วปล่อยให้เธอต้องตกอยู่ในอันตราย\"







                   \"แต่ฉันว่า....\" เสียงของฉันขาดหายไปเพราะถูกริมฝีปากอันร้อนผ่าวประกบ ฉันรู้สึกตกใจและอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก สักพักเขาก็ถอนริมฝีปากออกและมองฉันด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน







                   \"เธอไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วล่ะพิราวรรณ..ฉันว่าตอนนี้เธอควรจะนอนพักผ่อนเอาแรงจะดีกว่านะ\"







                   คำพูดของเขาเหมือนเป็นคำประการศิตจริงๆ จู่ๆ ความง่วงก็เข้าครอบงำจนฉันต้องหลับตาลงอย่างไม่รู้สึกตัว







                   ...........







                   จบ บทที่ ๑



                    ปล. เฮ้อ จบบทนี้ซะที เล่นเอาเหนื่อยเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×