คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : ตอนที่ 13 : ปราสาทฟาริส
By : Helen
ฉันยืนดูดอกไม้อยู่สักพักหนึ่งฉันก็กะว่าจะขึ้นไปที่ห้องแล้วละ แต่ฉันเห็นผีเสื้อกำลังบินอยู่ก็เลยคิดว่าจะอยู่ดูผีเสื้ออีกสักพักและมันคงไม่เป็นไร ฉันคิดอยู่นะว่าถ้าฉันทำมงกุฎดอกไม้ให้เอบลิสมันจะดีมั้ย? แต่เพราะเอบลิสเป็นผู้ชายใส่มงกุฎดอกไม้แบบนั้นมันคงจะดูไม่แมนสักเท่าไหร่ แต่ฉันก็พยายามจะออกแบบมงกุฎในหัวให้มันดูไม่น่ารักมากเกินไป “อืออ เอาไงดีน้า?” ฉันได้แต่ยืนคิดอยู่อย่างนั้น เพราะถ้าหากจะทำก็คงต้องเก็บดอกไม้ไปด้วยเลย ‘ฟึบบบ’ ฉันยืนอยู่ดีๆก็เหมือนมีผ้าอะไรไม่รู้มาคุมหัวฉัน ฉันพยายามจะดิ้นเพื่อให้มันหลุดแต่มันก็ไม่เป็นผลเลย
“อยู่เฉยๆ อย่าดิ้น” เสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดกับฉัน นี่เขาสั่งฉันหรอ? เดี๋ยวนะฉันจำได้ว่าฉันถูกจับนี่ ถ้าจะดิ้นให้หลุดเพื่อหนีมันก็คงไม่แปลก แล้วเขามาสั่งฉันทำไม? -*-
“นายก็อย่ามาจับฉันสิ” ฉันตะโกนในขณะที่ตัวฉันยังอยู่ในผ้า และไม่นานฉันก็รู้สึกเหมือนตัวฉันลอยจากพื้น นี่ฉันกำลังโดนอุ้มหรอ? “โอ้ยยย ให้ตายสิ” ฉันพยายามดิ้นอยู่อย่างนั้นแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเลย ฉันโดนอุ้มพาดไหล่อยู่อย่างนั้นและไม่นานฉันก็โดนจับทิ้งให้นั่ง ความรู้สึกที่ปล่อยฉันทิ้งลงมาทั้งอย่างนั้นนี่ทำท้องไส้ในร่างกายของฉันสั่นสะเทือนไปหมดเลย “จุกชะมัด” ฉันได้แต่บ่นในใจเพราะฉันคิดว่าถ้าฉันพูดออกไปมันก็คงช่วยอะไรฉันไม่ได้หรอก แต่จะวางกันเบาๆหน่อยไม่ได้หรือไงกัน ฉันนั่งอยู่ในไหนก็ไม่รู้ แต่ที่หัวถึงเอวฉันยังคงมีผ้ามาคุมเอาไว้อยู่ และสักพักฉันก็รู้สึกเหมือนมือตัวเองโดนมัด “โอ้โห ไม่ต้องมัดก็ได้มั้ง ฉันคงหนีไปไม่ได้อยู่แล้วละ” ฉันเริ่มจะล้มเลิกความพยายามที่จะหนีแล้วละ พยายามจะนั่งเฉยๆแล้ว
By : Carlray
“เป็นไงได้เรื่องมั้ย?” หลังจากที่ผมเดินเอาจดหมายไปให้ทหาร ผมก็เดินกลับมาที่รถม้า และถามอามิชที่ยืนอยู่หน้ารถ บางทีผมก็ไม่แน่ใจนะว่าผู้หญิงที่ยืนดูดอกไม้อยู่ที่สวนนั่นจะใช่เธอจริงๆหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็คงได้เป็นเรื่องแน่
“จับมาได้แล้วพะยะคะ” อามิชพูดพร้อมกับก้มคำนับให้ผม
“อือ ดีมาก” ผมพยักหน้าพร้อมพูดกับอามิช และผมก็มองเข้าไปในรถผมก็เห็นแต่ผ้าที่คุมตัวเธอแทบจะทั้งตัว พร้อมกับดิ้นไปมาอยู่บนรถ
“เอาผ้าออกที” ผมบอกอามิชกับเคลเลมให้เอาผ้าออก ผมไม่ทนกับสภาพนี้หรอกนะ มันเหมือนมีตัวอะไรดิ้นๆอยู่ในผ้าก็ไม่รู้ ผมรอให้อามิชกับเคลเลมเอาผ้าออกจากตัวเธอเสร็จ ผมก็ขึ้นไปนั่งบนรถข้างๆเธอ
“พวกนายจับฉันมาทำไมเนี่ย?” ทันทีที่ผ้าคุมถูกเอาออกไปจากตัวของเธอ นี่ก็คือประโยคแรกที่เธอพูดกับผม
“ขอโทษด้วยนะสาวน้อยที่ต้องทำรุนแรงกับเธอ แต่ที่ทำไปมันก็เพื่อตัวเธอเอง” ผมพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้เธอ
“โอ้โห นี่ทำเพื่อฉันหรอ? แต่ขอโทษด้วยฉันไม่ต้องการ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!” ดูเหมือนเธอจะไม่รู้ซะแล้วว่ากำลังพูดกับใคร? เล่นขึ้นเสียงใส่ผมเฉยเลย ผมได้แต่เก็บอารมณ์เอาไว้เพราะผมไม่อยากตะโกนใส่เธอ ผมพยายามทำตัวดีๆกับเธอ เพราะผมรู้ว่าแค่ตอนนี้เธอก็เกลียดผมไปแล้วละ
“งั้นก็ขอโทษด้วย ฉันทำอย่างที่เธอต้องการไม่ได้ เพราะเธอต้องไปเมืองฟาริสกับฉัน” ผมพูดพร้อมกับส่งยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ไปให้เธอ
“ฟาริส?” ผมได้ยินเธอพูดคำนี้ออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา มันยิ่งทำให้ผมมั่นใจเลยละว่าผมจับคนมาถูกแล้ว
“ในเมื่อเธอคุ้นเคยกับชื่อนี้แปลว่าเธอก็คือเด็กคนนั้นนะถูกแล้วสินะ” ผมพูดกับเธอ ผมมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “ผู้หญิงผมสีบลอนด์สว่าง ตาสีฟ้าคราม” เธอมีลักษณะแบบนี้พอดีเลย
“เด็กคนไหนละ?” เธอยังคงพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ก็เด็กที่ถูกปีศาจทำร้ายเมื่อ 12 ปีก่อนไงละ” ผมพูดพร้อมกับส่งยิ้มไปให้เธอ และมันก็ได้ผล คำพูดของผมทำเธอถึงกับหยุดชะงักเลย
“นะ นาย... รู้เรื่องนี้ได้ยังไง?” เธอถามผมด้วยความสงสัยและน้ำเสียงที่สั่น
“เดี๋ยวพอถึงเมืองฟาริสเธอก็รู้ทุกอย่างเองแหละ” ผมพูดกับเธอ ส่วนเธอก็ได้แต่นั่งเฉยๆเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“อามิช เคลเลม เอารถออกได้เลย” ผมหันไปบอกทั้งสองคน ส่วนอามิชกับเคลเลมก็ก้มหน้ารับพระบัญชาและขับรถม้าไป
“ฉันไม่ไป” ระหว่างที่เธอนั่งอยู่อย่างนั้นสักพัก เธอก็พูดขึ้นมา
“ไปกับฉันเถอะ อยู่ที่นี้เธอคงไม่ปลอดภัย” ผมพูดพยายามจะกล่อมเธอให้ใจอ่อน
“ทำไมฉันจะไม่ปลอดภัย?” เธอหันมาถามผมด้วยความสงสัย
“เธอไม่รู้หรอว่าเอบลิสเป็นอะไร? ทำไมถึงให้เธอมาอยู่ที่นี่” ผมพูดกับเธอ ความจริงผมคิดเอาไว้อยู่แล้วละว่าเอบลิสคงไม่มีทางบอกความจริงกับเธอแน่นอน
“ฉันไม่รู้เหตุผลที่เอบลิสให้ฉันมาอยู่ที่นี่หรอก แล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าเอบลิสเป็นอะไร แต่ฉันรู้อยู่อย่างเดียวคือถ้าฉันอยู่ที่นี่ฉันจะปลอดภัย” เธอพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่แข็ง
“ถ้าเธอไม่รู้เหตุผลที่เอบลิสทำแบบนี้ แล้วเธอมั่นใจได้อย่างไรว่าเธอจะอยู่อย่างปลอดภัย” ผมถามเธอกลับไป
“เพราะเอบลิสไม่เคยทำอะไรกับฉันแบบนี้!” เธอพูดขึ้นเสียงใส่ผมอีกแล้ว ดูท่าทางผมจะทำให้เธอไม่พอใจผมมากเลยละ
“เอบลิสน่ะทำร้ายเธอมากกว่านี้อีก” ผมพูดด้วยเสียงแผ่วเบาและผมก็หันไปมองเธอที่ตอนนี้กำลังทำหน้ามึนงงสุดๆ
“เอบลิสทำอะไร? นายพูดเหมือนเอบลิสทำร้ายฉัน นายรู้อะไรบอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” เธอถามผม
“ว่าแต่เธอชื่ออะไร?” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง เพราะผมไม่อยากเล่าเรื่องความหลังที่แสนยาวไงละ
“ฉันถามว่าเอบลิสทำอะไร?” เธอเริ่มพูดขึ้นเสียงใส่ผมอีกแล้ว
“เธอตอบมาก่อนสิว่าเธอชื่ออะไร?” ผมถามเธอกลับและเธอก็ทำหน้าบูดใส่ผม
“ฉันชื่อเฮเลน แล้วนายละ?” เธอตอบผมในขณะที่มองไปทางอื่น
“ฉันชื่อคาร์เรย์ อืม... เฮเลนหรอ แปลว่าอะไรละ” ผมบอกชื่อกับเฮเลนไป และผมก็อยากรู้ความหมายของชื่อเธอ แต่ความจริงผมรู้ความหมายของชื่อเธออยู่แล้วละ ว่าชื่อเธอแปลว่าแสงสว่าง ซึ่งมันตรงข้ามกับชื่อของผม
“นายถามทำไม?” เฮเลนหันมาถามผมด้วยสีหน้าที่สงสัย
“เปล่า ก็แค่อยากรู้เฉยๆ” ผมบอกเฮเลน
“ชื่อฉันแปลว่าแสงสว่าง แล้วของนายละ?” เฮเลนถามผม
“ความหมายของชื่อฉันมันตรงข้ามกับของเธอไงละ” ผมบอกเฮเลนพร้อมกับอมยิ้มให้เธอเล็กๆ
“ความมืดหรอ?” เฮเลนตอบผม คำตอบของเธอถูกนะ แต่ความจริงมันก็ง่าย ไม่มีใครตอบไม่ถูกหรอก ใช่แล้วละ ชื่อของผมแปลว่า ‘ความมืด’
“อือ ใช่” ผมตอบเฮเลน เธอพยักหน้าเบาๆเหมือนกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ชื่อนายนี่เหมาะกับนายสุดๆเลย” เฮเลนยังคงพูดในขณะที่พยักหน้า ผมรู้สึกเหมือนโดนเธอหลอกด่าเลย -*-
“แล้วเธอรู้มั้ยว่าเอบลิสแปลว่าอะไร?” ผมหันไปถามเธอ ส่วนเฮเลนเองก็ทำท่าทางคิด ความจริงที่ผมถามชื่อและความหมายเพราะผมมีเหตุผล
“ไม่รู้หรอก แล้วนายรู้หรอ?” เฮเลนหันมาถามผมกลับ
“รู้สิ เอบลิสน่ะแปลว่า ปีศาจ” ผมพูดกับเฮเลนด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก เฮเลนก็ดูนิ่งไปสักพัก
“งั้นหรอ?” เฮเลนพูดพร้อมกับหลบหน้าลงต่ำ หลังจากนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนไป ผมและเฮเลนเรานั่งเงียบมาตลอดทาง การเดินทางจากเมืองเทอเรนไปเมืองฟาริสนั้นต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร เราจึงพักตามโรงแรมบ้าง ซึ่งเฮเลนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เธอก็พอตอบบ้างประโยคละคำ ดูเธอจะเงียบลงไปเยอะเลยถ้าเทียบกับตอนที่เจอเธอครั้งแรก และไม่นานเราก็มาถึงเมืองฟาริส พอผมถึงที่ปราสาท ทหารก็ออกมาต้อนรับและนำของสัมภาระไปเก็บอย่างเรียบร้อย
“ยินดีต้อนรับกลับพะยะคะ พระราชาและพระราชินีทรงรอองค์ชายอยู่เลยเพคะ” หัวหน้าองครักษ์เอ่ยทักทายผมทันทีหลังจากที่ผมลงมาจากรถม้า
“อืม” ผมตอบด้วยคำสั้นๆ และหันไปมองเฮเลน ที่ตอนนี้กำลังมองรอบๆปราสาทอยู่ ผมมองเธอและแอบอมยิ้มอยู่สักพัก และเดินนำเข้าไป ส่วนเธอเมื่อเห็นว่าผมเดินเข้าไปแล้ว เธอก็เดินตามผมมา
“กลับมาแล้วหรอองค์ชาย” เสด็จแม่พูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผม
“พะยะคะ” ผมตอบพร้อมกับก้มหน้า
“พาเด็กคนนั้นมาด้วยหรือเปล่า?” เสด็จพ่อทรงถามผมด้วยน้ำเสียงที่ดูเยือกเย็น
“เธออยู่นี่พะยะคะ” ผมพูดพร้อมกับจับแขนเธอให้เดินมาอยู่ข้างๆผม ส่วนเฮเลนก็ดูทำท่าไม่พอใจนิดหน่อย แต่เธอก็คงรู้กาลเทศะดี เธอจึงพยายามทำตัวนิ่งๆ ส่วนเสด็จพ่อก็มองเฮเลนพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัยเล็กๆ
“เธอนี่เหมือนตอนนั้นไม่เปลี่ยนเลยจริงๆนะ” เสด็จพ่อทรงพูดกับเฮเลนพร้อมกับอมยิ้มเล็กๆ
“พระองค์เคยเห็นหม่อมฉันหรอเพคะ?” เฮเลนถามเสด็จพ่อด้วยความสงสัย
“เรื่องมันยาวน่ะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยเล่าให้เธอฟังก็แล้วกัน คาร์เรย์ ฝากดูแลเฮเลนด้วยนะ” เสด็จพ่อพูด ส่วนผมก็ก้มรับพระบัญชา และพาเฮเลนเดินออกไป
“แม่นมช่วยพาเธอไปที่ห้องโรซินด้วยนะ” ผมหันไปพูดกับแม่นม แม่นมเป็นคนที่คอยดูแลผมตั้งแต่เด็กๆ และคอยช่วยเหลือผมในทุกๆเรื่อง
“เพคะ องค์ชาย” แม่นมพูดพร้อมกับนำทางเฮเลนไปที่ห้อง ส่วนเฮเลนก็มองหน้าผมเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เธอก็หันกลับไป ผมคิดว่าเธอคงจะกลัว และเธอก็คงจะอึดอัดเพราะไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ก็แหงละนะที่นี่เธอยังไม่รู้จักใครเลยนี่นา
“เฮเลน ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจะตามขึ้นไปหาเธอ” ผมบอกเฮเลนในขณะที่เธอกำลังขึ้นบันได ส่วนเฮเลนก็หันมามองผมและพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกเลยละที่เธอยิ้มให้ผม จะว่าไปเธอก็น่ารักดีนะ
ความคิดเห็น