คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : White carnation (EP3 จุดชนวน)
White carnation (EP3 จุดชนวน)
-------------------------------
“เวลามันผ่านไปนานสักแค่ไหนแล้วนะ”
ผมบุญเปร่งนะ ตอนนี้ผมทำงานที่บริษัทธุรกิจเอกชนแห่งหนึ่งมาเดือนนึงแล้วครับ ก็เป็นงานรับโทรศัพท์น่ะ แต่ฟังแค่นี้คงนึกว่าเป็นงานสบายสินะ แต่มันก็ไม่สบายอย่างที่คิดน่ะสิ ก็รู้สึกว่าผมยังเป็นน้องใหม่อยู่เลยโดนรุ่นพี่สอนงานหนักหน่อย แต่มันก็สนุกดี
เวลาแบบนี้ยิ่งเหม่อดูท้องฟ้ามันก็ช่างรู้สึกเหงาเสียจริง บางทีนะ ผมก็อยากเจอคาร์เนชั่นอีก ผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเธอจะไม่พูดเลยสักคำเดียว แต่เวลาอยู่กับเธอจิตใจของผมรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก วันนี้ก็เช่นกัน มันก็เหมือนกับเมื่อวาน ไม่สิทุก ๆ วัน ที่ผมต้องตื่นแล้วต้องรีบไปทำงาน ตอนแปรงฟันอยู่ก็ขอดูข่าวในทีวีหน่อย เหตุการณ์บ้านเมืองหลังจากที่ ปฏิวัติแล้ว มันก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ในใจของผมมันก็หวาดกลัวอยู่เหมือนกัน กลัวว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น
ผมเล่าความรู้สึกของผมให้คาร์เนชั่นฟังในจดหมาย เธอก็หัวเราะแล้วบอกว่ามันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ผมก็ถามว่าดียังไง เธอก็บอกว่ามันก็ช่วยไม่ได้ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด มันก็จริงของเธอนะ
เอาเถอะครับใครจะคิดยังไงมันก็เรื่องของเขา ผมเองก็ไม่มีหน้าที่ ๆ จะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น ขอเพียงให้ทุก ๆ วันได้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขมันก็พอแล้ว เอาละผมปิดทีวีและคว้ากระเป๋าออกไปทำงานตามปกติ หวังว่าวันนี้ก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเดินออกไปหน้าซอยเพื่อนั่งวินมอเตอร์ไซค์ไปลงหน้าสถานีรถไฟฟ้าเช่นเคย ขณะที่ผมต่อแถวรอซื้อตั๋วรถไฟฟ้าอยู่นั้น ผมเห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อโค๊ดสีน้ำตาลกำลังคุยโทรศัพท์มืออีกข้างถือกระเป๋าสีดำใบหนึ่งก็ไม่ได้แปลกใจอะไร พอหันไปมองอีกทีผมไม่เห็นเขาแล้วแต่เหลือเพียงกระเป๋าสีดำใบนั้นเท่านั้น ดูท่าเขาคงจะลืมมันแน่ ๆ
ผมก็ซื้อตั๋วเสร็จพอดี ว่าจะหยิบกระเป๋าใบนั้นเพื่อเอาไปคืนเจ้าของ แต่ว่าพอดีวันนี้เหลือเวลาอีกนิดเดียวจะสายแล้วผมจึงเลือกที่จะไม่สนใจมัน และเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าแทน
ทันทีที่ผมจะก้าวเท้าขึ้นรถไฟฟ้าเสียงระเบิดก็ดังขึ้นจากด้านหลังของผม สถานีรถไฟฟ้าได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดถล่มลงมา ทั้งผมและคนแถวนั้นต่างหวาดกลัว เสียงกริ่งเตือนภัยดังขึ้น ความโกลาหลก็เริ่มขึ้นต่างคนต่างพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด ผมงี้เข่าทรุดอ้าปากเหวอเชียวละครับ สักพักหนึ่งมีทหารรีบมาคุมสถานการณ์เอาไว้หลายสิบนาย
“กรี๊ด วี๊ดว้าย!” “ช่วยด้วย!”
“กรุณาอยู่ในความสงบ ขณะนี้เจ้าหน้าที่มาให้ความปลอดภัยแล้ว โปรดเปิดทางให้คนชรา ผู้หญิงและเด็ก หนีออกไปก่อน ขอย้ำ เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ”
ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียด ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าผมเห็นมือวางระเบิดนี่นา แล้วคน ๆ นั้นไปไหนแล้ว ผมจึงวิ่งตามลงไปดู แต่ก็ถูกฝูงชลบดบังทัศนีย์ภาพมองไม่เห็นชายดังกล่าว ของมันแน่อยู่แล้วจะมีมือวางระเบิดที่ไหนเซ่อพอที่จะรอดูผลงานตัวเองด้วยตาของตนป่านนี้มันคงจะหนีไปไกลแล้ว ตอนนี้ทหารก็กันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากจุดเกิดเหตุและนำผู้บาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาล ด้วยเหตุนี้เองผมจึงเดินทางมาถึงที่ทำงานสายถึงสิบโมงเช้า
ผมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับเพื่อนร่วมงานฟัง พวกเขาก็ต่างตกใจกันใหญ่ แล้วยังกล่าวชมเชยว่าเจอเรื่องแบบนี้แล้วยังมีกระจิตกระใจมาทำงานอีกเหรอ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงดี เพราะมันก็ถือว่าเป็นประสพการณ์เฉียดตายถ้าเกิดว่าผมซื้อตั๋วเสร็จช้าไปกว่านี้ล่ะก็ป่านนี้อาจจะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายหรือศพไปแล้ว วันนี้ทั้งบริษัทเปิดดูข่าวในทีวีกันทั้งนั้น แต่ผมไม่อยากดูหรอกเพราะผมไปอยู่ในที่เกิดเหตุมาเรียบร้อยน่ะสิ
ช่วงพักทานข้าวกลางวันผมก็ไปซื้อแฮมเบอร์เกอร์กับน้ำอัดลมจากร้านสะดวกซื้อ แต่ด้วยความที่ว่าเวลาพักมีไม่มากผมจึงหอบกลับมากินที่โต๊ะทำงาน มาถึงผมก็จัดแจงนั่งที่เตรียมหยิบแฮมเบอเกอร์เพื่อที่จะเข้าปากด้วยมือทั้งสองข้าง อยู่นั้น รุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ทักขึ้นมา
“แหม แฮมเบอร์เกอร์น่ากินจังแบ่งคำนึงสิ”
ผมหันไปมองรุ่นน้องคนนี้ชื่อ “เนตร” ซึ่งเป็นเด็กฝึกงานจากวิทยาลัยต่างจังหวัด เธออยู่รับโทรศัพท์ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะมารับหน้าที่นี้ไม่กี่วัน ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้คุยกันมากเพราะต่างคนต่างทำงาน วันนี้ก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงคุยกับผม
“เอาสิ ให้คำเดียวนะ”
“พี่เปร่งใจดีจัง งั้นขอกัดคำนึงนะ”
ผมส่งแฮมเบอร์เกอร์ให้เนตร แล้วเธอก็รับไปกัดจริง ๆ ด้วย เมื่อเนตรกัดแล้วก็เอามือเช็ดปากแล้วส่งคืนให้
“อร่อยจัง...”
“มันก็แค่แฮมเบอเกอร์อันละ 17 บาทที่ซื้อได้จากร้านสะดวกซื้อเท่านั้นเอง มันอร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“สงสัยเป็นเพราะเนตรหิวล่ะมั๊ง ยังไม่ได้ไปกินข้าวเลย”
“อ่าว ทำไมล่ะ?”
“ก็ เนตรเป็นเด็กฝึกงานไม่มีเงินเดือนน่ะ เงินที่ส่งมาจากทางบ้านมันไม่พอ เลยต้องประหยัด”
ได้ฟังแบบนี้รู้สึกสงสารน้องเขาจังเลย ว่าแต่ผมเองก็ถังแตกเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงส่งแฮมเบอร์เกอร์ให้เธอ
“งั้นกินไอ้นี่ไปเลย เดี๋ยวผมจะไปซื้อใหม่”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าพี่กลับมาสายจะโดนเจ้านายตำหนิเพราะเนตร”
“แล้วจะให้ทำไงล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ จะได้ไดเอ็ตในตัว”
ผมคงจะกินไม่ลงแน่ถ้าปล่อยให้น้องเขาต้องทนหิวทั้ง ๆ ที่นั่งทำงานข้าง ๆ กัน ผมจึงตัดแฮมเบอร์เกอร์เป็นสองซีก แล้วแบ่งให้น้อง
“เอาไป”
เนตรไหว้ก่อนแล้วค่อยรับส่วนที่ผมแบ่งให้ไป แต่ว่าแฮมเบอเกอร์ครึ่งลูกนี้มันคงทำให้อิ่มไม่ได้หรอก แต่มันก็ยังดีที่ไม่มีอะไร กินเลย
“พี่อยู่ในที่เกิดเหตุวางระเบิดเมื่อเช้า แล้วทำไมยังกล้ามาทำงานต่อล่ะคะ ไม่กลัวเหรอ”
“กลัวสิ แต่จะให้ทำยังไงได้ ผมไม่อยากขาดงานนี่นา”
ทันใดนั้นเองเสียงกริ่งโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมก็รับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ บริษัทสิริพล จำกัดครับ”
“ขอสายหัวหน้าแผนกหน่อย”
“ครับ...จะต่อสายให้เดี๋ยวนี้ครับ”
เสร็จแล้วผมก็ต่อสายเข้าไปที่หัวหน้าแผนกให้ หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็มาเดินมาจากด้านหลัง พร้อมกับแฟ้มเอกสารปึกหนึ่ง ผมก็เปิดดูลายมือหวัด ๆ อ่านลำบาก เมื่อเห็นแล้วก็ชวนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตะหงิด ๆ
“ช่วยพิมพ์งานหน่อย หมดนี่เลยนะ จะใช้พรุ่งนี้ประชุมบ่าย2โมง”
“ครับ ๆ”
แล้วเนตรก็หยิบแฟ้มเอกสารมาดู แล้วบอกว่าเค้าจะช่วยเพื่อตอบแทนข้าวกลางวัน ผมก็ตกลง เพราะรู้ดีว่าผมพิมพ์คนเดียวคงไม่มีทางเสร็จทันเวลาที่กำหนดแน่เลย แล้วแถมช่วงบ่ายเป็นต้นไปงานก็จะทยอยไหลเข้ามาเยอะมาก ทำงานไปดูนาฬิกาไปเวลามันเดินช้าจังเลย
ทุก ๆ วัน ผมทำงานค่อนข้างหนักกลับมาบ้านก็แทบจะหมดเรี่ยวหมดแรง สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมมีความสุขคือได้อ่านจดหมายทางอินเตอร์เน็ตที่โต้ตอบกลับมาของคาร์เนชั่น แต่เธอจะไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวของเธอให้ฟังเลย ส่วนใหญ่ก็มักจะให้กำลังใจผมเสมอ วันนี้ผมก็เลยตัดสินใจเล่าเรื่องสถานีรถไฟระเบิดที่เจอกับตนเองให้เธอฟังไป ซึ่งผมก็เปรยให้ฟังแบบสุ่ม ๆ สงสัยว่าจะเป็นมือวางระเบิดที่สนามบินหาดใหญ่รึภาคใต้มันลามมากรุงเทพหรือฝ่ายต่อต้านปฏิวัติอาจจะเป็นคนลงมือ ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ แต่ที่สำคัญคือเหตุมันเกิดใกล้บ้านเราเรื่อย ๆ ชักรู้สึกว่าชีวิตในเมืองใหญ่มันไม่ค่อยปลอดภัยซะแล้ว อยากย้ายไปอยู่บ้านนอกจัง
พิมพ์เสร็จผมก็คลิกส่งไป ก็ผมไม่รู้หรอกว่าเธอจะเขียนตอบมาเมื่อไหร่ส่วนมากมักจะเป็นอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง ใจความที่ตอบก็มักจะสั้น ๆ ถึงจะแค่นั้นแต่มันก็คุ้มค่ากับการที่ผมเฝ้ารอมาทุกวัน ขอแค่นี้ผมก็พอใจมากแล้ว แต่ว่าวันนี้รู้สึกเป็นวันพิเศษ จดหมายของคาร์เนชั่นยังไม่ทันชั่วโมงนึงก็ตอบกลับมาแล้ว
“To Bunpeng
ฉันรู้เรื่องของเธอแล้ว เป็นเรื่องที่น่าสลดใจมากนะ แต่นายโชคดีมากที่ไม่เป็นอะไรเลย มันไม่ใช่ฝีมือของโจรใต้ที่นายคิดหรอก เพราะชั้นได้ข่าวว่ามีอาชญากรกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกจ้างให้เข้ามาทำเรื่องแบบนี้ ถึงแม้จะไม่ได้รับรายละเอียดแต่ยังไงนายก็ต้องระวังตัวไว้ให้ดีเพราะว่าเรื่องแบบนี้น่าจะยังคงมีอีก
From Carnation”
เมื่อผมอ่านแล้วก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันเพราะว่าทำไมเธอถึงรู้เรื่องแบบนี้ แต่ว่าทั้ง ๆ ที่ทั่วกรุงเทพมีแต่ทหารกับรถถังแท้ ๆ รึว่าจะมีการต่อสู้กันจริง ๆ ในขณะที่ทุกวันผมต้องเดินทางไปทำงานซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าชีวิตของผมจะปลอดภัยรึเปล่า เพราะผมก็เป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้นเอง
“ผมกังวลมากไปรึเปล่านะ”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
* เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งที่สมมุติขึ้นนะครับ แค่เพียงยกสถาการณ์ปัจจุบันเป็นพื้นเท่านั้น *
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ความคิดเห็น